สงครามโซเวียต–อัฟกานิสถาน เป็นการสู้รบด้วยอาวุธที่ยืดเยื้อในสาธารณรัฐประชาธิปไตยอัฟกานิสถานที่ควบคุมโดยสหภาพโซเวียตตั้งแต่ ค.ศ. 1979 ถึง ค.ศ. 1989 สงครามนี้เป็นความขัดแย้งที่สำคัญของสงครามเย็นเนื่องจากมีการสู้รบกันอย่างกว้างขวางระหว่างสหภาพโซเวียต สาธารณรัฐประชาธิปไตยอัฟกานิสถาน และ กลุ่มทหารพันธมิตรที่ต่อต้านมูจาฮิดีนอัฟกานิสถานและนักสู้ต่างชาติที่เป็นพันธมิตรของพวกเขา ในขณะที่มูจาฮิดีนได้รับการสนับสนุนจากประเทศและองค์กรต่าง ๆ การสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากปากีสถาน สหรัฐ (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการไซโคลน) สหราชอาณาจักร จีน อิหร่าน และรัฐอาหรับในอ่าวเปอร์เซีย การมีส่วนร่วมของมหาอำนาจต่างชาติทำให้สงครามนี้เป็นสงครามตัวแทนระหว่างสหรัฐและสหภาพโซเวียต การสู้รบเกิดขึ้นตลอดช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในชนบทของอัฟกานิสถาน สงครามนี้ส่งผลให้มีชาวอัฟกันเสียชีวิตประมาณ 3 ล้านคน ในขณะที่อีกหลายล้านคนหนีออกนอกประเทศในฐานะผู้ลี้ภัย ชาวอัฟกันผู้พลัดถิ่นภายนอกส่วนใหญ่ขอลี้ภัยในปากีสถานและอิหร่าน ประมาณร้อยละ 6.5 ถึงร้อยละ 11.5 ของประชากรอัฟกานิสถานในอดีตจำนวน 13.5 ล้านคน (ตามการสำรวจสำมะโนประชากรใน ค.ศ. 1979) คาดว่าจะถูกสังหารในช่วงความขัดแย้ง สงครามโซเวียต–อัฟกานิสถานก่อให้เกิดการทำลายล้างครั้งใหญ่ทั่วอัฟกานิสถาน และนักวิชาการยังอ้างว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่มีส่วนในการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ซึ่งถือเป็นการยุติสงครามเย็นอย่างเป็นทางการ สงครามนี้มักเรียกกันว่า "สงครามเวียดนามของสหภาพโซเวียต"
ข้อมูลเบื้องต้น สงครามโซเวียต–อัฟกานิสถาน, วันที่ ...
สงครามโซเวียต–อัฟกานิสถาน |
---|
ส่วนหนึ่งของ สงครามเย็น, ความแตกแยกระหว่างจีน–โซเวียต และสงครามในอัฟกานิสถานที่ยังคงดำเนินอยู่ |
บน: นักรบมุญาฮิดีนในจังหวัดคูนาร์ ประเทศอัฟกานิสถาน ค.ศ. 1987 ล่าง: ทหารโซเวียตในอัฟกานิสถาน ค.ศ. 1988 |
วันที่ | 24 ธันวาคม ค.ศ. 1979 – 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1989 (9 ปี 1 เดือน 3 สัปดาห์ 1 วัน) |
---|
สถานที่ | |
---|
ผล |
มุญาฮิดีนอัฟกันชนะ
- การประชุมเจนีวา (ค.ศ. 1988)
- ถอนกำลังกองทัพโซเวียตออกจากอัฟกานิสถาน
- สงครามกลางเมืองอัฟกานิสถานดำเนินต่อ[1]
|
---|
|
คู่สงคราม |
---|
สหภาพโซเวียต สาธารณรัฐประชาธิปไตยอัฟกานิสถาน
- Sarandoy
- Defense of the Revolution
- Pader Watan
|
มุญาฮิดีนซุนนี:
- Jamiat-e Islami
- Shura-e Nazar
- Hezb-e Islami Gulbuddin
- Maktab al-Khadamat
- Hezb-e Islami Khalis
- Ittehad-e Islami (IULA)
- Harakat-i-Inqilab (IRM)
- Jebh-e Nejat-e Melli
- Mahaz-e Milli (NIFA)
มุญาฮิดีนชีอะฮ์:
- Harakat i-Islami
- Nasr Party (IVOA)
- COIRGA
- Shura Party
- ฮิซบุลลอฮ์ (ส่วนอัฟกัน)
- IRM
- UOIF
- Raad Party
ลัทธิเหมา:
- Sazman-i Rihayi (ALO)
- SAMA
- AMFFF
|
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ |
---|
|
- Muhammad Asif Muhsini
- Abdul Ali Mazari
- Assef Kandahari
- Sayyid Ali Beheshti
