Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สไบ หรือ ผ้าแถบ เป็นผ้าผืนยาวแคบสำหรับคาดอกสตรีต่างเสื้อ พบได้ในภาคพื้นทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะใน ไทย ลาว กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย ในขณะที่บริเวณชายฝั่งสุมาตรากับคาบสมุทรมลายูจะใช้คำนี้กับผ้าคลุมไหล่[1]:410 สไบมีที่มาจากส่าหรีอินเดีย ซึ่งคลุมทับไหล่ข้างหนึ่ง[1]:153 ในกลุ่มวัฒนธรรมอื่นนอกจากวัฒนธรรมไทย ผู้ชายยังใช้สไบในกิจกรรมทางศาสนา[2] สไบสามารถห่มได้หลายรูปแบบ เช่น คาดหน้าอก พาดเฉวียงบ่าปล่อยชาย ตะเบ็งมาน ผ้าห่ม เพลาะ และสะพายแพร เป็นอาทิ
ในราชสำนักไทย สไบเป็นเครื่องแต่งกายที่ใช้แสดงฐานานุศักดิ์ของเจ้านายฝ่ายใน (เจ้านายผู้หญิง) มาช้านาน โดยมีการบัญญัติการแต่งกายของฝ่ายในไว้มาตั้งแต่อาณาจักรอยุธยา[3][4] ตั้งแต่พระอัครมเหสี พระราชชายา พระราชธิดา หรือบาทบริจาริกา ล้วนห่มสไบ ต่อมาในยุคหลังมีการสวมเสื้อแขนกระบอกก็จะต้องห่มสไบทับอยู่ด้วยเสมอ[5] โดยการห่มสไบของหญิงฝ่ายในและชาววังจะคู่กับการนุ่งจีบ ส่วนหญิงสามัญชนจะห่มสไบคู่กับนุ่งโจงกระเบน[6] ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชนิยมให้ห่มสไบทับเสื้อแขนกระบอก คู่กับนุ่งโจงกระเบนแทน[5]
ในภาษาไทยจะเรียกผ้าชนิดนี้ว่า "ผ้าแถบ" ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้ความหมายไว้ว่า "ผ้าผืนยาว ๆ แคบ ๆ ใช้ห่มคาดหน้าอกต่างเสื้อ" มีอีกคำหนึ่งคือ "สไบ" โดยพจนานุกรมฉบับเดียวกันระบุไว้ว่าเป็นคำยืมมาจากภาษาเขมรว่า "ไสฺบ" (ស្បៃ) มีความหมายว่า "ผ้าแถบ ผ้าคาดอกผู้หญิง" ขณะที่สุพัฒน์ เจริญสรรพพืช (2563) อธิบายว่าคำดังกล่าวอาจมีที่มาหรือมีความเกี่ยวข้องกับคำว่า ซาปัย (Sapay) อันเป็นคำในตระกูลภาษาออสโตรนีเซียนดั้งเดิม ซึ่งมีความหมายว่า "การพาดแขวนบนบ่า" หรือ "ราวเชือก"[7] นอกจากนี้ในไทยยังเรียกสไบอีกชื่อว่า ผ้ากะแสง, กระแสง หรือกรรแสง[8] และบัญญัติการห่มผ้าแถบอีกแบบหนึ่งเรียกว่า "ตะเบ็งมาน" หรือ "ตะแบงมาน" แปลว่า "วิธีห่มผ้าแถบแบบหนึ่ง โดยคาดผ้าอ้อมตัวจากด้านหลังไขว้ขึ้นมาด้านหน้า แล้วเอาชายทั้ง ๒ ไขว้ไปผูกที่ต้นคอ"
