Loading AI tools
บทความรายชื่อวิกิมีเดีย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ต่อไปนี้เป็นรายการเนื้อเรื่องที่แต่งเสริมตามลำดับเหตุการณ์ในนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 14 เรื่องสามก๊ก (ซานกั๋วเหยี่ยนอี้) ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีน แม้ว่านวนิยายสามก๊กเป็นเป็นการเล่าถึงการล่มสลายของราชวงศ์ฮั่นตะวันออกและสืบต่อด้วยยุคสามก๊กด้วยเขียนเรื่องราวแบบยวนใจและเสริมแต่งเรื่องในเชิงนวนิยายอย่างมาก แต่ด้วยความนิยมชมชอบที่แพร่หลาย จึงทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าสามก๊กเป็นบันทึกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในยุคนั้นอย่างเที่ยงตรง แหล่งข้อมูลปฐมภูมิของประวัติศาสตร์ยุคสามก๊กคือจดหมายเหตุสามก๊ก (ซานกั๋วจื้อหรือสามก๊กจี่) ที่เขียนโดยตันซิ่ว (เฉิน โช่ว) รวมถึงอรรถาธิบายจดหมายเหตุสามก๊ก (ซานกั๋วจื้อจู้) โดยเผย์ ซงจือที่นำมาจากบันทึกทางประวัติศาสตร์เช่นเว่ย์เลฺว่และเจียงเปี่ยวจฺว้าน (江表傳) ของยฺหวี หฺว่าน แหล่งข้อมูลอื่น ๆ ที่ครอบคลุมประวัติศาสตร์ในยุคนั้นได้แก่ โฮ่วฮั่นชู (พงศาวดารราชวงศ์ฮั่นยุคหลัง) ของฟ่าน เย่ และ จิ้นชู (พงศาวดารราชวงศ์จิ้น) ของฝาง เสฺวียนหลิง เนื่องจากสามก๊กเป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ เรื่องราวหลายเรื่องในนวนิยายจึงเป็นเนื้อเรื่องที่แต่งเสริมขึ้น หรืออิงจากนิทานพื้นบ้าน หรืออิงมาจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยอื่น ๆ ของประวัติศาสตร์จีน ต่อไปนี้เป็นรายการที่ยังไม่สมบูรณ์ของเรื่องราวที่เป็นที่รู้จักกันดีในนวนิยายสามก๊ก แต่ละเรื่องราวมีคำอธิบายความแตกต่างระหว่างเนื้อเรื่องนวนิยายและบันทึกในหลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลังเล่าปี่ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายอำเภออันห้อกวนจากความชอบในการปราบปรามโจรโพกผ้าเหลือง ต๊กอิ้ว (ตำแหน่งผู้ตรวจการของราชสำนัก) ได้เดินทางมายังอำเภออันห้อกวนและเรียกร้องสินบนจากเล่าปี่ แต่เล่าปี่ไม่ยอมจ่ายสินบนให้ต๊กอิ้ว ต๊กอิ้วจึงนำปลัดอำเภอมาเฆี่ยนเพื่อบังคับให้ใส่ร้ายเล่าปี่ เตียวหุยทราบข่าวก็โกรธมาก จึงบุกเข้าจับตัวต๊กอิ้วออกมา เอาผมต๊กอิ้วผูกกับหลักม้า แล้วจึงเฆี่ยนต๊กอิ้วอย่างสาหัส เล่าปี่เข้ามาห้ามเตียวหุยให้หยุดเฆี่ยน ฝ่ายกวนอูได้แนะนำเล่าปี่ให้ฆ่าต๊กอิ้วเสียแล้วไปอยู่ที่อื่น เล่าปี่ปฏิเสธที่จะฆ่าต๊กอิ้ว ทำเพียงลาออกจากตำแหน่งนายอำเภอพร้อมคืนตราประจำตำแหน่งให้ต๊กอิ้ว แล้วเดินทางออกจากอำเภออันห้อกวนไป [1]
ในจดหมายเหตุสามก๊ก บทชีวประวัติเล่าปี่ ได้บันทึกไว้ว่าตัวเล่าปี่เองเป็นผู้เฆี่ยนต๊กอิ้ว ในจดหมายเหตุระบุไว้ว่าต๊กอิ้วปฏิเสธที่จะให้เล่าปี่เข้าพบแล้วอ้างว่าตนเองป่วย แต่เล่าปี่กลับบุกเข้าไปในห้องของต๊กอิ้วแล้วลากออกมาผูกกับต้นไม้ แล้วโบยตีกว่าร้อยครั้ง [2]
โจโฉอาสาอ้องอุ้นจะไปลอบสังหารตั๋งโต๊ะ โดยได้ขอยืมมีดสั้นของอ้องอุ้นไปใช้ในการสังหาร วันถัดมาโจโฉได้ซ่อนมีดไว้ในเสื้อแล้วเข้าพบตั๋งโต๊ะถึงห้อง โจโฉคิดจะใช้มีดแทงระหว่างที่ตั๋งโต๊ะนอนหันหลังให้ แต่ตั๋งโต๊ะมองเห็นโจโฉถือมีดจากภาพสะท้อนในกระจกจึงหันกลับมาถามโจโฉ โจโฉเห็นการไม่สมความคิดจึงรีบคุกเข่าและยื่นมีดมอบให้ตั๋งโต๊ะอ้างว่าจะมอบเป็นของขวัญให้ตั๋งโต๊ะ หลังจากนั้นโจโฉเห็นว่าอยู่ในเมืองลกเอี๋ยงต่อไปเห็นจะเป็นอันตราย จึงหลบหนีกลับไปบ้านเกิด[3]
ในจดหมายเหตุสามก๊ก บทชีวประวัติโจโฉ ได้ระบุไว้ว่า ตั๋งโต๊ะต้องการแต่งตั้งให้โจโฉมีตำแหน่งนายพันทหารม้า (驍騎校尉 เซียวฉีเซี่ยวเหว่ย์) และชักชวนโจโฉมาเป็นพวก โจโฉปฏิเสธแล้วปลอมตัวหนีกลับบ้านเกิด [4] ไม่มีการการกล่าวถึงการพยายามลอบสังหารตั๋งโต๊ะของโจโฉก่อนที่จะหลบหนี
โจโฉหนีจากเมืองลกเอี๋ยงหลังการลอบสังหารตั๋งโต๊ะล้มเหลว ตั๋งโต๊ะสั่งให้ออกประกาศจับโจโฉไปทุกพื้นที่รอบลกเอี๋ยง ระหว่างที่หลบหนี โจโฉถูกจับได้ที่อำเภอจงพวนแล้วถูกคุมตัวไปให้ตันก๋งผู้เป็นนายอำเภอ ตันก๋งลอบมาสนทนากับโจโฉแล้วประทับใจในอุดมการณ์ของโจโฉ จึงตัดสินใจที่จะปล่อยโจโฉ อีกทั้งยังยอมสละตำแหน่งนายอำเภอจงพวนเพื่อติดตามโจโฉไปด้วย [5]
ในจดหมายเหตุสามก๊ก บทชีวประวัติโจโฉ ระบุว่า เมื่อโจโฉผ่านอำเภอจงพวน ได้ถูกนายบ้านคนหนึ่งสงสัยจับกุมตัวส่งไปที่ทำการอำเภอ แต่โจโฉก็ถูกปล่อยตัวไปในภายหลัง [6] ไม่มีหลักฐานที่บ่งบอกว่าโจโฉพยายามที่จะลอบสังหารตั๋งโต๊ะก่อนที่จะถูกจับกุมที่อำเภอจงพวน และชื่อของนายบ้านที่จับกุมโจโฉก็ไม่ได้ถูกบันทึกไว้
ด้วยความช่วยเหลือของตันก๋งทำให้โจโฉรอดชีวิตและเดินทางกลับบ้านเกิดโดยมีตันก๋งติดตามไปด้วย ในระหว่างทางโจโฉได้แวะพักที่บ้านของแปะเฉีย เพื่อนของพ่อโจโฉ แปะเฉียได้ให้ที่พักพร้อมจัดสุราเลี้ยงแต่ในบ้านไม่มีสุราจึงออกจากบ้านไปซื้อสุรา ปล่อยให้โจโฉและตันก๋งพักผ่อน ในขณะที่ทั้งสองกำลังงีบหลับก็ได้ยินเสียงมีดลับ โจโฉได้พิจารณาและนึกคิดว่า แปะเฉียคิดคดทรยศหวังอยากได้เงินรางวัล เลยคิดจะจับพวกตนไปยังเมืองหลวง จึงได้ชักชวนตันก๋งให้ร่วมมือกันสังหารบ่าวและคนในครอบครัวของแปะเฉียเสียก่อนที่จะฆ่าพวกตน หลังจากทั้งสองได้สังหารทั้งหมดกลับปรากฏว่าเป็นความเข้าใจผิด เพราะพวกเขากำลังเตรียมฆ่าหมูเพื่อจัดเลี้ยงต่างหาก โจโฉและตันก๋งเห็นท่าไม่ดีจึงรีบออกจากบ้านแต่ทว่ากลับพบกับแปะเฉียซะก่อน แปะเฉียได้ชักชวนกลับไปพักที่บ้าน แต่โจโฉกลับสังหารลงในที่สุด
