Loading AI tools
นักธุรกิจและนักการเมืองชาวไทย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (เกิด 5 กันยายน พ.ศ. 2523) ชื่อเล่น ทิม เป็นนักธุรกิจและอดีตนักการเมืองชาวไทย อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล เดิมสังกัดพรรคอนาคตใหม่ จากการเลือกตั้งทั่วไปใน พ.ศ. 2562 เขาเริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวงการเมืองจากการอภิปรายนโยบายทางการเกษตร "ปัญหากระดุม 5 เม็ด" ภายใต้รัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา[2] บุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ผ่านการจัดอันดับของนิตยสารไทม์[3]
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ | |
---|---|
พิธาในเดือนตุลาคม 2566 | |
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ | |
ดำรงตำแหน่ง 24 มีนาคม พ.ศ. 2562[lower-alpha 1] – 7 สิงหาคม พ.ศ. 2567 (5 ปี 136 วัน) | |
ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล | |
ดำรงตำแหน่ง 23 กันยายน พ.ศ. 2566 – 7 สิงหาคม พ.ศ. 2567 (0 ปี 319 วัน) | |
ที่ปรึกษา | วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร เดชรัต สุขกำเนิด |
หัวหน้าพรรคก้าวไกล | |
ดำรงตำแหน่ง 14 มีนาคม พ.ศ. 2563 – 15 กันยายน พ.ศ. 2566 (3 ปี 185 วัน) | |
ก่อนหน้า | โดยนิตินัย: ราเชนธร์ ติยะวัชรพงศ์ โดยพฤตินัย: ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (พรรคอนาคตใหม่) |
ถัดไป | ชัยธวัช ตุลาธน |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 5 กันยายน พ.ศ. 2523 กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย |
พรรคการเมือง | อนาคตใหม่ (2561–2563) ก้าวไกล (2563–2567) |
คู่สมรส | ชุติมา ทีปะนาถ (สมรส 2555; หย่า 2561) |
บุตร | 1 คน |
ศิษย์เก่า |
|
อาชีพ |
|
ทรัพย์สินสุทธิ | 85 ล้านบาท[1] (พ.ศ. 2566) |
ภายใต้การนำของพิธา พรรคก้าวไกลกลายเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2566 ด้วย 151 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลโดยผลักดันให้เขาได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบนายกรัฐมนตรีของรัฐสภาครั้งที่หนึ่งเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 พิธาขาด 51 คะแนน ในการเป็นนายกรัฐมนตรีคนถัดไป ต่อมาในวันที่ 19 กรกฎาคม เขาถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราวเหตุถือหุ้นสื่อไอทีวี รัฐสภายังมีมติห้ามไม่ให้พิธาได้รับพิจารณาเห็นชอบนายกรัฐมนตรีรอบที่สองในวันเดียวกัน และภายหลังจัดตั้งรัฐบาลเสร็จสิ้น ทำให้พรรคก้าวไกลมีสถานะเป็นพรรคฝ่ายค้าน แต่พิธาไม่สามารถเป็นผู้นำฝ่ายค้านได้เนื่องจากถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่อยู่ เขาจึงลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคเมื่อวันที่ 15 กันยายน โดยมีชัยธวัช ตุลาธน ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2567 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พิธากลับมาปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้อีกครั้ง
แต่ต่อมาในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 9:0 ยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิ์ทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 10 ปี[4] โดยมีจำนวน 11 คน ซึ่งพิธา เป็น 1 ใน 11 กรรมการบริหารพรรคที่ถูกตัดสิทธิ์
พิธาเกิดเมื่อวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2523[5] ในครอบครัวเชื้อสายไหหลำ[6] เขาเป็นบุตรชายคนโตในบรรดาพี่น้อง 2 คนของพงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับลิลฎา ลิ้มเจริญรัตน์ ลุงของเขา ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นอดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ช่วยคนสนิทของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี[7][8] และตามใจ ขำภโต อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นญาติฝ่ายมารดา[9] พิธามีน้องชาย 1 คนชื่อ ภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์[10] ยายของพิธาชื่ออนุศรี อนุรัฐนฤผดุง บุตรีของหลวงอนุรัฐนฤผดุง (แถม) และอนุศรีเป็นหลานปู่พระยาพิไชยบุรินทรา (ทิม) อนุศรีเคยสมรสกับเกษม อภัยวงศ์ บุตรชายของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) กับหม่อมลม้าย อันเป็นตระกูลขุนนางเขมรเก่าแก่จากเมืองพระตะบอง[11][12][13][14] ภายหลังทั้งสองได้หย่าร้าง และต่างสมรสใหม่ทั้งคู่ ซึ่งลิลฎาเป็นบุตรที่เกิดจากการสมรสครั้งหลังของอนุศรี ด้วยเหตุนี้พิธาจึงไม่มีความเกี่ยวดองทางเชื้อสายกับสกุลอภัยวงศ์[15]
