Loading AI tools
สโมสรฟุตบอล จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา (กาตาลา: Futbol Club Barcelona) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า บาร์เซโลนา หรือคุ้นเคยในอีกชื่อว่า บาร์ซา (กาตาลา: Barça) เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพสเปน ตั้งอยู่ที่เมืองบาร์เซโลนา แคว้นกาตาลุญญา ประเทศสเปน ปัจจุบันเล่นอยู่ในลาลิกา ลีกสูงสุดของฟุตบอลสเปน
ชื่อเต็ม | สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา (กาตาลา: Futbol Club Barcelona) | |||
---|---|---|---|---|
ฉายา | L'equip blaugrana (ทีม) Culers หรือ Culos (ผู้สนับสนุน) Blaugranes หรือ Azulgranas (ผู้สนับสนุน) | |||
ก่อตั้ง | 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2442 | |||
สนาม | สนามกีฬาโอลิมปิกยูอิส กุมปัญส์ | |||
ความจุ | 54,367[1] | |||
ประธาน | ฌูอัน ลาปอร์ตา | |||
ผู้จัดการ | ฮันส์-ดีเทอร์ ฟลิค | |||
ลีก | ลาลิกา | |||
2023–24 | ลาลิกา อันดับที่ 2 จาก 20 | |||
เว็บไซต์ | เว็บไซต์สโมสร | |||
| ||||
ก่อตั้งในชื่อ ฟุบบ็อลกลุบบาร์ซาโลนา ใน ค.ศ. 1899 โดยกลุ่มของนักฟุตบอลชาวสวิส, อังกฤษ, เยอรมัน และ กาตาลา นำโดยฌูอัน กัมเป สโมสรถือเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมและสะท้อนความเป็นชาตินิยมของชาวกาตาลา โดยมีคำขวัญทางการว่า Més que un club (แปลว่า "[เป็น] มากกว่าสโมสร") เพลงประจำสโมสรคือเพลง "กันดัลบาร์ซา" เขียนโดย เฌามา ปิกัส และฌูแซ็ป มาริอา อัสปินัส และสิ่งที่แตกต่างจากสโมสรอื่นคือ ผู้สนับสนุนหรือแฟนคลับของทีมมีสิทธิ์เป็นเจ้าของและบริหารทีม บาร์เซโลนาเป็นสโมสรที่มีมูลค่าทีมสูงที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลกด้วยมูลค่า 5.51 พันล้านดอลลาร์ และเป็นสโมสรที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเป็นอันดับ 4 ในด้านของรายได้ โดยมีรายได้ประจำปี 800 ล้านยูโร ใน ค.ศ. 2023[2][3] สโมสรยังเป็นคู่ปรับอันยาวนานกับเรอัลมาดริดและนัดการแข่งขันระหว่างสองทีมนี้เรียกว่า "เอลกลาซิโก" บาร์เซโลนามักใช้ชุดแข่งขันทีมเหย้าเป็นสีกรมท่าและสีแดงโกเมนเป็นหลัก จึงเป็นที่มาของฉายา "เบลากรานา" (Blaugrana)
สำหรับการแข่งขันในประเทศ สโมสรชนะเลิศถ้วยรางวัล 77 รายการ โดยชนะเลิศลาลิกา 27 สมัย, โกปาเดลเรย์ 31 สมัย, ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา 14 สมัย, โกปาเอบาดัวร์เต 3 สมัย และโกปาเดลาลิกา 2 สมัย โดยใน 4 รายการหลังถือเป็นสถิติสูงสุดของสโมสรสเปน ในส่วนของการแข่งขันระดับทวีปและระดับโลก สโมสรชนะเลิศถ้วยรางวัล 22 รายการ ได้แก่ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 5 สมัย, ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 4 สมัย (สถิติสูงสุด), ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 5 สมัย, ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 3 สมัย และ ลาตินคัพ 2 สมัย พวกเขายังมีสถิติชนะเลิศรายการอินเตอร์-ซิตีส์แฟส์คัพ 3 สมัย ซึ่งถือถ้วยต้นแบบของการแข่งขันยูฟ่าคัพ สโมสรยังได้รับการจัดอันดับอยู่ในอันดับหนึ่งโดยสหพันธ์ประวัติศาสตร์และสถิติฟุตบอลระหว่างประเทศถึงห้าครั้ง ใน ค.ศ. 1997, 2009, 2011, 2012 และ 2015 และใน ค.ศ. 2023 บาร์เซโลนาอยู่ในอันดับ 9 ตามการจัดอันดับค่าสัมประสิทธิ์สโมสรโดยสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป
บาร์เซโลนายังเป็นสโมสรเดียวของยุโรปที่ลงแข่งขันในฟุตบอลระหว่างทวีปครบทุกฤดูกาลนับตั้งแต่ ค.ศ. 1955 และเป็น 1 ใน 3 สโมสรที่ไม่เคยตกชั้นจากลีกสูงสุดอย่างลาลิกานับตั้งแต่ก่อตั้งลีกใน ค.ศ. 1929 ร่วมกับอัตเลติกเดบิลบาโอ และเรอัลมาดริด ใน ค.ศ. 2009 บาร์เซโลนากลายเป็นสโมสรแรกจากสเปนที่ชนะเลิศ 3 รายการใหญ่ ได้แก่ ลาลิกา, โกปาเดลเรย์ และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และในปีเดียวกันนั้นยังทำสถิติเป็นสโมสรแรกที่ชนะเลิศการแข่งขันมากถึง 6 รายการภายในปีเดียวกัน โดยชนะเลิศเพิ่มอีก 3 รายการได้แก่: ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ และ ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก ในช่วงระหว่าง ค.ศ. 2008–2012 ภายใต้การฝึกสอนของแป็ป กวาร์ดิออลา บาร์เซโลนาชนะเลิศการแข่งขันมากถึง 14 รายการในระยะเวลาเพียง 4 ปี ซึ่งรวมถึงการคว้าแชมป์ 5 รายการใน ค.ศ. 2011[4] โดยทีมชุดนั้นได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล[5] และจากการชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกใน ค.ศ. 2015 ภายใต้การฝึกสอนโดย ลุยส์ เอนริเก พวกเขากลายเป็นสโมสรแรกของยุโรปที่ชนะเลิศการแข่งขันสามรายการในฤดูกาลเดียวกันได้สองครั้ง
บาร์เซโลนาเป็นหนึ่งในสโมสรที่ได้รับการสนับสนุนมากที่สุดในโลก[6] และสโมสรมีสื่อสังคมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในบรรดาทีมกีฬาทุกประเภท[7] ผู้เล่นของบาร์เซโลนาได้รับรางวัลรางวัลบาลงดอร์ 12 ครั้ง ถือเป็นหนึ่งในสองสโมสรที่มีผู้เล่นชนะรางวัลนี้มากที่สุด โดยผู้ชนะรางวัลรวมถึงตำนานอย่าง โยฮัน ไกรฟฟ์ และ ลิโอเนล เมสซิ รวมทั้งสถิติรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปี 6 ครั้ง โดยผู้ชนะรางวัลได้แก่ โรนัลโด, โรมารีอู, รอนัลดีนโย, รีวัลดู และเมสซิ ใน ค.ศ. 2010 ผู้เล่นสามตัวหลักที่เติบโตมาจากศูนย์ฝึกเยาวชนของสโมสร: เมสซิ, อันเดรส อินิเอสตา และชาบี ได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลกสามอันดับแรกในการประกาศรางวัลบาลงดอร์ ซึ่งเป็นสถิติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับผู้เล่นหลายคนที่ฝึกฝนมาจากสถาบันแห่งเดียวกัน นอกจากนี้ บาร์เซโลนายังมีสถิติผู้เล่นที่ได้รับรางวัลรองเท้าทองคำของยุโรปมากที่สุดจำนวน 8 ครั้ง[8]
เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1899 ฌูอัน กัมเป ได้ลงประกาศโฆษณาใน โลสเดปอร์เตส ว่ามีความต้องการที่จะก่อตั้งสโมสรฟุตบอล โดยได้รับการตอบรับอย่างดีในการนัดพบกันที่ฆิมนาซิโอโซเล เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน โดยมีผู้เล่น 11 คนมาร่วมประชุมได้แก่: วอลเตอร์ ไวลด์ (ผู้บริหารคนแรกของสโมสร), ลุยส์ ดีออสโซ, บาร์โตเมว เตร์ราดัส, ออตโต กุนเซิล, ออตโต แมเยอร์, เอนริก ดูกัล, เปเร กาบอต, กาเลส ปูคอล, ฌูแซ็ป ยูแบ็ต, จอห์น พาร์สันส์ และวิลเลียม พาร์สัน ทำให้ ฟุบบ็อลกลุบบาร์ซาโลนา ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ[9]
สโมสรประสบความสำเร็จในช่วงแรกกับการแข่งขันระดับท้องถิ่น และระดับชาติ ได้ลงแข่งในกัมเปียวนัตเดกาตาลุนยาและถ้วยโกปาเดลเรย์ ในปี 1902 สโมสรชนะถ้วยรางวัลแรกในการแข่งขันโกปามากายา และร่วมลงแข่งในโกปาเดลเรย์ครั้งแรก แต่แพ้ 1–2 ให้กับบิซกายาในนัดชิงชนะเลิศ[10] กัมเปได้เป็นประธานสโมสรในปี 1908 แต่สโมสรมีปัญหาด้านการเงินเนื่องจากไม่สามารถชนะการแข่งขันได้ตั้งแต่กัมเปียนัตเดกาตาลัน ในปี 1905 เขาเป็นประธานสโมสรใน 5 วาระในระหว่างปี 1908 ถึง 1925 รวม 25 ปี ที่เขาดำรงตำแหน่ง หนึ่งในความสำเร็จคือการทำให้สโมสรมีสนามกีฬาของตัวเอง ทำให้มีรายได้ที่มั่นคง[11]
เมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 1909 สโมสรได้ย้ายไปสนามกัมเดลาอินดุสเตรีย ที่มีที่นั่งจุ 8,000 คน จากปี 1910 ถึง 1914 บาร์เซโลนาได้ร่วมลงแข่งในถ้วยพิรินีที่ประกอบด้วยทีมที่ดีที่สุดของล็องก์ด็อก, มีดี, อากีแตน (ฝรั่งเศสใต้), ประเทศบาสก์ และกาตาลุญญา ในเวลานั้นถือเป็นการแข่งขันที่ดีที่สุดที่เปิดให้เข้าแข่งขัน[12][13] ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น สโมสรได้เปลี่ยนภาษาอย่างเป็นทางการของสโมสรจากภาษาสเปนกัสติยา (Castilian Spanish) เป็นภาษากาตาลา และค่อย ๆ เพิ่มความสำคัญให้กับสัญลักษณ์ที่สำคัญของอัตลักษณ์กาตาลา เพื่อให้แฟนที่สนับสนุนสโมสรแต่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรระหว่างการแข่งขันและเพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์กลุ่มของสโมสร[14]
กัมเปได้รณรงค์หาสมาชิกสโมสรเพิ่ม และในปี 1922 สโมสรมีสมาชิกมากกว่า 20,000 คนและมีฐานะการเงินเพียงพอที่จะสร้างสนามกีฬาแห่งใหม่ สโมสรได้ย้ายไปเลสกอตส์ โดยเปิดสนามใหม่ในปีเดียวกันนี้[15] เดิมทีเลสกอตส์จุผู้ชมได้ 22,000 คน และต่อมาขยายเพิ่มเป็น 60,000 คน[16] แจ็ก กรีนเวลล์ เป็นผู้จัดการเต็มเวลาคนแรกของสโมสรและสโมสรได้เริ่มต้นพัฒนา ในช่วงระหว่างยุคของกัมเป สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาชนะถ้วยกัมเปียนัตเดกาตาลัน 11 ครั้ง ถ้วยโกปาเดลเรย์ 6 ครั้ง และถ้วยพิเรนีส 4 ครั้ง ถือเป็นยุคทองยุคแรกของสโมสร[10][11]
เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 1925 ฝูงชนที่สนามกีฬาร้องเพลงชาติในการประท้วงต่อระบอบเผด็จการของมิเกล เด ริเบรา สนามถูกปิดไป 6 เดือนจากการโต้ตอบด้วยกำลังทหาร และกัมเปถูกบีบให้ถอนตัวจากการเป็นประธานสโมสร[17] จากเหตุการณ์นี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับสโมสรสู่ความเป็นมืออาชีพ โดยในปี 1926 ผู้บริหารบาร์เซโลนาออกมาประกาศต่อสาธารณะว่าบาร์เซโลนาก้าวสู่การบริหารอย่างมืออาชีพเป็นครั้งแรก[15] สโมสรชนะการแข่งขันถ้วยสเปน และมีการแต่งบทกวีเพื่อเฉลิมฉลองในชื่อ "โอดาอาปลัตโก" เขียนขึ้นโดยสมาชิกกลุ่มรุ่น 27 ที่ชื่อ ราฟาเอล อัลเบร์ตี ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก "วีรกรรม" ของผู้รักษาประตูบาร์เซโลนา[18] เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1930 กัมเปฆ่าตัวตายหลังจากความเครียดที่มาจากปัญหาส่วนตัวและปัญหาด้านการเงิน[11]
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังมีผู้เล่นในการดำรงตำแหน่งของฌูแซ็ป อัสกูลา แต่สโมสรก็ถึงยุคแห่งการเสื่อมถอย เนื่องจากความขัดแย้งในเรื่องการเมืองที่ลดความสำคัญด้านกีฬาลง[19] ถึงแม้ว่าสโมสรจะได้ถ้วยกัมเปียนัตเดกาตาลันในปี 1930, 1931, 1932, 1934, 1936 และ 1938[10] ที่ประสบความสำเร็จในระดับประเทศ (ยกเว้นข้อพิพาทเรื่องการชนะในปี 1937) จากนั้น 1 เดือนหลังสงครามกลางเมืองสเปนเริ่มขึ้นในปี 1936 นักฟุตบอลหลายคนจากบาร์เซโลนาและอัตเลติกเดบิลบาโอก็เข้าเป็นทหารเพื่อต่อสู้กับการปฏิวัติ[20] เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ฌูแซ็ป ซุญญ็อล ประธานสโมสรและตัวแทนพรรคสนับสนุนการเมืองเสรี ถูกฆาตกรรมโดยทหารกลุ่มฟาลังเฆใกล้กับเมืองกัวดาร์รามา[21] ขนานนามความทุกข์ทรมานในช่วงนี้ของประวัติศาสตร์สโมสรบาร์เซโลนาว่า บาร์ซาลูนิซมา (barcelonisme)[22] ฤดูร้อนปี 1937 ผู้เล่นได้เดินทางไปแข่งขันที่เม็กซิโกและสหรัฐอเมริกาในนามสาธารณรัฐสเปนครั้งที่ 2 การออกแข่งขันนี้ทำให้การเงินของสโมสรมั่นคงขึ้น แต่ก็เป็นผลให้ครึ่งหนึ่งของทีมหาทางลี้ภัยในเม็กซิโกและฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 1938 เมืองบาร์เซโลนาถูกโจมตีทางอากาศ มีผู้เสียชีวิต 3,000 คน ระเบิดหนึ่งลูกโจมตีสำนักงานของสโมสร[23] กาตาลุญญาเข้าดูแลอีกหลายเดือนต่อมา และในฐานะสัญลักษณ์ของกาตาลานิยมที่ไม่มีการดูแล ทำให้สโมสรมีสมาชิกลดลงเหลือ 3,486 คน[24] หลังจากสงครามการเมือง มีการสั่งห้ามธงชาติกาตาลาและสโมสรฟุตบอลที่ไม่ได้ใช้ชื่อสเปน เป็นผลบังคับให้สโมสรต้องเปลี่ยนชื่อเป็น กลุบเดฟุตบอลบาร์เซโลนา (สเปน: Club de Fútbol Barcelona) และเอาธงกาตาลาออกจากตราสโมสร[16]
ในปี 1943 บาร์เซโลนาเผชิญหน้ากับคู่แข่ง เรอัลมาดริด ในรอบรองชนะเลิศโกปาเดลเฆเนราลิซิโม นัดแรกแข่งที่เลสกอตส์โดยบาร์เซโลนาเอาชนะไปได้ 3–0 ก่อนการแข่งในนัดที่ 2 จอมพลฟรันซิสโก ฟรังโก เข้าเยี่ยมห้องเปลี่ยนชุดของทีมบาร์เซโลนา ฟรังโกเข้าเตือนพวกเขาว่าที่เขาเล่นได้นั้นเนื่องจาก "เป็นความกรุณาต่อระบอบการปกครอง" ในนัดถัดมาเรอัลมาดริดชนะการแข่งขันไปอย่างขาดลอย 11–1[25] ถึงแม้ว่ามีความลำบากในสถานการณ์การเมือง แต่บาร์เซโลนาก็ยังประสบความสำเร็จในทศวรรษ 1940 และ 1950 โดยในปี 1946 ฌูแซ็ป ซามิติเอ ผู้จัดการทีมและผู้เล่นอย่าง เซซาร์, รามัลเลตส์ และเบลัสโก นำบาร์เซโลนาชนะเลิศลาลิกาครั้งแรกตั้งแต่ปี 1929 และยังชนะอีกสองครั้งในปี 1948 และ 1949 พวกเขายังได้รับรับถ้วยละตินคัปครั้งแรกในปีนั้น ในเดือนมิถุนายน 1950 ได้เซ็นลาดิสเลา คูบาลา ซึ่งถือว่าเป็นผู้มีอิทธิพลให้การก่อร่างสร้างตัวของสโมสร
ในวันอาทิตย์ที่มีฝนตกในปี 1951 กลุ่มคนออกจากสนามกีฬาเลสกอตส์ด้วยเท้าเปล่า หลังจากสโมสรชนะราซินเดซันตันเดร์ โดยปฏิเสธการขึ้นรถรางและสร้างความประหลาดใจให้กับเจ้าหน้าที่ของจอมพลฟรันซิสโก ฟรังโก การประท้วงรถรางเกิดขึ้นในบาร์เซโลนาซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนจากแฟนทีมบาร์เซโลนา เหตุการณ์ที่เกิดเช่นนี้ทำให้แสดงให้เห็นความเป็นอะไรที่มากกว่ากาตาลุญญา ชาวสเปนหัวก้าวหน้ามองว่าสโมสรเป็นผู้พิทักษ์ซึ่งซื่อสัตย์ต่อสิทธิและเสรีภาพ[26][27]
ผู้จัดการเฟอร์ดินานด์ เดาชีก (สโลวัก: Ferdinand Daučík) และลัสโซล คูบาลา นำทีมคว้าถ้วย 5 รางวัล ในการแข่งขันลาลิกา, โกปาเดลเฆเนราลิซิโม (ต่อมาใช้ชื่อว่า โกปาเดลเรย์), ละตินคัป, โกปาเอบาดัวร์เต และโกปามาร์ตีนีรอสซี ในปี 1952 ต่อมาในปี 1953 สโมสรชนะเลิศในลาลิกาและโกปาเดลเฆเนราลิซิโม ได้อีกครั้ง[16]
ด้วยการนำทีมของผู้จัดการเอเลเนียว เอร์เรรา กับนักฟุตบอลยอดเยี่ยมยุโรปแห่งปี 1960 ลุยส์ ซัวเรซ และนักฟุตบอลชาวฮังการี 2 คนที่ได้รับคำแนะนำจากคูบาลา คือ ซันดอร์ คอชซิส (ฮังการี: Sándor Kocsis) และซอลตัน ซีบอร์ (ฮังการี: Zoltán Czibor) ที่ทำให้ทีมชนะเลิศการแข่งขันระดับชาติ 2 รางวัลในปี 1959 และในลาลิกาและอินเตอร์-ซิตีส์แฟส์คัป ในปี 1960 และในปี 1961 พวกเขาเป็นทีมแรกที่ชนะเรอัลมาดริดได้ในการแข่งขันยูโรเปียนคัพ แต่ก็แพ้ให้กับไบฟีกาในรอบชิงชนะเลิศ[29][30][31]