ในจดหมายเหตุสามก๊ก บทชีวประวัติโจโฉ ระบุว่า โจโฉได้หลบหนีตั๋งโต๊ะไปยังบ้านเกิด ระหว่างทางได้ไปพักที่บ้านแปะเฉีย ซึ่งแปะเฉียไม่อยู่บ้าน แต่บรรดาบุตรได้ต้อนรับและให้ที่พักเป็นอย่างดี แต่แท้จริงแล้วบรรดาบุตรแปะเฉียและบ่าวรับใช้รวมหัวกันหวังจะจับโจโฉไปมอบให้แก่เมืองหลวง โจโฉรู้ทันจึงได้ทำการสังหารหมู่บรรดาบุตรแปะเฉียและบ่าวรับใช้พร้อมครอบครัวของแปะเฉียจนหมดสิ้น หลังจากนั้นก็หลบหนีไป ส่วนแปะเฉียเดินทางกลับบ้านก็พบว่าครอบครัวถูกสังหารหมดสิ้นจึงเสียใจและตรอมใจตาย
เตียวเสียน เป็นตัวละครที่ถูกแต่งเสริมเข้ามาในวรรณกรรม อ้องอุ้นผู้เป็นบิดาบุญธรรมของเตียวเสียน ได้ออกอุบายให้เตียวเสียนไปยุให้ตั๋งโต๊ะและลิโป้ขัดแย้งกัน และสามารถทำให้ลิโป้สังหารตั๋งโต๊ะได้เป็นผลสำเร็จ [7]
ในจดหมายเหตุสามก๊ก บทชีวประวัติลิโป้ และใน โฮ่วฮั่นซู ได้บันทึกว่าลิโป้ลอบมีความสัมพันธ์กับสาวใช้คนหนึ่งของตั๋งโต๊ะ แล้วกลัวว่าตั๋งโต๊ะจะจับได้ [8] นอกจากนี้ ลิโป้ยังไม่พอใจตั๋งโต๊ะที่เคยขว้างทวนใส่เพื่อระบายโทสะ แต่ลิโป้หลบได้ [9] ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ระบุแน่ชัดถึงชื่อของสาวใช้ของตั๋งโต๊ะว่ามีชื่อว่า "เตียวเสียน" ชื่อของ "เตียวเสียน" นั้นเป็นไปได้ว่าอาจจะมีที่มาจาก "เตียว" ที่หมายถึงสัตว์สี่เท้าชนิดหนึ่งคล้ายกระรอก มีหางเป็นพวงสวย นิยมนำมาใช้ทำพู่ประดับหมวก และ "เสียน" ที่หมายถึงจักจั่น ซึ่งจีนโบราณนิยมทำจักจั่นทองคำเป็นเครื่องประดับ [10]
โจโฉและเล่าปี่ร่วมกันตีลิโป้ที่ชีจิ๋ว (徐州) และเอาชนะจับตัวลิโป้ประหารได้ในศึกแห้ฝือ โจโฉได้แต่งตั้งกีเหมาเป็นผู้ว่าราชการแคว้นชีจิ๋วแทนลิโป้ ภายหลังเล่าปี่ตัดขาดกับโจโฉแล้วเข้ายึดครองชีจิ๋วหลังกวนอูสังหารกีเหมา โจโฉจึงนำทัพไปตีเล่าปี่และเพื่อยึดชีจิ๋วคืน ในการรบครั้งหนึ่ง เล่าปี่และเตียวหุยนำทัพไปปล้นค่ายโจโฉ แต่ถูกซ้อนกลโดนซุ่มโจมตี ต่างคนต่างก็หนีไปคนละทางในระหว่างชุลมุน ฝ่ายกวนอูซึ่งอยู่รักษาเมืองแห้ฝือ แต่ถูกลวงให้ออกมาจากเมืองและถูกล้อมไว้บนเนินเขาแห่งหนึ่ง โจโฉยึดแห้ฝือที่สำเร็จแล้วให้ทหารรักษาครอบครัวของเล่าปี่ไว้ โจโฉส่งเตียวเลี้ยวไปเกลี้ยกล่อมกวนอูให้ยอมจำนน กวนอูยอมจำนนโดยเสนอเงื่อนไขสามข้อให้โจโฉดังนี้
โจโฉยอมรับเงื่อนไขสามข้อ กวนอูจึงอยู่รับราชการกับโจโฉชั่วคราว ก่อนจะกลับไปหาเล่าปี่ในภายหลัง[11]
ในจดหมายเหตุสามก๊ก บทชีวประวัติกวนอู ได้ระบุว่า เล่าปี่เข้าตีแคว้นชีจิ๋วอย่างฉับพลันไม่ให้กีเหมาทันตั้งตัวแล้วสังหารกีเหมา จากนั้นจึงให้กวนอูไปรักษาเมืองแห้ฝือ ส่วนตัวเล่าปี่ไปรักษาเมืองเสียวพ่าย ในปี ค.ศ. 200 โจโฉนำทัพเข้าตีเล่าปี่แตกพ่าย เล่าปี่หนีไปพึ่งอ้วนเสี้ยว ส่วนกวนอูถูกทหารโจโฉจับตัวได้แล้วถูกนำตัวไปเมืองฮูโต๋ โจโฉตั้งให้กวนอูเป็นขุนพลเพียนเจียงจวิน (偏將軍) และปฏิบัติต่อกวนอูอย่างดี[12] ไม่มีการกล่าวถึงการยอมจำนนของกวนอู รวมถึงเรื่องที่กวนอูเสนอเงื่อนไขสามข้อในการยอมจำนน
ก่อนศึกกัวต๋อระหว่างอ้วนเสี้ยวและโจโฉ ทั้งสองฝ่ายได้ปะทะกันสองครั้งในยุทธการที่แปะแบ๊และยุทธการที่ท่าน้ำเหยียนจิน อ้วนเสี้ยวส่งขุนพลงันเหลียงมาโจมตีทัพโจโฉที่แปะเบ๊ ระหว่างการศึก ขุนพลชาญศึกฝ่ายโจโฉอย่างซิหลงไปรบกับงันเหลียงแต่แพ้กลับมา โจโฉจึงให้ไปตามกวนอูมารบกับงันเหลียง กวนอูมีชัยสามารถสังหารงันเหลียงได้ บุนทิวอีกหนึ่งขุนพลของอ้วนเสี้ยวได้ยกทัพมาภายหลังเพื่อแก้แค้นให้งันเหลียงแต่ก็ถูกกวนอูสังหารตามไป [13]
ในจดหมายเหตุสามก๊ก บทชีวประวัติกวนอู ได้ระบุไว้ว่าอ้วนเสี้ยวสั่งให้งันเหลียงยกทัพไปล้อมเล่าเอี๋ยนขุนพลฝ่ายโจโฉที่แปะแบ๊ โจโฉจึงส่งเตียวเลี้ยวและกวนอูให้นำทัพหน้าไปโจมตีงันเหลียง ระหว่างการรบกวนอูได้สังเกตเห็นงันเหลียงจึงบุกฝ่าทหารงันเหลียงเข้าไปถึงตัวงันเหลียงแล้วสังหาร จากนั้นจึงตัดศีรษะงันเหลียงกลับมา ขุนพลของอ้วนเสี้ยวคนอื่นไม่อาจต้านทานได้ กวนอูสลายการล้อมที่แปะเบ๊ได้สำเร็จ [14]
ส่วนในบทชีวประวัติอ้วนเสี้ยวของ จดหมายเหตุสามก๊ก ได้ระบุไว้ว่า หลังงันเหลียงตาย ทหารอ้วนเสี้ยวนำโดยเล่าปี่และบุนทิวได้ข้ามแม่น้ำฮองโหมาที่ด้านใต้ของตำบลเหยียนจิน แล้วถูกทหารโจโฉโจมตีแตกพ่าย บุนทิวถูกสังหารในการรบ แต่ไม่ได้ระบุว่าถูกสังหารโดยกวนอู [15]
กวนอูได้ข่าวว่าเล่าปี่ยังมีชีวิตอยู่และขณะนั้นอยู่ด้วยอ้วนเสี้ยว จึงตัดสินใจลาโจโฉกลับไปหาเล่าปี่พร้อมด้วยภรรยาทั้งสองคนของเล่าปี่ กวนอูพยายามเข้าพบโจโฉเพื่อคำนับลาแต่โจโฉไม่ยอมให้กวนอูเข้าพบแสร้งทำเป็นป่วย กวนอูจึงเขียนหนังสือลาให้โจโฉแล้วเดินทางจากไป โดยไม่ได้นำทรัพย์สินสิ่งของใดๆที่โจโฉมอบให้ติดตัวไป เว้นแต่ม้าเซ็กเธาว์เท่านั้น กวนอูยังได้สละบรรดาศักดิ์ "ฮั่นสือแต่งเฮา" (ฮั่นโซ่วถิงโหว) แล้วทิ้งตราประจำตำแหน่งไว้ เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของโจโฉต่างไม่พอใจกวนอูที่แสดงกิริยาโอหังที่จากไปโดยไม่มาคำนับลา จากอาสาโจโฉจะไปไล่ตามจับกวนอูกลับมา โจโฉไม่อนุญาตเพราะรู้ดีว่าไม่มีใครที่สามารถหยุดกวนอูไว้ได้