พิธาเข้าศึกษาในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย แต่เป็นคนเกเร พงษ์ศักดิ์จึงส่งพิธาไปศึกษาต่อที่ประเทศนิวซีแลนด์เมื่ออายุ 11 ปี ในเมืองฮามิลตัน และอาศัยอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ฐานะปานกลาง พิธาเริ่มสนใจการเมืองจากการรับชมการอภิปรายรัฐสภาและทำให้เขาเริ่มฟังสุนทรพจน์ของจิม โบลเจอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์[16][17][18] นอกจากการศึกษาในโรงเรียน พิธาทำงานพิเศษเพื่อหาเงินใช้จากการปั่นจักรยานส่งหนังสือพิมพ์[19] เก็บสตรอว์เบอร์รี และรับจ้างพาสุนัขเดินเล่น[20] เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษา พิธาเข้าศึกษาต่อที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาการเงิน (ภาคภาษาอังกฤษ) จบปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง และจบที่มหาวิทยาลัยเท็กซัส ออสติน[21] พร้อมกันถึง 2 ปริญญานับเป็นคนไทยคนแรกที่จบ 2 มหาวิทยาลัยในไทยและเท็กซัสพร้อมกัน จากนั้นเข้าศึกษาต่อปริญญาโทที่วิทยาลัยการปกครองเคนเนดี มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในฐานะนักเรียนทุนต่างชาติชาวไทยคนแรก[22][23][24] ควบคู่กับการบริหารธุรกิจที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ ใน พ.ศ. 2554[8]
หลังการเสียชีวิตของบิดาด้วยภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด พิธาตัดสินใจพักการศึกษาและกลับมาประเทศไทยเพื่อดูแลธุรกิจน้ำมันรำข้าวที่เป็นหนี้ต่อ[16][25] สองปีหลังจากนั้นธุรกิจฟื้นตัวและทำให้พิธากลับไปยังสหรัฐเพื่อสำเร็จการศึกษาปริญญาโทต่อใน พ.ศ. 2554[26]
พิธายังเป็นกรรมการบริหารบริษัทแกร็บ ประเทศไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2560–2561[27]
พิธาก้าวเข้าสู่วงการเมืองด้วยการเป็นที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรี ประจำกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลัง[20] ต่อมาพิธาสมัครเป็นสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ด้วยการเชื้อเชิญของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค และเมื่อ พ.ศ. 2562 เขาได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรคในลำดับที่ 4[28][lower-alpha 2] และได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในครั้งแรกที่ลงรับเลือกตั้ง[30] โดยพิธาได้รับเลือกให้เป็นประธานคณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ในสัดส่วนของพรรคอนาคตใหม่[31]
เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 พิธาอภิปรายครั้งแรกในสภาประเด็นนโยบายทางการเกษตรของรัฐบาลประยุทธ์ โดยเฉพาะ "ปัญหากระดุม 5 เม็ด" ได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พิธาเสนอการแก้ปัญหาให้แก่เกษตรกรด้วยการติดกระดุม 5 เม็ด: ที่ดิน, หนี้สินการเกษตร, สารเคมีและการประกันราคาพืชผล, การแปรรูปและนวัตกรรม และการท่องเที่ยวเชิงเกษตร[30] จากการอภิปรายดังกล่าวของเขา พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวชื่นชมการอภิปรายของพิธาแม้จะอยู่คนละฝ่ายกัน[32][33]
ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ในวันที่ 8 มีนาคม พิธาย้ายไปสังกัดพรรคก้าวไกลร่วมกับอดีตสมาชิกพรรคอีก 54 คน[34][35] โดยพิธาได้ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรค[36]
หลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 ในวันที่ 15 พฤษภาคม พิธาประกาศว่าเขาพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีหลังจากที่พรรคก้าวไกลได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด และเชิญพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยพรรคการเมืองฝ่ายค้านในช่วงรัฐบาลประยุทธ์ทั้งหมดที่ได้รับการเลือกตั้ง พร้อมด้วยพรรคขนาดเล็กอีกจำนวนหนึ่งจัดตั้งรัฐบาลผสม[37]
