สงครามกลางเมืองรัสเซีย
สงครามที่ต่อสู้กันหลายฝ่ายในอดีตจักรวรรดิรัสเซีย / From Wikipedia, the free encyclopedia
สงครามกลางเมืองรัสเซีย[lower-alpha 11] (7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1917 — 16 มิถุนายน ค.ศ. 1923) เป็นความขัดแย้งทางการเมืองที่ต่อสู้กันหลายฝ่ายในพื้นที่จักรวรรดิรัสเซียเดิม ซึ่งเหตุการณ์เริ่มต้นจากการล้มล้างอำนาจรัฐบาลชั่วคราวรัสเซียที่เป็นประชาธิปไตยสังคมนิยมในระหว่างการปฏิวัติเดือนตุลาคม โดยมีหลายฝ่ายที่ประสงค์จะแย่งชิงอำนาจเพื่อกำหนดอนาคตทางการเมืองของรัสเซีย ผลที่ตามมาจากความขัดแย้งนี้นำไปสู่การก่อตั้งสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซียและสหภาพโซเวียตในภายหลังในพื้นที่ส่วนใหญ่ของอดีตจักรวรรดิ สงครามกลางเมืองถือเป็นจุดสิ้นสุดของการปฏิวัติรัสเซียและเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในคริสต์ศวรรษที่ 20
สงครามกลางเมืองรัสเซีย | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ การปฏิวัติรัสเซีย | |||||||||
ตามเข็มนาฬิกาจากบน: ทหารแห่งกองทัพดอน; กองพันทหารราบรัสเซียขาวในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1920; ทหารแห่งกองทัพทหารม้าที่ 1; เลออน ทรอตสกี ใน ค.ศ. 1918; การแขวนคอคนงานในเยคาเตรีโนสลัฟโดยออสเตรีย | |||||||||
| |||||||||
คู่สงคราม | |||||||||
รัฐบอลเชวิคอื่น:
|
อื่น ๆ:
ผู้ถือคตินิยมการแยกตัวออก:
ฝ่ายมหาอำนาจกลาง:
กองกำลังอื่น ๆ:
| ||||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||||
วลาดีมีร์ เลนิน วลาดีมีร์ วอลสกี มารียา สปีรีโดโนวา นือกือฟอร์ ฮรือฮอริว † แนสตอร์ มัคนอ สเตปัน เปตรีเชนโก …และคนอื่น ๆ |
อะเลคซันดร์ เคเรนสกี ยูแซฟ ปิวซุดสกี เค.จี.อี. มันเนอร์เฮม ซือมอน แปตลูรา …และคนอื่น ๆ | ||||||||
กำลัง | |||||||||
|
กองกำลังท้องถิ่น:
อื่น ๆ:
อื่น ๆ:
อื่น ๆ:
|
ระบอบราชาธิปไตยรัสเซียยุติลงหลังการสละราชสมบัติของซาร์นีโคไลที่ 2 ในระหว่างการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ และประเทศเข้าสู่สถานะรัฐทวิอำนาจ ซึ่งความตึงเครียดของอำนาจควบคู่สิ้นสุดลงเมื่อเกิดการปฏิวัติเดือนตุลาคมที่นำโดยบอลเชวิค โดยได้ล้มล้างอำนาจของรัฐบาลชั่วคราวของสาธารณรัฐรัสเซียใหม่ บอลเชวิคเข้ายึดอำนาจโดยไม่ได้รับการรับรองในระดับสากลและสถานการณ์ภายในประเทศจุดประกายให้เกิดสงครามกลางเมือง ซึ่งสองกองกำลังที่ใหญ่ที่สุดประกอบด้วย กองทัพแดงที่ต่อสู้เพื่อการก่อตั้งรัฐสังคมนิยมซึ่งนำโดยบอลเชวิคของวลาดีมีร์ เลนิน และกองกำลังพันธมิตรอย่างหลวม ๆ ที่เรียกขานกันว่ากองทัพขาว ซึ่งเป็นแนวหลักของฝ่ายการเมืองที่ต่อต้านบอลเชวิคทั้งฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย นอกจากนี้ยังมีกลุ่มสังคมนิยมที่ขัดแย้งกับบอลเชวิค โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอนาธิปไตยยูเครนมัคนอวช์ชีนาและพรรคสังคมนิยมปฏิวัติฝ่ายซ้าย เช่นเดียวกันกับกองทัพเขียวซึ่งไม่ฝักใฝ่อุดมการณ์ใด ๆ ต่อต้านบอลเชวิค ขบวนการขาว และการแทรกแซงของต่างชาติ[7] มีทั้งหมดสิบสามชาติที่เข้าแทรกแซงประเทศเพื่อต่อต้านกองทัพแดง โดยที่โดดเด่นคือการแทรกแซงของฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งมีเป้าประสงค์หลักคือการสร้างแนวรบด้านตะวันออกของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอีกครั้ง สามชาติมหาอำนาจกลางได้เข้าแทรกแซงรัสเซียเช่นกัน เพื่อคานกับการแทรกแซงของฝ่ายสัมพันธมิตร โดยมีเป้าประสงค์หลักในการรักษาดินแดนที่พวกเขาได้รับในสนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์ที่ลงนามกับรัสเซียโซเวียต