กวนอูขี่ม้าคุ้มครองรถของพี่สะใภ้ทั้งสองเดินทางไปจนถึงด่านแรกคือด่านตังเหลงก๋วนซึ่งมีนายด่านชื่อขงสิ้ว ซึ่งได้ห้ามกวนอูไม่ให้ผ่านด่านไปเพราะกวนอูไม่มีหนังสือเบิกด่าน กวนอูโมโหจึงสังหารขงสิ้วแล้วเดินทางผ่านด่านตังเหลงก๋วนไป
ต่อมากวนอูคุมรถพี่สะใภ้เดินทางมาถึงเมืองลกเอี๋ยง ฮันฮกผู้รักษาเมืองลกเอี๋ยงได้นำทหารหนึ่งพันนายออกมาสกัดกวนอู ฮันฮกให้เบงทันขุนพลผู้ช่วยไปท้ารบกับกวนอู แต่เบงทันก็ถูกกวนอูฟันตัวขาดเป็นสองท่อนถึงแก่ความตาย ระหว่างที่กวนอูรบกับเบงทัน ฮันฮกได้ลอบยิงเกาทัณฑ์ใส่กวนอู ลูกเกาทัณฑ์ไปถูกไหล่ซ้ายของกวนอู กวนอูจึงชักลูกเกาทัณฑ์ออก แล้วขับม้าตรงไปสังหารฮันฮก ทหารฮันฮกตกใจต่างหลีกทางให้กวนอูผ่านด่านไป
คณะของกวนอูเดินทางมาถึงด่านกิสุยก๋วน นายด่านชื่อเปี๋ยนฮีออกมาต้อนรับกวนอูเข้ามาในด่านแล้วเชิญกวนอูมากินโต๊ะที่วัดตีนก๊กซือ แต่แท้จริงแล้วเปี๋ยนฮีได้แอบสั่งทหารสองร้อยนายให้ซุ่มอยู่ในวัดแล้วให้รุมฆ่ากวนอูเมื่อเปี๋ยนฮีให้สัญญาณ หลวงจีนของวัดตีนก๊กซือชื่อเภาเจ๋งผู้ซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกันกับกวนอูได้บอกใบ้กวนอูให้รู้ว่าเปี๋ยนฮีคิดทำร้าย กวนอูรู้ความดังนั้นจึงสังหารเปี๋ยนฮีแล้วผ่านด่านกิสุยก๋วนไป
คณะของกวนอูเดินทางต่อไปถึงเมืองเอ๊งหยง (เอี๋ยงหยง) อองเซ็ก นายด่านเอ๊งหยงได้ใช้อุบายคล้ายๆกับเปี๋ยนฮีในการจะสังหารกวนอู โดยการทำเป็นต้อนรับกวนอูเข้ามาในเมืองแล้วให้พักในที่พักรับรอง หลังจากนั้นอองเซ็กจึงสั่งให้ทหารในบัญชาชื่องอปั้นให้นำทหารหนึ่งพันนายมาล้อมที่พักรับรองของกวนอูแล้วจุดไฟเผาในตอนกลางคืน งอปั้นสงสัยว่ากวนอูมีลักษณะอย่างไรจึงเข้าไปแอบดูกวนอูที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้อง กวนอูสังเกตเห็นงอปั้นจึงเชิญให้เข้ามา ก่อนหน้านี้กวนอูเคยพบงอหัวบิดาของงอปั้นซึ่งได้ฝากหนังสือถึงงอปั้นไว้กับกวนอู กวนอูได้มอบหนังสือจากงอหัวให้แก่งอปั้น หลังงอปั้นอ่านหนังสือก็ตัดสินใจที่จะช่วยกวนอูให้พ้นอันตรายจึงเปิดเผยแผนการของอองเซ็กให้กวนอูฟังแล้วไปลอบเปิดประตูเมืองให้กวนอูและคณะหนีออกไป ภายหลังอองเซ็กรู้ว่ากวนอูหนีไปจึงนำทหารไล่ตามแต่ก็ถูกกวนอูสังหารในที่สุด
ท้ายที่สุดคณะของกวนอูก็เดินทางมาถึงท่าเรือข้ามฟากฝั่งใต้ของแม่น้ำฮองโห ขุนพลจินกี๋ได้ยกมาสกัดกวนอูไม่ให้ข้ามแม่น้ำ กวนอูโมโหจึงฆ่าจินกี๋ กวนอูข้ามแม่น้ำมาได้แล้วล่วงเข้าเขตแดนของอ้วนเสี้ยว ต่อมากวนอูได้รู้ข่าวว่าเล่าปี่ไม่ได้อยู่ด้วยกับอ้วนเสี้ยวแล้วและได้ออกไปอยู่ที่ยีหลำ กวนอูจึงนำคณะเดินทางไปทางยีหลำ แล้วได้พบกับเล่าปี่และเตียวหุยอีกครั้งที่เมืองเก๋าเซีย
ระหว่างการเดินทาง กวนอูได้พบคนมากมายที่ต่อมาได้มาเป็นลูกน้องในบังคับบัญชา ได้แก่ เลียวฮัว จิวฉอง และ กวนเป๋ง (ซึ่งมาเป็นบุตรบุญธรรมของกวนอู) [16]
ในจดหมายเหตุสามก๊ก บทชีวประวัติกวนอู มีการบันทึกถึงเรื่องที่กวนอูลาจากโจโฉไป รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่กวนอูจะจากไป [17] แต่ไม่มีการกล่าวถึงเหตุการณ์ที่กวนอูฝ่าห้าด่าน รวมถึงเรื่องราวเกี่ยวนายด่านทั้งหกคน (ขงสิ้ว ฮันฮก เบงทัน เปี๋ยนฮี อองเซ็ก และจินกี๋) ก็ไม่มีการกล่าวถึง
หลังกวนอูฝ่าห้าด่านสังหารหกขุนพล ก็ได้พบเตียวหุยที่เก๋าเซีย (古城) เมื่อแรกพบนั้นเตียวหุยสงสัยกวนอูว่าทรยศต่อคำสาบานเป็นพี่น้องแล้วไปเข้าด้วยโจโฉแล้ว แม้ภรรยาของเล่าปี่ทั้งสองคนจะพยายามอธิบาย แต่เตียวหุยก็ไม่ฟังแล้วจะเข้าสู้กับกวนอู ขณะเดียวกันขุนพลของโจโฉชื่อซัวหยงก็นำทัพตรงมาจะรบกับกวนอูเพื่อแก้แค้นให้จินกี๋ผู้หลานที่ถูกกวนอูฆ่าตาย กวนอูจึงหันกลับไปสังหารซัวหยงเพื่อพิสูจน์ความสัตย์ให้เตียวหุยเห็น เตียวหุยจึงเชื่อใจและกล่าวขอขมาต่อกวนอู [18]
ในจดหมายเหตุสามก๊ก บทชีวประวัติเล่าปี่ ได้ระบุว่าอ้วนเสี้ยวส่งเล่าปี่ไปเมืองยีหลำเพื่อเกลี้ยกล่อมหัวหน้ากลุ่มโจรชื่อก๋งเต๋าให้มาเป็นพวก โจโฉได้ส่งซัวหยงไปโจมตี ซัวหยงได้ถูกเล่าปี่ฆ่าในศึกครั้งนั้น [19]
ขณะเมื่อเล่าปี่อยู่ที่ซินเอี๋ย เล่าเปียวผู้ว่าราชการแคว้นเกงจิ๋ว (荊州) ได้เชิญเล่าปี่ไปเป็นประธานในพิธีฉลองเนื่องในโอกาสที่พืชผลเก็บเกี่ยวได้ผลดีที่เมืองซงหยง เนื่องจากเล่าเปียวกำลังป่วยและบุตรชายทั้งสองของเล่าเปียวคือเล่ากี๋และเล่าจ๋องยังเด็กเกินไป เล่าปี่จึงเดินทางมาถึงเมืองซงหยงพร้อมกับจูล่งและเข้าร่วมในพิธี ชัวมอฉวยโอกาสที่เล่าปี่เข้ามาที่ซงหยงวางแผนจะสังหารเล่าปี่ แต่อีเจี้ยได้ลอบมาบอกเล่าปี่ว่าชัวมอคิดร้าย เล่าปี่จึงขึ้นม้าเต๊กเลา (的盧) ซึ่งเป็นม้าที่เชื่อกันว่าจะนำโชคร้ายมาสู่ผู้ที่ขี่มัน หนีออกจากเมืองซงหยงทางประตูทิศตะวันตก เมื่อชัวมอรู้ว่าเล่าปี่หนีไปได้ไม่นานจึงนำทหารไล่ตาม เล่าปี่ขี่ม้าเต๊กเลามาถึงริมแม่น้ำตันเข (檀溪) ทางตะวันตกของซงหยง แล้วพยายามจะขี่ม้าข้ามแม่น้ำไป หลังม้าเต๊กเลาก้าวลงไปในแม่น้ำได้ไม่กี่ก้าวก็ถลำลงเลน เสื้อผ้าของเล่าปี่เปียกน้ำ เล่าปี่ใช้แส้ม้าเฆี่ยนม้าเต๊กเลาแล้วร้องว่า "วันนี้เต๊กเลามึงจะผลาญเจ้าของเสียแล้วหรือ" พลันม้าเต๊กเลาก็โจนขึ้นจากน้ำได้ระยะถึงสามจ้างข้ามไปถึงฝั่งตรงข้ามได้ ช่วยเล่าปี่ให้พ้นภัย [20]
