Loading AI tools
เรือโดยสารข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกของอังกฤษ (ค.ศ. 1906–1934) จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย (อังกฤษ: RMS Mauretania) หรือชื่อเต็มคือ เรือไปรษณีย์หลวงมอริเทเนีย (Royal Mail Steamer Mauretania) เป็นเรือเดินสมุทรสัญชาติอังกฤษของสายการเดินเรือคูนาร์ด ออกแบบโดยเลนเนิร์ด เพสเกตต์ และสร้างโดยบริษัทสวอนฮันเตอร์แอนด์วิกแฮม ริชาร์ดสัน (Swan Hunter & Wigham Richardson) ปล่อยลงน้ำในช่วงบ่ายของวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1906 และได้เป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกจนกระทั่งอาร์เอ็มเอส โอลิมปิกเปิดตัวในปี ค.ศ. 1910[3] มอริเทเนียได้รับรางวัลบลูริบบันด์ (Blue Riband) สำหรับการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปทางตะวันออกในเที่ยวกลับครั้งแรกในเดือนธันวาคมปี ค.ศ. 1907 จากนั้นก็ได้รับรางวัลอีกครั้งสำหรับการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปทางตะวันตกที่เร็วที่สุดในฤดูการเดินเรือปี ค.ศ. 1909 และถือครองสถิติทั้งสองนั้นเป็นเวลา 20 ปี[3]
ประวัติ | |
---|---|
สหราชอาณาจักร | |
ตั้งชื่อตาม | มณฑลมอริเทเนีย |
เจ้าของ |
|
ผู้ให้บริการ | คูนาร์ดไลน์ |
เส้นทางเดินเรือ | เซาแธมป์ตัน – โคฟ – นครนิวยอร์ก |
อู่เรือ | สวอนฮันเตอร์ แอนด์วิกแฮม ริชาร์ดสัน, นอร์ทัมเบอร์แลนด์, อังกฤษ |
Yard number | 367 |
ปล่อยเรือ | 18 สิงหาคม 1904 |
สร้างเสร็จ | 11 พฤศจิกายน 1907 |
Maiden voyage | 16 พฤศจิกายน 1907 |
บริการ | 1907–1934 |
หยุดให้บริการ | กันยายน 1934 |
รหัสระบุ |
|
ความเป็นไป | ปลดระวางในปี 1934 และถูกแยกชิ้นส่วนในปี 1935 ที่รอสไฟฟ์ สกอตแลนด์ |
ลักษณะเฉพาะ | |
ชั้น: | ชั้นลูซิเทเนีย |
ประเภท: | เรือเดินสมุทร |
ขนาด (ระวางขับน้ำ): | 31,938 ตัน |
ความยาว: | 790 ฟุต (240.8 เมตร) |
ความกว้าง: | 88 ฟุต (26.8 เมตร) |
ความสูง: | 144 ฟุต (43.9 เมตร) จากกระดูกงูถึงปลายปล่องควัน |
กินน้ำลึก: | 33 ฟุต 6 นิ้ว (10.2 เมตร) |
ดาดฟ้า: | 8 ชั้น |
ระบบพลังงาน: | กังหันไอน้ำพาร์สันส์ (Parsons) แบบขับเคลื่อนใบจักรโดยตรง (แรงดันสูง 2 เครื่อง แรงดันต่ำ 2 เครื่อง) ให้กำลังรวม 76,000 แรงม้า (57,000 กิโลวัตต์) ก่อนจะเพิ่มเป็น 90,000 แรงม้า (67,000 กิโลวัตต์) ในปี 1929 |
ระบบขับเคลื่อน: | ใบจักรปีก 4 ใบ จำนวน 4 เพลา |
ความเร็ว: |
ความเร็วบริการ: 25 นอต (46 กม./ชม.; 29 ไมล์ต่อชม.) ความออกแบบ: 28 นอต (52 กม./ชม.; 32 ไมล์ต่อชม.)[1][2] |
ความจุ: |
2,165 คน แบ่งเป็น:
|
ลูกเรือ: | 802 คน[1] |
หมายเหตุ: | เป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี 1907 และ เรือที่เร็วที่สุดในโลก 1910 |
ชื่อเรือนำมาจากชื่อมณฑลมอริเทเนียของโรมันโบราณ ซึ่งอยู่บนชายฝั่งแอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่ใช่ประเทศมอริเตเนียในสมัยใหม่ที่อยู่ทางใต้อย่างที่เข้าใจกัน[4] ชื่อของอาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย ซึ่งเป็นเรือคู่แฝดก็ใช้แนวทางเดียวกัน โดยตั้งชื่อตามมณฑลลูซิเทเนียของโรมันโบราณที่อยู่เหนือมณฑลมอริเทเนีย ตรงข้ามช่องแคบยิบรอลตาร์
อาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย ให้บริการจนถึงเดือนกันยายน ค.ศ. 1934 แล้วจึงปลดระวาง และขายแยกชิ้นส่วนในเมืองรอสไฟฟ์ ประเทศสกอตแลนด์ในปี ค.ศ. 1935
ในปี ค.ศ. 1897 เรือเดินสมุทรเยอรมัน เอสเอส ไกเซอร์ วิลเฮล์ม แดร์โกรส (SS Kaiser Wilhelm der Grosse) ได้ขึ้นแท่นเป็นเรือที่ใหญ่และเร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็ว 22 นอต (41 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 25 ไมล์ต่อชั่วโมง) และชิงรางวัลบลูริบบันด์ไปจากเรือคัมปาเนีย และลูเคเนียของคูนาร์ดไลน์ ส่งผลให้เยอรมันครองความยิ่งใหญ่ในเส้นทางเดินเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก และภายในปี 1906 พวกเขาก็มีเรือเดินสมุทรสี่ปล่องไฟขนาดใหญ่ 5 ลำให้บริการ โย 4 ลำในนั้นเป็นของสายการเดินเรือนอร์ทด็อยท์เชอร์ล็อยท์