ในช่วงแรกของสงคราม บอลเชวิคสามารถรวมอำนาจควบคุมเหนือพื้นที่ส่วนใหญ่ของอดีตจักรวรรดิ การลงนามในสนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์ ซึ่งเป็นการสงบศึกอย่างเร่งด่วนกับจักรวรรดิเยอรมัน ส่งผลให้รัสเซียถูกยึดครองดินแดนอันกว้างใหญ่ในระหว่างความโกลาหลจากการปฏิวัติ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1918 หน่วยทหารเชโกสโลวักในรัสเซียกระทำการกบฏในไซบีเรีย ซึ่งการตอบสนองต่อเหตุการณ์นี้ ฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มเข้าแทรกแซงรัสเซียเหนือและไซบีเรีย และได้รวมกับกองกำลังอื่นในการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวแห่งรัสเซียทั้งปวง ทำให้บอลเชวิคสูญเสียการควบคุมดินแดนเหลือเพียงพื้นที่ส่วนใหญ่ของรัสเซียยุโรปและบางส่วนของเอเชียกลาง ใน ค.ศ. 1919 กองทัพขาวดำเนินการรุกหลายแนวรบจากฝั่งตะวันออกในเดือนมีนาคม จากฝั่งใต้ในเดือนกรกฎาคม และฝั่งตะวันตกในเดือนตุลาคม อย่างไรก็ตาม การรุกของกองทัพขาวถูกตอบโต้จากการรุกกลับแนวรบด้านตะวันออก การรุกกลับแนวรบด้านใต้ และความพ่ายแพ้ของกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือ
ในระหว่าง ค.ศ. 1919 กองทัพขาวถอยทัพและในช่วงเริ่มต้น ค.ศ. 1920 ได้ปราชัยทั้งหมดสามแนวรบ[8] แม้ว่าบอลเชวิคจะเป็นฝ่ายชนะ แต่ขอบเขตของรัฐรัสเซียนั้นลดลง อันเนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่ใช่รัสเซียจำนวนมากถือโอกาสขณะประเทศระส่ำระสายผลักดันการประกาศเอกราชของชาติตนเอง[9] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1921 ระหว่างสงครามโปแลนด์–โซเวียต ได้มีการลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพรีกา ซึ่งแบ่งแยกดินแดนพิพาทในเบลารุสและยูเครนระหว่างสาธารณรัฐโปแลนด์กับรัสเซียโซเวียต ทางการโซเวียตพยายามที่จะรวมประเทศเอกราชทั้งหมดที่แยกตัวออกจากอดีตจักรวรรดิอีกครั้ง แต่ก็ประสบผลสำเร็จเพียงบางส่วนเท่านั้น เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ลัตเวีย และลิทัวเนียสามารถขับไล่การบุกครองของโซเวียตได้สำเร็จ ในขณะที่ยูเครน เบลารุส (อันเป็นผลมาจากสงครามโปแลนด์–โซเวียต) อาร์มีเนีย อาเซอร์ไบจาน และจอร์เจียถูกยึดครองโดยกองทัพแดง[10][11] ในระหว่าง ค.ศ. 1921 รัสเซียโซเวียตสามารถพิชิตขบวนการชาตินิยมยูเครนและยึดครองคอเคซัส แม้ว่ายังมีการก่อการกำเริบต่อต้านบอลเชวิคในเอเชียกลางที่ดำเนินไปจนกระทั่งปลายทศวรรษ 1920[12]
กองทัพภายใต้การบัญชาการของอะเลคซันดร์ คอลชัคถูกบีบบังคับให้ล่าถอยกำลังไปทางตะวันออก กองทัพแดงรุกหน้าต่อไปทางตะวันออก แม้จะพบการต้อต้านในชีตา ยาคุต และมองโกเลีย ในแนวรบทางใต้ กองทัพแดงสามารถแยกกองทัพดอนกับกองทัพอาสาสมัครและบีบบังคับให้อพยพไปยังโนโวรอสซีสค์ในเดือนมีนาคม และไปยังไครเมียในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1920 หลังจากนั้นมีการต่อต้านบอลเชวิคเป็นระยะ ๆ เป็นเวลาหลายปีกระทั่งการล่มสลายของกองทัพขาวในยาคูเตียในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1923 แต่ขบวนการบาสมาชิในเอเชียกลางและดินแดนฮาบารอฟสค์ยังคงดำเนินต่อกระทั่ง ค.ศ. 1934 สงครามกลางเมืองรัสเซียสร้างความเสียหายต่อมนุษยชาติเป็นอย่างมาก โดยมีผู้เสียชีวิตจากสงครามประมาณ 7 ถึง 12 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นพลเมืองทั้งสิ้น[13]