สไบอีกชนิดหนึ่งสำหรับสตรีชั้นสูงในราชสำนักไทย เรียกว่า "ผ้าสะพัก" หรือ "ผ้าทรงสะพัก" มีลักษณะเป็นผ้าแพรหรือผ้าสไบอย่างหนาใช้คลุมทับสไบหรือเสื้ออีกชั้นหนึ่ง[9] ต่อมาราชสำนักกัมพูชานำไปใช้ เรียกว่า "พระสุภาก"[10] และมีสไบอีกอย่างหนึ่งคือ "ผ้าห่ม" มีวิธีห่มหลากหลาย เช่น ห่มผ้าคล้องไหล่ ห่มผ้าคล้องคอ หรือห่มคลุมซึ่งใช้ในฤดูหนาว มีการต่อผ้าให้หน้ากว้างขึ้นจะเรียกว่า "เพลาะ" ใช้ห่มไหล่กันลมหนาว หรือห่มนอนก็ได้[11] ส่วนผ้าห่มอย่างสไบ จะเป็นสไบหน้าแคบกลายเป็นผ้าเฉวียงซ้าย[4]
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการพัฒนาการการห่มสไบเป็นการ "สะพายแพร" คือการนำผ้าแพรจีบขวางเอวมาจีบตามยาวอีกครั้ง จนเหลือผืนแคบ แล้วตรึงให้แน่น สะพายบนบ่าซ้าย รวบชายไว้ที่เอวด้านขวาเพื่อสะดวกแก่การเดินทาง[12] หากเป็นผ้าโปร่งบางไม่จับจีบ จะเรียกว่า "แพรฝรั่ง"[13] และการสะพายแพรถูกยกเลิกไปในรัชกาลถัดมา[14]
ในอดีตชาวกวยในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง หรืออีสานใต้ของประเทศไทย จะคล้องผ้าสไบและนุ่งโจงกระเบนเป็นเครื่องแต่งกายพื้นเมือง ปัจจุบันชาวกวยจะสวมเครื่องแต่งกายเช่นนี้ในช่วงประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อเท่านั้น[15]
ราชสำนักกัมพูชายุคหลังมีการรับอิทธิพลจากสยามไปค่อนข้างมาก โดยนำวิธีการห่มผ้าทรงสะพักในราชสำนักสยามไปใช้ด้วย เรียกว่า "พระสุภาก"[10] ในรัชสมัยของสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี มีการแต่งตั้งให้ภรรยาของขุนนางจตุสดมภ์และขุนนางที่ถือศักดินา 9,000 ไร่เป็นต้นไป ให้มีบรรดาศักดิ์เป็น "ชุมท้าว" (ជំទាវ, จ็อมเตียว) เทียบท่านผู้หญิงของไทย ทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สตรีเหล่านี้นุ่งผ้าลายมีเชิง และห่มสไบมีสีตามฐานานุศักดิ์[16]
ส่วนผู้ชายชาวไทยเชื้อสายเขมรในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง หรืออีสานใต้ของประเทศไทย จะคล้องผ้าขาวม้ายกขิต เรียกว่า สไบรือเจียร์ คู่กับนุ่งผ้าโสร่งหรือนุ่งผ้าสมปรต ส่วนผู้หญิงจะห่มสไบทอยกดอกลายลูกแก้วคู่กับนุ่งซิ่นซึ่งได้ต้นแบบมาจากผ้าไทย เรียกว่า อันลุยซีม[15]
ในงานแต่งงานของชาวเขมรในปัจจุบัน จะให้เจ้าสาวใส่ชุดนางนาค และเจ้าบ่าวใส่ชุดพระทอง ตามอย่างตำนานท้องถิ่นเรื่อง พระทองนางนาค ซึ่งมีเนื้อหาว่า "นางนาคชื่อทาวดีเป็นลูกนาคราชอาศัยอยู่ใต้บาดาล และพระทองเป็นเจ้าชายจากแดนไกล วันหนึ่งนางนาคแปลงกายเป็นมนุษย์ขึ้นมาเล่นน้ำ เป็นจังหวะที่พระทองเดินทางมาพบจึงเกิดหลงรักนางนาคและแต่งงานกัน บิดานางนาคจึงเนรมิตเมืองขึ้นให้ชื่อว่า ‘กัมพูชา’ ให้แก่พระทองและลูกสาวของตน พระทองจึงเป็นปฐมกษัตริย์แห่งกัมพูชา ต่อมาพระทองต้องการลงไปเมืองบาดาลแต่เป็นมนุษย์ไม่สามารถเดินทางไปได้ นางนาคจึงให้พระทองจับสไบเพื่อจะสามารถตามไปยังถ้ำใต้บาดาลได้" ด้วยเหตุนี้ในงานแต่ง เจ้าบ่าวจะต้องจับสไบของเจ้าสาวตามความเชื่อดังกล่าวด้วย[17]