ในบันทึก ชื่อยฺหวี่ (世語) ได้มีการบันทึกถึงเหตุการณ์เดียวกันนี้ [21] อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์จิ้นชื่อซุนเชิ่ง ได้แสดงความคิดเห็นต่อเหตุการณ์ในบันทึกนี้ว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง [22]
ก่อนที่ชีซีจะเดินทางจากไปยังเมืองฮูโต๋ ชีซีได้แนะนำจูกัดเหลียงหรือชื่อรองขงเบ้งให้เล่าปี่ ทั้งยังแนะนำให้เล่าปี่เดินทางไปเชิญจูกัดเหลียงมาเป็นที่ปรึกษาด้วยตนเอง เล่าปี่จึงเดินทางพร้อมด้วยกวนอูและเตียวหุยไปยังหลงจงเพื่อพบจูกัดเหลียง เล่าปี่มาถึงบ้านของจูกัดเหลียง เด็กรับใช้ในบ้านได้มาบอกว่าอาจารย์ไม่อยู่ที่บ้าน เล่าปี่จึงเขียนหนังสือถึงจูกัดเหลียงฝากไว้กับเด็กรับใช้ หลายวันต่อมาในฤดูหนาว เล่าปี่พาพี่น้องร่วมสาบานทั้งสองคนไปเยี่ยมจูกัดเหลียงอีกครั้ง เล่าปี่ถามหา "อาจารย์" กับเด็กรับใช้ เด็กรับใช้จึงพาไปพบคนที่ตนเรียกว่า "อาจารย์" ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นน้องชายของจูกัดเหลียงชื่อจูกัดกิ๋น (จูเก๋อจฺวิน) [23] แล้วเมื่อเล่าปี่เดินออกมาจากบ้านจูกัดเหลียง เล่าปี่เห็นชายคนหนึ่งขี่ลามาก็คิดว่าเป็นจูกัดเหลียง แต่แท้จริงแล้วเป็นพ่อตาของจูกัดเหลียงชื่ออุยสิง่าน (ฮองเสงหงัน) ต่อมาในฤดูใบไม้ผลิ เล่าปี่ตัดสินใจไปเยี่ยมจูกัดเหลียงอีกครั้งโดยที่น้องร่วมสาบานทั้งสองไม่พอใจนัก เมื่อเล่าปี่ไปถึงบ้านจูกัดเหลียงก็รู้ว่าจูกัดเหลียงอยู่ที่บ้านแต่กำลังนอนหลับอยู่ เล่าปี่จึงรอจนจูกัดเหลียงตื่นขึ้น จูกัดเหลียงได้เสนอยุทธศาสตร์หลงจงให้เล่าปี่ฟัง จากนั้นก็ตกลงใจที่จะออกจากบ้านที่หลงจงติดตามเล่าปี่ไปในฐานะที่ปรึกษานับแต่นั้น [24]
ในจดหมายเหตุสามก๊ก ไม่มีรายละเอียดเรื่องที่เล่าปี่ได้จูกัดเหลียงเป็นที่ปรึกษา ในบทชีวประวัติจูกัดเหลียงมีการบรรยายไว้สั้นๆว่าหลังชีซีแนะนำจูกัดเหลียงให้เล่าปี่ เล่าปี่ได้ไปเยี่ยมเพื่อพบและสนทนากับจูกัดเหลียงสามครั้ง ระหว่างการสนทนาจูกัดเหลียงได้เสนอยุทธศาสตร์หลงจงให้เล่าปี่ [25] อย่างไรก็ดี ในจดหมายเหตุ เว่ยเลฺว่ (魏略) และ จิ่วโจวชุนชิว (九州春秋) ได้บันทึกถึงเรื่องที่เล่าปี่พบจูกัดเหลียงเป็นครั้งแรก จดหมายเหตุทั้งสองฉบับได้ระบุว่าจูกัดเหลียงเป็นฝ่ายมาพบเล่าปี่ก่อน แทนที่เล่าปี่จะเป็นฝ่ายมาพบจูกัดเหลียง เมื่อแรกพบนั้นทั้งจูกัดเหลียงและเล่าปี่ไม่รู้จักกันมาก่อนและเล่าปี่ไม่สนใจจูกัดเหลียงมากนักเพราะจูกัดเหลียงอายุยังน้อย หลังจากแขกของเล่าปี่คนอื่นๆออกไปแล้ว จูกัดเหลียงยังคงอยู่ แต่เล่าปี่ก็ไม่ได้ถามอะไรจูกัดเหลียง จูกัดเหลียงเป็นฝ่ายไปขอสนทนากับเล่าปี่ หลังจากได้พูดคุยแล้วเล่าปี่เห็นความสามารถของจูกัดเหลียงจึงมองจูกัดเหลียงเปลี่ยนไป ตั้งแต่นั้นมาก็ปฏิบัติต่อจูกัดเหลียงด้วยความนับถือ [26] เผย์ ซงจือวิจารณ์ว่าจดหมายเหตุทั้งสองฉบับมีเนื้อความที่ขัดแย้งกับคำกล่าวของตัวจูกัดเหลียงเองในฎีกาออกศึกครั้งแรกซึ่งกล่าวไว้ว่า "พระองค์(พระเจ้าเล่าปี่)ทรงลดพระเกียรติเสด็จเยือนกระท่อมหญ้าของกระหม่อมถึงสามครั้ง อีกยังได้ทรงขอคำปรึกษาปัญหาบ้านเมืองในปัจจุบันด้วยกระหม่อมอีกต่างหาก" [27][28] เผย์ ซงจือมีความเห็นว่าจากฎีกาออกศึกครั้งแรกนั้นเป็นที่ชัดเจนว่าจูกัดเหลียงไม่ใช่ฝ่ายที่ไปพบเล่าปี่ก่อน [29]
ก่อนศึกเซ็กเพ็ก จูกัดเหลียงติดตามโลซกเดินทางไปยังกังตั๋งเพื่อเป็นทูตไปเจรจาประสานพันธมิตรระหว่างเล่าปี่และซุนกวนเพื่อต้านโจโฉ โลซกได้แนะนำจูกัดเหลียงให้กับเหล่าบัณฑิตอันเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือนของซุนกวนซึ่งส่วนใหญ่มีความเห็นว่ากังตั๋งควรยอมจำนนต่อโจโฉ จึงเริ่มทำการโต้คารมกับจูกัดเหลียงที่เดินทางมาโน้มน้าวให้ซุนกวนร่วมเป็นพันธมิตรกับเล่าปี่ จูกัดเหลียงได้ตอบโต้ด้วยเหตุและผลอย่างมีวาทศิลป์ จนเหล่าบัณฑิตกังตั๋งต่างพากันเงียบไม่อาจต่อคำได้อีก บัณฑิตที่โต้คารมกับจูกัดเหลียงได้แก่ เตียวเจียว งีห้วน (ยีหวน) เปาจิด (โปเจ๋า) ซีหอง ลกเจ๊ก เหยียมจุ้น และเทียเป๋ง (เทียตก) ฝ่ายเตียวอุ๋นและลั่วถ่งก็ต้องการจะโต้คารมกับจูกัดเหลียง แต่อุยกายได้ปรากฏตัวมาหยุดการโต้วาทีไว้ [30]
ต่อมาโลซกได้แนะนำจูกัดเหลียงให้จิวยี่ จูกัดเหลียงได้สนทนากับจิวยี่แล้วได้เสนอกับจิวยี่ว่าตนมีอุบายที่จะทำให้โจโฉถอยทัพกลับโดยไม่ต้องรบนั่นคือการส่งนางไต้เกี้ยวและเสียวเกี้ยวให้กับโจโฉ โดยจูกัดเหลียงแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าไต้เกี้ยวเป็นภรรยาของซุนเซ็กและเสียวเกี้ยวเป็นภรรยาของจิวยี่ จิวยี่ถามหาหลักฐานที่โจโฉต้องการสองนางนี้ จูกัดเหลียงจึงบอกว่าตนเคยได้ยินว่าโจโฉให้โจสิดลูกชายเขียนบทกวี ชมปราสาทตั้งเซ็กไต๋ (銅雀臺賦) จูกัดเหลียงท่องบทกวีให้ฟังแล้วชี้ให้เห็นเนื้อความที่โจโฉปรารถนานางทั้งสองในบทกวี จิวยี่ได้ฟังก็โกรธจึงตัดสินใจเสนอให้ซุนกวนเป็นพันธมิตรกับเล่าปี่รบกับโจโฉ [31]