ในคริสต์ทศวรรษ 1960 สโมสรประสบความสำเร็จน้อยลง และเรอัลมาดริดได้ผูกขาดตำแหน่งแชมป์แต่เพียงผู้เดียว สนามกีฬาของสโมสร "กัมนอว์" ได้สร้างเสร็จในปี 1957 ซึ่งหมายถึงสโมสรมีเงินไม่มากที่จะซื้อตัวผู้เล่นใหม่[31] แต่ก็ยังมีเรื่องที่ดีอยู่บ้าง เมื่อในช่วงเวลาดังกล่าว ถือเป็นทศวรรษแห่งการแจ้งเกิดของฌูแซ็ป มาริอา ฟุสเต และกาเลส เรชัก สโมสรชนะเลิศถ้วยโกปาเดลเฆเนราลิซิโมในปี 1963 และถ้วยแฟส์คัปในปี 1966 สโมสรกลับมาเล่นได้ดีอีกครั้งโดยเอาชนะเรอัลมาดริด 1–0 ในโกปาเดลเฆเนราลิซิโม 1968 นัดชิงชนะเลิศที่สนามเบร์นาเบวต่อหน้าจอมพลฟรังโก โดยการนำทีมของซัลบาดอร์ อาร์ตีกัส อดีตนักบินสาธารณรัฐในฐานะผู้จัดการทีม เมื่อจบยุคระบอบเผด็จการของจอมพลฟรังโก ในปี 1974 สโมสรก็ได้เปลี่ยนชื่อทางการเป็น ฟุตบอลกลุบบาร์เซโลนา และเปลี่ยนตราสัญลักษณ์สโมสรมาเป็นแบบเดิม กับตัวอักษรดั้งเดิม[32]
ในฤดูกาล 1973–74 สโมสรซื้อตัวโยฮัน ไกรฟฟ์ จากอายักซ์ มาด้วยค่าตัว 920,000 ปอนด์ ซึ่งถือเป็นสถิติโลกในสมัยนั้น[33] โดยเขาถือเป็นนักฟุตบอลที่เป็นที่ยอมรับอย่างสูงในฮอลแลนด์ ไกรฟฟ์ได้สร้างความประทับใจอย่างรวดเร็วให้กับแฟน ๆ เมื่อเขาบอกกับสื่อยุโรปว่าที่เขาเลือกบาร์เซโลนา มากกว่าที่จะเลือกเรอัลมาดริดเพราะว่า เขาไม่สามารถเล่นกับสโมสรที่เกี่ยวข้องกับจอมพลฟรังโกได้ เขายังเป็นที่โปรดปรานเมื่อเขาตั้งชื่อลูกชายในภาษากาตาลาว่า ฌอร์ดี (Jordi) ตามชื่อนักบุญท้องถิ่น[34] อีกทั้งยังมีนักฟุตบอลคุณภาพอย่างควน มานวยล์ อาเซนซี, การ์เลส เรซัก และอูโก โซติล เข้ามาร่วมทีมในช่วงเวลานั้น ทำให้ให้ทีมชนะเลิศการแข่งขันลาลิกาในฤดูกาล 1973–74 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1960[10] โดยชนะเรอัลมาดริด 5–0 ที่สนามเบร์นาเบว ขณะแข่งขัน[35] ไกรฟฟ์ยังได้รับเลือกเป็นนักฟุตบอลยุโรปยอดเยี่ยมแห่งปี 1973 สำหรับฤดูกาลแรกของเขากับบาร์เซโลนา (เป็นการได้รับบาลงดอร์ครั้งที่ 2 ของเขา ครั้งแรกได้รับขณะเล่นให้กับอายักซ์ในปี ค.ศ. 1971) ไกรฟฟ์ยังได้รับรางวัลนี้อีกครั้งเป็นครั้งที่ 3 (เป็นคนแรกที่ทำได้) ในปี 1974 ขณะที่เขาเล่นให้กับบาร์เซโลนา[36]
ในปี 1978 ฌูแซ็ป ยูอิส นุญเญซ เป็นประธานสโมสรที่ได้รับการเลือกตั้งจากสมาชิกสโมสร การเลือกตั้งเช่นนี้ใกล้เคียงกับการเปลี่ยนแปลงของสเปนที่เปลี่ยนมาเป็นระบอบประชาธิปไตยในปี 1974 หลังจบสิ้นระบบเผด็จการของจอมพลฟรังโก เป้าหมายหลักของนุญเญซคือการพัฒนาบาร์ซาสู่สโมสรระดับโลกโดยให้ความมั่นคงกับสโมสรทั้งในและนอกสนาม จากคำแนะนำของไกรฟฟ์ นุญเญซได้เลือกลามาซีอาเป็นสถาบันเยาวชนของบาร์เซโลนาเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1979[37] เขาดำรงตำแหน่งประธานเป็นเวลานาน 22 ปี และมีผลต่อภาพลักษณ์ของบาร์เซโลนาอย่างมาก นุญเญซได้ถือนโยบายอย่างเคร่งครัดที่เกี่ยวข้องกับค่าจ้างทำงานและวินัย โดยให้ค่าตัวนักฟุตบอลอย่างเดียโก มาราโดนา, โรมารีอู, โรนัลโด เท่ากับจำนวนเงินที่พวกเขาต้องการ[38][39]
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1979 สโมสรชนะเลิศยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพครั้งแรก โดยชนะฟอร์ทูนาดึสเซลดอร์ฟ 4–3 ในนัดชิงชนะเลิศที่เมืองบาเซิล ที่มีแฟนสโมสรเดินทางมาชมกว่า 30,000 คน ต่อมา ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1982 มาราโดนาเซ็นสัญญาด้วยค่าตัวสถิติโลกสมัยนั้น จำนวน 5 ล้านปอนด์ กับสโมสรฟุตบอลโบคาจูเนียส์[40] ในฤดูกาลถัดมา ภายใต้การคุมทีมของ เมนอตตี บาร์เซโลนาชนะเลิศโกปาเดลเรย์โดยชนะเรอัลมาดริด ในยุคของมาราโดนากับบาร์ซาค่อนข้างสั้น ต่อมาไม่นานเขาก็ย้ายไปอยู่กับนาโปลี ในฤดูกาล 1984–85 สโมสรได้จ้าง เทอร์รี เวเนเบิลส์ เป็นผู้จัดการทีม และพาทีมชนะเลิศลาลิกาได้ พร้อมกับการนำโดยกองกลางชาวเยอรมัน แบร์นด์ ชุสเทอร์ ในฤดูกาลถัดมา สโมสรเข้าชิงชนะเลิศถ้วยยุโรปอีกครั้ง แต่ก็แพ้จุดโทษสแตอาวาบูคูเรชตี (โรมาเนีย: Steaua Bucureşti) ที่เมืองเซบิยา[38]
หลังฟุตบอลโลก 1986 ผู้ทำประตูสูงสุด แกรี ไลน์เคอร์ ได้เซ็นสัญญากับสโมสร พร้อมกับผู้รักษาประตู อันโดนี ซูบีซาร์เรตา แต่สโมสรก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่ากับเมื่อมีชุสเทอร์ ต่อมาเวเนเบิลส์ถูกไล่ออกเมื่อเริ่มฤดูกาล 1987–88 และได้ลุยส์ อาราโกเนส มาแทน นักฟุตบอลต่อต้านต่อประธานสโมสรนุญเญซ ในเหตุการณ์ที่เรียกว่า เอสเปเรีย (สเปน: Hesperia) และจบฤดูกาลด้วยชัยชนะ 1–0 ในการแข่งโกปาเดลเรย์ รอบชิงชนะเลิศกับเรอัลโซเซียดัด[38]
ในปี 1988 โยฮัน ไกรฟฟ์ ได้กลับมายังสโมสรในฐานะผู้จัดการทีมและเขาได้รวบรวมทีมที่รู้จักในชื่อ "ทีมในฝัน" เขาได้รวมนักฟุตบอลสเปนอย่างแป็ป กวาร์ดิออลา, โคเซ มารี บาเกโร และตซีกี เบกีริสไตน์ และยังเซ็นสัญญากับดาราจากต่างประเทศอย่างโรนัลด์ กุมัน, ไมเคิล เลาดรูป, โรมารีอู และฮริสโต ชตอยชคอฟ[41] ภายใต้การฝึกสอนของไกรฟฟ์ บาร์เซโลนาชนะเลิศลาลิกา 4 สมัยติดต่อกัน ตั้งแต่ปี 1991–94 รวมทั้งชนะซามพ์โดเรียในนัดชิงชนะเลิศทั้งในยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 1989 และถ้วยยุโรป 1992 ที่สนามเวมบลีย์ สโมสรยังชนะเลิศโกปาเดลเรย์ 1990, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 1992 และยังชนะเลิศซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา 3 ครั้ง และด้วยผลงานถ้วยรางวัล 11 รายการ ส่งผลให้ไกรฟฟ์เป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งของสโมสร และเขายังเป็นผู้จัดการทีมที่รับตำแหน่งติดต่อกันนานที่สุดเป็นเวลา 8 ปี[42] แต่ชะตาของไกรฟฟ์ก็ได้เปลี่ยนไปใน 2 ฤดูกาลสุดท้าย เมื่อสโมสรพลาดแชมป์หลายรายการ ทำให้เขาต้องออกจากสโมสร[38]
บ็อบบี ร็อบสัน เข้ามาทำหน้าที่ในระยะเวลาสั้น ๆ ในฤดูกาล 1996–97 เขาซื้อตัวโรนัลโดมาจากพีเอสวีไอนด์โฮเวิน และยังชนะเลิศในการแข่งขัน 3 รายการได้แก่: โกปาเดลเรย์, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ และซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา ถึงแม้ว่าการเข้ามาของร็อบสันจะเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่ทางสโมสรก็ยังรอตัวลูอี ฟัน คาล[43] เช่นเดียวกับมาราโดนา จากนั้น โรนัลโดก็ได้ย้ายไปอยู่กับอินเตอร์มิลาน แต่สโมสรก็ได้วีรบุรุษคนใหม่อย่างลูอิช ฟีกู, เปตริก ไคลเฟิร์ท, ลุยส์ เอนรีเก และรีวัลดู เข้ามากอบกู้ทีมและทำให้ทีมชนะเลิศโกปาเดลเรย์และลาลิกาในปี 1998 และในปี 1999 สโมสรฉลองครบรอบวาระ 100 ปี ด้วยการชนะเลิศลาลิกา และรีวัลดูเป็นนักฟุตบอลคนที่ 4 ของสโมสรที่ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป แต่ถึงแม้ว่าจะประสบความสำเร็จในประเทศ พวกเขาก็ต้องพ่ายเรอัลมาดริดในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ส่งผลให้ฟัน คาล และนุญเญซ ลาออกในปี 2000[43]
การจากไปของนุญเญซและฟัน คาล ยังไม่อาจเปรียบได้กับการจากไปของลูอิช ฟีกู ซึ่งเป็นรองกัปตันทีม ได้กลายเป็นที่ชื่นชอบและชาวกาตาลาถือว่าเป็นพวกเดียวกับเขา แต่แล้วแฟนบาร์ซาก็ต้องคลุ้มคลั่งเมื่อฟีกูตัดสินใจย้ายไปอยู่กับทีมคู่แข่งตลอดกาลอย่างเรอัลมาดริด เมื่อเขากลับมาเยือนกัมนอว์ เขาก็ต้องพบกับการตอบรับที่ไม่เป็นมิตร และความโกรธแค้นของแฟนบอลซึ่งต่างพากันก่อกวนตลอดการแข่งขัน และมีการโยนขวดวิสกีลงมาในสนาม[45] ในส่วนของตำแหน่งประธานสโมสร ชูอัง กัสปาร์ต ได้เข้ามาทำหน้าที่แทนนุญเญซ ในปี 2000 เขาดำรงตำแหน่ง 3 ปี ก่อนที่สโมสรจะเริ่มตกต่ำลงและมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้จัดการทีมหลายครั้ง ฟัน คาล มารับหน้าที่ผู้จัดการทีมเป็นครั้งที่ 2 และกัสปาร์ตไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับแฟนบอลได้ และในปี 2003 เขาและฟัน คาล ได้ลาออก[46]
