อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท
อุทยานประวัติศาสตร์ในประเทศไทย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อุทยานประวัติศาสตร์ในประเทศไทย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท เป็นอุทยานประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของประเทศไทยภายใต้การดูแลของกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาภูพาน ครอบคลุมพื้นที่ 3,430 ไร่ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่มีชื่อว่าป่าเขือน้ำ ท้องที่บ้านติ้ว ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี อยู่ห่างจากตัวจังหวัดเป็นระยะทางประมาณ 67 กิโลเมตร
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท * | |
---|---|
แหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก | |
หอนางอุสาภายในอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท | |
พิกัด | 17°43′51.8″N 102°21′22.6″E |
ประเทศ | ไทย |
ภูมิภาค ** | เอเชียและแปซิฟิก |
ส่วนหนึ่งของ | ภูพระบาท ประจักษ์พยานแห่งวัฒนธรรมสีมาสมัยทวารวดี |
ประเภท | มรดกทางวัฒนธรรม |
เกณฑ์พิจารณา | (iii), (v) |
อ้างอิง | 1507-001 |
ประวัติการขึ้นทะเบียน | |
ขึ้นทะเบียน | 2567 (คณะกรรมการสมัยที่ 46) |
พื้นที่ | 575.976 เฮกตาร์ |
พื้นที่กันชน | 568.078 เฮกตาร์ |
* ชื่อตามที่ได้ขึ้นทะเบียนในบัญชีแหล่งมรดกโลก ** ภูมิภาคที่จัดแบ่งโดยยูเนสโก |
เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 ยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทและแหล่งวัฒนธรรมสีมาวัดพระพุทธบาทบัวบานเป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมโดยใช้ชื่อว่า ภูพระบาท ประจักษ์พยานแห่งวัฒนธรรมสีมาสมัยทวารวดี (อังกฤษ: Phu Phrabat, a testimony to the Sīma stone tradition of the Dvaravati period) ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 46 ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย[1]
ชื่อ ภูพระบาท มีชื่อเรียกอื่นว่า ภูพาน หรือ ภูกูเวียน[2] ตามเรื่องราวใน ตำนานอุรังคธาตุ (โดยข้อสันนิษฐานของ ศ.พิเศษ ศรีศักร วัลลิโภดม และยุทธพงศ์ มาตย์วิเศษ) ทั้งนี้ชื่อภูพระบาทเป็นชื่อภูเขาขนาดเล็กชื่อหนึ่งในอำเภอบ้านผือ และยังเชื่อมต่อกับทิวเขาภูพานทางทิศเหนือ[3] อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.ธีระวัฒน์ แสนคำ เสนอว่า ข้อสันนิษฐานเดิมที่ว่าภูพระบาทคือภูกูเวียนอันเป็นที่อยู่ของสุวรรณนาคมีความน่าสงสัย ควรที่จะได้รับการทบทวนใหม่อีกครั้ง[2]
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทพบร่องรอยทางอารยธรรมของมนุษย์สมัยโบราณบนภูแห่งนี้ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์สืบมาถึงวัฒนธรรมสมัยทวารวดี สมัยลพบุรี สมัยล้านช้าง และสมัยรัตนโกสินทร์ตามลำดับ กำหนดอายุราว 3,000–2,500 ปีก่อนประวัติศาสตร์มาแล้ว[4] ร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางสังคมของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี เช่น การใช้สีแดงเขียนภาพสีภาพสลักบนผนังถ้ำซึ่งพบมากกว่า 54 แห่ง[5] การสลักหินรูปประติมากรรมพระพุทธรูปและเทวรูป การก่อสร้างศาสนสถานสมัยทวารวดีด้วยอิฐ เช่น ถ้ำพระ พระพุทธบาทบัวบก อาคารรอบพระพุทธบาทหลังเต่า รอยพระพุทธบาทสมัยทวารวดีและล้านช้าง การดัดแปลงเพิงผาธรรมชาติ เช่น หอนางอุสา ใบเสมาหินขนาดใหญ่ ภาพแกะสลักนูนต่ำ เป็นต้น สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มีเพียงส่วนน้อยที่เป็นสิ่งก่อสร้างด้วยฝีมือมนุษย์[4]