การโต้วาทีระหว่างจูกัดเหลียงและบัณฑิตกังตั๋งไม่ถูกกล่าวถึงในบทชีวประวัติของบุคคลใดๆที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ใน จดหมายเหตุสามก๊ก ในบทชีวประวัติของจูกัดเหลียง ซุนกวน จิวยี่ และโลซกต่างระบุตรงกันว่าจูกัดเหลียงได้พบกับซุนกวนเพื่อเจรจาประสานพันธมิตร แต่ไม่มีการระบุว่าจูกัดเหลียงได้พบกับบุคคลอื่นใดในการเดินทางครั้งเดียวกันนี้[32][33][34] ในส่วนบทชีวประวัติจูกัดเหลียงนั้นมีบันทึกรายละเอียดของบทสนทนาระหว่างจูกัดเหลียงและซุนกวน [35]
ปราสาทตั้งเซ็กไต๋หรือปราสาทนกยูงทองแดง (銅雀臺) ถูกสร้างขึ้นในฤดูหนาวของปี ค.ศ. 210 [36] สามปีหลังศึกเซ็กเพ็ก และบทกวีของโจสิด ชมปราสาทตั้งเซ็กไต๋ ถูกเขียนขึ้นในปี ค.ศ. 212 สองปีหลังจากปราสาทได้ถูกสร้างขึ้น นอกจากนี้ในวรรณกรรม สามก๊กยังได้เพิ่มเติมบทกวีไปอีก 7 วรรคที่ไม่มีในบทกวีที่ปรากฏในบทชีวประวัติโจสิดใน จดหมายเหตุสามก๊ก[37] ดังนั้นเรื่องราวในวรรณกรรมสามก๊กที่จูกัดเหลียงใช้บทกวียั่วยุจิวยี่ให้โกรธโจโฉจึงเป็นเรื่องที่แต่งเสริมขึ้นมา
จิวยี่อิจฉาความสามารถของจูกัดเหลียงและเกรงว่าจูกัดเหลียงจะเป็นภัยต่อซุนกวนในอนาคตจึงคิดหาอุบายที่จะสังหารจูกัดเหลียง ครั้งหนึ่งได้ขอให้จูกัดเหลียงทำลูกเกาทัณฑ์หนึ่งแสนดอกภายในสิบวัน แต่จูกัดเหลียงกลับบอกว่าตนสามารถทำให้เสร็จได้ภายในสามวัน จิวยี่จึงให้จูกัดเหลียงทำทัณฑ์บนไว้ว่าหากทำเกาทัณฑ์ไม่สำเร็จภายในสามวันจะต้องโทษประหารชีวิต จิวยี่รู้สึกยินดีเพราะคิดว่าจูกัดเหลียงคงไม่อาจทำได้สำเร็จทันเวลา ฝ่ายจูกัดเหลียงได้ขอให้โลซกช่วยเตรียมเรือยี่สิบลำ แต่ละลำมีทหารสามสิบคนและมีฟางมามัดเป็นรูปคนวางอยู่สองข้างลำเรือ ในวันที่สามก่อนรุ่งสางมีหมอกลงจัด จูกัดเหลียงนำเรือทั้งยี่สิบลำแล่นไปยังค่ายของโจโฉที่อีกฝั่งของแม่น้ำ แล้วสั่งให้ทหารตีกลองและโห่ร้องอื้ออึงทำทีจะเข้าโจมตี ทหารโจโฉไม่แน่ใจว่าทหารฝ่ายศัตรูมีจำนวนเท่าใดเนื่องจากหมอกลงจัดจึงได้แต่ยิงเกาทัณฑ์ต้านไว้ ลูกเกาทัณฑ์จำนวนมากติดกับหุ่นฟางบนเรือ ในขณะเดียวกับที่จูกัดเหลียงกำลังดื่มสุรากับโลซกภายในเรือ เมื่อหมอกเริ่มจางจูกัดเหลียงจึงแล่นเรือกลับไป เกาทัณฑ์ที่จูกัดเหลียงลวงมาได้จากทัพโจโฉมีมากกว่าหนึ่งแสนดอก จิวยี่จึงไม่อาจเอาผิดจูกัดเหลียงได้ [38]
เหตุการณ์นี้ไม่มีการบันทึกไว้ในจดหมายเหตุสามก๊ก เป็นเรื่องที่เสริมแต่งขึ้นมา อย่างไรก็ดี ในจดหมายเหตุเว่ยเลฺว่ได้มีการกล่าวถึงเหตุการณ์ที่คล้ายๆกันนี้ในศึกยี่สูในปี ค.ศ. 213 เมื่อซุนกวนได้แล่นเรือไปสำรวจฐานทัพของโจโฉ โจโฉเห็นดังนั้นจึงสั่งให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ใส่เรือซุนกวน เกาทัณฑ์หลายดอกติดที่ลำเรือข้างหนึ่งจนเรือเอียงด้วยน้ำหนักของลูกเกาทัณฑ์ ซุนกวนจึงสั่งให้หันเรือให้ลำเรืออีกด้านมารับลูกเกาทัณฑ์ เรือจึงกลับมาตั้งลำตรงดังเก่าแล้วซุนกวนจึงให้แล่นเรือกลับไปค่าย [39]
จิวยี่เตรียมการพร้อมที่จะตีทัพเรือโจโฉด้วยไฟ แต่จิวยี่ได้ตระหนักในภายหลังว่าการจะสำเร็จได้ลมจะต้องพัดจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ มิเช่นนั้นทัพเรือฝ่ายตนจะถูกเพลิงเผาเสียเอง เมื่อจิวยี่เห็นว่าลมพัดจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือก็ตกใจจนอาเจียนเป็นเลือดแล้วหมดสติ ตั้งแต่นั้นก็ล้มป่วย จูกัดเหลียงไปเยี่ยมจิวยี่แล้วบอกว่าสาเหตุของอาการป่วยของจิวยี่นั้นเพราะความกังวลเกี่ยวกับลมแล้วอ้างว่าตนรู้วิชาเรียกลมจะขออาสาทำพิธีเพื่อเปลี่ยนทิศทางลม จิวยี่จึงให้ทหารไปตั้งโรงพิธี ณ เขาลำปินสาน แล้วจูกัดเหลียงก็ได้ประกอบพิธีเรียกลมจนกระทั่งเมื่อลมตะวันออกเฉียงใต้พัดมา ทันทีทีลมเปลี่ยนทิศจูกัดเหลียงก็หนีออกมาเพราะรู้ดีว่าจิวยี่จะส่งคนมาฆ่า ซึ่งจิวยี่ก็ได้ส่งชีเซ่งและเตงฮองมาเพื่อหวังจะสังหารตามที่จูกัดเหลียงคาดไว้ แต่จูกัดเหลียงก็ขึ้นเรือที่จูล่งแล่นเตรียมไว้หนีไปได้ [40]
เหตุการณ์นี้ไม่มีการบันทึกไว้ใน จดหมายเหตุสามก๊ก เป็นเรื่องที่เสริมแต่งขึ้นมา
กวนอูถูกส่งไปรักษาเส้นทางฮัวหยงเพื่อไปสกัดโจโฉที่จะผ่านมาทางนี้หลังพ่ายแพ้ในศึกเซ็กเพ็ก เดิมนั้นจูกัดเหลียงไม่ยอมให้กวนอูไปทำการเพราะเกรงว่ากวนอูจะระลึกถึงบุญคุณของโจโฉที่เคยทำนุบำรุงมาแต่ก่อนแล้วอาจจะปล่อยโจโฉให้ผ่านไปได้ กวนอูยืนยันที่จะขอไปทำการพร้อมบอกว่าตนทดแทนบุญคุณโจโฉโดยการสังหารงันเหลียงและบุนทิวแล้ว จากนั้นจึงยอมทำทัณฑ์บนว่าจะไม่ปล่อยให้โจโฉผ่านไปได้ มิฉะนั้นก็ยอมถูกประหาร ฝ่ายจูกัดเหลียงก็ทำทัณฑ์บนเช่นกันว่าหากโจโฉไม่ผ่านมาทางเส้นทางฮัวหยงก็จะยอมถูกประหาร ซึ่งโจโฉก็ผ่านมาทางเส้นทางฮัวหยงตามที่จูกัดเหลียงคาดไว้แล้วเจอเข้ากับกวนอู แต่กวนอูกลับตัดสินใจไว้ชีวิตโจโฉ ปล่อยให้โจโฉและทหารที่เหลืออยู่ผ่านเส้นทางฮัวหยงไปโดยไม่ทำอันตราย เมื่อกวนอูกลับมาหาเล่าปี่และจูกัดเหลียง กวนอูก็สารภาพความที่ตนปล่อยโจโฉไป จูกัดเหลียงสั่งให้ทหารนำตัวกวนอูไปประหารแต่เล่าปี่ได้ขอชีวิตกวนอูไว้ กวนอูจึงได้รับการละเว้นโทษโทษ[41]