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง เจ. เพียร์พอนต์ มอร์แกน นักการเงินชาวอเมริกัน ได้จัดตั้งบริษัท International Mercantile Marine Co. (IMM) ขึ้นเพื่อผูกขาดอุตสาหกรรมการเดินเรือ และได้เข้าซื้อกิจการสายการเดินเรือไวต์สตาร์ไลน์ ซึ่งเป็นบริษัทเดินเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกขนาดใหญ่อีกหนึ่งแห่งของอังกฤษไปแล้ว[5]
เพื่อต่อกรกับภัยคุกคามเหล่านี้ คูนาร์ดไลน์มุ่งมั่นที่จะยึดคืนศักดิ์ศรีความเป็นผู้นำในด้านการเดินทางทางทะเลอีกครั้ง ไม่เพียงแต่เพื่อบริษัทเท่านั้น แต่ยังเพื่อสหราชอาณาจักรด้วย[5][6] ในปี 1902 คูนาร์ดไลน์และรัฐบาลอังกฤษได้ตกลงที่จะสร้างเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ 2 ลำได้แก่ ลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย[5] โดยกำหนดความเร็วในการบริการอย่างน้อยไว้ที่ 24 นอต (44 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 28 ไมล์ต่อชั่วโมง) รัฐบาลอังกฤษได้ให้เงินกู้ยืมแก่บริษัทฯ เป็นจำนวน 2,600,000 ปอนด์ (เทียบเท่ากับ 281 ล้านปอนด์ ในปี 2019) เพื่อใช้ในการต่อเรือ[7] โดยคิดอัตราดอกเบี้ย 2.75% และต้องชำระคืนภายในระยะเวลา 20 ปี ทั้งนี้มีข้อกำหนดว่าเรือทั้งสองลำนี้ต้องสามารถเปลี่ยนเป็นเรือลาดตระเวนติดอาวุธได้หากจำเป็น[8] กระทรวงทหารเรือยังจัดสรรเงินเพิ่มเติมให้แก่บริษัทฯ โดยจ่ายเงินเพิ่มเป็นรายปีให้กับเงินอุดหนุนค่าส่งจดหมาย[8][9]
มอริเทเนียและลูซิเทเนียได้รับการออกแบบโดยเลนเนิร์ด เพสเกตต์ (Leonard Peskett) นาวาสถาปนิกประจำคูนาร์ดไลน์ โดยมีอู่ต่อเรือของบริษัทสวอนฮันเตอร์ (Swan Hunter) และจอห์นบราวน์ (John Brown) ทำการสร้างตามแบบแผนเรือเดินสมุทรความเร็วสูงที่กำหนดความเร็วในการบริการไว้ที่ 24 นอตในสภาพอากาศปกติ ตามข้อกำหนดของสัญญาเงินอุดหนุนไปรษณีย์ การออกแบบเดิมของเพสเกตต์ในปี 1902 สำหรับเรือลำนี้เป็นแบบสามปล่องไฟ ตามแบบของเรือที่ใช้เครื่องจักรลูกสูบ แต่ต่อมาคูนาร์ดได้ตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีกังหันไอน้ำใหม่ของพาร์ซันส์ ส่งผลให้ต้องปรับเปลี่ยนการออกแบบอีกครั้ง เพสเกตต์จึงเพิ่มปล่องไฟเป็น 4 อัน การวางกระดูกงูของเรือลำนี้เริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม 1904[10] ตามธรรมเนียมแล้ว ตัวเรือมักจะถูกทาด้วยสีเทาอ่อนเพื่อใช้ในการถ่ายภาพตอนปล่อยเรือลงน้ำ ซึ่งเป็นเรื่องปกติในสมัยนั้นสำหรับเรือลำแรกของชั้นใหม่ การทาสีเทาอ่อนจะช่วยให้มองเห็นเส้นสายของตัวเรือได้ชัดเจนขึ้นในภาพถ่ายขาวดำ หลังจากการเดินทางเที่ยวแรก ตัวเรือของมอริเทเนียก็ถูกทาสีดำตามปกติ[11]
วันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1906 มอริเทเนียถูกทำพิธีปล่อยโดยดัชเชสแห่งร็อกซ์เบิร์ก[12] ในเวลานั้นเรือลำนี้เป็นโครงสร้างเคลื่อนที่ได้ที่ใหญ่ที่สุดที่เคยสร้างมา[13] มีระวางบรรทุกมากกว่าลูซิเทเนียเล็กน้อย ความแตกต่างด้านรูปลักษณ์ระหว่างเรือทั้งสองลำคือ มอริเทเนียยาวกว่า 5 ฟุต (1.5 เมตร) และมีช่องระบายอากาศที่ต่างกัน[14] มอริเทเนียมีใบพัดกังหันไอน้ำเพิ่มเติมอีกสองชุดที่กังหันด้านหน้า ทำให้มีความเร็วมากกว่าลูซิเทเนียเล็กน้อย ทั้งมอริเทเนียและลูซิเทเนียเป็นเรือเพียงลำเดียวที่ใช้กังหันไอน้ำแบบขับใบจักรโดยตรงเพื่อคว้ารางวัลบลูริบบันด์ ในขณะที่เรือรุ่นหลัง ๆ มักจะใช้กังหันไอน้ำแบบมีเฟืองทดรอบ[15] การใช้กังหันไอน้ำของมอริเทเนียนับเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในขณะนั้นซึ่งคิดค้นโดยชาลส์ อัลเจอร์นอน พาร์ซันส์ (Charles Algernon Parsons) และถือเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้ที่ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา[16] แต่ในระหว่างการทดสอบความเร็ว เครื่องยนต์เหล่านี้มีการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงที่ความเร็วสูง เพื่อแก้ไขปัญหานี้ มอริเทเนียจึงได้รับการติดตั้งชิ้นส่วนเสริมความแข็งแรงที่ท้ายเรือและใบจักรที่ออกแบบใหม่ก่อนเข้าประจำการ ซึ่งช่วยลดการสั่นสะเทือน[17]
เพื่อให้ตรงกับรสนิยมสมัยเอ็ดเวิร์ด ภายในเรือได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง แฮโรลด์ พีโต (Harold Peto) ห้องโถงสาธารณะได้รับการตกแต่งอย่างโดยบริษัทออกแบบชั้นนำสองแห่งจากลอนดอนได้แก่ Ch. Mellier & Sons และ Turner and Lord[18][19] วัสดุที่ใช้ในการตกแต่งนั้นล้วนคัดสรรมาอย่างดีเยี่ยม ด้วยไม้ถึง 28 ชนิด หินอ่อน ผ้าทอสุดวิจิตร และเฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ เช่น โต๊ะแปดเหลี่ยมอันน่าตื่นตาในห้องสูบบุหรี่[18][20]