ในวันที่ 18 พฤษภาคม พิธาพร้อมพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลดังกล่าว แถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของเขา โดยทุกพรรคพร้อมสนับสนุนพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี และจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU)[38] ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่นำมาใช้ในการจัดตั้งรัฐบาลในการเมืองไทย[39] พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลของพิธาจัดงานแถลงข่าวอีกครั้งเพื่อเปิดบันทึกความเข้าใจแก่สาธารณชนเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ในบันทึกความเข้าใจมีการบรรจุประเด็นสำคัญต่าง ๆ เช่น การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ผ่านสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ, สมรสเท่าเทียม, การปฏิรูปกองทัพและตำรวจ, การเกณฑ์ทหารแบบสมัครใจ, การกระจายอำนาจ และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เป็นต้น[40] ต่อมาพิธากล่าวว่าเขาได้ปรับนำกลยุทธ์หาเสียงของบารัก โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ พ.ศ. 2551 มาใช้ในการเลือกตั้งครั้งนี้[41] นอกจากที่พิธาและพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลของเขาต้องได้เสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร พิธายังต้องได้เสียงสนับสนุนจากทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิกในการได้รับพิจารณาให้ความเห็นชอบดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน[42]
หลังการเลือกตั้งทั่วไปและการประกาศจัดตั้งรัฐบาลผสมในเวลาต่อมาสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่จัดการประชุมสมัยสามัญประจำปีครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม เพื่อพิจารณาเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยพิธาได้ลุกขึ้นเสนอชื่อวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ เป็นประธานสภาฯ ด้วยตนเอง[43] ช่วงเวลาก่อนวันประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี พิธาและพรรคก้าวไกลจัดขบวนแห่ขอบคุณคะแนนเสียงสนับสนุนในกรุงเทพมหานคร[44] พิธายังขอเสียงสนับสนุนพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลของเขาจากสมาชิกรัฐสภา เพื่อให้เป็นไปตามอาณัติที่ประชาชนมอบให้ในการเลือกตั้งทั่วไปที่ผ่านมา[45]
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ปัดตก 3 คำร้องต่อพิธาเรื่องการครอบครองหุ้นสื่อไอทีวี บริษัทผู้ให้บริการโทรทัศน์[46] โดยรัฐธรรมนูญห้ามไม่ให้ผู้ใดที่ครอบครองหุ้นสื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง[47] อย่างไรก็ดี กกต. หันมาดำเนินคดีอาญาต่อพิธากรณีรู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติในการลงสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 151 ประกอบกับมาตรา 42(3) ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร[47][48] พิธาโต้แย้งว่าเขาเป็นผู้ถือหุ้นในฐานะผู้จัดการมรดกหลังการเสียชีวิตของบิดา ไอทีวียุติการออกอากาศใน พ.ศ. 2550 และถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยใน พ.ศ. 2557 ไอทีวีไม่มีรายได้จากการผลิตสื่อตลอดหลายปี แต่มีรายได้เล็กน้อยจากบริษัทย่อยที่ขอเช่าอุปกรณ์การออกอากาศ[47] พิธาเป็นหนึ่งในสมาชิกรัฐสภา 500 คน ที่กกต. ประกาศรับรองเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน แม้การสืบสวนยังคงดำเนินต่อไป[49]
เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ศาลรัฐธรรมนูญระบุว่าได้รับคำร้องของกกต. ขอให้พิจารณากรณีพิธาและพรรคก้าวไกล เสนอร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นความพยายามในการ "ล้มล้างระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"[50] กกต. ระบุว่าพิธาขาดคุณสมบัติในการเป็นสมาชิกรัฐสภา ขณะที่พิธากล่าวว่าขั้นตอนการดำเนินการของกกต. นั้นไม่ยุติธรรมและตัวเขาเองไม่ได้รับโอกาสในการชี้แจงก่อนจะยื่นคำร้องให้กับศาลรัฐธรรมนูญ[51] หนึ่งวันก่อนการพิจารณาในรัฐสภา พิธาเตือนสมาชิกรัฐสภาว่า "มันมีราคาที่ต้องจ่ายสูง" หากเขาไม่ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี[52]
เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเรียกประชุมเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี โดยการเสนอชื่อของชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พิธาเป็นคนเดียวของสมาชิกรัฐสภาที่ได้รับการเสนอชื่อ[53] แม้จะได้รับเสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งของสภาล่าง แต่พิธาไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากทั้งสองสภาในการพิจารณาครั้งแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวุฒิสภาที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2562[54][55] สมาชิกรัฐสภา 324 คน ลงคะแนนเสียงสนับสนุนเห็นชอบให้พิธาเป็นนายกรัฐมนตรี (311 คนเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และ 13 คน เป็นวุฒิสมาชิกที่รัฐบาลทหารแต่งตั้ง) 182 คน ไม่เห็นชอบ และ 199 คน งดออกเสียง จากผู้ลงคะแนนเสียงทั้งหมด 705 คน พิธาขาด 51 คะแนนจะได้กึ่งหนึ่งของทั้งสองสภา คือ 375 คะแนน ในการได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี[56][57] เกิดการประท้วงในเวลาต่อมาในช่วงเย็นหลังการพิจารณาเห็นชอบ ระบบการลงคะแนนเสียงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เป็นประชาธิปไตย และไม่เป็นไปตามอาณัติที่ประชาชนมอบให้[58][59] ความผิดพลาดของรัฐสภาในการได้มาซึ่งผู้จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทำให้หุ้นตก[60] หนังสือพิมพ์ข่าวสดอธิบายว่าการลงคะแนนเสียงว่าเป็นการ 'วางกับดักไว้ล่วงหน้า'[61] อย่างไรก็ดี พิธายังคงตั้งเป้าเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ และไม่หันหลังให้สัญญาที่ให้ไว้ว่าจะปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์[62][63]
การประท้วงต่อเนื่องไป โดยหลายคนต้องการให้วุฒิสมาชิกลาออก[64] เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พิธาประกาศว่าพรรคร่วมรัฐบาลของเขาตกลงที่จะเสนอชื่อของเขาในการพิจารณาเลือกรอบถัดไป ขณะเดียวกันยังกล่าวว่าเขายังพร้อมที่จะให้การสนับสนุนบุคคลจากพรรคเพื่อไทยในการได้รับการเสนอชื่อหากการพิจารณาเลือกรอบที่สองไม่สำเร็จ หรือเขาไม่สามารถได้เสียงสนับสนุนเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญด้วยเช่นกัน[65] เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม รัฐสภาเรียกประชุมพิจารณาเห็นชอบนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง[66] ในวันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องกรณีพิธาถือหุ้นสื่อไอทีวีอย่างเป็นเอกฉันท์ และยังมีมติ 7 ต่อ 2 สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยเป็นอื่น แต่การหยุดปฏิบัติหน้าที่ของเขาไม่ได้ทำให้ไม่สามารถถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีได้[67][68][69] ระหว่างการประชุมรัฐสภา พิธากล่าวรับทราบคำวินิจฉัยและออกจากโถงประชุม[70] ในการอภิปรายต่อมา รัฐสภามีมติไม่เห็นชอบให้เสนอชื่อเขาเป็นนายกรัฐมนตรีซ้ำอีกครั้งในรอบถัดไป[71] สมาชิกรัฐสภาจากพรรคเพื่อไทยเสนอชื่อพิธา[72] แต่ถูกโต้แย้งว่าขัดต่อข้อบังคับการประชุมรัฐสภาที่ห้ามไม่ให้เสนอญัตติซ้ำ[73][74][75][76] ในการลงคะแนนให้สามารถเสนอชื่อบุคคลซ้ำได้อีก มีผู้ให้ความเห็นชอบ 312 คน ไม่เห็นชอบ 394 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวุฒิสมาชิก และงดออกเสียง 8 คน โดยที่พิธาไม่ได้ลงคะแนนเสียง[74][77][78]
—พิธา ลิ้มเจริญรัตน์[79]
จากผลการลงคะแนนดังกล่าวในรัฐสภา พิธาไม่สามารถได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกจนกว่าจะถึงสมัยประชุมใหม่หลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งถัดไป[80] แม้พิธายังคงถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขาส่งสัญญาณเป็นนัยสนับสนุนบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี (แคนดิเดต) จากพรรคเพื่อไทย[81][82] เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2566 พรรคเพื่อไทยถอนตัวออกจากพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลของพิธา หลังพรรคก้าวไกลปฏิเสธที่จะล้มเลิกความพยายามแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตามที่ได้ให้คำมั่นไว้ในช่วงหาเสียง[83]
เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พิธาเริ่มหาเสียงให้กับสมาชิกพรรคที่ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมในเขตเลือกตั้งที่ 3 ของจังหวัดระยอง[84] หลังจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคก้าวไกลที่ชนะการเลือกตั้งในเขตดังกล่าวลาออก ซึ่งมีพรรคอื่นส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งด้วยเช่นกัน โดยคู่แข่งสำคัญในพื้นที่นี้คือพรรคประชาธิปัตย์[85]
เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (แคนดิเดต) จากพรรคเพื่อไทย คือ เศรษฐา ทวีสิน ชนะการลงมติให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของรัฐสภา[86] สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคก้าวไกลที่อยู่ในที่ประชุมทุกคน (149 คน) ลงมติไม่เห็นชอบให้เศรษฐาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[87]
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 106 ระบุว่า ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร จะต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นหัวหน้าพรรคที่มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุดในกลุ่มพรรคการเมืองที่ไม่มีสมาชิกเป็นรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร แต่ปดิพัทธ์ สันติภาดา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลกของพรรคก้าวไกล ยังคงดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ทำให้หัวหน้าพรรคก้าวไกลไม่สามารถดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านได้[88] และแม้ปดิพัทธ์จะลาออกหรือพ้นจากสมาชิกพรรคก้าวไกล พิธาซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกลก็ยังไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้นเมื่อวันที่ 15 กันยายน พิธาจึงประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคก้าวไกล เพื่อให้พรรคก้าวไกลดำเนินการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่มาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ เพื่อทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งจากการลาออกจากหัวหน้าพรรคของพิธาส่งผลให้คณะกรรมการบริหารชุดเดิมพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ โดยมีการเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่เมื่อวันที่ 23 กันยายน[89] เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน และกล่าวว่าจะต้องมีการ "ตรวจสอบและถ่วงดุล" รัฐบาล[90] ทั้งนี้ พิธายังกล่าวอีกว่าเขาจะยังมีบทบาทในการเมืองไทยและพรรคของเขา[91] ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแทน[92] และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ได้แต่งตั้งคณะที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เพื่อขับเคลื่อนภารกิจของพรรคนอกสภาเป็นหลัก โดยมีพิธาเป็นประธานที่ปรึกษา และมีที่ปรึกษาอีก 2 คน คือ วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ทีมเศรษฐกิจของพรรค และ เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต ซึ่งชัยธวัชกล่าวว่าการดำรงตำแหน่งของเขาเป็นส่วนหนึ่งของ "การปรับทัพชั่วคราว" และ "ยินดีที่จะลงจากตำแหน่งเมื่อสมาชิกภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพิธากลับมาอีกครั้ง"[93]
ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2567 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า สมาชิกภาพ สส. ของพิธาไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) เนื่องจากแม้พิธาจะถือหุ้นไอทีวีจริง โดยถือว่าแม้การถือหุ้นเพียงหุ้นเดียวก็ถือว่าเป็นการถือหุ้นตามความหมายในรัฐธรรมนูญแล้ว และเป็นการถือหุ้นในฐานะทายาทผู้รับมรดกนอกเหนือจากการเป็นผู้จัดการมรดกด้วย แต่ไม่พบการประกอบกิจการสื่อมวลชนของไอทีวี ในวันที่พิธาลงสมัครรับเลือกตั้ง สส. และแม้ไอทีวีจะชนะคดีที่ฟ้องร้องสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีในศาลปกครอง ก็ไม่สามารถทำให้บริษัทกลับมาประกอบธุรกิจสื่อได้อีก[94] ส่งผลให้พิธาสามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ สส. ได้ตามปกติในทันที โดยหลังการตัดสิน พิธาได้กล่าวว่า การกลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกครั้งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการประชุมพรรคสามัญประจำปีในเดือนเมษายนปีเดียวกัน[95] อย่างไรก็ตาม เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในสัปดาห์ถัดมาว่าพรรคก้าวไกลใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง จึงทำให้ในการประชุมพรรคสามัญประจำปีดังกล่าว ที่ประชุมได้มีมติให้เลื่อนการปรับเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรคออกไป เพื่อต่อสู้กับคดียุบพรรค จนกว่าคดีดังกล่าวจะมีข้อสรุป[96]
พิธาในบริบทการเมืองไทยได้รับการจัดว่าเป็นคนที่มีอุดมการณ์แบบก้าวหน้า (progressive)[97][98][99] พรรคก้าวไกลภายใต้การนำของเขาตั้งแต่ พ.ศ. 2563 ถูกจัดว่าเป็นการทำการเมืองแบบฝ่ายซ้ายกลางและก้าวหน้า[100]
พิธามักกล่าวถึงช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ. 2557 และ พ.ศ. 2566 ว่าเป็น "ทศวรรษที่สาบสูญ" ของประเทศไทยในแง่ของทั้งเศรษฐกิจและความเสื่อมถอยของประชาธิปไตย[101][102] พิธาเชื่อว่ากองทัพไทยมีอิทธิพลในการเมืองพลเรือนมากเกินไป และได้ให้คำมั่นว่าจะลดอิทธิพลนั้นลง พิธายังกล่าวว่าประเทศไทยจะต้อง "ลดขนาดกองทัพ"[103] พิธายังสัญญาว่าพรรคของเขาจะแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เป็นที่ครหา ซึ่งให้ความคุ้มครองประมุขจากคำวิจารณ์[104] ด้านนโยบายทางเศรษฐกิจ พิธาเชื่อในการยกเลิกการผูกขาด และการกระจายอำนาจในเศรษฐกิจ[105] เขายังกล่าวว่าเขาจะทำให้อุตสาหกรรมสุราเป็นเสรี[106][107]
พิธาสนับสนุนการผ่านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมและสิทธิในการให้ที่ลี้ภัย เขาได้เข้าร่วมไพรด์พาเรดในกรุงเทพมหานคร[108] พิธายังเชื่อในการเกณฑ์ทหารแบบสมัครใจ[109]
พิธามีจุดยืนในนโยบายต่างประเทศด้วยหลัก "3อาร์": รีไวฟ์ (revive, "ฟื้นฟู"), รีบาแลนซ์ (rebalance, "ปรับสมดุล") และ รีคอลิเบรต (recalibrate, "เปลี่ยนวิธีทำ")[110] เขายังระบุว่าประเทศไทยควรจะยืนหยัดในเวทีโลกและเปิดประเด็นพูดคุยกับประเทศมหาอำนาจ และคุณค่าทางประชาธิปไตยควรเป็นแกนหลักของนโยบายต่างประเทศ[111] พิธาประณามการรุกรานยูเครนของรัสเซียโดยเรียกท่าทีของรัฐบาลไทยว่า "สองหน้า"[112][113]
ในการสัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ พิธากล่าวว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจจาก ลี กวนยู นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ และเปรียบเทียบการเมืองว่าเป็นเหมือนการแข่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งระยะสั้น โดยระบุว่า "ผมมีพลังกายสำหรับการวิ่งระยะเวลานาน"[114] อีกหนึ่งบุคคลตัวอย่างทางการเมืองที่พิธากล่าวถึงคือเบอร์นี แซนเดอร์ส สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐ และมีหนังสือที่เขาเขียนชื่อ "It's OK To Be Angry About Capitalism" อีกด้วย[115][116]
พิธาสมรสกับ ชุติมา ทีปะนาถ นักแสดง เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555[117][118] ทั้งสองหย่าร้างในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562[119] ชุติมากล่าวอ้างกับสาธารณะว่าพิธาคอยควบคุมและละเมิดเธอตลอด[120] นักกิจกรรมสิทธิสตรีและผู้สนับสนุนประชาธิปไตยเรียกร้องให้พิธาออกมาพูดเกี่ยวกับคำกล่าวหานี้[121][120] ชุติมาส่งคำร้องฟ้องพิธาในข้อหาทำร้ายร่างกาย แต่ศาลเยาวชนและครอบครัวยกฟ้องและพิสูจน์ว่าไม่เป็นความจริง[122][123] ภายหลัง เธอกล่าวว่า "มีการทำร้ายร่างกายจริงแต่ไม่ถึงกับเป็นความรุนแรงในครอบครัว แต่ว่ามันก็กระทบจิตใจของเรา"[124] ตั้งแต่นั้น ชุติมาไม่ได้กล่าวถึงข้อกล่าวหาในอดีตและให้ความสนับสนุนงานการเมืองของพิธา[122][123] ทั้งสองมีบุตรสาวด้วยกันหนึ่งคนชื่อ พิพิม[124][125]
ใน พ.ศ. 2551 พิธาได้รับการเสนอชื่อเป็นหนึ่งใน "50 หนุ่มโสดในฝัน" (Most Eligible Bachelors) ของคลีโอ[8][126][127]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.