หลังจากในยุคแห่งความผิดหวังของกัสปาร์ต สโมสรก็ฟื้นกลับมาอีกครั้ง ภายใต้การบริหารของประธานหนุ่ม ฌูอัน ลาปอร์ตา และผู้จัดการทีมหนุ่ม ฟรังก์ ไรการ์ด อดีตนักฟุตบอลชาวดัตช์ ในส่วนของการซื้อขายนักเตะ มีการซื้อตัวนักฟุตบอลต่างชาติเข้ามาหลายคน ทำให้สโมสรกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง บาร์ซาชนะเลิศลาลิกาและซูเปร์โกปาเดเอสปัญญาในฤดูกาล 2004–05 และรอนัลดีนโย กองกลางของทีม ได้รับรางวัลนักฟุตบอลแห่งปีของฟีฟ่า[47]
ในฤดูกาล 2005–06 บาร์เซโลนาป้องแชมป์ลาลิกาและซูเปร์โกปาเดเอสปัญญาไว้ได้[48] และยังได้แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เอาชนะอาร์เซนอล ในรอบชิงชนะเลิศ 2–1 โดยตามหลังไปก่อน 0–1 ซึ่งอาร์เซนอลเหลือผู้เล่นจำนวน 10 คน และในช่วง 15 นาที สุดท้ายพวกเขากลับมาชนะได้ เป็นการชนะเลิศถ้วยยุโรปครั้งแรกในรอบ 14 ปี[49] พวกเขายังลงแข่งฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ 2006 แต่แพ้ อินเตร์นาเซียวนัล จากบราซิล[50]
แม้ว่าจะเริ่มต้นฤดูกาล 2006–07 ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยม แต่พวกเขาก็จบฤดูกาลด้วยการไม่ได้ถ้วยรางวัลใด ๆ ต่อมา ในการออกทัวร์ก่อนเปิดฤดูกาลในสหรัฐ ก็เกิดความขัดแย้งระหว่างซามูแอล เอโต กองหน้าประจำทีม กับไรการ์ด ผู้จัดการทีม ที่ตำหนิกันเรื่องผลงานอันย่ำแย่ของสโมสร[51][52] ในการแข่งขันลาลิกานั้น บาร์ซาครองตำแหน่งอันดับ 1 ได้เกือบทั้งฤดูกาล แต่ด้วยความไม่ลงรอยกันระหว่างผู้เล่นและผู้จัดการทีม ทำให้เรอัลมาดริดแซงกลับขึ้นมาเป็นแชมป์ ส่วนในฤดูกาล 2007–08 บาร์เซโลนาก็ยังคงไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ผู้จัดการทีมชุดบี แป็ป กวาร์ดิออลา ขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีม[53]
ถ้วยรางวัลแรกของกวาร์ดิออลา คือการชนะอัตเลติกเดบิลบาโอในรอบชิงชนะเลิศโกปาเดลเรย์ 2009 ไป 4–1 ทำสถิติคว้าแชมป์มากที่สุด 25 สมัย 3 วันถัดมา พวกเขาชนะเรอัลมาดริดในลาลิกา ทำให้บาร์เซโลนาชนะเลิศลาลิกาฤดูกาล 2008–09 และจบฤดูกาลด้วยการชนะแชมป์เก่าในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกคือ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2–0 ที่สนามสตาดีโอโอลิมปีโก ณ กรุงโรม ถือเป็นแชมป์สมัยที่ 3 ของทีม และเป็นทีมจากสเปนทีมแรกที่ได้ 3 ถ้วยรางวัลใหญ่ในฤดูกาลเดียวกัน[54][55][56] สโมสรยังชนะเลิศซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา 2009 พบกับอัตเลติกเดบิลบาโอ[57] รวมถึงยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2009 ซึ่งพบชัคตาร์ดอแนตสก์[58] และถือเป็นสโมสรแรกของยุโรปที่ชนะเลิศได้ทั้งถ้วยรางวัลในประเทศ และถ้วยยูฟ่าซูเปอร์คัพ ต่อมา ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2009 บาร์เซโลนาชนะเลิศฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ[59] ทำให้เป็นสโมสรแรกที่คว้า 6 ถ้วยรางวัลในปีเดียวกัน[60] บาร์เซโลนายังสร้างสถิติใหม่ 2 สถิติให้กับวงการฟุตบอลสเปนในปี 2010 โดยการชนะเลิศลาลิกาโดยทำไป 99 คะแนน และยังทำสถิติชนะเลิศซูเปร์โกปาเดเอสปัญญาสมัยที่ 9[61]
หลังจากที่ลาปอร์ตาออกในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2010 ซันดรู รูเซ็ลย์ ได้รับเลือกเป็นประธานคนใหม่ โดยมีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน เขาได้คะแนน 61.35% (คะแนน 57,088 เสียง) ซึ่งถือเป็นสถิติการลงคะแนนที่มากที่สุดตั้งแต่มีการเลือกตั้งประธานสโมสร[62] รูเซ็ลย์ได้เซ็นสัญญานำนักฟุตบอลชั้นนำเข้ามาสู่ทีม เช่น ดาบิด บียา จากบาเลนเซีย ด้วยค่าตัว 40 ล้านยูโร[63] และคาเบียร์ มาเชราโน จากลิเวอร์พูลด้วยค่าตัว 19 ล้านยูโร[64] ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2010 บาร์เซโลนาชนะเรอัลมาดริดได้ถึง 5–0 และในฤดูกาล 2010–11 บาร์เซโลนายังครองแชมป์ลาลิกาได้เป็นฤดูกาลที่ 3 ติดต่อกัน ด้วยคะแนน 96 คะแนน[65] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2011 สโมสรเข้าชิงชนะเลิศโกปาเดลเรย์ แต่แพ้เรอัลมาดริด 0–1 ที่สนามเมสตายา[66] ในเดือนพฤษภาคม บาร์เซโลนาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2011 รอบชิงชนะเลิศไปได้อีกครั้ง 3–1 ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ กรุงลอนดอน คว้าแชมป์สมัยที่ 4[67]
ถัดมา ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2011 บาร์เซโลนาเซ็นสัญญากับแซ็สก์ ฟาบรากัส ผู้เล่นชื่อดังชาวสเปนจากอาร์เซนอล และป้องกันแชมป์ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญาได้อีกครั้งโดยชนะเรอัลมาดริด และถือเป็นถ้วยใบที่ 73 ของสโมสร[68] ต่อมา บาร์เซโลนาเอาชนะโปร์ตูในยูฟ่าซูเปอร์คัพ ทำให้กวาร์ดิออลานำทีมชนะถ้วยรางวัลได้ 12 ใบจาก 15 รายการ โดยใช้เวลาเพียง 3 ปี ซึ่งถือเป็นสถิติการคว้าถ้วยรางวัลมากที่สุดของผู้จัดการทีมบาร์เซโลนา[69] ในเดือนธันวาคม บาร์เซโลนาชนะเลิศฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ[70] เป็นถ้วยใบที่ 13 ของกวาร์ดิออลา[71]
แต่หลังจากแพ้เชลซีในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบรองชนะเลิศ[72] กวาร์ดิออลาได้ประกาศว่าเขาจะยุติบทบาทหลังสิ้นสุดฤดูกาล 2011–12 เขาปิดท้ายการคุมทีมด้วยถ้วยโกปาเดลเรย์ ชนะอัตเลติกเดบิลบาโอ 3–0 ซึ่งเป็นถ้วยใบที่ 14 และตีโต บีลานอบา ผู้ช่วยของกวาร์ดิออลาได้เข้ามารับตำแหน่งในฤดูกาล 2012–13[73] ก่อนจะพาบาร์เซโลนาคว้าแชมป์ลาลิกาสมัยที่ 22 โดยทำได้ถึง 100 คะแนน[74] ถือเป็นสถิติสูงสุดร่วมกับเรอัลมาดริดที่ทำได้ในฤดูกาลก่อน และลิโอเนล เมสซิ ยังเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในฤดูกาล 46 ประตู และยังผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศโกปาเดลเรย์ และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 บีลานอบาได้ประกาศยุติบทบาทเนื่องจากปัญหาสุขภาพ ซึ่งเขาตรวจพบมะเร็งต่อมน้ำลายมาตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 2012[75]
ในวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 เคราร์โด "ทาทา" มาร์ติโน เข้ามาคุมทีมในฤดูกาล 2013–14 โดยพาบาร์เซโลนาคว้าแชมป์ซูเปอร์โคปาเดเอสปาญาได้ ต่อมา ซันดรู รูเซ็ลย์ ได้ลาออกจากตำแหน่งประธานสโมสร เนื่องจากได้รับการร้องเรียนในข้อหายักยอกเงินสโมสรในการซื้อตัวเนย์มาร์ และในนัดสุดท้ายที่พวกเขาต้องชนะอัตเลติโกเดมาดริดเพื่อครองแชมป์ลาลิกา พวกเขาทำได้เพียงเสมอ 1–1 ได้แค่รองแชมป์[76]