เหตุการณ์ไม่ถูกกล่าวถึงใน จดหมายเหตุสามก๊ก เป็นเรื่องที่แต่งเสริมขึ้น ในจดหมายเหตุ ชานหยางกงไจ้จี้ (山陽公載記) ได้บันทึกไว้ว่าหลังโจโฉพ่ายแพ้ในศึกเซ็กเพ็ก ได้ถอยทัพพร้อมทหารที่เหลือรอดผ่านเส้นทางฮัวหยง ตลอดเส้นทางมีหล่มโคลนเดินทางลำบาก โจโฉจึงสั่งให้ทหารที่อ่อนแอนำฟางและหญ้ามาถมหล่มโคลนให้ทหารม้าผ่านไปได้ ทหารเหล่านี้ถูกม้าเหยียบจมโคลนตายไปหลายนาย เมื่อโจโฉผ่านสถานการณ์วิกฤตนี้มาได้ก็มีความยินดี ขุนพลทั้งหลายจึงถามโจโฉว่าเหตุใดจึงยินดี โจโฉตอบว่า "แม้เล่าปี่จะเทียบได้กับข้าแต่มิอาจคิดการได้ไวเท่า หากเล่าปี่จุดไฟสกัดทางไว้เร็วกว่านี้ข้าก็จะหมดทางหนี" ฝ่ายเล่าปี่นั้นก็คิดการจะจุดเพลิงตามที่โจโฉคาดไว้แต่กระทำการช้าไปเพราะโจโฉหนีไปได้แล้ว [42]
จิวยี่เสนอ "อุบายนางงาม" (美人計) ให้ซุนกวนในการยึดครองแคว้นเกงจิ๋ว (荊州) จากเล่าปี่ แผนคือจะลวงเล่าปี่มายังกังตั๋งโดยอ้างว่าจะให้มาแต่งงานกับซุนหยินน้องสาวของซุนกวน (ต่อมาคือซุนฮูหยิน) เพื่อให้ทำให้พันธมิตรซุน-เล่าแน่นแฟ้นขึ้น จากนั้นซุนกวนจะจับเล่าปี่เป็นตัวประกันเพื่อแลกเปลี่ยนกับแคว้นเกงจิ๋ว จูกัดเหลียงรู้ทันอุบายจึงซ้อนกลทำให้การแต่งงานเกิดขึ้นจริง ทั้งทำให้เล่าปี่กลับมาเกงจิ๋วอย่างปลอดภัยพร้อมนางซุนฮูหยิน จิวยี่นำทหารไล่ตามแต่ถูกทหารเล่าปี่ซุ่มโจมตี จากนั้นทหารเล่าปี่ก็ตะโกนเยาะเย้ยว่า "อุบายจิวยี่แสนแยบยล เสียทั้งฮูหยินและรี้พล" (周郎妙計安天下,陪了夫人又折兵!) จิวยี่โกรธจนกระอักเลือดหมดสติไป [43]
การแต่งงานของเล่าปี่และซุนฮูหยินมีบันทึกจดหมายเหตุสามก๊ก บทชีวประวัติเล่าปี่ว่า หลังเล่ากี๋ป่วยเสียชีวิต เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเล่าปี่ได้ขอให้เล่าปี่รับตำแหนงผู้ว่าราชการแคว้นเกงจิ๋วแทน โดยมีเมืองเอกคือกองอั๋น (公安) ซุนกวนกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลของเล่าปี่จึงให้เล่าปี่แต่งงานของน้องสาวของคนเพื่อกระชับความสัมพันธ์ของพันธมิตรซุน-เล่า [44] แสดงให้เห็นว่าการแต่งงานนั้นเกิดขึ้นในเมืองกองอั๋นโดยซุนกวนส่งน้องสาวมาแต่งงานกับเล่าปี่ แทนที่เล่าปี่จะเดินทางมาแต่งงานที่กังตั๋งของซุนกวน
อย่างไรก็ได้ ในบทชีวประวัติจิวยี่ได้บันทึกว่าจิวยี่เคยแนะนำซุนกวนให้กักตัวเล่าปี่ไว้ในกังตั๋ง หลังจากเล่าปี่ได้เป็นผู้ว่าราชการแคว้นเกงจิ๋ว เล่าปี่ได้เดินทางมาพบซุนกวนที่เมืองจิง (京) จิวยี่ได้บอกกับซุนกวนว่า "เล่าปี่มีลักษณะของจอมคนผู้โหดเหี้ยมและทะเยอทะยาน หนำซ้ำยังมีขุนพลที่แข็งแกร่งดั่งหมีและพยัคฆ์อย่างกวนอูและเตียวหุย เล่าปี่จึงไม่ใช่คนที่จะยอมอยู่ใต้ผู้อื่นเป็นแน่ ข้าพเจ้าเห็นว่าควรพาเล่าปี่กลับไปแดนง่อสร้างปราสาทให้อยู่ พร้อมปรนเปรอด้วยสตรีและทรัพย์สินของมีค่า จากนั้นเราจะแยกขุนพลสองคน(กวนอูและเตียวหุย)ออกจากกัน หากใช้เล่าปี่เป็นตัวประกัน และโจมตีทหารเล่าปี่ไปพร้อมๆกัน เป้าหมายของเรา(ยึดแคว้นเกงจิ๋ว)ก็จะสำเร็จ แม้นยังคงปล่อยให้พวกเล่าปี่มีดินแดนและปล่อยให้สามคนอยู่ด้วยกันแล้ว เกรงว่าเมื่อใดที่มังกรทะยานสู่เมฆและฝน จะไม่กลับคืนสู่บ่อน้ำอีก" ฝ่ายซุนกวนเห็นว่าโจโฉยังเป็นภัยคุกคามทางเหนือ จึงเห็นว่าควรมีพันธมิตรไว้จะเป็นการดีกว่าทำลายความเป็นพันธมิตร จึงปฏิเสธคำแนะนำของจิวยี่ [45] แสดงให้เห็นว่าจิวยี่ต้องการกักตัวเล่าปี่ไว้ในกังตั๋งเพื่อใช้เป็นตัวประกันในการควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาของเล่าปี่ (กวนอู เตียวหุย และคนอื่นๆ) แต่ไม่มีการกล่าวถึงการใช้นางซุนฮูหยินเป็นเหยื่อล่อเล่าปี่มาติดกับ สตรีที่ถูกกล่าวถึงในอุบายจะถูกใช้เพื่อปรนเปรอเล่าปี่ระหว่างถูกกักตัวให้หลงระเริงจนลิมผู้ใต้บังคับบัญชา ที่สำคัญคืออุบายไม่ได้ถูกใช้งานจริงเพราะซุนกวนไม่เห็นด้วย เรื่องราวนี้ในวรรณกรรม สามก๊กจึงเป็นเรื่องที่แต่งเสริมขึ้นมา
จดหมายเหตุสามก๊กบทชีวประวัติหวดเจ้งได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ของเล่าปี่และนางซุนฮูหยินว่าไม่ได้รักใคร่ลึกซึ้งเหมือนในวรรณกรรมสามก๊ก ตรงกันข้าม เล่าปี่มีความระแวงและเกรงกลัวนางซุนฮูหยิน ครั้งหนึ่งจูกัดเหลียงได้กล่าวไว้ว่า "เมื่อครั้งนายท่าน(เล่าปี่)อยู่ที่กองอั๋น ท่านต้องคอยระแวดระวังอิทธิพลของโจโฉทางเหนือและต้องกริ่งเกรงซุนกวนทางตะวันออก แม้แต่ในอาณาบริเวณของบ้านตนเองก็ต้องหวาดกลัวซุนฮูหยินที่อาจก่อปัญหาขึ้นมาได้" [46] บุคลิกลักษณะของซุนฮูหยินที่ถูกกล่าวถึงในบทชีวประวัติหวดเจ้งกล่าวว่า ซุนกวนแต่งน้องสาวให้เล่าปี่ นางเป็นคนดุดันและหัวรั้นเหมือนพี่ชาย นางมีหญิงรับใช้ร้อยนาง ล้วนแล้วแต่ถือกระบี่ยืนให้ความคุ้มครอง ทุกครั้งที่เล่าปี่เข้ามาในห้องของนางเป็นต้องรู้สึกใจสั่นด้วยความกลัว[47]