ในสมัยอาณาจักรอยุธยา มีบันทึกเรื่องราวการแต่งกายของชาวสยามในสมัยนั้นโดยซีมง เดอ ลา ลูแบร์ ราชทูตชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีเมื่อ พ.ศ. 2230 ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ความว่า "นอกจากผ้านุ่งแล้ว ผู้หญิงก็ปล่อยล่อนจ้อน ด้วยธรรมเนียมสตรีไม่มีเสื้อครุย (ฝรั่งเรียกเสื้อเชิ้ต) ชั่วแต่คนที่มั่งมีศรีสุขจึ่งจะใช้สะไบห่มอีกผืนหนึ่ง บางที่ห่มคาดนมปัดชายสะไบเฉียงบ่า แต่สตรีที่สุภาพราบเรียบ มักใช้สะไบตะแบงมานพันขนองกลางสะไบ ปัดชายทั้งสองมาสพักอุระ พาดสองบ่าปล่อยชายห้อยเฟื้อยปลิวลงไปข้างหลัง (อย่างผ้าห่มนางละครรำ)" โดยผู้หญิงจะนุ่งผ้านุ่งปล่อยผ้ายาวมาถึงหน้าแข้งคล้ายกระโปรง ปกปิดแต่ส่วนอุจาดด้วยการ "ปกสะเอวและขาลงไปกระทั่งหัวเข่าด้วยท่อนผ้าผืนลาย ๆ ยาวราว 5 แขน" เดินเท้าเปล่า เมื่อเปรียบเทียบกับคนชาติอื่น ๆ ก็แทบจะเหมือนคนเปลือยกาย ส่วนเด็ก ๆ จะเปลือยกายจนถึงอายุ 4-5 ขวบ จึงจะใส่จะปิ้ง[18] เมื่อครั้งออกพระวิสุทธสุนทร (ปาน) เป็นราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีที่ประเทศฝรั่งเศสใน พ.ศ. 2229 ขณะที่ออกพระวิสุทธสุนทรร่วมการประชุมที่สำนักเดอแบร์นี ขณะนั้นมีผู้ร่วมประชุมท่านหนึ่งขอความเห็นออกพระวิสุทธสุนทรเกี่ยวกับการแต่งกายของหญิงตะวันตก ออกพระวิสุทธสุนทรก็ตอบว่า "เครื่องแบบแหม่มนี้เหมาะดีมาก แต่ว่าถ้าแหม่มแต่งอย่างผู้หญิงไทย แล้วจะเพิ่มความสวยงามอีกเป็นกอง" ผู้ร่วมประชุมรายนั้นจึงถามว่าอีกว่า "เออ อย่างนั้นเจียวหรือ ? ก็ผู้หญิงชาวสยามเขาแต่งกันอย่างไร ?" ออกพระวิสุทธสุนทรจึงตอบว่า "หญิงเมืองไทยนั้นหรือท่าน [...] เขาผิดกันกับแหม่มตรงที่ว่าแหม่มนั้นช่างปิดตัวมิดชิด แทบจะไม่แลเห็นผิวเนื้อเลย นอกจากวงหน้านิดหน่อย แต่ผู้หญิงเมืองไทยนั้น หาเป็นเช่นนั้นไม่ แทนที่เขาจะนุ่งห่มปกปิดร่างกายให้มิดชิด ตั้งแต่เท้าขึ้นไปถึงศีรษะนั้น เขาห่มปิดแต่บางส่วนของร่างกายเท่านั้น อีกบางส่วนเขาทิ้งให้ปรากฏเปิดเผย ฉะนี้ลักษณะงดงามของสตรีในเมืองไทยจึงมีภาษีกว่าในเมืองนี้ ถ้าแหม่มจะเอาอย่างนี้บ้างแล้วก็เข้าใจว่าผู้หญิงเมืองฝรั่งนี้จะงามขึ้นอีกเป็นหลายเท่า"[19]
