แม่เจ้าบัวไหล
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
บัวไหล (พ.ศ. พ.ศ. 2390–2475) บ้างเรียก แม่เจ้าหลวง[1] หรือ บัวไหล เทพวงศ์ เป็นชายาคนที่สองของเจ้าพิริยเทพวงษ์ อดีตเจ้าผู้ครองเมืองแพร่[2] และยังเป็นย่าของโชติ แพร่พันธุ์ หรือยาขอบ นักเขียนนวนิยายชื่อดัง
บัวไหล | |
---|---|
แม่เจ้า | |
![]() | |
ชายาเจ้าเมืองแพร่ | |
ดำรงพระยศ | ? – 25 กันยายน พ.ศ. 2445 |
ก่อนหน้า | แม่เจ้าบัวถา มหายศปัญญา |
เกิด | พ.ศ. 2390 นครน่าน อาณาจักรรัตนโกสินทร์ |
ถึงแก่กรรม | พ.ศ. 2475 จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย |
พระสวามี | น้อยเทพวงษ์ |
พระบุตร | เจ้ากาบคำ วราราช เจ้าเวียงชื่น บุตรรัตน์ เจ้าสุพรรณวดี ณ น่าน เจ้ายวงคำ เตมิยานนท์ เจ้ายวงแก้ว เทพวงศ์ เจ้าหอมนวล ศรุตานนท์ เจ้าอินทร์แปลง เทพวงศ์ |
พระบิดา | เจ้าไชยสงคราม |
พระมารดา | แม่เจ้าอิ่นคำ |
แม่เจ้าบัวไหล เกิดที่เมืองน่าน[3] เป็นธิดาคนเล็กจากทั้งหมดสี่คนของเจ้าไชยสงคราม[3] (หรือ แสนไชยสงคราม)[4] จากหนังสือ เชื้อสายเจ้าหลวงเมืองแพร่ 4 สมัย ระบุว่าเขามีเชื้อสายเจ้าเจ็ดตนจากเมืองพะเยา[3] ส่วนมารดาชื่ออิ่นคำ เป็นภรรยาคนที่สอง และเป็นเชลยศึกเชื้อสายยอง[3][4] ซึ่งถูกกวาดไปไว้ที่อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน[3] (บางแห่งว่าบ้านถิ่น จังหวัดแพร่)[4] บัวไหลมีพี่ชายฝาแฝด คือ เจ้าจอมแปง กับเจ้าเทพรส และมีพี่สาวชื่อเจ้าสามผิว[3] ซึ่งเจ้าเทพรส พี่ชาย เป็นต้นสกุลรสเข้ม[5] ในวัยเยาว์บัวไหลได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบเจ้านายตามขนบธรรมเนียมล้านนามาเป็นอย่างดี[6]
ส่วนที่มาของชื่อ บัวไหล มีหลายสำนวน สำนวนหนึ่งว่า เมื่อแรกเกิด เจ้าไชยสงครามต้องคดีกับกงสุลอังกฤษ เขาต้องนำลูกสาวคนเล็กนี้ล่องเรือลงใต้ไปด้วยเพื่อแก้คดีที่กรุงเทพมหานคร จึงตั้งชื่อดังกล่าว[3] อีกสำนวนหนึ่งอธิบายว่า เพราะบุตรสาวคนนี้เกิดขึ้นมาในช่วงที่บิดาจะต้องติดต่อราชการไปมาระหว่างเมืองน่านกับพะเยาอยู่เนือง ๆ จึงตั้งชื่อดังกล่าว[4]
บัวไหลเข้าเป็นชายาคนที่สองของเจ้าพิริยเทพวงษ์[1][2] เจ้าผู้ครองเมืองแพร่ ซึ่งเป็นประเทศราชขนาดน้อยที่สุดในบรรดาประเทศราชทั้งห้าทางตอนเหนือของสยาม[2] ทั้งสองมีบุตรด้วยกันเจ็ดคน ได้แก่ เจ้ากาบคำ เจ้าเวียงชื่น เจ้าสุพรรณวดี เจ้ายวงคำ เจ้ายวงแก้ว เจ้าหอมนวล และเจ้าอินทร์แปลง (หรืออินทร์แปง)[1][4] บัวไหลเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนเจ้าพิริยเทพวงศ์ ปกครองเมืองแพร่อยู่เจ็ดวัน จึงถูกเรียกขานอย่างยกย่องว่า แม่เจ้าหลวง[3][6]
หลังเกิดกบฏเงี้ยวขึ้นเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2445 และถูกทางการสยามปราบปราม[2] เจ้าพิริยเทพวงษ์หนีออกจากเมืองแพร่ไปหลวงพระบาง[7] ฝ่ายสยามได้ทำการปลดเจ้าพิริยเทพวงษ์ลงเป็นไพร่ ให้เรียกว่า น้อยเทพวงษ์ พร้อมกับยึดคุ้มหลวงและทรัพย์สมบัติ ส่วนบัวไหลถูกถอดและถูกริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นตติยจุลจอมเกล้า[8] หลังเหตุการณ์ดังกล่าว เจ้าเวียงชื่น พระธิดา และพระยาราชวงศ์ (น้อยบุญศรี) พระชามาดา ก่ออัตวินิบาตกรรมด้วยการดื่มยาพิษจนเสียชีวิตทั้งคู่[4] ส่วนบัวไหลถูกควบคุมตัวไปกักไว้ที่กรุงเทพมหานคร พร้อมกับบุตรธิดา[2] โดยอยู่ภายใต้การดูแลของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เป็นระยะเวลา 4-5 ปี จึงได้รับพระบรมราชานุญาตให้กลับภูมิลำเนาได้[6]
ในบั้นปลาย บัวไหลอาศัยอยู่กับคุณหญิงหอมนวล ราชเดชดำรง ธิดาคนเล็กและลูกเขยที่จวนข้าหลวงจังหวัดเชียงราย จนถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2475[6]
บัวไหลมีฝีมือในเชิงเย็บปักถักร้อย ซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากอิ่นคำ พระมารดาซึ่งเป็นเชลยชาวยอง โดยเฉพาะการนำปีกแมลงทับมาประดับร่วมกับผ้าลูกไม้[4] ทั้งเคยปักผ้าม่านและหมอนขวาน รวมถึงเครื่องใช้ต่าง ๆ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นที่โปรดปรานยิ่งนัก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดห้องไว้โดยเฉพาะ แล้วพระราชทานนามว่า ห้องบัวไหล ถือเป็นเกียรติยศที่สูงส่ง[3] และมีผลงานสำคัญอีกหนึ่งชิ้น คือ ผ้าปักไหมคำเป็นตัวอักษรธรรมล้านนาบนพระคัมภีร์ยาวต่อเนื่องกันหลายแผ่น ทำขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2416 หรือเมื่อบัวไหลมีอายุได้ 23 ปี ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่วัดพระพุทธบาทมิ่งเมือง ซึ่งสำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร เคยมีแนวคิดที่จะยื่นเสนอให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก[4]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.