พื้นที่ภูพระบาทนับเป็นแหล่งสีมาที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในการทำหน้าที่เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในการประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนา และแสดงให้เห็นถึงการใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพทางธรณีวิทยาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์เป็นต้นมา ในฐานะของการเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์และพื้นที่ประกอบพิธีกรรม[6] ทั้งนี้การเผยแผ่ของพระพุทธศาสนาเริ่มเข้ามาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิราวพุทธศตวรรษที่ 5[7] จากการอพยพของชนเผ่าดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในดินแดนเอเชียใต้อันเนื่องมาจากการรุกรานของชาวอารยันรวมทั้งการรุกรานของพระเจ้าอโศกมหาราชในสมัยหลัง[8] แล้วเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนคาบสมุทรอินโดจีนและดินแดนสุวรรณภูมิ[7] ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 5 ถึงก่อนพุทธศตวรรษที่ 10 มีชนเผ่าที่อาศัยอยู่ทางใต้ของอินเดียอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งนับถือศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์[7] และยังมีชนชาติอื่น ๆ เข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นเจ้าครองดินแดนสุวรรณภูมิแห่งนี้ ด้วยเหตุนี้สิ่งก่อสร้างรวมถึงศาสนสถานต่าง ๆ สมัยทวารวดีที่ปรากฏหลายแห่ง เช่น ภูพระบาท อำเภอบ้านผือ มีศิลปะแบบอินเดียโบราณและมอญอยู่ด้วย[9]
ภูพระบาทตามความเชื่อของชาวอีสานและชาวลาวในอดีตได้นำศาสนสถานและร่องรอยโบราณสถานผูกเรื่องราวกับตำนานและวรรณกรรมของชาวลุ่มแม่น้ำโขง[4] ได้แก่ ตำนานอุรังคธาตุ ตำนานพระเจ้าเลียบโลก ซึ่งกล่าวถึงพระพุทธเจ้าเสด็จมายังลุ่มแม่น้ำโขงมาโปรดสัตว์ที่ภูพระบาทอันเป็นที่อยู่ของพญานาค 2 ตน แล้วประทับรอยพระพุทธบาทไว้สำหรับสักการบูชา ได้แก่ รอยพระพุทธบาทบัวบกและรอยพระพุทธบาทบัวบาน หรือวรรณกรรมอีสานพื้นบ้านเรื่อง พระกึดพระพาน มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับภูพระบาท เช่น นางอุสา ท้าวบารส เป็นต้น ตำนานและวรรณกรรมพื้นบ้านเหล่านี้ล้วนได้รับอิทธิพลมาจากภูพระบาทต่อความเชื่อและจิตใจของชาวอีสานมาช้านาน[4]
คณะสำรวจโครงการผามอง กรมศิลปากร ได้สำรวจแหล่งโบราณคดีภูพระบาทตั้งแต่ พ.ศ. 2515 เป็นต้นมา[10] พบว่ามีโบราณสถานทั้งสิ้น 68 แห่ง แบ่งเป็นโบราณสถานสมัยก่อนประวัติศาสตร์ 45 แห่ง สิ่งก่อสร้างซึ่งส่วนใหญ่ดัดแปลงเพิงหินธรรมชาติให้เป็นศาสนสถาน 23 แห่ง ร่องรอยการค้นพบทางด้านโบราณคดีของอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทแบ่งตามยุคสมัย ได้แก่[4]
