ค็อนราท อาเดอเนาเออร์

นักการเมืองและรัฐบุรุษเยอรมัน นายกรัฐมนตรีเยอรมนี จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ค็อนราท อาเดอเนาเออร์

ค็อนราท แฮร์มัน โยเซ็ฟ อาเดอเนาเออร์ (เยอรมัน: Konrad Hermann Josef Adenauer) เป็นรัฐบุรุษชาวเยอรมัน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกของเยอรมนีตะวันตก ผู้สร้างชาติเยอรมนีตะวันตกภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคการเมืองที่มีชื่อว่าพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน

ข้อมูลเบื้องต้น ค็อนราท อาเดอเนาเออร์, นายกรัฐมนตรีเยอรมนีตะวันตก ...
ค็อนราท อาเดอเนาเออร์
Konrad Adenauer
Thumb
นายกรัฐมนตรีเยอรมนีตะวันตก
ดำรงตำแหน่ง
15 กันยายน 1949  16 ตุลาคม 1963
ประธานาธิบดี
ก่อนหน้าลุทซ์ กราฟ ชเวรีน ฟ็อน โครซิค
ในฐานะหัวหน้าคณะรัฐมนตรีไรช์
ถัดไปลูทวิช แอร์ฮาร์ท
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ดำรงตำแหน่ง
15 มีนาคม 1951  6 มิถุนายน 1955
หัวหน้ารัฐบาลตัวเอง
ก่อนหน้าไม่มี
ถัดไปไฮน์ริช ฟ็อน เบร็นทาโน
หัวหน้าพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน
ดำรงตำแหน่ง
1 มีนาคม 1946  23 มีนาคม 1966
ก่อนหน้าไม่มี (เป็นคนแรก)
ถัดไปลูทวิช แอร์ฮาร์ท
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด5 มกราคม 1876
โคโลญ จักรวรรดิเยอรมัน
เสียชีวิต19 เมษายน ค.ศ. 1967(1967-04-19) (91 ปี)
บาทฮ็อนเน็ฟ, เยอรมันตะวันตก
ศาสนาโรมันคาทอลิก
พรรคการเมืองพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน
คู่สมรสเอ็มมา ไวเออร์
เอากุสเทอ ซินเซอร์
ลายมือชื่อThumb
ปิด

ประวัติ

Thumb
อาเดอเนาเออร์ในปี 1896

ค็อนราท อาเดอเนาเออร์ เกิดเมื่อวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 1876 ที่โคโลญ ราชอาณาจักรปรัสเซีย จักรวรรดิเยอรมัน[1] เป็นบุตรคนที่ 3 ในจำนวน 5 คนของนายโยฮัน ค็อนราท อาเดอเนาเออร์ (Johann Konrad Adenauer) อาชีพนิติกร กับนางเฮเลเนอ ชาร์เฟินแบร์ค (Helene Scharfenberg)

ครอบครัวของอาเดอเนาเออร์เป็นครอบครัวที่เคร่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ในวัยเด็กเขาเข้าเรียนมัธยมศึกษาที่โรงเรียนซังคท์อพ็อสเทิลน์ (St. Aposteln) ในโคโลญและจบการศึกษาในปี 1894 จากนั้นบิดาของเขาขอทุนการศึกษาจากมูลนิธิให้เขาเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยไฟรบวร์ค และตามด้วยมหาวิทยาลัยมิวนิก และมหาวิทยาลัยบ็อน ในสาขาวิชานิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ เขาสำเร็จการศึกษาในปี 1897 และสอบได้เนติบัณฑิตหนึ่งในปีเดียวกัน และได้ทำงานฝึกหัดที่ศาลในโคโลญ จนกระทั่งในปี 1901 เขาสอบได้เนติบัณฑิตสอง (ผู้ช่วยผู้พิพากษา)

งานการเมือง

สรุป
มุมมอง

นายกเทศมนตรีนครโคโลญ

ในปี 1909 ค็อนราท อาเดอเนาเออร์ ได้เป็นรองนายกเทศมนตรีนครโคโลญ และในปี 1917 ก็ได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีนครโคโลญ ซึ่งในช่วงที่จักรวรรดิเยอรมันล่มสลายในปี 1919 จากความปราชัยในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง นายกเทศมนตรีอาเดอเนาเออร์สามารถรักษาความเรียบร้อยภายในโคโลญ เขาเรียกร้องให้มีการยุบปรัสเซีย และให้สถาปนาอาณาเขตเดิมของปรัสเซียที่เรียกว่า "ไรน์ลันท์" ขึ้นเป็นรัฐปกครองตนเอง เพื่อที่จะป้องกันมิให้ไรน์ลันท์ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของฝรั่งเศส[2] ข้อเสนอของอาเดอเนาเออร์ถูกคัดค้านอย่างหนักจากรัฐบาลกลางและรัฐบาลปรัสเซีย