ต่อมา ในฤดูกาล 2014–15 เป็นฤดูกาลแห่งประวัติศาสตร์อีกครั้ง[77] สโมสรชนะเลิศสามรายการทั้งลาลิกา, โกปาเดลเรย์ และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้อีกครั้ง โดยเป็นทีมในยุโรปทีมแรกที่ทำสถิติดังกล่าวได้สองครั้ง โดยในวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 สโมสรชนะเลิศลาลิกาสมัยที่ 23 ถือเป็นแชมป์ลาลิกาสมัยที่เจ็ดในรอบสิบปี และวันที่ 30 พฤษภาคม สโมสรชนะอัตเลติกเดบิลบาโอในโกปาเดลเรย์รอบชิงชนะเลิศที่สนามกัมนอว์ และในวันที่ 6 มิถุนายน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบชิงชนะเลิศ บาร์เซโลนาชนะยูเวนตุส 3–1 คว้าแชมป์สมัยที่สองในรอบหกปี และตลอดฤดูกาล เมสซิ, ซัวเรซ และเนย์มาร์ สามประสานซึ่งได้รับการขนานนามว่า "MSN" ยิงได้ 122 ประตูทุกรายการซึ่งมากที่สุดต่อหนึ่งฤดูกาลในประวัติศาสตร์สำหรับผู้เล่นสามประสานในแนวรุกของลีกสเปน
เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 2015 บาร์เซโลนาเริ่มต้นฤดูกาล 2015–16 ด้วยแชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพสมัยที่ 5 เอาชนะเซบิยา 5–4 ตามด้วยการชนะริเบร์เปลต ในรอบชิงชนะเลิศฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพคว้าแชมป์เป็นสมัยที่สาม โดยมีซัวเรซ, เมสซิ และอินิเอสตาเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมสามอันดับแรกของการแข่งขัน เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 ภายหลังผ่านเข้าสู่โกปาเดลเรย์รอบชิงชนะเลิศได้เป็นครั้งที่ 6 ในรอบ 8 ฤดูกาล บาร์เซโลนาของลุยส์ เอนริเก ทำลายสถิติของสโมสรที่ไม่แพ้ติดต่อกัน 28 เกมในทุกรายการที่ทีมของกวาร์ดิออลาทำไว้ในฤดูกาล 2010–11 และด้วยชัยชนะเหนือราโยบาเยกาโน 5–1 เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พวกเขาได้ทำลายสถิติของเรอัลมาดริดที่ไม่แพ้ใคร 34 เกมในฤดูกาลได้สำเร็จ แต่สถิติไม่แพ้ใคร 39 นัดของพวกเขาได้สิ้นสุดลงในวันที่ 2 เมษายน ด้วยการพ่ายเรอัลมาดริด 1–2 ที่กัมนอว์
ต่อมา ในวันที่ 14 พฤษภาคม บาร์เซโลนาคว้าแชมป์ลาลิกาเป็นสมัยที่หกในรอบแปดฤดูกาล และสามประสาน เมสซิ ซัวเรซ และเนย์มาร์ จบฤดูกาลด้วยการยิง 131 ประตู วันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 2017 บาร์เซโลนาทำสถิติกลับมาคว้าชัยชนะได้อย่างยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบ 16 ทีมสุดท้ายโดยเอาชนะปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง 6–1 (ผลประตูรวม 6–5) แม้จะแพ้นัดแรกในฝรั่งเศส 0–4 และเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 2017 เอร์เนสโต บัลเบร์เด อดีตผู้เล่นของสโมสร ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมแทนที่เอนริเกที่ยุติสัญญา
วันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 2017 บาร์เซโลนาได้ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนต่อการลงประชามติของชาวกาตาลาในการพยายามแยกตัวออกเป็นอิสระจากประเทศสเปน[78] โดยกล่าวว่า "สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาให้ความเคารพสูงสุดต่อสมาชิกที่ของตนและจะยังคงสนับสนุนเจตจำนงของชาวกาตาลาส่วนใหญ่และร่วมดำเนินการทางกฎหมายอย่างสันติวิธี" ในฤดูกาล 2017–18 บาร์เซโลนาคว้าแชมป์ได้สองรายการทั้งในลาลิกา โดยทำไปถึง 93 คะแนน รวมทั้งโกปาเดลเรย์ เอาชนะเซบิยา 5–0 แต่ทีมล้มเหลวในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยแพ้โรมาในรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยกฎการยิงประตูทีมเยือน ซึ่งบาร์เซโลนาเอาชนะมาก่อนในนัดแรกในกัมนอว์ได้ถึง 4–1 แต่กลับแพ้ 0–3 ที่กรุงโรม[79] ถัดมา ในฤดูกาล 2018–19 บาร์เซโลนาชนะเลิศลาลิกาสมัยที่ 26 แต่ก็แพ้ลิเวอร์พูลในรอบรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกด้วยผลประตูรวมสองนัด 3–4 แม้จะชนะในนัดแรก 3–0 ที่กัมนอว์ แต่แพ้ 0–4 ที่แอนฟิลด์[80][81][82]
วันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 2020 กิเก เซติเอน อดีตผู้ฝึกสอนของเรอัลเบติสเข้ามาแทนที่บัลเบร์เด[83] โดยหลังจากแพ้อัตเลติโกเดมาดริดในซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา บาร์เซโลนายังเป็นผู้นำในลาลิกาเมื่อมีการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ส่งผลให้ฟุตบอลทั่วโลกหยุดการแข่งขัน แต่ผลงานของพวกเขาตกต่ำลงเมื่อกลับมาแข่งขันต่อ และเสียแชมป์ให้เรอัลมาดริด กระนั้น ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกพวกเขาชนะนาโปลีจากอิตาลีในรอบ 16 ทีมสุดท้ายได้ ก่อนจะเข้าไปพบกับไบเอิร์นมิวนิก และต้องพบกับความพ่ายแพ้ชนิดที่เรียกได้ว่าเป็น "ความอัปยศอดสูอย่างแท้จริง" โดยแพ้ไปถึง 2–8 เป็นการแพ้ที่ย่อยยับที่สุดครั้งหนึ่งของสโมสร[84][85] วันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2020 เซติเอนได้ถูกปลด และเอริก อาบิดัล ผู้อำนวยการฟุตบอล ก็ถูกไล่ออกเช่นกัน โรนัลด์ กุมัน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีม และเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 2020 บาร์โตเมวได้ประกาศยุติบทบาทประธานสโมสร[86]
เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 2021 ฌูอัน ลาปอร์ตา กลับมาดำรงตำแหน่งประธานสโมสรเป็นสมัยที่ 2 จากการชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนน 54.28%[87] โดยบาร์เซโลนาชนะเลิศโกปาเดลเรย์สมัยที่ 31 เอาชนะอัตเลติกเดบิลบาโอไป 4–0[88] ต่อมา ในวันที่ 5 สิงหาคม สโมสรได้ออกมาแถลงว่าพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการต่อสัญญาฉบับใหม่กับ ลิโอเนล เมสซิ แม้ว่าจะตกลงเงื่อนส่วนตัวกันได้แล้วก่อนหน้านี้ เนื่องจากปัญหาด้านโครงสร้างทางการเงินของสโมสร และกฎระเบียบของลาลิกา[89][90][91] และเมสซิได้เซ็นสัญญาร่วมทีมปารีแซ็ง-แฌร์แม็งในวันที่ 10 สิงหาคม[92] ต่อมา ในวันที่ 28 ตุลาคม หลังจากทีมบุกไปแพ้ราโยบาเยกาโนในลาลิกา 0–1 สโมสรได้ปลดกุมัน ออกจากตำแหน่ง จากผลงานย่ำแย่ในฤดูกาล 2021–22[93][94]
ชาบี ตำนานผู้เล่นของสโมสรได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนในวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 2021 โดยเซ็นสัญญาไปถึง ค.ศ. 2024[95][96] ในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 2021 บาร์เซโลนาตกรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกและลงไปเล่นในยูฟ่ายูโรปาลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ฤดูกาล[97] และทำได้เพียงการเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ ในส่วนของการแข่งขันลาลิกา ชาบีพาสโมสรทำผลงานได้ดีขึ้นตามลำดับ โดยสามารถจบฤดูกาลด้วยอันดับที่สองจากที่เคยอยู่ในอันดับเก้าเมื่อเขาเข้ามารับตำแหน่ง แต่สโมสรก็ต้องจบฤดูกาลด้วยการไม่ชนะถ้วยรางวัลใดเลย หลังจากที่ตกรอบในฟุตบอลถ้วยอีกสองรายการทั้ง ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา และ โกปาเดลเรย์[98] ชาบีพาสโมสรชนะเลิศซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา ฤดูกาล 2022–23 เอาชนะเรอัลมาดริด 3–1 ตามด้วยการชนะเลิศลาลิกาเป็นสมัยที่ 27 ในวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2023 หลังจากเอาชนะอัสปัญญ็อล 4–2[99] ซึ่งเป็นแชมป์คร้ั้งแรกในรอบห้าฤดูกาลหลังสุด แต่ชาบีประกาศอำลาสโมสรเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2023–24 ซึ่งสโมสรไม่สามารถคว้าถ้วยรางวัลรายการใดได้ โดยมีคะแนนน้อยกว่าเรอัลมาดริดในลาลิกาถึง 10 คะแนน และยังแพ้เรอัลมาดริดในซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา ฤดูกาล 2023–24 ด้วยผลประตู 1–4 รวมทั้งตกรอบก่อนรองชนะเลิศอีกสองรายการในโกปาเดลเรย์ และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