ต่อมา เดโช สวนานนท์ อธิบดีกรมศิลปากรในขณะนั้นได้ดำเนินการขึ้นทะเบียนโบราณสถานพระพุทธบาทบัวบกที่ภูพระบาทเมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2524 ตาม ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง กำหนดที่ดินโบราณสถาน ลงใน ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 98 ตอนที่ 63 เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2524[12] แล้วจึงริเริ่มดำเนินการอนุรักษ์พัฒนาเรื่อยมาจนแล้วเสร็จเพื่อเปิดให้เป็นแหล่งเรียนรู้และการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ต่อมากรมศิลปากรได้ประกาศโบราณสถานภูพระบาทให้เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทเมื่อ พ.ศ. 2532 และกรมป่าไม้ได้อนุญาตให้กรมศิลปากรเข้าทำประโยชน์และพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534[4] ในโอกาสนี้ได้รับพระกรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (พระอิสริยยศในขณะนั้น) เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นประธานในพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2535 เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย[10]
การจำแนกกลุ่มตำแหน่งโบราณสถานที่ค้นพบในอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท แบ่งออกเป็น 9 กลุ่มใหญ่[10]: 9–11 ดังนี้
แม้ว่าสมัยพุทธศตวรรษที่ 16–18 เคยมีขอมแผ่อิทธิพลเข้ามาถึงดินแดนอีสานตอนบน แต่กลับไม่พบสิ่งก่อสร้างหรือศิลปกรรมที่เป็นลัทธิเทวราชาซึ่งเป็นคติความเชื่อมาจากขอมในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทเลย[13]
สภาพภูมิประเทศของภูพระบาทมีลักษณะเป็นโขดหินและเพิงผาที่กระจัดกระจายอยู่เป็นจำนวนมาก เกิดจากการผุพังสลายตัวของหินทราย ซึ่งมีเนื้อหินที่แข็งแกร่งแตกต่างกัน ระหว่างชั้นของหินที่เป็นทรายแท้ ๆ ซึ่งมีความแข็งแกร่งมาก กับชั้นที่เป็นทรายปนปูนซึ่งมีความแข็งแกร่งน้อยกว่า นาน ๆ ไปจึงเกิดเป็นโขดหินและเพิงผารูปร่างแปลก ๆ ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ประมาณ 2,000–3,000 ปีมาแล้ว ผู้คนในสมัยนั้นดำรงชีวิตด้วยการเก็บของป่าและล่าสัตว์เป็นอาหาร เมื่อขึ้นมาพักค้างแรม อยู่บนโขดหินและเพิงผาธรรมชาติเหล่านี้ก็ได้ใช้เวลาว่างขีดเขียนภาพต่าง ๆ เช่น ภาพคน ภาพสัตว์ ภาพฝ่ามือ ตลอดจนภาพลายเส้นสัญลักษณ์ต่าง ๆ ไว้บนผนังเพิงผาที่ใช้พักอาศัย ในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทปรากฏภาพเขียนสีเหล่านี้เป็นจำนวนมาก เช่นที่ถ้ำวัว–ถ้ำคนและภาพเขียนสีโนนสาวเอ้ ซึ่งยังคงเป็นปริศนาให้ผู้คนในชั้นหลังค้นหาความหมายที่แท้จริงต่อไป
สถานที่สำคัญในอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ได้แก่
กรมศิลปากรได้ดำเนินการขอใช้พื้นที่ป่าสงวนจำนวน 3,430 ไร่ จากกรมป่าไม้ โดยได้ประกาศขึ้นทะเบียนเขตโบราณสถานไว้ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 98 ตอนที่ 63 เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2524 จากนั้นจึงได้พัฒนาแหล่งจนกลายเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทในที่สุด
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทอยู่ห่างจากตัวจังหวัดอุดรธานี 55 กิโลเมตร[4]: 3, 374 โดยเดินทางจากตัวจังหวัดไปตามถนนมิตรภาพช่วงอุดรธานี–หนองคาย จนถึงหลักกิโลเมตรที่ 13 เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2021 ระยะทาง 43 กิโลเมตรถึงอำเภอบ้านผือ แล้วเดินทางจากตัวอำเภอบ้านผือ (มีป้ายบอกเส้นทางไปอุทยานฯ) ตรงไปอีก 12 กิโลเมตร จึงจะถึงที่ตั้งอุทยานฯ[4]: 3, 374
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.