จิวยี่คิดอุบายช่วยซุนกวนยึดแคว้นเกงจิ๋วจากเล่าปี่ โดยแสร้งทำเป็นจะช่วยเล่าปี่ตีแคว้นเอ๊กจิ๋ว(เสฉวน)โดยจะขอยกทัพผ่านเกงจิ๋ว เมื่อเล่าปี่ตอบตกลง จิวยี่รู้สึกยินดีเพราะความตั้งใจแท้จริงแล้วคือการเข้าครองเกงจิ๋วระหว่างเดินทัพผ่าน แต่จูกัดเหลียงมองอุบายของจิวยี่ออกแล้วซ้อนกล จิวยี่จึงต้องกลอยู่ในวงล้อมของทหารเล่าปี่ จิวยี่โกรธมากจนตกจากหลังม้า ภายหลังจูกัดเหลียงส่งหนังสือถึงจิวยี่บอกให้จิวยี่ยกเลิกการยกไปตีเอ๊กจิ๋วแล้วกลับง่อก๊ก เพราะโจโฉจะฉวยโอกาสที่จิวยี่ไม่อยู่เข้ารุกรานง่อก๊ก ต่อมาจิวยี่ได้เขียนหนังสือถึงซุนกวนและฝากฝังกับขุนพลคนอื่นๆให้ช่วยเหลือราชการให้ซุนกวนอย่างเต็มความสามารถ จากนั้นจิวยี่ก็หมดสติไป เมื่อได้สติอีกครั้งก็ตัดพ้อว่า "เทพดาองค์ใดหนอซึ่งให้เราเกิดมาแล้ว เหตุใดจึงให้จูกัดเหลียงเกิดมาด้วยเล่า" จิวยี่ได้แต่พูดประโยคนี้หลายครั้งจนกระทั่งถึงแก่ความตาย
ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามที่จิวยี่ถูกจูกัดเหลียงยั่วให้โกรธ ครั้งแรกหลังจากจิวยี่ถูกเกาทัณฑ์พิษของโจหยินในศึกลำกุ๋น เมื่อเล่าปี่ได้เข้ายึดหลายเมืองในแคว้นเกงจิ๋วตามคำแนะนำของจูกัดเหลียงระหว่างที่จิวยี่ยังคงวุ่นกับการทำศึกกับโจหยิน ครั้งที่สองเมื่อจูกัดเหลียงซ้อนกล "อุบายนางงาม" ของจิวยี่ (ดูที่ #การแต่งงานของเล่าปี่และซุนฮูหยิน) อาการป่วยของจิวยี่จากแผลเกาทัณฑ์พิษแย่ลงเรื่อยๆหลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ จนในที่สุดก็เสียชีวิตจากการถูกยั่วให้โกรธเป็นครั้งที่สามนี้[48]
ในจดหมายเหตุสามก๊ก บทชีวประวัติจิวยี่ ได้ระบุว่าจิวยี่กำลังเตรียมตัวจะยกทัพเข้าบุกเอ๊กจิ๋วและฮันต๋งทางภาคตะวันตกของจีน แต่ระหว่างทางได้ป่วยกะทันหันจนกระทั่งเสียชีวิตที่ตำบลปาขิว (巴丘)[49] ไม่มีการกล่าวถึงเรื่องที่จูกัดเหลียงยั่วโมโหจิวยี่จนเสียชีวิต
เล่าเจี้ยงส่งเตียวสงเป็นทูตไปพบโจโฉที่เมืองฮูโต๋ เตียวสงกล่าววิจารณ์โจโฉต่อหน้าเอียวสิ้วสมุห์บัญชีของโจโฉ เอียวสิ้วจึงนำตำราบังเต๊ก หรือเมิ่งเต๋อซินชู (孟德新書 แปลว่า ตำราเล่มใหม่ของเมิ่งเต๋อ (เมิ่งเต๋อเป็นชื่อรองของโจโฉ) ) ตำราพิชัยสงครามที่โจโฉเขียนขึ้นโดยเป็นการให้อรรถาธิบายขยายความในตำราพิชัยสงครามซุนจื่อ เตียวสงดูตำราแล้วก็หัวเราะแล้วพูดว่า "หนังสือเช่นนี้เด็ก ๆ ในเมืองเสฉวนอ่านเล่นอึงอยู่ทั้งเมือง เป็นคำโบราณผู้มีปัญญาแต่งไว้ก่อน เหตุใดท่านจึงว่ามหาอุปราชแต่งเองเล่า ลักเอาคำเก่ามาว่า ปดได้ก็แต่ท่านให้หลงนับถือว่าดี"[50] [51] จากนั้นเตียวสงจึงท่องเนื้อความในตำราให้เอียงสิ้วฟังได้ตรงกับในตำราไม่ผิดเพี้ยน เมื่อเอียวสิ้วนำเรื่องนี้ไปแจ้งโจโฉ โจโฉจึงให้เอาตำราบังเต๊กนั้นไปฉีกและเผาไฟทิ้งเสีย
ในจดหมายเหตุเว่ยชู (魏書) ได้บันทึกว่าโจโฉเขียนตำราพิชัยสงครามและมอบให้กับเหล่าขุนพล[52] เนื้อความในตำราบังเต๊กถูกกล่าวอ้างถึงในตำราพิชัยสงครามปุจฉาวิสัชนาจักรพรรดิถังไท่จงกับหลี่เว่ยกง (唐太宗李衛公問對) ซึ่งเป็นบทสนทนาระหว่างจักรพรรดิถังไท่จงแห่งราชวงศ์ถังกับขุนพลหลี่จิ้ง [53] แสดงให้เห็นว่าเนื้อความตำราพิชัยสงครามบังเต๊กที่โจโฉเขียนขึ้นยังคงมีตกทอดถึงสมัยราชวงศ์ถัง
กวนอูเดินทางข้ามแม่น้ำไปกินโต๊ะตามคำเชิญของโลซกโดยมีเพียงง้าวมังกรเขียว งานกินโต๊ะครั้งนี้โลซกและทหารฝ่ายซุนกวนจัดขึ้นเพื่อข่มขู่ให้กวนอูคืนแคว้นเกงจิ๋ว โดยมีลิบอง กำเหลง และทหารคนอื่นซุ่มกำลังอยู่บริเวณพื้นที่จัดเลี้ยงเพื่อรอสัญญาณจากโลซกให้ออกมารุมสังหารกวนอู กวนอูรู้ว่าเป็นอุบายแต่ก็ยังคงมาร่วมงานกินโต๊ะและโต้เถียงกับโลซกเรื่องแคว้นเกงจิ๋ว กวนอูแกล้งทำเป็นเมาสุราแล้วจับโลซกเป็นตัวประกันแล้วพามาที่ริมฝั่งน้ำ เมื่อมาถึงจึงปล่อยโลซกไป ส่วนกวนอูก็ขึ้นเรือของตนกลับเกงจิ๋ว [54]
จดหมายเหตุสามก๊กระบุว่ากวนอูและโลซกได้เจรจากันเรื่องการแบ่งดินแดนของแคว้นเกงจิ๋ว ระหว่างการเจรจา ทั้งสองฝ่ายมีทหารตั้งมั่นอยู่ห่างจากสถานที่เจรจากว่าร้อยก้าว ขุนพลของแต่ละฝ่ายที่ร่วมในสถานที่เจรจาล้วนถืออาวุธ [55]
ในศึกอ้วนเซีย กวนอูถูกเกาทัณฑ์อาบยาพิษยิงถูกแขนได้รับบาดเจ็บ หมอฮัวโต๋ได้มาที่ค่ายของกวนอูและเสนอตัวรักษาแขนให้กวนอู หลังจากได้ตรวจดูแผล ฮัวโต๋กล่าวว่าพิษได้ซึมลึกเข้าไปในกระดูกแล้ว แล้วบอกว่าต้องทำการผ่าตัดโดยการเอาผ้ามาปิดตากวนอูไม่ให้เห็นแล้วเอาปลอกแขนมารัดแขนกวนอูกับเสาไม่ให้ขยับได้ก่อนจะทำการผ่าตัด กวนอูบอกให้ฮัวโต๋ผ่าตัดโดยไม่ต้องปิดและไม่ต้องเอาปลอกรัด ฮัวโต๋ทำการผ่าเนื้อเปิดแผลที่แขนกวนอูจนเห็นกระดูก ขูดพิษที่กระดูกออก แล้วเย็บแผลให้ผสาน ตลอดการผ่าตัดกวนอูเล่นหมากล้อมกับม้าเลี้ยงโดยไม่แสดงสีหน้าเจ็บปวดให้เห็น กวนอูขอบคุณฮัวโต๋ที่รักษาแผลที่แขนให้พร้อมจะให้ทองเป็นรางวัล แต่ฮัวโต๋ปฏิเสธไม่ขอรับรางวัลแล้วจากไป [56]
ในจดหมายเหตุสามก๊ก บทชีวประวัติฮัวโต๋ไม่ได้ระบุปีที่ฮัวโต๋เสียชีวิต แต่สามารถอนุมานได้ว่าฮัวโต๋เสียชีวิตก่อนปี ค.ศ. 208 ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ #การเสียชีวิตของโจโฉ) ศึกอ้วนเซียเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 219 คือ 11 ปีหลังจากปี ค.ศ. 208 ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ฮัวโต๋จะมารักษาแขนของกวนอู อย่างไรก็ดี ในจดหมายเหตุสามก๊ก บทชีวประวัติกวนอูมีการบันทึกถึงเรื่องที่หมอคนหนึ่งผ่าตัดแขนของกวนอู แต่หมอคนนั้นไม่ใช่ฮัวโต๋