ห้องรับรองชั้นหนึ่งของเรือลำนี้มีการกล่าวอ้างว่า ผนังไม้ถูกแกะสลักโดยช่างฝีมือชาวปาเลสไตน์ถึง 300 คน ซึ่งดูเหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้ ไม่จำเป็น และน่าจะดำเนินการโดยอู่ต่อเรือเองหรือว่าจ้างช่วงต่อเหมือนกับห้องพักชั้นสองและชั้นสามส่วนใหญ่[21] ห้องอาหารชั้นหนึ่งบนมอริเทเนียมีหลายชั้น ตกแต่งด้วยไม้โอ๊กสีฟางสไตล์ฝรั่งเศสสมัยฟรานซิสที่ 1 มีหลังคาเป็นโดมขนาดใหญ่ส่องแสงจากด้านบน[20] บนเรือมีลิฟต์หลายตัวซึ่งเป็นสิ่งใหม่ที่หายากสำหรับเรือในยุคนั้น ประตูลิฟต์ทำจากอะลูมิเนียมซึ่งเป็นวัสดุเบาและเพิ่งมีการนำมาใช้ ติดตั้งขนาบข้างบันไดเวียนขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้วอลนัท[20] จุดเด่นใหม่ของเรือคือ Verandah Café บนดาดฟ้าชั้นเรือบด ที่นี่ผู้โดยสารสามารถนั่งจิบเครื่องดื่มในบรรยากาศปลอดลมฟ้าอากาศ แต่ทว่าก็ถูกปิดล้อมภายในหนึ่งปีต่อมา เนื่องจากพบว่าใช้งานจริงได้ยาก[18]
เรือชั้นโอลิมปิกของไวต์สตาร์ไลน์มีความยาวมากกว่าเกือบ 30 เมตร (100 ฟุต) และกว้างกว่าเรือลูซิเทเนีย และมอริเทเนียเล็กน้อย ทำให้เรือของไวต์สตาร์มีน้ำหนักรวมมากกว่าเรือของคิวนาร์ดประมาณ 15,000 ตัน
เรือลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย เปิดตัวและให้บริการก่อนที่เรือโอลิมปิก ไททานิก และบริแทนนิก จะพร้อมให้บริการเป็นเวลาหลายปี แม้ว่าจะมีความเร็วมากกว่าเรือชั้นโอลิมปิกอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่เพียงพอที่จะทำให้สายการเดินเรือให้บริการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกสองลำต่อสัปดาห์จากแต่ละฝั่งของมหาสมุทร จึงจำเป็นต้องมีเรือลำที่สามสำหรับให้บริการรายสัปดาห์ และเพื่อตอบโต้แผนการสร้างเรือชั้นโอลิมปิกทั้งสามลำที่ของไวต์สตาร์ คิวนาร์ดจึงสั่งต่อเรือลำที่สามชื่อว่า แอควิเทเนีย (Aquitania) ซึ่งจะมีความเร็วที่ต่ำกว่าเล็กน้อย แต่มีขนาดใหญ่กว่าและหรูหรากว่า[ต้องการอ้างอิง]
เรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิกมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่าลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย เช่น สระว่ายน้ำ ห้องอาบน้ำแบบตุรกี โรงยิม สนามสควอช ห้องรับแขกขนาดใหญ่ ร้านอาหารตามสั่งแยกจากห้องอาหาร และห้องนอนพร้อมห้องน้ำส่วนตัวมากกว่าเรือของคิวนาร์ดทั้งสองลำ[ต้องการอ้างอิง]
แรงสั่นสะเทือนอย่างหนักซึ่งเป็นผลพลอยได้จากเครื่องยนต์กังหันไอน้ำสมัยใหม่ทั้ง 4 ตัวในเรือลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย ได้ส่งผลกระทบต่อเรือทั้งสองลำเมื่อแล่นด้วยความเร็วสูงสุด แรงสั่นสะเทือนจะรุนแรงมากจนส่วนผู้โดยสารชั้นสองและสามไม่สามารถอยู่อาศัยได้[22] ในทางตรงกันข้าม เรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิกเลือกความประหยัดมากกว่าความเร็ว โดยการติดตั้งเครื่องยนต์ลูกสูบแบบดั้งเดิม 2 ตัว และกังหันสำหรับใบจักรกลาง ด้วยน้ำหนักที่มากขึ้นและความกว้างที่กว้างขึ้น เรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิกจึงมีความเสถียรมากขึ้นในทะเลและมีแนวโน้มที่จะโคลงน้อยลง
ลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย มีหัวเรือที่ตรง ซึ่งต่างจากหัวเรือแบบทำมุมของเรือชั้นโอลิมปิก ออกแบบมาเพื่อให้เรือสามารถพุ่งผ่านคลื่นได้ แทนที่จะพุ่งขึ้นไปบนยอดคลื่น ผลที่ตามมาที่คาดไม่ถึงก็คือเรือของคิวนาร์ดจะขว้างไปข้างหน้าอย่างน่าตกใจ แม้จะอยู่ในสภาพอากาศที่สงบ ทำให้คลื่นขนาดใหญ่สาดเข้าหัวเรือและส่วนหน้าของโครงสร้างส่วนบน (superstructure)[23]