รัตนโกสินทร์ตอนต้น สตรีไทยนุ่งผ้าจีบและห่มสไบ เมื่ออยู่บ้านจะห่มเหน็บแบบผ้าแถบ เมื่อออกจากบ้านจึงเปลี่ยนเป็นสไบเฉียง หากทำงานจะเปลี่ยนเป็นตะแบงมานทั้งแบบปล่อยชายหรือผูกชาย ครั้นเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวก็จะห่มผ้าแพรเพลาะคลุมไหล่ ในกรณีที่เป็นหญิงสมรสแล้วเวลาอยู่บ้านจะไม่ห่มสไบ สตรีที่มีฐานะดีจะนุ่งผ้ายกทอด้วยไหม มีสีสันสวยงาม หากเป็นสตรีที่มีอายุแล้วก็จะห่มผ้าสีเรียบเป็นพื้น โดยเฉพาะผ้าตาดขาวดำ เพราะเป็นสีสุภาพเหมาะกับวัย[20]
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หญิงชาวบ้านทั่วไปยังนุ่งโจงกระเบนและห่มผ้าแถบอยู่กับบ้าน[21] สตรีในราชสำนักเริ่มการสะพายแพรที่พัฒนาการจากการห่มสไบ คือการนำผ้าแพรจีบขวางเอวมาจีบตามยาวอีกครั้ง จนเหลือผืนแคบ แล้วตรึงให้แน่น สะพายบนบ่าซ้าย รวบชายไว้ที่เอวด้านขวาเพื่อสะดวกแก่การเดินทาง[12] และเพื่อเผยให้เห็นเสื้อลูกไม้ซึ่งอยู่ภายใน[22] โดยในงานเขียนของนายแพทย์ มัลคอล์ม สมิท ได้กล่าวถึงเครื่องแต่งกายของหญิงสยามในช่วงเวลาดังกล่าวไว้ว่า
"เครื่องแต่งกายประจำชาติของสตรีในสมัยนั้นมีอยู่เพียงสองชิ้น คือ ผ้านุ่ง เป็นผ้าผืนยาวปกปิดช่วงท้องกับสะโพก ใช้นั่งแบบเดียวกับโธตี (Dhoti) ของอินเดียซึ่งเป็นต้นกำเนิดอย่างไม่ต้องสงสัย กับอีกผืนหนึ่งคือ ผ้าห่ม หรือ ผ้าสไบเฉียง ชิ้นหลังเป็นผ้าคลุมง่าย ๆ ใช้พาดหน้าอกและทำให้อยู่กับที่ด้วยการพับชาย เป็นเครื่องแต่งกายที่เปลี่ยนแปลงไปได้ร้อยแปดพันเก้า เพราะจะแก้ออกเมื่อไรก็ได้ จนลุล่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ การนุ่งห่มแบบนี้ก็ไม่ได้กำหนดไว้เป็นการตายตัว เครื่องแต่งตัวสองชิ้นนี้ใช้กับสตรีไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร..."[23]
แต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สตรียังนุ่งโจงกระเบน ต่อมาได้เปลี่ยนไปนุ่งซิ่นและสวมเสื้ออย่างฝรั่งตามสมัยนิยม การสะพายแพรที่พัฒนาจากการห่มสไบเฉียงถูกยกเลิกไปโดยปริยาย[14] ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เครื่องแต่งกายแบบตะวันตกที่จำหน่ายโดยห้างชาวยุโรปในกรุงเทพมหานครก็เริ่มแพร่หลายสู่คนสามัญชนแล้ว[24]