ภายหลังจากยึดครองเกงจิ๋วและสามารถสังหารกวนอูจึงถือว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ ซุนกวนได้จัดงานเลี้ยงฉลองชัยชนะแก่ลิบองและขุนพลอื่นๆ แต่จู่ๆลิบองได้ลุกขึ้นมาด่าว่าซุนกวน แท้ที่จริงแล้วถูกอสุรกายกวนอูที่ตายแล้วเข้าสิง หลังจากนั้นลิบองก็กระอักเลือดจนเสียชีวิตกลางงานเลี้ยง
ในจดหมายเหตุสามก๊ก ได้ระบุว่า ลิบองล้มป่วยตายอย่างสงบ มิได้ถูกผีสิงแต่ประการใด
หลังกวนอูเสียชีวิต วิญญาณของกวนอูได้ลอยไปพร้อมร้องว่า "เอาศีรษะมาคืนให้เรา" วิญญาณของกวนอูมาถึงเขาจวนหยกสัน นอกเมืองตงหยง (ตองเอี๋ยง) แล้วได้พบกับเภาเจ๋ง หลวงจีนที่เคยช่วยชีวิตกวนอูเมื่อหลายปีก่อนที่ด่านกิสุยก๋วน เภาเจ๋งได้บอกกับวิญญาณของกวนอูว่า "กงเกวียนกำเกวียนตัวฆ่าเขา เขาฆ่าตัว เมื่อท่านฆ่างันเหลียง บุนทิวแลนายด่านห้าตำบลเสีย ใครมาทวงศีรษะแก่ท่านบ้าง ครั้งนี้ท่านเสียทีแก่ข้าศึกถึงแก่ความตายแล้ว ท่านมาร้องทวงศีรษะแก่ใครเล่า" วิญญาณของกวนอูได้ยินก็คิดได้แล้วหายตัวไป นับแต่นั้นมาก็สิงสถิตอยู่ที่เขาจวนหยกสันและปกป้องชาวบ้านจากสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง ชาวบ้านได้สร้างศาลบนเขาขึ้นเพื่อเคารพวิญญาณของกวนอู ส่วนเภาเจ๋งก็ปลูกกระท่อมหญ้าขึ้นที่บริเวณตีนเขาจวนหยกสันด้านตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงปีสุดท้ายของราชวงศ์ฮั่นตะวันออก วัดจวนหยก (玉泉寺) วัดเก่าแก่ของแดนเมืองตงหยงที่เป็นจุดกำเนิดของการสักการะกวนอูได้ถูกสร้างตรงตำแหน่งที่เป็นกระท่อมหญ้าหลังนั้น การสร้างวัดได้แล้วเสร็จในสมัยราชวงศ์สุย
ซุนกวนได้ส่งศีรษะของกวนอูไปให้โจโฉเพื่อผลักความรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของกวนอูให้โจโฉ เมื่อโจโฉเปิดกล่องที่ใส่ศีรษะกวนอู เห็นกวนอูมีสีหน้าปกติเหมือนเมื่อยังมีชีวิตจึงหัวเราะแล้วพูดกับศีรษะกวนอูว่า "กวนอูยังเป็นอยู่ไม่มาหาเรา บัดนี้ยังแต่ศีรษะเปล่าอุตส่าห์มาหาเรา" ทันใดนั้นศีรษะกวนอูก็เกิดลืมตาปากอ้าหนวดเคราขยับ โจโฉตกใจล้มลงหมดสติ เมื่อได้สติโจโฉก็พูดว่า "กวนอูคนนี้ศักดิ์สิทธิ์นัก เหมือนหนึ่งเทพดาลงมาจากชั้นฟ้า " จึงสั่งให้นำศีรษะกวนอูไปฝังอย่างสมเกียรติตามแบบขุนนางผู้ใหญ่ [57]
ช่วงบั้นปลายชีวิตของโจโฉ โจโฉมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง จึงเรียกให้หมอฮัวโต๋มารักษา ฮัวโต๋วินิจฉัยว่าโรคของโจโฉเป็นลมเสียดแทงในกะโหลก และบอกว่าจะทำการรักษาโดยให้โจโฉกินยาชาให้ไม่รู้สึกตัว จากนั้นจึงใช้ขวานอันคมผ่าศีรษะของโจโฉแล้วชำระโรคในศีรษะ โจโฉนั้นเคยถูกหมอเกียดเป๋งพยายามลอบสังหารด้วยยาพิษ จึงระแวงว่าฮัวโต๋นั้นคิดจะฆ่าตนเพื่อแก้แค้นให้กวนอู จึงสั่งให้ทหารนำตัวฮัวโต๋ไปขังคุก ฮัวโต๋เสียชีวิตในคุกในอีกไม่กี่วันต่อมา ไม่นานหลังจากนั้นโจโฉก็ป่วยหนักจนเสียชีวิต [58]
ในจดหมายเหตุสามก๊ก บทชีวประวัติโจโฉได้บันทึกว่าโจโฉเสียชีวิตที่เมืองลกเอี๋ยงในปี ค.ศ. 220 ขณะอายุได้ 66 ปี (นับอายุแบบจีน).[59] ส่วนบทชีวประวัติฮัวโต๋ได้บันทึกว่าโจโฉสั่งประหารฮัวโต๋เมื่อฮัวโต๋ปฏิเสธที่จะรักษาอาการปวดศีรษะเรื้อรังของโจโฉ ต่อมาโจโฉเสียใจที่สั่งประหารฮัวโต๋ไป เพราะบุตรของโจโฉชื่อโจฉอง (เฉาชง) ป่วยเสียชีวิตขณะอายุยังน้อย และโจโฉเชื่อว่าถ้าฮัวโต๋ยังอยู่คงสามารถรักษาโจฉองได้ บทชีวประวัติฮัวโต๋ไม่ได้ระบุปีที่ฮัวโต๋เสียชีวิต แต่อนุมานได้ว่าฮัวโต๋เสียชีวิตก่อนปี ค.ศ. 208 ซึ่งเป็นปีที่โจฉองเสียชีวิต[60] ดังนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวรรณกรรมสามก๊กจึงเป็นเรื่องที่แต่งเสริมขึ้นมา
ในบันทึกชื่อยฺหวี่ (世語) และเฉาหมานฉวน (曹瞞傳) ได้บันทึกเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนโจโฉเสียชีวิต ในชื่อยฺหวี่บันทึกว่าโจโฉต้องการสร้างวังในเมืองลกเอี๋ยง จึงสั่งให้ทำลายศาลเจ้าจั๋วหลง (濯龍祠) แต่บังเกิดเลือดออกจากต้นไม้ข้างศาล [61] ในเฉาหมานฉวนบันทึกว่าโจโฉต้องการย้ายต้นสาลี่ เมื่อคนงานถอนรากต้นสาลี่ขึ้นมาก็เลือดมีเลือดไหลออกจากราก คนงานทั้งหลายต่างตกตะลึง โจโฉได้ยินเรื่องนี้จึงเดินทางไปดูด้วยตนเอง โจโฉได้เห็นก็รู้สึกว่าเป็นลางร้ายเมื่อกลับมาถึงบ้านก็ล้มป่วย [62]
เบ้งเฮ็กราชาของชนเผ่าอนารยชนลำมันก่อกบฏต่อจ๊กก๊ก จูกัดเหลียงจึงนำทัพไปสยบชนเผ่าลำมันแล้วจับเบ้งเฮ็กได้เจ็ดครั้ง แล้วปล่อยตัวเบ้งเฮ็กไปทั้งเจ็ดครั้ง ในหกครั้งแรก เบ้งเฮ็กไม่ยอมรับความพ่ายแพ้เพราะตนถูกจับด้วยกลอุบาย ไม่ได้มาจากการรบจริง ๆ จูกัดเหลียงจึงปล่อยเบ้งเฮ็กเพื่อให้โอกาสรบแก้ตัว ในการถูกจับครั้งที่เจ็ด เบ้งเฮ็กรู้สึกละอายใจตัวเองจึงสาบานกับจูกัดเหลียงขอภักดีต่อจ๊กก๊กตลอดไป [63]
เผย์ ซงจือได้แทรกอรรถาธิบายในจดหมายเหตุสามก๊ก บทชีวประวัติจูกัดเหลียง ซึ่งมีการกล่าวถึง "จับเจ็ดครั้งปล่อยเจ็ดครั้ง"[64] แต่ไม่มีรายละเอียดของการจับและปล่อยแต่ละครั้ง ตัวละครที่เกี่ยวข้องกับเบ้งเฮ็กอย่างงากฟัน จกหยง เบ้งฮิว และ บกลกไต้อ๋อง ล้วนเป็นตัวละครสมมติ
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.