เรือชั้นโอลิมปิกยังแตกต่างจากเรือลูซิเทเนีย และมอริเทเนียในเรื่องกำแพงกั้นน้ำ เรือของไวต์สตาร์ถูกแบ่งด้วยกำแพงกั้นน้ำตามขวาง ในขณะที่ลูซิเทเนียก็มีกำแพงกั้นตามขวางเช่นเดียวกัน แต่ยังมีกำแพงกั้นตามยาว ระหว่างหม้อไอน้ำและห้องเครื่องยนต์ และคลังถ่านหินที่ด้านนอกของเรือ คณะกรรมาธิการอังกฤษที่สอบสวนการอับปางของเรือไททานิกในปี 1912 ได้ฟังคำให้การเกี่ยวกับน้ำท่วมคลังถ่านหินที่วางอยู่นอกกำแพงกั้นน้ำตามยาว ด้วยความยาวที่มาก เมื่อเรือถูกน้ำท่วม สิ่งเหล่านี้อาจเพิ่มความเอียงของเรือ และทำให้เรือสำรองที่อยู่อีกด้านหนึ่งลดระดับลงไม่ได้[24] นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูซิเทเนียในภายหลัง นอกจากนี้ เสถียรภาพของเรือยังไม่เพียงพอต่อการจัดกําแพงกั้นน้ำที่ใช้ น้ําท่วมคลังถ่านหินเพียง 3 แห่งในด้านหนึ่งอาจทําให้ความสูงจุดเปลี่ยนศูนย์เสถียร (Metacentric Height) เป็นลบ[25] ในทางกลับกัน เรือไททานิกมีความเสถียรมากพอที่จะจมลงด้วยความลาดเอียงเพียงไม่กี่องศา การออกแบบของไททานิกทำให้ความเสี่ยงที่น้ำจะท่วมไม่สม่ำเสมอและอาจพลิกคว่ำนั้นมีน้อยมาก[26]
เรือลูซิเทเนียมีเรือชูชีพไม่เพียงพอสำหรับทุกคนบนเรือในการเดินทางครั้งแรก (น้อยกว่าที่ไททานิก 4 ลำ) ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติทั่วไปสำหรับเรือโดยสารขนาดใหญ่ในขณะนั้น เนื่องจากมีความเชื่อว่าเส้นทางเดินเรือที่พลุกพล่านจะมีความช่วยเหลืออยู่ใกล้ ๆ เสมอ และเรือชูชีพที่มีอยู่ไม่กี่ลำก็เพียงพอที่จะส่งทุกคนไปยังเรือที่มาช่วยเหลือก่อนที่เรือจะจม
หลังจากเรือไททานิกอับปาง เรือลูซิเทเนียและมอริเทเนียได้ติดตั้งเรือชูชีพเพิ่มอีก 6 ลำบนดาวิต (davit; เครนแขวนเรือชูชีพชนิดหนึ่ง) ส่งผลให้มีเรือชูชีพทั้งหมด 22 ลำที่ติดตั้งบนดาวิต เรือชูชีพที่เหลือได้รับการเสริมด้วยเรือชูชีพแบบพับได้ 26 ลำ โดย 18 ลำเก็บไว้ใต้เรือชูชีพปกติโดยตรง และอีก 8 ลำอยู่บนดาดฟ้าเรือ ถูกสร้างขึ้นด้วยพื้นไม้กลวงและด้านข้างเป็นผ้าใบ จำเป็นต้องประกอบในกรณีที่ต้องใช้[27]
เรือมอริเทเนียออกเดินทางเที่ยวแรกจากลิเวอร์พูลในวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1907 ภายใต้การบัญชาของกัปตันจอห์น พริทชาร์ด (John Pritchard) แต่ไม่สามารถทำลายสถิติความเร็วข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้เนื่องจากเกิดพายุรุนแรงที่ทำให้สมอสำรองหลุดออก และเรือยังได้รับความเสียหายเล็กน้อยที่ส่วนบนของเรือ อย่างไรก็ตาม ในการเดินทางกลับเที่ยวแรก (30 พฤศจิกายน – 5 ธันวาคม 1907) เรือได้ทำลายสถิติการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกขาไปที่เร็วที่สุดด้วยความเร็วเฉลี่ย 23.69 นอต (43.87 กม./ชม.)[3]
ในวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1907 เรือมอริเทเนียกลับมาเทียบท่าที่นครนิวยอร์กอีกครั้ง ณ ท่าเทียบเรือหมายเลข 54 บริเวณแม่น้ำนอร์ท แต่เกิดเหตุการณ์พายุลมแรงกระทันหัน ทำให้เสาเทียบเรือที่ท่าหมายเลข 54 พังเสียหาย เรือมอริเทเนียลอยออกจากท่าไปบางส่วน หัวเรือหันไปกระแทกกับเรือบรรทุกสินค้าหลายลำที่กำลังนำถ่านหินมาส่งและขนขี้เถ้าออก ในคดีความที่ตามมา บริษัทคูนาร์ดไลน์เจ้าของเรือมอริเทเนียถูกตัดสินว่าต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น[28][29]
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1909 เรือมอริเทเนียสามารถคว้ารางวัลบลูริบันด์ สำหรับการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกขาไปที่เร็วที่สุดได้ ซึ่งเป็นสถิติที่คงอยู่นานกว่าสองทศวรรษ[3] ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1911 เรือก็ประสบเหตุซ้ำอีกเช่นเดียวกับเหตุการณ์ก่อนหน้าในปี 1909 สายสมอของเรือขาดขณะอยู่ที่แม่น้ำเมอร์ซีย์ ส่งผลให้เรือได้รับความเสียหาย และทำให้การเดินทางพิเศษช่วงเทศกาลคริสต์มาสไปนครนิวยอร์กต้องถูกยกเลิก คูนาร์ดไลน์ตอบสนองต่อสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ด้วยการส่งเรือลูซิเทเนียที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากนิวยอร์กไปทำหน้าที่แทน ภายใต้การบัญชาของกัปตันเจมส์ ชาลส์ (James Charles)[30]
วันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1912 เรือมอริเทเนียเริ่มออกเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกขาไปจากลิเวอร์พูลไปนิวยอร์ก และเทียบท่าอยู่ที่เมืองควีนส์ทาวน์ ประเทศไอร์แลนด์ ในช่วงเวลาที่เรืออาร์เอ็มเอส ไททานิก (RMS Titanic) อับปาง ในขณะนั้นเรือมอริเทเนียได้ขนส่งเอกสารการขนส่งสินค้าของไททานิกไปด้วย โดยถูกจัดส่งเป็นไปรษณีย์ลงทะเบียน นอกจากนี้ บนเรือในตอนนั้นยังมีประธานของคูนาร์ดไลน์ เอ. เอ. บูธ (A. A. Booth) ซึ่งได้จัดให้มีการไว้อาลัยผู้เสียชีวิตจากเรือไททานิก[31] ในฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 1913 การเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกขาไปบนเรือมอริเทเนียสำหรับผู้โดยสารชั้นสามมีค่าใช้จ่ายประมาณ 17 ดอลลาร์สหรัฐ ตามที่แสดงในตั๋วต้นฉบับนี้[ต้องการอ้างอิง]