ในรัฐบาลจอมพล แปลก พิบูลสงคราม มีการจัดระเบียบการแต่งกายของประชาชนตามรูปแบบรัฐนิยม ใน พ.ศ. 2484 คือผู้หญิงควรไว้ผมยาว สวมเสื้อชั้นนอกให้สะอาดเรียบร้อย นุ่งผ้าถุงยาว รวมทั้งให้สวมหมวก โดยมิให้สตรีเปลือยท่อนบนหรือใช้ผ้าแถบคาดอกในที่สาธารณะ[25][26] และครั้นเมื่อเลิกใช้กฎหมายดังกล่าวไปแล้ว ประชาชนเลิกสวมหมวก แต่ชนนิยมแต่งกายอย่างตะวันตกไปแล้ว คือผู้ชายนิยมนุ่งกางเกง และผู้หญิงนิยมนุ่งกระโปรง แม้จะมีบางส่วนยังนุ่งโจงกระเบนอยู่บ้าง[24] แต่สตรีก็นิยมนุ่งผ้าถุงมากกว่าโจงกระเบนเพราะราคาถูกกว่า[25] ส่วนผ้าแถบหรือสไบนั้นไม่ใคร่ปรากฏผู้ใช้ในชีวิตประจำวันโดยเฉพาะตามหัวเมืองใหญ่ ๆ แต่พอหลงเหลือคนห่มผ้าแถบและโจงกระเบนบ้างบางท้องถิ่น[27]
ส่วนชาวไทยเชื้อสายโปรตุเกสในกรุงเทพมหานคร หญิงจะนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อเข้ารูป คล้องผ้าคลุมไหล่ซึ่งเป็นผ้าแพรปังลิ้นมาอัดกลีบอย่างสไบ และจะดึงผ้าคลุมไหล่ดังกล่าวมาคลุมศีรษะเมื่อมีการรับศีลในโบสถ์คริสต์ แต่ปัจจุบันไม่มีใครแต่งกายเช่นนี้แล้ว[28][29]
ในราชสำนักไทย ปรากฏหลักฐานการห่มสไบและห่มผ้าสะพักทับอีกทีหนึ่งมาตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยา เพราะมีหลักฐานการนุ่งบัญญัติไว้สำหรับการแต่งกายในราชสำนัก[3][4] มีการประเมินค่าจากลวดลาย เนื้อผ้า กรรมวิธีการผลิต โดยมากเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ และทำมาจากวัสดุมีค่าราคาแพง[30] บ่งบอกถึงฐานานุศักดิ์ของผู้นุ่ง ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสำหรับเจ้านายฝ่ายในและสตรีชั้นสูงในสมัยนั้น[3] ซึ่งจะห่มสะพักก็ต่อเมื่อเข้าร่วมในพระราชพิธีสำคัญที่มีการแต่งกายเต็มยศเท่านั้น เพราะเป็นธรรมเนียมที่แสดงถึงความสุภาพต่อธารกำนัลมาแต่โบราณ[31] เจ้านายฝ่ายในและหญิงชาววังจะมีธรรมเนียมว่าจะเป็นสาวเองไม่ได้ แต่จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้ดูแลเสียก่อน หลังพระราชพิธีโสกันต์ ผู้ดูแลจะมีรับสั่งให้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นผ้าสะพัก เพราะฉะนั้นการห่มผ้าทรงสะพักจึงเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นสาวของหญิงชาววัง[32]
โดยการห่มสะพักหรือห่มสไบซึ่งทำจากผ้าแพรหรือผ้าไหม มีวิธีการห่มสองรูปแบบคือ[11]
ยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีการห่มสไบให้มีความประณีตซับซ้อนขึ้น กลายเป็นเครื่องแสดงสถานะทางสังคมอย่างหนึ่ง ได้แก่ การห่มสไบสองชั้น เรียกว่า ผ้าทรงสะพัก รวมไปถึงการอัดกลีบสไบให้มีความสวยงาม[5] ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจนถึงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สตรีในราชสำนักจะห่มสไบตามโฉลกสีและมงคลฤกษ์ และเริ่มการนุ่งยกห่มตาด[4] โดยมากจะห่มสไบคู่กับนุ่งจีบหน้านาง ส่วนการห่มสไบพร้อมกับนุ่งโจงกระเบนไม่ต้องพระราชนิยม[5] ต่อมาราชสำนักกัมพูชาในยุคหลังจึงนำวิธีการห่มผ้าทรงสะพักไปใช้ด้วย เรียกว่า "พระสุภาก"[10] ต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชนิยมให้สตรีในราชสำนักสวมเสื้อผ้าแพรแขนกระบอกแล้วห่มสไบทับ และมีพระราชนิยมให้นุ่งโจงกระเบนแทนนุ่งจีบ[5] โดยเจ้านายฝ่ายในขณะนั้นจึงมีการดัดแปลงฉลองพระองค์โดยมีการสะพักไว้อยู่ เช่น สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงฉลองพระองค์แขนหมูแฮม และห่มสะพักตาดทับฉลองพระองค์ ส่วนสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงฉลองพระองค์แขนกระบอกห่มด้วยสะพักตาดปัก เป็นต้น[30]
ครั้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีการฟื้นฟูธรรมเนียมการแต่งกายโบราณขึ้นใหม่ โดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงประยุกต์การห่มสไบเป็นชุดไทยพระราชนิยมสามแบบ คือ ชุดไทยจักรพรรดิ ชุดไทยจักรี และชุดไทยศิวาลัย[30]
ชาวมลายูในประเทศมาเลเซีย เรียกผ้าอย่างเดียวกันนี้ว่า "เซอไบ" (มลายู: Sebai, سباي) ใช้พาดบริเวณลำคอเพื่อปิดไหล่โดยให้ปลายทั้งสองข้างปิดบริเวณหน้าอก ลักษณะคล้ายกับผ้าพันคอ[33] ส่วนชาวไทยเชื้อสายมลายูในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย จะใช้ผ้าปล่อยที่เรียกว่าผ้าชายรามูลักษณะคล้ายผ้าขาวม้า หญิงมุสลิมใช้คลุมศีรษะหรือไหล่ (ทำนองเดียวกับผ้าห่มของไทย) บ้างก็ทำเป็นสไบคล้องคอ ส่วนกลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธจะทำเป็นผ้าพาดเฉียงสำหรับไปทำบุญที่วัด[34]
ชาวมอญเรียกสไบว่า "หยาดโด๊ด" (มอญ: ယာတ္ေဍာတ္) ชาวมอญในจังหวัดสมุทรสาครเรียก "หยาดฮะเหริ่มโตะ" (ယာတ္ဓရုီတု္) หรือ "หยาดหมิ่นโตะ" (ယာတ္မိန္တု္)[35] ถือเป็นอัตลักษณ์หนึ่งของคนมอญ[36] ใช้สำหรับพาดไหล่เมื่อเข้าไปยังพุทธศาสนสถาน ใช้ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ผ้ามีขนาดกว้างหนึ่งศอก ยาวสี่ศอก[35] ซึ่งชุมชนมอญแต่ละกลุ่มจะมีลวดลายตกแต่งแตกต่างกันออก เช่น ลักษณะการใช้ผ้าซึ่งในประเทศไทยมีอยู่หกรูปแบบ คือ แบบผ้าแพรเรียบ, แบบสไบจีบ, แบบไหมพรมถัก, แบบลูกไม้, แบบผ้าขาวม้า และแบบสไบปัก[36]