- Mosbah Sade
Mulavi Dawood (AMFFF) Faiz Ahmad Majid Kalakani (SAMA) |
กำลัง |
---|
กองทัพโซเวียต:
เจ้าหน้าที่รวม 620,000 นาย [35]
- กองกำลังสูงสุด 115,000 นาย[36]
กองทัพอัฟกัน:
- ทหารประจำการสูงสุด 65,000 นาย[37]
|
มุญาฮิดีน: 200,000–250,000[38][39][40] |
ความสูญเสีย |
---|
โซเวียต:
- ถูกฆ่า 14,453 นาย (รวม) หรือ
- ถูกฆ่าในสงคราม 9,500 นาย[41]
- เสียชีวิตจากบาดแผล 4,000 นาย[41]
- เสียชีวิตจากโรคและอุบัติเหตุ 1,000 นาย[41]
- บาดเจ็บ 53,753 นาย[41]
- หายตัว 264 นาย[ต้องการอ้างอิง]
- อากาศยาน 451 อัน (รวมเฮลิคอปเตอร์ 333 เครื่อง)
- รถถัง 147 คัน
- 1,314 IFV/APCs
- ปืนใหญ่และปืนครก 433 อัน
- รถบรรทุกน้ำมันรถถังและสิ่งของ 11,369 คัน
(ประมาณการของโซเวียต) ถูกฆ่า 26,000 คนรวมเจ้าหน้าที่ 3,000 นาย (ข้อมูลอื่น) อัฟกานิสถาน:
|
มุญาฮิดีน:
อย่างน้อย 90,000 นาย รวมผู้เสียชีวิต 56,000 นายและผู้บาดเจ็บ 17,000 นาบ [44][45]บาดเจ็บและเสียชีวิต 150,000–180,000 นาย (ประมาณการจากที่อื่น)[45]
ปากีสถาน:
- ถูกฆ่า 5,775 นาย[46]
- บาดเจ็บ 6,804 นาย[46]
- F-16 1 เครื่องถูกยิงลงโดยพวกเดียวกันเอง[47]
อิหร่าน:
- เฮลิคอปเตอร์ AH-1J 2 เครื่องถูกยิงตก
- ไม่ทราบจำนวนผู้ที่ถูกฆ่า[48]
|
พลเมือง (อัฟกัน):
- ถูกฆ่า 562,000[49]–2,000,000 คน
- ผู้ลี้ภัยนอกอัฟกานิสถาน 5 ล้านคน
- ผู้พลัดถิ่นภายใน 2 ล้านคน
- ชาวอัฟกันบาดเจ็บประมาณ 3 ล้านคน (ส่วนใหญ่เป็นพลเมือง)[52]
|
ปิด
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1979 เกิดการก่อการกำเริบอย่างรุนแรงในเมืองเฮราต ซึ่งที่ปรึกษาทางทหารโซเวียตจำนวนหนึ่งถูกประหารชีวิต พรรคประชาธิปไตยประชาชนอัฟกานิสถานซึ่งตัดสินใจว่าพวกเขาไม่สามารถปราบปรามการก่อการกำเริบได้ด้วยตนเองจึงได้ขอความช่วยเหลือทางทหารจากสหภาพโซเวียตอย่างเร่งด่วน ใน ค.ศ. 1979 ได้มีการส่งคำร้องมากกว่า 20 คำร้อง อะเลคเซย์ โคซีกิน ประธานสภารัฐมนตรีสหภาพโซเวียต ปฏิเสธที่จะส่งทหารและคำแนะนำในการเรียกร้องให้นูร์ มูฮัมหมัด ทารากี นายกรัฐมนตรีอัฟกานิสถาน ใช้แรงงานอุตสาหกรรมในท้องถิ่นในจังหวัดเฮราต เห็นได้ชัดว่านี่เกิดจากความเชื่อที่ว่าแรงงานเหล่านี้จะเป็นผู้สนับสนุนรัฐบาลโซเวียตอัฟกานิสถาน เรื่องนี้ได้รับการหารือเพิ่มเติมในสหภาพโซเวียตด้วยมุมมองที่หลากหลายทั้งที่ต้องการให้มั่นใจว่าอัฟกานิสถานยังคงเป็นคอมมิวนิสต์ และผู้ที่กังวลว่าสงครามจะทวีความรุนแรงขึ้น ในที่สุดก็สามารถประนีประนอมกันได้ในการส่งความช่วยเหลือทางทหาร แต่ไม่ใช่การส่งกองกำลัง
สงครามเริ่มขึ้นหลังจากที่โซเวียตภายใต้การบังคับบัญชาของเลโอนิด เบรจเนฟ เปิดฉากการรุกรานอัฟกานิสถานเพื่อสนับสนุนรัฐบาลท้องถิ่นที่นิยมโซเวียตซึ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นในระหว่างปฏิบัติการพายุ-333 ประชาคมระหว่างประเทศได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรและห้ามส่งออกสินค้ามากมายต่อสหภาพโซเวียตเพื่อตอบโต้ กองทหารโซเวียตยึดครองเมืองใหญ่ ๆ ของอัฟกานิสถานและเส้นทางคมนาคมหลักทั้งหมด ในขณะที่มูจาฮิดีนเปิดฉากสงครามกองโจรเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ในพื้นที่ร้อยละ 80 