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1913 สมเด็จพระเจ้าจอร์จและสมเด็จพระราชินีแมรีได้เสด็จฯ มาทรงเยี่ยมชมเรือมอริเทเนียซึ่งเป็นเรือที่เร็วที่สุดของอังกฤษในเวลานั้น การเสด็จเยือนครั้งนี้ยิ่งเสริมสร้างชื่อเสียงและความภาคภูมิใจให้แก่เรือลำนี้[32]
ในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1914 ขณะที่เรือมอริเทเนียกำลังเข้ารับการซ่อมประจำปีในลิเวอร์พูล ได้เกิดเหตุการณ์ถังแก๊สระเบิดระหว่างที่ลูกเรือกำลังทำงานบริเวณเครื่องกังหันไอน้ำ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 4 คน และบาดเจ็บอีก 6 คน[32] ความเสียหายต่อตัวเรือมีเพียงน้อยนิด ทีมงานสามารถซ่อมแซมเรือได้อย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาเพียง 2 เดือน หลังซ่อมแซมเสร็จสิ้น เรือก็กลับมาทำหน้าที่ได้อีกครั้งในเดือนมีนาคมปี 1914[33]
หลังจากบริเตนใหญ่ประกาศสงครามกับเยอรมนีในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1914 เรือมอริเทเนียก็รีบเดินทางมุ่งหน้าสู่แฮลิแฟกซ์ โนวาสโกเชีย เพื่อความปลอดภัย และมาถึงท่าเรืออย่างรวดเร็วในวันที่ 6 สิงหาคม หลังจากนั้นไม่นาน เรือมอริเทเนียและอควิเทเนียก็ได้รับคำร้องขอจากรัฐบาลอังกฤษให้ทำหน้าที่เป็นเรือลาดตระเวนติดอาวุธ[34] แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่โตและการใช้เชื้อเพลิงอันมหาศาล จึงทำให้เรือทั้งสองลำไม่เหมาะสมกับภารกิจนี้[35] และเรือทั้งสองลำก็กลับมาทำหน้าที่พลเรือนอีกครั้งในวันที่ 11 สิงหาคม
ในภายหลัง เนื่องจากขาดผู้โดยสารที่จะข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก เรือมอริเทเนียจึงถูกหยุดให้บริการและเทียบท่าอยู่ที่ลิเวอร์พูล จนกระทั่งวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1915 ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่เรือลูซิเทเนียอับปางจากเรือดำน้ำของเยอรมนี[ต้องการอ้างอิง]
เรือมอริเทเนียกำลังจะเข้ามาทำหน้าที่แทนเรือลูซิเทเนียที่อับปางไป แต่รัฐบาลอังกฤษก็ตัดสินใจเปลี่ยนแผนอย่างกะทันหันให้เรือไปทำหน้าที่เป็นเรือขนส่งทหาร เพื่อลำเลียงทหารอังกฤษไปยังสมรภูมิกัลลิโพลี[35] เรือถูกทาสีเทาเข้มพร้อมปล่องไฟสีดำ เช่นเดียวกับเรือลำอื่น ๆ ในช่วงสงคราม และรอดพ้นจากการเป็นเหยื่อของเรืออูของเยอรมนีได้ เนื่องด้วยความเร็วสูงและความชำนาญในการเดินเรือของลูกเรือ[ต้องการอ้างอิง]
เมื่อกองกำลังผสมของจักรวรรดิอังกฤษและฝรั่งเศสเริ่มเสียกำลังพลอย่างหนัก เรือมอริเทเนียก็ได้รับคำสั่งให้ไปทำหน้าที่เป็นเรือพยาบาลร่วมกับเรืออควิเทเนียและบริแทนนิกของไวต์สตาร์ไลน์ เพื่อทำการรักษาผู้บาดเจ็บจนถึงวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1916 เมื่อทำหน้าที่เป็นเรือพยาบาล เรือก็ถูกทาสีขาวสะอาด พร้อมปล่องไฟสีน้ำตาลอ่อน สัญลักษณ์กาชาดทางการแพทย์ขนาดใหญ่รอบตัวเรือ และมีป้ายไฟส่องสว่างบริเวณกราบซ้ายและขวา[36] หลังจากทำหน้าที่เป็นเรือพยาบาลนาน 7 เดือน เรือมอริเทเนียก็กลับสู่การเป็นเรือขนส่งทหารอีกครั้งในปลายปี ค.ศ. 1916 โดยรัฐบาลแคนาดาได้ร้องขอให้เรือทำหน้าที่ขนส่งทหารแคนาดาจากแฮลิแฟกซ์ไปยังลิเวอร์พูล[35] ภาระหน้าที่ทางสงครามของเรือมอริเทเนียยังไม่จบสิ้น เมื่อสหรัฐอเมริกาประกาศสงครามกับเยอรมนีในปี ค.ศ. 1917 เรือก็ได้รับหน้าที่ให้ลำเลียงทหารอเมริกันหลายพันคน[ต้องการอ้างอิง]
เรือลำนี้เป็นที่รู้จักในกองทัพเรือด้วยชื่อ เอชเอ็มเอส ทิวเบอร์โรส (HMS Tuberose)[37] จนกระทั่งจบสงคราม[35][ไม่แน่ใจ ] อย่างไรก็ตาม คูนาร์ดไลน์ก็ไม่เคยเปลี่ยนมาใช้ชื่อนี้อย่างเป็นทางการ
เรือมอริเทเนียเริ่มได้รับการทาสีเป็นลายพรางตาแบบเรขาคณิต (dazzle camouflage) ตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 1918 โดยเรือได้รับการทาลวดลายนี้ถึงสองแบบ ลลายพรางตาแบบเรขาคณิตนี้เป็นผลงานการออกแบบของนอร์แมน วิลกินสัน (Norman Wilkinson) ในปี 1917 ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความสับสนให้กับเรือศัตรู