ฮันส์-ดีเทอร์ ฟลิค ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนคนใหม่ในวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 2024 ด้วยระยะเวลาการจ้างสองปี ถือเป็นผู้ฝึกสอนชาวเยอรมันคนที่สามที่ได้คุมทีม
ฉายาของผู้สนับสนุนบาร์เซโลนา คือ culer มาจากภาษากาตาลาคำว่า cul (อังกฤษ: arse; ก้น) โดยในสนามกีฬาแห่งแรก กัมเดลาอินดุสเตรีย มีเขียนคำว่า culs ไปทั่วที่นั่ง ด้านความนิยมในประเทศสเปน ความนิยมในทีมบาร์เซโลนาอยู่ที่ 25% เป็นรองเรอัลมาดริดซึ่งมี 32% ส่วนอันดับ 3 คือบาเลนเซีย[100] และในยุโรปถือเป็นสโมสรที่เป็นที่ได้รับความนิยมสูงเป็นอันดับ 2[101] จำนวนสมาชิกของสโมสรได้เพิ่มขึ้นจาก 100,000 ราย ในฤดูกาล 2003–04 เป็น 170,000 ราย ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2009[102] ด้วยความนิยมที่เพิ่มขึ้นมาจากนักฟุตบอลผู้มีชื่อเสียง เช่น รอนัลดีนโย และยุทธวิธีด้านสื่อของประธานสโมสร ฌูอัน ลาปอร์ตา ที่มุ่งไปด้านสื่อออนไลน์สเปนและอังกฤษ[103][104]
นอกจากนั้น จากข้อมูลเดือนมิถุนายน 2010 สโมสรมีสมาชิกลงทะเบียนอย่างเป็นทางการ 1,335 คน จากทั่วโลก โดยเรียกว่า เปนเยส แฟนของสโมสรที่ช่วยประชาสัมพันธ์สโมสรในท้องถิ่นของตนเองจะได้รับสิทธิในการเยี่ยมชมเมื่อมายังบาร์เซโลนา[105] ส่วนผู้สนับสนุนที่มีชื่อเสียง เช่น สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ที่เป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์รวมทั้งอดีตนายกรัฐมนตรีของสเปน โฆเซ ซาปาเตโร[106][107]
ทุกครั้งที่บาร์เซโลนาและเรอัลมาดริดพบกัน มักจะเกิดความดุเดือดในเกมการแข่งขันระหว่างสองทีมนี้ โดยเฉพาะในลาลิกา โดยเกมการแข่งขันระหว่างบาร์ซาและเรอัลมาดริด เรียกว่า เอลกลาซิโก (สเปน: El Clásico) ตั้งแต่เริ่มมีการแข่งขันระดับประเทศ ทั้ง 2 สโมสรเหมือนเป็นตัวแทนของคู่แข่งกันทั้ง 2 ภูมิภาคของสเปน คือ กาตาลุญญาและกัสติยา รวมถึงการแข่งขันระหว่าง 2 เมืองด้วย การแข่งขันยังสะท้อนถึงความขัดแย้งทางการเมืองและความตึงเครียดของทั้ง 2 วัฒนธรรม สามารถเห็นได้จากการออกกฎหมายในช่วงสงครามกลางเมืองสเปน[108]
ในช่วงการปกครองแบบเผด็จการของ ปรีโม เด รีเบรา โดยเฉพาะจอมพลฟรันซิสโก ฟรังโก (ค.ศ. 1939–1975) วัฒนธรรมย่อยทั้งหมดถูกปราบปราม ภาษาที่ใช้ในดินแดนสเปนทั้งหมดต้องใช้ภาษาสเปน (ภาษาสเปนกัสติยา) ภาษาอื่นถูกห้ามใช้อย่างเป็นทางการ[109][110] บาร์เซโลนาเป็นเหมือนเครื่องหมายแห่งความต้องการอิสรภาพของชาวกาตาลา และบาร์ซากลายเป็นอะไรที่ "มากกว่าสโมสร" (สเปน: Més que un club) นักเขียนชาวสเปน มานวยล์ บัซเกซ มอนตัลบัน กล่าวไว้ว่า หนทางที่ดีที่สุดที่ชาวกาตาลาจะพิสูจน์ให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของตัวเอง คือการมาร่วมกับทีมบาร์ซา เป็นการเสี่ยงน้อยกว่าที่จะร่วมกับกลุ่มต่อต้านจอมพลฟรังโกและพอจะอนุญาตให้พวกเขาแสดงการเคลื่อนไหว[111]
ในทางกลับกัน เรอัลมาดริด แสดงให้เห็นถึงการเป็นศูนย์กลางอำนาจสูงสุดและระบอบการปกครองฟาสซิสต์[112][113] แต่อย่างไรก็ตามในระหว่างสงครามกลางเมืองสเปน สมาชิกของทั้ง 2 สโมสร อย่างเช่นฌูแซ็ป ซุญญ็อล และราฟาเอล ซานเชซ เกร์รา ก็ต่างเจ็บปวดจากผู้สนับสนุนจอมพลฟรังโก
ในระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1950 บาร์เซโลนายิ่งแย่ลงไปเมื่อเกิดข้อพิพาทเรื่องการโยกย้ายทีมของอัลเฟรโด ดิ เอสเตฟาโน ที่สุดท้ายลงเอยกับทีมเรอัลมาดริด และต่อมาก็เป็นกุญแจสำคัญในชัยชนะของทีม[114] ในคริสต์ทศวรรษ 1960 เรอัลมาดริดเข้าสู่รอบแพ้คัดออกในถ้วยยุโรป ทั้ง 2 ทีมเจอกัน 2 ครั้ง[115] ส่วนการเจอกันในถ้วยยุโรปครั้งล่าสุดคือในปี 2002 ที่สื่อสเปนขนานนามว่า "นัดฟุตบอลแห่งศตวรรษ" มีผู้ชมมากกว่า 500 ล้านคน[116]
คู่แข่งของทีมบาร์ซาในท้องถิ่นเดียวกันคือ แอร์ราเซเด อัสปัญญ็อล เป็นสมาคมในพระบรมราชูปถัมถ์ ก่อตั้งโดยแฟนฟุตบอลสเปน ซึ่งแตกต่างจากผู้บริหารหลักของบาร์ซาที่มีหลายสัญชาติ โดยมีเจตนารมณ์ในการก่อตั้งสโมสรอย่างชัดเจนคือ ต่อต้านสโมสรบาร์เซโลนา ที่พวกเขาไม่เห็นด้วยกับบาร์เซโลนา และเห็นว่าเป็นทีมของชาวต่างชาติ[117] อัสปัญญ็อลยิ่งดูมีพลังขึ้นเมื่อชาวกาตาลามองว่า "เป็นตัวยั่วโมโหแก่มาดริด"[118] สนามกีฬาเหย้าของอัสปัญญ็อลอยู่ในย่านคนรวยที่เรียกว่า ซาร์รีอา[119][120]
ธรรมเนียมทั่วไปโดยเฉพาะในช่วงการปกครองของจอมพลฟรังโก ชาวบาร์เซโลนาส่วนใหญ่มองว่าอัสปัญญ็อลเป็นสโมสรที่อ่อนข้อให้กับการปกครองจากส่วนกลาง ในทางตรงกันข้ามบาร์ซาเป็นเหมือนจิตวิญญาณของนักปฏิวัติ[121] ในปี 1918 อัสปัญญ็อลเริ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองซึ่งตอนนั้นเป็นประเด็นปัญหาอยู่[117] ต่อมากลุ่มผู้สนับสนุนอัสปัญญ็อลเข้าร่วมกับพวกฟาลังจิสต์ในสงครามกลางเมืองสเปน ฝั่งฟาสซิสต์ ถึงอย่างไรก็ตามความแตกต่างในอุดมการณ์นี้ ในการแข่งขันระหว่างทั้ง 2 ทีม ก็มีความสำคัญกับผู้สนับสนุนอัสปัญญ็อลมากกว่าบาร์เซโลนา เนื่องจากอุดมการณ์ที่แตกต่างกันนี้ ในยุคปัจจุบันการแข่งขันเริ่มลดการเมืองลงไป และอัสปัญญ็อลเปลี่ยนชื่อและเพลงสโมสรอย่างเป็นทางการจากภาษาสเปนเป็นภาษากาตาลา[117]
ถึงแม้ว่าจะเป็นนัดแข่งขันท้องถิ่นที่มีการแข่งขันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ลาลิกา แต่ก็เกิดความไม่เท่าเทียมกันมากที่สุดเพราะบาร์เซโลนามีความโดดเด่นอย่างมาก ในตารางคะแนนในลีก อัสปัญญ็อลสามารถทำคะแนนได้เหนือกว่าบาร์เซโลนา 3 ครั้งในรอบเกือบ 70 ปี และในโกปาเดลเรย์ มีการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศจากชาวกาตาลาในปี 1957 ซึ่งบาร์ซาเป็นผู้ชนะ อัสปัญญ็อลมีชัยชนะต่อบาร์ซามากที่สุด 6–0 ในปี 1951 และอัสปัญญ็อลมีชัยชนะเหนือบาร์ซา 2–1 ในฤดูกาล 2008–09 ทำให้เป็นทีมแรกที่ชนะบาร์เซโลนาได้ในสนามกัมนอว์ ในฤดูกาลที่พวกเขาชนะเลิศ 3 ถ้วยรางวัล[122]
สโมสรที่ถือเป็นคู่ปรับสำคัญของบาร์เซโลนาในการแข่งขันฟุตบอลยุโรปได้แก่ เอซี มิลาน[123][124] ทั้งสองทีมเคยแข่งขันกันทั้งสิ้น 19 นัด ซึ่งถือเป็นสถิติการพบกันระหว่างสองสโมสรที่มากที่สุดเป็นอันดับสองในฟุตบอลยุโรป เท่ากับการพบกันระหว่าง เรอัลมาดริด และ ยูเวนตุส (19 นัด) เป็นรองเพียงการพบกันระหว่าง เรอัลมาดริด และ ไบเอิร์นมิวนิก (24 นัด)[125] โดยบาร์เซโลนามีสถิติที่เหนือกว่าในการพบกัน โดยชนะ 8 ครั้ง แพ้ 5 ครั้ง และเสมอกัน 6 ครั้ง[126] ทั้งสองสโมสรต่างก็ประสบความสำเร็จสูงในฟุตบอลยุโรปโดยชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรวมกัน 12 สมัย[127]