ของประเทศที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของโซเวียตโดยปราศจากการตอบโต้ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ชนบทที่เป็นภูเขาสูงชันเกือบทั้งหมด นอกเหนือจากการวางทุ่นระเบิดนับล้านลูกทั่วอัฟกานิสถานแล้ว โซเวียตยังใช้กำลังทางอากาศจัดการอย่างรุนแรงกับทั้งกลุ่มต่อต้านชาวอัฟกานิสถานและพลเรือน โดยทำลายหมู่บ้านเพื่อปฏิเสธความปลอดภัยของมูจาฮิดีน ทำลายคูชลประทานที่สำคัญ และกลยุทธ์ผลาญภพอื่น ๆ
ในตอนแรก รัฐบาลโซเวียตวางแผนที่จะรักษาความปลอดภัยของเมืองและเครือข่ายถนนของอัฟกานิสถานอย่างรวดเร็ว สร้างเสถียรภาพให้กับรัฐบาลของพรรคประชาธิปไตยประชาชนและถอนกำลังทหารทั้งหมดออกภายในระยะเวลาหกเดือนถึงหนึ่งปี อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างดุเดือดจากกองโจรอัฟกานิสถาน และประสบปัญหาในการปฏิบัติงานอย่างมากบนภูมิประเทศที่เป็นภูเขาที่ขรุขระ ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 กองทัพโซเวียตในอัฟกานิสถานได้เพิ่มกำลังทหารเป็นประมาณ 115,000 นาย และการต่อสู้ทั่วประเทศก็เข้มข้นขึ้น ความซับซ้อนของความพยายามทำสงครามค่อย ๆ ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายสูงแก่สหภาพโซเวียต เนื่องจากทรัพยากรทางการทหาร เศรษฐกิจ และการเมืองเริ่มหมดลงมากขึ้น ภายในกลาง ต.ศ. 1987 มีฮาอิล กอร์บาชอฟ ผู้นำโซเวียตสายปฏิรูปประกาศว่ากองทัพโซเวียตจะเริ่มถอนกำลังออกจากอัฟกานิสถานโดยสมบูรณ์ คลื่นสุดท้ายของการถอนกำลังเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1988 และในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 1989 กองกำลังทหารโซเวียตชุดสุดท้ายที่ยึดครองอัฟกานิสถานได้ข้ามไปยังสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตอุซเบก ด้วยการสนับสนุนจากภายนอกอย่างต่อเนื่องจากสหภาพโซเวียต รัฐบาลงพรรคประชาธิปไตยประชาชนจึงได้ดำเนินการทำสงครามเดี่ยวกับกลุ่มมูจาฮิดีนและความขัดแย้งได้พัฒนาไปสู่สงครามกลางเมืองอัฟกานิสถาน อย่างไรก็ตาม หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1991 การสนับสนุนสาธารณรัฐอัฟกานิสถานทั้งหมดก็ถูกถอนออก ส่งผลให้สาธารณรัฐโดดเดี่ยวของพรรคมาตุภูมิล่มสลายโดยฝีมือของมูจาฮิดีนใน ค.ศ. 1992 และสงครามกลางเมืองอัฟกานิสถานก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
ในอัฟกานิสถาน สงครามนี้มักเรียกว่า สงครามโซเวียตในอัฟกานิสถาน (ปาทาน: په افغانستان کې شوروی جګړه, อักษรโรมัน: Pah Afghanistan ke Shuravi Jagera; ดารี: جنگ شوروی در افغانستان, อักษรโรมัน: Jang-e Shuravi dar Afghanestan) ในรัสเซียและประเทศอื่น ๆ ในอดีตสหภาพโซเวียต สงครามนี้มักเรียกว่า สงครามอัฟกานิสถาน (รัสเซีย: Афганская война; ยูเครน: Війна в Афганістані; เบลารุส: Афганская вайна; อุซเบก: Afgʻon urushi) บางครั้งมีการเรียกชื่อสงครามสั้นๆ ว่า “อัฟกัน” (รัสเซีย: Афган) โดยเข้าใจว่าหมายถึงสงคราม (เช่นเดียวกับที่สงครามเวียดนามมักเรียกว่า “เวียดนาม” หรือเพียงแค่ “'นาม” ในสหรัฐ)[53] สงครามยังรู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า สงครามญิฮาดอัฟกานิสถาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยอาสาสมัครที่ไม่ใช่ชาวอัฟกานิสถานของมูจาฮิดีน