เรือมอริเทเนียได้รับลวดลายพรางตาแบบแรกในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1918 ลวดลายนี้มีลักษณะโค้งเว้า เน้นโทนสีเขียวมะกอก ตัดกับสีดำ เทา และน้ำเงิน ส่วนลวดลายพรางตาแบบที่สองได้รับในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1918 เป็นแบบเรขาคณิต ที่คนทั่วไปเรียกติดปากว่า "แดซเซิล" (Dazzle) โดยใช้โทนสีน้ำเงินเข้มและเทาหลายเฉด ตัดกับสีดำเป็นหลัก หลังจบสงคราม เรือก็ถูกทาสีเทาหม่น และกลับมาทาสีแบบเดิมของคูนาร์ดในช่วงกลางปี ค.ศ. 1919[ต้องการอ้างอิง]
เรือมอริเทเนียกลับมาให้บริการขนส่งผู้โดยสารอีกครั้งในวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1919 หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยเส้นทางหลักของเรือคือจากเซาแทมป์ตันสู่นครนิวยอร์ก
เนื่องด้วยตารางการเดินเรือที่แน่นทำให้เรือไม่สามารถเข้ารับการซ่อมแซมใหญ่ตามแผนในปี ค.ศ. 1920 อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1921 ก็ได้เกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นบนชั้น E ทางคูนาร์ดไลน์จึงตัดสินใจนำเรือออกจากบริการเพื่อทำการซ่อมแซม[38] เรือเดินทางกลับไปยังอู่ต่อเรือไทน์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เรือถูกสร้างขึ้น ที่นั่นหม้อน้ำของเรือได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นระบบเผาไหม้น้ำมันแทน[39] และกลับมาให้บริการอีกครั้งในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1922 คูนาร์ดไลน์พบว่าเรือประสบปัญหาในการรักษาความเร็วตามปกติบนเส้นทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก
แม้ว่าความเร็วในการให้บริการของเรือจะดีขึ้นและใช้น้ำมันเพียง 680 ตันต่อวัน เมื่อเทียบกับการใช้ถ่านหิน 1,000 ตันก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังไม่สามารถทำความเร็วปกติได้เท่ากับช่วงก่อนสงคราม ในการข้ามมหาสมุทรครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. 1922 เรือทำความเร็วเฉลี่ยได้เพียง 19 นอต (35 กม./ชม.; 22 ไมล์/ชม.)[ต้องการอ้างอิง]
ในช่วงเวลานี้เอง ทางเดินเล่นบนเรือก็ถูกปิดชั่วคราว และปล่องไฟของเรือก็ได้รับการเปลี่ยนให้เป็นทรงรี ทำให้ดูคล้ายกับเรือลูซิเทเนียเป็นอย่างมาก คูนาร์ดไลน์ตัดสินใจว่าเครื่องยนต์กังหันล้ำสมัยของเรือซึ่งเคยเป็นนวัตกรรมใหม่ในสมัยนั้นจำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน[38] ในปี ค.ศ. 1923 เรือมอริเทเนียเข้ารับการซ่อมแซมครั้งใหญ่ที่เมืองเซาแทมป์ตัน เครื่องยนต์กังหันของเรือถูกถอดออกเพื่อทำการปรับปรุง แต่การซ่อมแซมต้องหยุดชะงักเนื่องจากการประท้วงหยุดงานของคนงานอู่ต่อเรือ คูนาร์ดไลน์จึงตัดสินใจลากเรือไปยังเมืองแชร์บูร์ ประเทศฝรั่งเศส เพื่อซ่อมแซมเรือให้เสร็จที่อู่ต่อเรือแห่งอื่น[40] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1924 เรือก็กลับมาให้บริการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกอีกครั้ง[38]
ปีต่อ ๆ มาได้พิสูจน์ให้กับคูนาร์ดไลน์ว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเรือมอริเทเนียนั้นได้ผล และเรือก็กลายเป็นเรือที่ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จอย่างมาก ในปี ค.ศ. 1928 เรือได้รับการปรับปรุงใหม่ด้วยการออกแบบตกแต่งภายในใหม่ และในปีต่อมา สถิติความเร็วของเรือก็ถูกทำลายโดยเรือเอสเอส เบรเมน (SS Bremen) ของเยอรมนี ด้วยความเร็ว 28 นอต (52 กม./ชม.; 32 ไมล์/ชม.)[41]
ในวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 1928 คูนาร์ดไลน์อนุญาตให้อดีต "ม้าเร็วแห่งมหาสมุทร" อย่างมอริเทเนียออกทำลายสถิติอีกครั้งจากเรือรุ่นใหม่ของเยอรมนี แต่แม้จะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ เรือมอริเทเนียก็ยังไม่สามารถทำลายสถิติของเบรเมนได้ เรือถูกหยุดให้บริการและเครื่องยนต์ของเรือก็ได้รับการปรับแต่งให้มีกำลังมากขึ้นเพื่อให้มีความเร็วสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม นี่ก็ยังไม่เพียงพอ เรือเบรเมนได้กลายเป็นตัวแทนของเรือเดินมหาสมุทรรุ่นใหม่ที่ทรงพลังและล้ำหน้ากว่าเรือของคูนาร์ดที่เริ่มเก่าลง[41] แม้จะไม่สามารถทำลายสถิติเรือคู่แข่ง แต่ก็ทิ้งห่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากผ่านการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาหลายสิบปี เรือมอริเทเนียก็ได้ทำลายสถิติความเร็วของตนเองทั้งขาไปและกลับ ในปี ค.ศ. 1929 เรือได้ชนกับเรือข้ามฟากขนส่งรถไฟใกล้ประภาคารร็อบบินส์รีฟ (Robbins Reef Light) ไม่มีบาดเจ็บหรือผู้เสียชีวิต และความเสียหายของเรือก็ได้รับการซ่อมแซมอย่างรวดเร็ว[ต้องการอ้างอิง]