วิธีการห่มคือนำผ้ามาพับตามยาวให้ได้สี่ทบให้เหลือเศษหนึ่งส่วนสี่ของความกว้างผืนผ้า จากนั้นให้พาดจากไหล่ซ้ายไปด้านหลัง อ้อมรักแร้ขวา แล้วขึ้นไปพับบนไหล่ซ้าย เอาด้านที่มีลวดลายออก หากไปเที่ยวงานรื่นเริงก็จะคล้องคอหรือพาดตรงบนไหล่ซ้าย[35] โดยการคล้องมี 4 ลักษณะคือ[36]
ชาวไทยวนเป็นประชากรหลักของอาณาจักรล้านนา ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทยในปัจจุบัน จะเรียกสไบว่า "ผ้าสะหว้ายแล่ง" หรือ "ผ้าเบี่ยงบ้าย" มีลักษณะเป็นผ้าพันหน้าอกและพาดบ่าเฉียง นุ่งซิ่นลายขวางเกือบกรอมเท้า มีผ้าผืนหนึ่งคล้องคอ และเกล้ามวยผมกลางศีรษะแล้วเอาปิ่นปักและยังแต่งกายเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชนิยมให้สตรีสวมเสื้อ ชาวไทยวนเมืองเชียงใหม่จึงสวมเสื้อแล้วห่มผ้าสะหว้ายแล่งทับ แต่ยังคงนุ่งซิ่นอย่างโบราณ[37]
ชาวลาวเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลักของประเทศลาว และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เรียกสไบว่า "ผ้าเบี่ยง" (ลาว: ຜ້າບ່ຽງ) หรือ "ผ้าเบี่ยงบ้าย" เช่นเดียวกับชาวไทยวน ใช้สวมใส่หรือใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา[38] ใช้ได้ทั้งชายและหญิงในงานพิธีสำคัญ โดยเป็นผ้าสำหรับพาดไหล่หรือห่มพาดเฉียงหรือเฉวียงบ่าอย่างสไบ ถือเป็นเครื่องแต่งกายที่แสดงความสุภาพและความเคารพอย่างสูงของสตรี ปัจจุบันนิยมห่มทับเสื้ออีกชั้นหนึ่ง หรืออาจใช้เป็นผ้ากราบพระด้วย[39]
ผ้าเบี่ยงทำจากผ้าฝ้ายหรือผ้าไหม มีลวดลายทั้งแบบจกและขิด ตกแต่งด้วยลวดลายมงคล หรือสัตว์หิมพานต์ต่าง ๆ[39]
หญิงชาววังในราชสำนักไทยช่วงต้นรัตนโกสินทร์มีการเลือกสีผ้านุ่งและผ้าห่มให้ตัดกันสวยงาม และอบร่ำให้ผ้ามีกลิ่นหอม โดยถือเป็นคติสีมงคลประจำวัน ดังนี้[40]
ส่วนใน สวัสดิรักษาคำกลอน อธิบายเกี่ยวกับการนุ่งห่มผ้าตามสีมงคลประจำวัน ดังนี้[41]
๏ อนึ่งภูษาผ้าทรงณรงค์รบ | ให้มีครบเครื่องเสร็จทั้งเจ็ดสี | |
วันอาทิตย์สิทธิโชคโฉลกดี | เอาเครื่องสีแดงทรงเป็นมงคล |
เครื่องวันจันทร์นั้นควรสีนวลขาว | จะยืนยาวชันษาสถาพร | |
อังคารม่วงช่วงงามสีครามปน | เป็นมงคลขัตติยาเข้าราวี |
เครื่องวันพุธสุดดีด้วยสีแสด | กับเหลือบแปดปนประดับสลับสี | |
วันพฤหัสจัดเครื่องเขียวเหลืองดี | วันศุกร์สีเมฆหมอกออกสงคราม |
วันเสาร์ทรงดำจึงล้ำเลิศ | แสนประเสริฐเสี้ยนศึกจะนึกขาม | |
หนึ่งพาชีขี่ขับประดับงาม | ให้ต้องตามสีสันจึงกันภัย ฯ |
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.