Borer, Douglas A. (1999). Superpowers defeated: Vietnam and Afghanistan compared. London: Cass. p. 216. ISBN 978-0-7146-4851-4.
Hegghammer, Thomas (2011). "The Rise of Muslim Foreign Fighters: Islam and the Globalization of Jihad". International Security. 35 (3): 62. doi:10.1162/ISEC_a_00023. S2CID 40379198. The United States and Saudi Arabia did provide considerable financial, logistical, and military support to the Afghan mujahideen.
Sharma, Raghav (2011). "China's Afghanistan Policy: Slow Recalibration". China Report. 46 (3): 202. doi:10.1177/000944551104600303. S2CID 154028247. ...Beijing began to closely coordinate with Washington, Islamabad and Riyadh to covertly aid the mujahideen in carrying out the anti-Soviet jihad in Afghanistan.
Renz, Michael (6 October 2012). "Operation Sommerregen". Die Welt (ภาษาเยอรมัน). No. 40. Die Welt. สืบค้นเมื่อ 6 June 2015.
"The top leader is believed to be Maulvi Mohammad Umar Amir, who was born in Nodeh (village) in Kandhar, and is now settled in Singesar. He was wounded four times in the battles against the Soviets and his right eye is permanently damaged. He took part in the "Jehad" under the late Hizb-e-Islami Khalis Commander Nek Mohammad". Indian Defence Review. 10: 33. 1995.
Nyrop, Richard F.; Seekins, Donald M. (January 1986). Afghanistan: A Country Study (PDF). Washington, DC: United States Government Printing Office. pp. xviii–xxv. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 3 November 2001.
(Pakistan Intelligence Approximation 1980–89)
Markovskiy, Victor (1997). "Жаркое небо Афганистана: Часть IX" [Hot Sky of Afghanistan: Part IX]. Авиация и время [Aviation and Time] (in Russian) p.28
Hilali, A. (2005). US–Pakistan relationship: Soviet Intervention in Afghanistan. Burlington, VT: Ashgate Publishing Co. (p. 198)แม่แบบ:ISBN?
- Amstutz, J. Bruce (1994). Afghanistan: The First Five Years of Soviet Occupation. Diane Publishing. ISBN 978-0-7881-1111-2. OCLC 948347893.
- Andrew, Christopher & Mitrokhin, Vasili (1999). The Sword and the Shield: The Mitrokhin Archive and the Secret History of the KGB. New York: Basic Books. ISBN 978-0-465-00310-5. OCLC 44027616.
- Ayub, Muhammad (2005). An Army, its Role and Rule: A History of the Pakistan Army from Independence to Kargil 1947–1999. Pittsburgh: RoseDog Books. ISBN 978-0-8059-9594-7.
- Bartrop, Paul R.; Totten, Samuel (2007). Dictionary of Genocide: A-L. ABC-CLIO. ISBN 978-0313346422. OCLC 437198304.
- Bennett, Andrew (1999). Condemned to Repetition? The Rise, Fall, and Reprise of Soviet-Russian Military Interventionism, 1973–1996. MIT Press. ISBN 9780262522571. OCLC 40074017.