ในปี ค.ศ. 1930 ด้วยผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ และการแข่งขันที่รุนแรงจากเรือรุ่นใหม่บนเส้นทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก เรือมอริเทเนียจึงถูกเปลี่ยนบทบาทมาเป็นเรือสำราญ โดยให้บริการล่องเรือ 6 วันจากนิวยอร์กไปยังท่าเทียบเรือหมายเลข 21 ในแฮลิแฟกซ์ รัฐโนวาสโกเชีย[42][43]
ในวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1930 เรือมอริเทเนียได้ทำวีรกรรมสำคัญด้วยการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเรือบรรทุกสินค้าสวีเดนที่ประสบเหตุอับปางในมหาสมุทรแอตแลนติก ห่างจากแหลมเรซ นิวฟันด์แลนด์ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ 400 ไมล์ทะเล (740 กิโลเมตร; 460 ไมล์) โดยสามารถช่วยชีวิตลูกเรือ 28 คนและแมวประจำเรือบรรทุกสินค้าเอาไว้ได้อย่างปลอดภัย[44][45]
ในปี ค.ศ. 1932 เรือมอริเทเนียถูกทาสีขาวเพื่อให้เข้ากับบทบาทใหม่ในฐานะเรือสำราญ หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1934 คูนาร์ดไลน์ได้ควบรวมกิจการกับไวต์สตาร์ไลน์ ส่งผลให้เรือมอริเทเนีย รวมถึงเรือโอลิมปิก โฮเมริก และเรือเดินสมุทรเก่าลำอื่น ๆ ถูกมองว่าเกินความจำเป็นและค่อย ๆ ถูกปลดประจำการ[ต้องการอ้างอิง]
สายการเดินเรือคูนาร์ด–ไวต์สตาร์ได้ปลดประจำการเรือมอริเทเนียในเดือนกันยายน ค.ศ. 1934 หลังจากการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเที่ยวสุดท้ายจากนิวยอร์กมาเซาแทมป์ตัน โดยใช้ความเร็วเฉลี่ย 24 นอต (44 กม./ชม.; 28 ไมล์/ชม.) ซึ่งตรงกับเงื่อนไขเดิมของสัญญาอุดหนุนค่าขนส่งไปรษณีย์ หลังจากนั้น เรือมอริเทเนียก็ได้ถูกนำไปจอดเก็บไว้ที่เซาแทมป์ตัน ปิดฉากการเดินเรือมานานถึง 28 ปี[39]
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1935 บริษัทแฮมป์ตันแอนด์ซันส์ (Hampton and Sons) ได้จัดการประมูลเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งภายในเรือมอริเทเนีย และในวันที่ 1 กรกฎาคมปีเดียวกัน เรือก็เดินทางออกจากเซาแทมป์ตันเป็นครั้งสุดท้าย มุ่งหน้าสู่บริษัทเมทัลอินดัสตรีส์ (Metal Industries) ซึ่งเป็นอู่รื้อถอนเรือในเมืองรอสไฟฟ์ ประเทศสกอตแลนด์[39]
เซอร์อาร์เทอร์ รอสตรอน (Arthur Rostron) ผู้เคยเป็นกัปตันเรืออาร์เอ็มเอส คาร์เพเทีย (RMS Carpathia) ในการช่วยผู้รอดชีวิตจากเรือไททานิก และเคยเป็นหนึ่งในกัปตันของเรือมอริเทเนีย ได้เดินทางมาเพื่อดูเรือออกเดินทางเป็นครั้งสุดท้าย โดยรอสตรอนปฏิเสธที่จะขึ้นเรือมอริเทเนีย เขาเล่าว่าเขาอยากจดจำภาพลักษณ์ของเรือไว้ในยุคที่เขาเคยเป็นกัปตัน มากกว่าที่จะเห็นสภาพก่อนรื้อถอน[ต้องการอ้างอิง]
ในระหว่างทาง เรือมอริเทเนียได้แวะพัก ณ สถานที่ที่สร้างเรือที่ริมแม่น้ำไทน์เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ฝูงชนที่มามุงดู บนสะพานเดินเรือมีการจุดพลุส่งสัญญาณ ข้อความต่าง ๆ ถูกส่งต่อ[46][แหล่งข้อมูลที่ตีพิมพ์เอง] นายกเทศมนตรีเมืองนิวคาสเซิลได้ขึ้นเรือมาเยี่ยมชมเรือมอริเทเนียและกล่าวอำลาเรือลำนี้ในนามชาวเมือง ต่อจากนั้นกัปตันเรือคนสุดท้าย เอ. ที. บราวน์ (A. T. Brown) ก็นำเรือออกเดินทางต่อ
ประมาณ 30 ไมล์ไปทางเหนือของนิวคาสเซิล คือ ท่าเรือเล็ก ๆ ชื่อ อัมเบิล (Amble) ตั้งอยู่ในภูมิภาคนอร์ทัมเบอร์แลนด์ สภาท้องถิ่นของเมืองได้ส่งโทรเลขไปยังเรือว่า "ถึงแม้เวลาจะล่วงเลย แต่มอริเทเนียก็ยังคงเป็นเรือที่งดงามที่สุดในท้องทะเล" เรือมอริเทเนียตอบกลับด้วยความซาบซึ้งว่า "ถึงท่าเรือสุดท้ายและแสนดีในอังกฤษ สวัสดีและขอบคุณ"[47] จนถึงทุกวันนี้ อัมเบิลยังเป็นที่รู้จักในชื่อ 'อัมเบิล ท่าเรือมิตรภาพ' ป้ายชื่อนี้ปรากฏเด่นชัดให้ผู้มาเยือนได้เห็นทันทีเมื่อเข้าสู่เมือง เนื่องจากความสูงเกินกว่าจะผ่านใต้สะพานฟอร์ท เรือจึงถูกตัดเสากระโดง จากนั้นก็เรือมุ่งหน้าสู่จุดสิ้นสุดของการเดินทาง ณ บริษัทผู้รื้อถอนซากเรือ[ต้องการอ้างอิง]
วันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1935 เรือมอริเทเนียเดินทางมาถึงเมืองรอสไฟฟ์ ประเทศสกอตแลนด์ ในเวลาประมาณ 6 โมงเช้า ท่ามกลางพายุลมแรง เรือแล่นผ่านใต้สะพานฟอร์ทในเวลา 6:30 น. และเข้าเทียบท่าที่อู่รื้อถอนเรือ ที่ท่าเรือมีชายชาวสก็อตสวมชุดคิลต์เพียงคนเดียว เป่าขลุ่ยเล่นเพลงเศร้าไว้อาลัยเรือมอริเทเนีย
นักเขียนและนักประวัติศาสตร์ จอห์น แม็กซ์โทน-เกรแฮม (John Maxtone-Graham) ได้รับรายงานว่า "ในขณะที่เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ของเรือมอริเทเนียหยุดทำงานเป็นครั้งสุดท้าย เรือได้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง... ราวกับเป็นอาการโหยหาหรือร่ำลึกถึงการเดินทางอันยาวนาน"[48] ก่อนเข้าสู่การรื้อถอน เรือมอริเทเนียได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมเป็นครั้งสุดท้ายในวันที่ 8 กรกฎาคม โดยมีผู้เข้าชมถึง 20,000 คน และรายได้ทั้งหมดมอบให้กับองค์กรการกุศลท้องถิ่น[48]
การรื้อถอนเรือเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากการเปิดให้ประชาชนเข้าชม เรือถูกตัดแบ่งเป็นชิ้น ๆ ในขณะที่ยังลอยน้ำอยู่ภายในอู่แห้ง ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ค่อยพบเห็นนัก โดยใช้ระบบไม้ค้ำยันที่ซับซ้อนและการทำเครื่องหมายด้วยดินสอเพื่อควบคุมความสมดุล ภายในระยะเวลาเพียง 1 เดือน ปล่องไฟอันโดดเด่นของเรือก็หายไป การรื้อถอนเรือเสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 1937[48][แหล่งข้อมูลที่ตีพิมพ์เอง]
เพื่อป้องกันไม่ให้คู่แข่งนำชื่อมอริเทเนียไปใช้ และเพื่อรักษาชื่อนี้ไว้ให้กับเรือลำใหม่ที่จะสร้างในอนาคต คูนาร์ดจึงจัดการให้เรือใบพายชื่อควีน (Queen) ของบริษัทเรือกลไฟเรดฟันเนิล (Red Funnel Paddle Steamer) เปลี่ยนชื่อเป็นมอริเทเนียเป็นการชั่วคราว จนกระทั่งเรือมอริเทเนียลำใหม่เปิดตัวในปี 1938[49][ต้องการเลขหน้า]
การรื้อถอนเรือมอริเทเนียถูกคัดค้านโดยอดีตผู้โดยสารจำนวนมาก และอดีตประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์ (Franklin D. Roosevelt) ได้ถึงกับเขียนจดหมายส่วนตัวประท้วงการรื้อถอน[6]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
รายการนี้อิงตามข้อมูลที่มีอยู่และอาจไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ วันที่อาจแตกต่างกันเล็กน้อยขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา:
เรือมอริเทเนียได้รับการกล่าวถึงในเพลง "The fireman's lament" หรือ "Firing the Mauretania" เพลงนี้เป็นเพลงพื้นบ้านของชาวไอริชที่กล่าวถึงชีวิตอันยากลำบากของคนงานเตาเผาบนเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความโหดร้ายของการทำงานบนเรือมอริเทเนีย[50]
เรื่องราวในนิยาย "The Thief" ของไคลฟ์ คัสเลอร์ ( Clive Cussler) เกิดขึ้นบนเรือเดินสมุทรชื่อมอริเทเนีย โดยไฟไหม้รุนแรงได้โหมกระหน่ำบริเวณห้องเก็บสินค้าด้านหน้าของเรือ แต่สุดท้ายก็สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้
เรือมอริเทเนียถูกกล่าวถึงในบทกวี "The Secret of the Machines" ของรัดยาร์ด คิปลิง (Rudyard Kipling) ด้วย โดยปรากฏอยู่ในท่อนนี้:
เรือด่วนแห่งท้องน้ำ รอคำสั่งจากท่านอยู่!
ท่าเรือโน้น ท่านจะพบมอริเทเนีย
จนกระทั่งกัปตันหมุนคันโยกใต้มือ
เมืองมหึมาเก้าชั้นก็ทะยานสู่ทะเล
เรือมอริเทเนียถูกกล่าวถึงในช่วงต้นของภาพยนตร์ ไททานิค ของเจมส์ แคเมรอน เมื่อโรส เดวิตต์ บูเคเตอร์ (รับบทโดย เคต วินสเล็ต) กล่าวว่า "[ไททานิก] ดูไม่ใหญ่ไปกว่าเรือมอริเทเนียเลย" และคู่หมั้นของเธอ คาเลดอน ฮ็อกลีย์ (รับบทโดย บิลลี เซน) อธิบายให้เธอฟังว่า "โรส ที่รัก นี่คือไททานิก มันยาวเกิน 880 ฟุต เป็นเรือลำใหญ่ที่สุดที่เคยสร้างมา"
นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ เรื่อง "Maiden Voyage" โดยโรเจอร์ ฮาร์วีย์ (Roger Harvey) นักเขียนชาวอังกฤษ เล่าเรื่องราวการสร้างเรือมอริเทเนียอย่างละเอียด พร้อมด้วยตัวละครผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเครื่องยนต์กังหันอันล้ำสมัยของเรือ[51]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.