เมื่อร่างสนธิสัญญาแวร์ซาย ถูกนำเสนต่อรัฐบาลชั่วคราวของเยอรมนีในเดือนมิถุนายน 1919 อาเดอเนาเออร์นำเสนอต่อรัฐบาลกลางอีกครั้ง ให้มีการสถาปนาไรน์ลันท์เป็นรัฐปกครองตนเอง แต่แผนของเขาถูกคว่ำโดยรัฐบาลกลาง[3] ต่อมาในปี 1921 อาเดอเนาเออร์ได้ดำรงตำแหน่งเพิ่มเติมเป็นประธานสภารัฐปรัสเซีย (Preußischer Staatsrat)

การเมืองเยอรมนีในปี 1926 พรรคกลางเสนอให้อาเดอเนาเออร์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ข้อเสนอดังกล่าวได้รับความสนใจ แต่เนื่องจากพรรคประชาชนเยอรมันยื่นเงื่อนไขว่าจะยอมร่วมรัฐบาล ก็ต่อเมื่อตกลงให้กุสทัฟ ชเตรเซอมัน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศต่อไปเท่านั้น อาเดอเนาเออร์ไม่ชอบชเตรเซอมัน (ด้วยมองว่าเขามีความเป็นปรัสเซียเกินไป) จึงปฏิเสธเงื่อนไขดังกล่าว[4]

ยุคสมัยนาซี

ในขณะที่พรรคนาซีชนะการเลือกตั้งในหลายสนาม ตั้งแต่ระดับเทศบาล ระดับรัฐ จนถึงระดับชาติระหว่างปี 1930 ถึง 1932 อาเดอเนาเออร์ผู้ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับฮิตเลอร์ ก็ยังคงมุ่งเน้นแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ด้วยเชื่อว่ามันจะทำให้เขาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ต่างจากฮิตเลอร์ซึ่งมุ่งเน้นป้องกันประเทศจากลัทธิคอมมิวนิสต์ และท้ายที่สุด สถานการณ์การเมืองก็นำพาให้ฮิตเลอร์ขึ้นสู่อำนาจในเดือนมกราคม 1933

สภานครโคโลญและสภารัฐปรัสเซียถูกยุบในวันที่ 4 เมษายน 1933 เขาถูกถอดจากตำแหน่งนายกเทศมนตรี ถูกยึดบ้าน บัญชีธนาคารถูกอายัด และไม่ได้รับบำนาญ ในจุดนี้อาเดอเนาเออร์ผู้ไม่มีเงิน ไม่มีงาน ไม่มีบ้าน[5] ตระหนักแล้วว่าเขาคิดผิดมาตลอดที่พยายามประนีประนอมกับพวกนาซี เขารู้สึกว่าครอบครัวของเขาไม่ปลอดภัย จึงไปขออาศัยอยู่ในอารามแห่งหนึ่งเป็นเวลาหลายเดือน ทั้งนี้ อัลแบร์ท ชแปร์ สถาปนิกคนโปรดของฮิตเลอร์ มองว่าอาเดอเนาเออร์เป็นคนเก่งมากในด้านการโยธาและการวางแผนเมือง แต่ก็สรุปว่าอาเดอเนาเออร์มีมุมมองทางการเมืองที่ทำให้ไม่สามารถดำรงตำแหน่งในรัฐบาลฮิตเลอร์

อาเดอเนาเออร์เคยถูกคุมขังเป็นเวลาสองคืนในเหตุการณ์คืนมีดยาวเมื่อ 30 มิถุนายน 1934 หลังจากนั้น เขากลัวว่าจะถูกคุกคาม จึงเปลี่ยนที่อยู่บ่อยครั้งตามความอนุเคราะห์ของมิตรสหาย จนกระทั่งปี 1937 เขาเรียกร้องบำนาญสำเร็จด้วยความช่วยเหลือจากนักกฎหมาย และได้รับชำระเงินค่าบ้านซึ่งถูกยึดเป็นของนครโคโลญ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมีเงินประทังชีพและเก็บเนื้อเก็บตัวเป็นเวลาหลายปี

ภายหลังความพยายามลอบสังหารฮิตเลอร์ในเดือนกรกฎาคม 1944 อาเดอเนาเออร์ถูกคุมขังอีกครั้งในฐานะผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครอง เขามีใบรับรองอาการป่วยโรคโลหิตจาง แต่ก็ยังถูกหาว่าแกล้งป่วยและส่งตัวเข้าค่ายกักกัน โชคดีที่มีนักคอมมิวนิสต์ชาวโคโลญซึ่งเป็นคาโพในค่ายกักกัน สังเกตเห็นชื่อของอาเดอเนาเออร์ในบัญชีนักโทษใหม่ จึงจัดแจงให้ส่งตัวอาเดอเนาเออร์เข้าโรงพยาบาลในโคโลญ ซึ่งที่นั่นเขาได้รับการเกื้อกูลอย่างดีโดยนายกเทศมนตรีฟริทซ์ ชลีบุช

ยุคสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

ไม่นานหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง กองกำลังสหรัฐในเยอรมนีแต่งตั้งเขาเป็นนายกเทศมนตรีนครโคโลญอีกครั้ง ซึ่งอยู่ในสภาพเสียหายหนักจากการถูกทิ้งระเบิดทางอากาศ ต่อมามีการส่งมอบพื้นที่ของโคโลญให้อยู่ในความควบคุมของกองกำลังบริติช อาเดอเนาเออร์ถูกปลดจากตำแหน่งนายกเทศมนตรีในเดือนธันวาคม 1945 หลังจากนั้น การถูกปลดทำให้อาเดอเนาเออร์หันไปสู่การเมืองระดับชาติ เขาก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ที่ชื่อว่าสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (CDU) ซึ่งรวมชาวนิกายโปรเตสแตนต์และชาวนิกายโรมันคาทอลิกอยู่ในพรรคเดียว[6] อาเดอเนาเออร์มองว่า ถ้าหากพรรคของเขาที่มีแต่คาทอลิก ท้ายที่สุดการเมืองเยอรมนีก็จะถูกพรรคการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยครอบงำอีกครั้ง

อาเดอเนาเออร์มีภูมิหลังเป็นชาวไรน์ลันท์นิกายคาทอลิก ซึ่งมีความไม่พอใจในการปกครองโดยปรัสเซีย เขาเชื่อว่าลัทธิปรัสเซียนิยม (Prussianism) เป็นบ่อกำเนิดของระบอบชาติสังคมนิยม ดังนั้นลัทธิปรัสเซียนิยมต้องถูกขจัด ประเทศเยอรมนีจึงจะมีประชาธิปไตย เนื่องจากปรัสเซียในต้นศตวรรษที่ 19 มีสถานะเปรียบเหมือนพระเจ้า ซึ่งให้ความสำคัญต่อรัฐยิ่งกว่าสิทธิของบุคคล นอกจากนี้ เขายังคัดค้านแผนการที่จะกำหนดให้เบอร์ลินเป็นเมืองหลวงของเยอรมนีในอนาคต[7]

ในเดือนมกราคม 1946 อาเดอเนาเออร์ประเดิมจัดการประชุมว่าที่พรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียนในฐานะประธานผู้ทรงวัยวุฒิ และได้รับการยอมรับไม่เป็นทางการจากที่ประชุมให้เป็นว่าที่หัวหน้าพรรค อาเดอเนาเออร์มองว่าศึกที่สำคัญที่สุดหลังสงคราม คือการต่อสู้ระหว่างคริสเตียนกับลัทธิมาคส์ โดยเฉพาะคอมมิวนิสต์[8]

นายกรัฐมนตรีเยอรมนีตะวันตก

Thumb
แผ่นหาเสียงในปี 1949: "มีอาเดอเนาเออร์ ได้สันติ, ได้เสรีภาพ และได้รวมประเทศเยอรมนี, ดังนั้นเลือก CDU"

ในปี 1948 อาเดอเนาเออร์ก้าวขึ้นมาเป็นประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ และหลังจากรัฐธรรมนูญบังคับใช้ก็มีการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาสหพันธ์ (Bundestag) เป็นครั้งแรกในวันที่ 15 สิงหาคม 1949 ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการแข่งขันระหว่างนายอาเดอเนาเออร์ จากพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน กับนายควร์ท ชูมัคเคอร์ จากพรรคประชาธิปไตยคริสเตียน (SPD)

อาเดอเนาเออร์สนับสนุนการให้สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีอยู่ใต้การควบคุมของสหรัฐและประเทศยุโรปตะวันตกเพื่อต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ในสงครามเย็น และสนับสนุนการเข้าร่วมเนโท แม้ว่าการกระทำแบบนี้จะยังคงทำให้เยอรมนีแบ่งเป็นตะวันตก-ตะวันออก อีกด้านหนึ่ง ชูมัคเคอร์แม้ต่อต้านคอมมิวนิสต์เหมือนกัน แต่ต้องการรวมประเทศเยอรมนีและต้องการให้เยอรมนีวางตัวเป็นกลางและคัดค้านการเข้าร่วมเนโท ท้ายที่สุด พรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียนได้รับผู้แทนจำนวน 139 คน (31% ของที่นั่งทั้งหมด) ตามด้วยพรรคประชาธิปไตยคริสเตียนซึ่งได้ผู้แทนฯ 131 คน (29% ของที่นั่งทั้งหมด)

เทโอดอร์ ฮ็อยส์ จากพรรคประชาธิปไตยคริสเตียนได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี ในขณะที่อาเดอเนาเออร์ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 15 กันยายน 1949 ขณะนั้นเขามีอายุ 73 ปีและถูกมองว่าเป็นแค่นายกรัฐมนตรีแก้ขัด อย่างไรก็ตาม เขากลับได้รับเลือกติดต่อกันถึงสามสมัย ดำรงตำแหน่งติดต่อกันยาวนานถึงสิบสี่ปี อาเดอเนาเออร์ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนตุลาคม 1963 ด้วยอายุมากและสุขภาพไม่ดี และอีกสี่ปีต่อมา อาเดอเนาเออร์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 19 เมษายน 1967 สิริอายุ 91 ปี[9] พิธีศพถูกจัดที่อาสนวิหารโคโลญ มีผู้นำสหรัฐและประเทศกลุ่มยุโรปเข้าร่วม

อ้างอิง

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.