- Borovik, Artyom (1990). The Hidden War: A Russian Journalist's Account of the Soviet War in Afghanistan. New York: Grove Press. ISBN 978-0-8021-3775-3.
- Braithwaite, Rodric (2011). Afgantsy: The Russians in Afghanistan, 1979–89. New York: Oxford University Press. p. 417. ISBN 978-0-19-983265-1. LCCN 2011015052. OCLC 709682862. LCC DS371.2 .B725 2011
- Brogan, Patrick (1989). The Fighting Never Stopped: A Comprehensive Guide to World Conflicts Since 1945. Vintage Books. ISBN 9780679720331. OCLC 319859472.
- Carew, Tom (2001). Jihad!: The Secret War in Afghanistan. Mainstream Publishing. ISBN 978-1-84018-495-2.
- Corera, Gordon (2011). MI6: Life and Death in the British Secret Service. London: Phoenix. ISBN 978-0-7538-2833-5.
- Coll, Steve (2004). Ghost Wars: The Secret History of the CIA, Afghanistan, and Bin Laden, from the Soviet Invasion to September 10, 2001. New York: Penguin Press. ISBN 978-1-59420-007-6.
- Crile, George (2003). Charlie Wilson's War: The Extraordinary Story of the Largest Covert Operation in history. New York: Atlantic Monthly Press. ISBN 978-0-87113-851-4.
- Curtis, Mark (2018). Secret Affairs: Britain's Collusion with Radical Islam. Serpent's Tail. ISBN 9781782834335.
- Dower, John W. (2017). The Violent American Century: War and Terror Since World War II. Haymarket Books. ISBN 9781608467266. OCLC 1038690733.
- Galeotti, Mark (1995). Afghanistan: the Soviet Union's Last War. London: Frank Cass. ISBN 978-0-7146-8242-6.
- Grau, Lester W.; Gress, Michael A. (2002). The Soviet-Afghan War : how a superpower fought and lost. University Press of Kansas. ISBN 9780700611867. OCLC 48249312.
- Feifer, Gregory (2009). The Great Gamble: The Soviet war in Afghanistan. New York: Harper. ISBN 978-0-06-114318-2.
- Gompert, David C.; Binnendijk, Hans; Lin, Bonny (2014). Blinders, Blunders, and Wars: What America and China Can Learn. Rand Corporation. ISBN 9780833087775. OCLC 904811772.
- Goodson, Larry P. (2011). Afghanistan's Endless War: State Failure, Regional Politics, and the Rise of the Taliban. University of Washington Press. ISBN 978-0-295-80158-2. OCLC 1026403863.
- Kakar, M. Hassan (1997). Afghanistan: The Soviet Invasion and the Afghan Response, 1979–1982. Berkeley: University of California Press. ISBN 978-0-520-08591-6. OCLC 37175170. (free online access courtesy of UCP).
- Kaplan, Robert D. (2008). Soldiers of God: With Islamic Warriors in Afghanistan and Pakistan. Knopf Doubleday Publishing Group. ISBN 978-0-307-54698-2. OCLC 48367823.
- Kepel, Gilles (2002). Jihad: The Trail of Political Islam. Harvard University Press. ISBN 978-0-674-01090-1. OCLC 685132509.
- Klass, Rosanne (2018). "Genocide in Afghanistan 1978—1992". ใน Charny, Israel W. (บ.ก.). The Widening Circle of Genocide: Genocide – A Critical Bibliographic Review. Routledge. ISBN 9781351294065. OCLC 1032709528.
- Lohbeck, Kurt (1993). Holy War, Unholy Victory: Eyewitness to the CIA's Secret War in Afghanistan. Washington: Regnery Publishing. ISBN 978-0-89526-499-2.
- Maley, William & Saikal, Amin (1989). The Soviet Withdrawal from Afghanistan. Cambridge University Press. p. 127. ISBN 9780521375887.
- Novinkov, Oleg (2011). Afghan boomerang. Houston, TX: Oleg Novinkov. ISBN 978-1-4392-7451-4.
- Prados, John (1996). Presidents' Secret Wars: CIA and Pentagon Covert Operations from World War II through the Persian Gulf. Chicago: I.R. Dee. ISBN 978-1-56663-108-2.
- Riedel, Bruce (2014). What We Won: America's Secret War in Afghanistan, 1979–1989. Brookings Institution Press. ISBN 978-0815725954.