การแข่งขันทางการครั้งแรกของทั้งคู่เกิดขึ้นในปี 1959 ในการแข่งขันยูโรเปียน คัพ (ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในปัจจุบัน) และบาร์เซโลนาชนะไปด้วยผลประตูรวมสองนัด 7–1 และนับตั้งแต่นั้น บาร์เซโลนาไม่เคยตกรอบเพราะเอซี มิลาน ในการแข่งขันฟุตบอลยุโรปเลย กระทั่งพวกเขาแพ้เอซี มิลาน ในรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 1994 ถึง 0–4 อย่างเหนือความคาดหมาย[128] โดยผู้จัดการทีมบาร์เซโลนาได้แก่ โยฮัน ไกรฟฟ์ ต่อมาในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2013 บาร์เซโลนาสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการกลับมาเอาชนะเอซี มิลานได้ในการแข่งขันสองนัดด้วยผลประตูรวม 4–2 ทั้งที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปก่อน 0–2 ในนัดแรกที่อิตาลี[129]
ในปี 2010 นิตยสาร ฟอบส์ สรุปมูลค่าของสโมสรบาร์เซโลนาอยู่ที่ราว 752 ล้านยูโร (1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ติดอยู่อันดับ 4 ตามหลังสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เรอัลมาดริด และอาร์เซนอล โดยดูจากตัวเลขในฤดูกาล 2008–09[130][131] และจากข้อมูลของดาลอยต์ บาร์เซโลนามีรายได้ 366 ล้านยูโรในฤดูกาลเดียวกันนี้ ติดอันดับ 2 เป็นรองเรอัลมาดริดที่มีรายได้ 401 ล้านยูโร[132]
เหมือนกับสโมสรอื่นอย่าง เรอัลมาดริด, อัตเลติกเดบิลบาโอ และโอซาซูนา ที่บาร์เซโลนาเป็นบริษัทจดทะเบียน ซึ่งแตกต่างจากบริษัทจำกัดที่ไม่สามารถซื้อขายหุ้นของสโมสร มีแต่เพียงสมาชิก[133] สมาชิกของบาร์เซโลนาเรียกว่า socis ซึ่งมีตัวแทนของกลุ่ม และเป็นตำแหน่งบริหารสูงสุดของสโมสร[134] จากข้อมูลปี 2010 สโมสรมี socis 170,000 คน[102]
จากการตรวจสอบบัญชีของดาลอยต์ในเดือนกรกฎาคม 2010 แสดงให้เห็นว่าบาร์เซโลนามีหนี้สุทธิ 442 ล้านยูโร เป็น 58% ของทรัพย์สินสุทธิที่ตีค่าโดยนิตยสาร ฟอบส์ ผู้บริหารทีมใหม่ของบาร์เซโลนา ซึ่งได้ให้ตรวจสอบบัญชีนี้ กล่าวไว้ว่า "ปัญหาเกิดจากโครงสร้าง" ซึ่งเป็นสาเหตุของหนี้[135]
อีเอสพีเอ็นรายงานข้อมูลในปี 2011 ว่า หนี้รวมของบาร์เซโลนามีราว 483 ล้านยูโร และหนี้สุทธิอยู่ที่ 364 ล้านยูโร[136] อีเอสพีเอ็นยังพบว่า บาร์เซโลนาเป็นสโมสรที่นักฟุตบอลมีเงินเดือนเฉลี่ยสูงสุดมากกว่าทีมกีฬาอาชีพใดในโลก และสูงกว่าคู่แข่งอย่างเรอัลมาดริด[137]
ชาบี เคยครองสถิติในการเป็นนักฟุตบอลของสโมสรที่ลงแข่งมากที่สุด (767 นัด) รวมทั้งลงแข่งในลาลิกามากที่สุด (505 นัด)[138] ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดมาอย่างยาวนาน ก่อนที่สถิติดังกล่าวจะถูกทำลายโดย ลิโอเนล เมสซิ ในเดือนมีนาคม 2021 โดยหากนับจนถึงสิ้นสุดฤดูกาล 2020–21 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขากับสโมร เมสซิลงสนามในการแข่งขันทางการให้กับสโมสรรวม 778 นัด[139] รวมทั้งเป็นผู้เล่นที่ลงสนามในลาลิกาให้กับทีมมากที่สุดจำนวน 520 นัด[140]
ผู้ที่ทำประตูสูงสุดตลอดกาลของบาร์เซโลนาในทุกการแข่งขัน คือ ลิโอเนล เมสซิ จำนวนประตูนับถึงฤดูกาล 2020–21 คือ 672 ประตู[141] โดยเมสซิทำลายสถิติที่ยืนระยะมากว่า 80 ปี ของ เปาลีโน อัลกันตารา (1912–27) จำนวน 369 ประตู ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2014 ในนัดแข่งขันเกมลาลิกากับโอซาซูนา โดยการแข่งขันนัดดังกล่าวเมสซิทำโปกเกอร์ คือ ยิงประตู 4 ประตูในนัดเดียว[142]
และผู้ทำประตูสูงสุดในลีก (ลาลิกา) ของบาร์เซโลนา ก็คือ ลิโอเนล เมสซิ จำนวนประตูในลีกนับถึงฤดูกาล 2020-21 คือ 474 ประตู[143] ทำลายสถิติเดิมของ เซซาร์ โรดรีเกซ จำนวน 195 ประตูในลาลิการระหว่าง ค.ศ. 1942 ถึง 1955[144] โดยการทำ 2 ประตู ในนัดพบกับ เรอัลเบติส วันที่ 9 ธันวาคม 2012 มีนักฟุตบอลเพียง 4 คนที่ทำประตูได้มากกว่า 100 ประตูในลาลิกาให้กับบาร์เซโลนา คือ ลิโอเนล เมสซิ (474), เซซาร์ โรดรีเกซ (195), ลัสโซล คูบาลา (131) และซามูแอล เอโต (108)
นอกจากนี้ ลิโอเนล เมสซิ (474 ประตูในลีก updated season 2020-21) ยังถือครองสถิติ ผู้ทำประตูสูงสุดในลาลิกาสเปนปัจจุบันอีกด้วย โดยการทำลายสถิติเดิมตั้งแต่ปี 1995 ของ เตลโม ซาร์ร่า นักฟุตบอลจากทีม อัตเลติกเดบิลบาโอ จำนวน 251 ประตู ซึ่งเมสซิทำลายสถิติดังกล่าวได้ในนัดที่ทำแฮตทริก ในเกมบาร์เซโลนาพบกับเซบิยา วันที่ 22 พฤศจิกายน 2014[145]
เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2009 บาร์เซโลนาทำสถิติสำคัญคือทำได้ครบ 5,000 ประตูในการแข่งขัน ลาลิกา โดยเมสซิซึ่งยิงได้ในนัดแข่งกับราซินเดซันตันเดร์ ที่บาร์ซาชนะ 2–1[146]
ในวันที่ 18 ธันวาคม 2009 บาร์เซโลนาชนะเอสตูเดียนเตส 2–1 ทำให้ครองแชมป์ที่ 6 ในปีเดียวกัน และเป็นสโมสรฟุตบอลแรกที่สามารถถือครองถ้วย 6 ถ้วยในฤดูกาลเดียวกัน[147]
บาร์เซโลนาถือสถิติผู้ครองแชมป์มากที่สุดใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป คือ 90 แชมป์
บาร์เซโลนายังถือสถิติผู้ครองแชมป์มากที่สุดในการแข่งขัน ยูฟ่าซูเปอร์คัพ (5 สมัย/สถิติร่วมกับ เอซี มิลาน), โกปาเดลเรย์ (31 สมัย) และซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา (13 สมัย)
นักฟุตบอลที่สามารถคว้าแชมป์กับทีมบาร์เซโลนาได้มากที่สุดคือ ลิโอเนล เมสซิ จำนวน 35 แชมป์ (ค.ศ. 2004–21)
ในวันที่ 3 มีนาคม 1986 ในการชิงถ้วยฟุตบอลยุโรปที่แข่งกับยูเวนตุสรอบก่อนชิงชนะเลิศ มีผู้ชมมากที่สุดในการแข่งขันที่บาร์เซโลนาเป็นเจ้าบ้านถึง 120,000 คน[148] สนามกัมนอว์ยุคใหม่ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 ที่เปลี่ยนเป็นระบบที่นั่งทุกที่นั่ง ทำให้สถิติผู้ชมสูงสุดไม่สามารถทำลายไปได้ และจำนวนที่นั่งทั้งหมดของสนามคือ 98,772 ที่[149]
ผู้จัดการทีมที่คุมทีมยาวนานที่สุดของสโมสรได้แก่ แจ็ค กรีนเวลล์ ผู้จัดการทีมชาวอังกฤษ ซึ่งคุมทีมยาวนาน 9 ปีจากการรับตำแหน่ง 2 ครั้ง (ค.ศ. 1917–24 และ 1931–33)[150] ส่วนผู้จัดการทีมที่คุมทีมติดต่อกันยาวนานที่สุดได้แก่ โยฮัน ไกรฟฟ์ จำนวน 8 ปี (1988-96) และผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดได้แก่ แป็ป กวาร์ดิออลา ซึ่งพาทีมคว้าตำแหน่งชนะเลิศ 14 รายการ (ค.ศ. 2008-12)[151][152]
ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสโมสร ก็มีตราประจำสโมสร โดยตราสโมสรดั้งเดิมเป็นรูปหนึ่งในสี่ของสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด โดยมี มงกุฎแห่งอารากอน (Crown of Aragon) และค้างคาวกษัตริย์เจมส์ (bat of King James) อยู่ด้านบนสุด โดยมีกิ่งไม้ 2 กิ่งอยู่ด้านข้าง โดยใบหนึ่งเป็นต้นลอเรลและอีกใบหนึ่งเป็นใบปาล์ม[153] ในปี 1910 สโมสรได้จัดการประกวดการออกแบบตราสโมสรใหม่ โดยผู้ชนะได้แก่ การ์เลส โกมามาลา ซึ่งเป็นนักฟุตบอลของสโมสรช่วงนั้น ซึ่งตราสโมสรที่ออกแบบโดยโกมามาลากลายเป็นตราสโมสรมาจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงจากต้นฉบับเล็กน้อย ตราสโมสรประกอบด้วยรูป กางเขนของเซนต์จอร์จอยู่ในตำแหน่งซ้ายบน และธงชาติกาตาลาอยู่ในตำแหน่งขวาบน และสีประจำสโมสรอยู่ตำแหน่งด้านล่าง[153]
สีน้ำเงินและแดงบนเสื้อนั้น มีใช้ครั้งแรกในนัดแข่งกับฮิสปาเนียในปี 1900[154] มีหลายทฤษฎีเกี่ยวกับที่มาของการใช้สีน้ำเงินและแดงของเสื้อบาร์เซโลนา ลูกชายของประธานคนแรก อาร์เทอร์ วิตตี อ้างว่าเป็นแนวคิดของพ่อเขา ที่ใช้สีเช่นเดียวกับทีมโรงเรียนเมอร์แชนต์เทย์เลอร์สกูล ส่วนอีกคำอธิบายหนึ่ง นักเขียนที่ชื่อ โทนี สตรูเบลล์ กล่าวว่า สีทั้งสองนั้นมาจากสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 1 ของรอแบ็สปีแยร์ ส่วนในกาตาลุญญา เป็นที่เข้าใจว่า สีทั้งสองนั้นเลือกโดยฌูอัน กัมเป ซึ่งเป็นสีเดียวกับทีมบ้านเกิด คือ สโมสรฟุตบอลบาเซิล[155]
ตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมา บาร์เซโลนาไม่เคยมีโฆษณาบนเสื้อ จนเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2006 สโมสรมีข้อตกลงร่วมกับยูนิเซฟในสัญญา 5 ปี ว่าจะมีตราสัญลักษณ์ของยูนิเซฟบนเสื้อทีมของบาร์เซโลนา โดยตกลงกันว่าสโมสรบริจาคเงิน 1.5 ล้านยูโร ต่อปีให้กับยูนิเซฟ (0.7 เปอร์เซนต์ของรายได้สโมสร) โดยผ่านทางมูลนิธิสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา[156] โดยมูลนิธิสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาเป็นองค์กรอิสระที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1994 จากคำแนะนำของประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจของบริษัทในขณะนั้น ไคย์เม คิล-อาลูคา จากแนวความคิดที่ว่าหากก่อตั้งมูลนิธิจะสามารถดึงดูดผู้สนับสนุนด้านการเงินทึ่ต้องการสนับสนุนองค์กรกีฬาที่ไม่แสวงหากำไร[157] ในปี 2004 สมาชิกสโมสรสามารถเป็นหนึ่งใน 25 ของสมาชิกกิตติมศักดิ์ โดยบริจาคเงินระหว่าง 40,000–60,000 ยูโร (คำนวณจากอัตราเงินเฟ้อปัจจุบันเท่ากับ 45,800–68,700 ยูโร) ต่อปี และมีสมาชิกสมทบอีก 48 คน ที่บริจาค 14,000 ยูโร (คำนวณจากอัตราเงินเฟ้อปัจจุบันเท่ากับ 16,000 ยูโร) และผู้อุปถัมป์ไม่จำกัดจำนวน บริจาคที่ 4,000 ยูโรต่อปี (คำนวณจากอัตราเงินเฟ้อปัจจุบันเท่ากับ 4,600 ยูโร) แต่ก็ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าสมาชิกกิตติมศักดิ์จะสามารถเป็นส่วนเกี่ยวข้องกับนโยบายสโมสรหรือไม่ แต่จากข้อมูลของนักเขียน แอนโทนี คิง ระบุไว้ว่า "ไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าสมาชิกกิตติมศักดิ์จะไม่เกี่ยวข้อง อย่างน้อยก็มีอิทธิพลอย่างไม่เป็นทางการกับสโมสร"[158]
จนในที่สุด บาร์เซโลนาก็ยุติการไม่มีการโฆษณาบนเสื้อในฤดูกาล 2011-12 โดยได้เซ็นสัญญาเป็นเวลา 5 ปี เป็นเงิน 150 ล้านยูโร กับ มูลนิธิกาตาร์[159]
ช่วงเวลา | ผู้ผลิตชุดกีฬา | ผู้สนับสนุนหลักบนชุด | ผู้สนับสนุนรองบนชุด |
---|---|---|---|
1899–1982 | ไม่มี | ไม่มี | ไม่มี |
1982–1992 | เมย์บา | ||
1992–1998 | กัปปา | ||
1998–2004 | ไนกี้ | ||
2004–2006 | เตอูเบเตรส (แขนเสื้อซ้าย) | ||
2006–2011 | ยูนิเซฟ | ||
2011–2013 | มูลนิธิกาตาร์ | เตอูเบเตรส (แขนเสื้อซ้าย) และ ยูนิเซฟ (ด้านหลังเสื้อ) | |
2013–2014 | กาตาร์แอร์เวย์ (33,5 ล้านยูโรต่อปี) [160][161] |
ยูนิเซฟ (ด้านหลังเสื้อ) | |
2014–2017 | เบโก (แขนเสื้อซ้าย) และ ยูนิเซฟ (ด้านหลังเสื้อ) | ||
2017–2021 | ระกุเต็ง (55 ล้านยูโรต่อปี) [162][163][164] | ||
2021–2022 | ยูนิเซฟ (ด้านหลังเสื้อ) | ||
2022– | สปอติฟาย | ข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ด้านหลังเสื้อ) |
เริ่มแรกบาร์เซโลนาเล่นที่สนามกัมเดลาอินดุสเตรีย มีความจุราว 10,000 คนและสโมสรเห็นว่าสิ่งอำนวยความสะดวกยังไม่ดีพอกับสมาชิกที่เพิ่มขึ้น[165]
ในปี 1922 ผู้สนับสนุนสโมสรมีเพิ่มขึ้นมากกว่า 20,000 คน และสนับสนุนเงินให้กับสโมสร ทำให้บาร์ซาสามารถที่จะสร้างสนามที่ใหญ่กว่า โดยสร้างสนามกัมเดเลสกอตส์ ที่มีความจุ 20,000 คน หลังจากสงครามกลางเมืองสเปน สโมสรเริ่มมีสมาชิกมากขึ้นและมีผู้เข้าชมการแข่งขันเป็นจำนวนมาก ทำให้มีการขยับขยายสนาม โดยขยายอัฒจันทร์ใหญ่ในปี 1946 ขยายอัฒจันทร์ฝั่งทิศใต้ในปีเดียวกัน และสุดท้ายขยายอัฒจันทร์ฝั่งทิศเหนือในปี 1950 หลังการขยับขยายครั้งสุดท้าย สนามเลสกอตส์สามารถจุคนได้ 60,000 คน[166]
หลังจากต่อเติมเสร็จ สนามเลสกอตส์ก็ไม่สามารถขยับขยายห้องได้เพิ่มขึ้นอีก และจากความสำเร็จในการเป็นผู้ชนะเลิศในลาลิกาติดต่อกันในปี 1948 และ 1949 รวมถึงได้เซ็นสัญญากับนักฟุตบอล ลัสโซล คูบาลา ในเดือนมิถุนายน 1950 ที่ต่อมาเขายิงประตูให้กับสโมสร 196 ประตูใน 256 นัด ก็ยิ่งทำให้มีฝูงชนเข้ามาดูการแข่งขันมากขึ้น[166][167][168] สโมสรจึงเริ่มวางแผนการสร้างสนามกีฬาแห่งใหม่[166] สนามกัมนอว์เริ่มก่อสร้างวันที่ 28 มีนาคม 1954 วางศิลาฤกษ์ก้อนแรกโดยผู้ว่า เฟลีเป อาเซโด โกลังกา ที่ทำพิธีโดยอาร์ชบิชอปแห่งบาร์เซโลนา เกรโกเรียว โมเดรโก โดยใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 24 กันยายน 1957 ด้วยค่าก่อสร้างทั้งหมด 288 ล้านเปเซตา เกินงบประมาณ 336%[166]
ในปี 1980 มีการออกแบบสนามกีฬาใหม่ให้เข้ากับเกณฑ์พิจารณาของยูฟ่า สโมสรได้หาเงินจากผู้สนับสนุน โดยจะสลักชื่อบนหินด้วยจำนวนเงินเล็กน้อย แนวคิดนี้ได้รับการตอบรับจากผู้สนับสนุน โดยมีคนหลายพันคนร่วมสนับสนุน แต่ต่อมากลายเป็นข้อพิพาทเมื่อสื่อในมาดริด ยกประเด็นนี้เมื่อมีหินก้อนหนึ่งที่สลักชื่อ ประธานของเรอัลมาดริด และผู้สนับสนุนจอมพลฟรังโก ชื่อ ซานเตียโก เบร์นาเบว เยสเต[169][170][171] ต่อมาในการเตรียมงานสำหรับกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1992 ได้มีการติดที่นั่ง 2 แถว เหนือแนวหลังคาเดิม[172] ปัจจุบันสนามจุคนได้ 99,354 คน เป็นสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป[173]
นอกจากนั้นยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น เช่น[174]
ระดับ | รายการ | ชนะเลิศ | ฤดูกาล |
---|---|---|---|
ระดับประเทศ |
ลาลิกา | 27 | 1928–1929, 1944–45, 1947–48, 1948–49, 1951–52, 1952–53, 1958–59, 1959–60, 1973–74, 1984–85, 1990–91, 1991–92, 1992–93, 1993–94, 1997–98, 1998–99, 2004–05, 2005–06, 2008–09, 2009–10, 2010–11, 2012–13, 2014–15, 2015–16, 2017–18, 2018–19, 2022–23 |
โกปาเดลเรย์ | 31 | 1909–10, 1911–12, 1912–13, 1919–20, 1921–22, 1924–25, 1925–26, 1927–28, 1941–42, 1950–51, 1951–52, 1952–53, 1956–57, 1958–59, 1962–63, 1967–68, 1970–71, 1977–78, 1980–81, 1982–83, 1987–88, 1989–90, 1996–97, 1997–98, 2008–09, 2011–12, 2014–15, 2015–16, 2016–17, 2017–18, 2020–21 | |
ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา | 14 | 1983, 1991, 1992, 1994, 1996, 2005, 2006, 2009, 2010, 2011, 2013, 2016, 2018, 2022–23 | |
โกปาเอบาดัวร์เต | 3 | 1948, 1952, 1953 | |
โกปาเดลาลิกา | 2 | 1983, 1986 | |
ระดับทวีปยุโรป | ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก | 5 | 1991–92, 2005–06, 2008–09, 2010–11, 2014–15 |
ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ | 4 | 1978–79, 1981–82, 1988–89, 1996–97 | |
ยูฟ่าซูเปอร์คัพ | 5 | 1992, 1997, 2009, 2011, 2015 | |
อินเตอร์-ซิตีส์แฟส์คัพ | 3 | 1955–58, 1958–60, 1965–66 | |
ระดับโลก | ฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ | 3 | 2009, 2011, 2015 |
สโมสรในสเปนจำกัดให้มีผู้เล่นที่ไม่ได้มีสัญชาติยุโรปได้ไม่เกิน 3 คน ไม่รวมประเทศในกลุ่มประเทศในกลุ่มแอฟริกา แคริบเบียน และแปซิฟิก ที่ลงนามในสัญญาความตกลงกอตอนู เนื่องจากขัดต่อกฎคอลพัก (Kolpak ruling) รายชื่อผู้เล่นที่แสดงเป็นสัญชาติดั้งเดิมของแต่ละคน แต่นักฟุตบอลที่ไม่ได้มีสัญชาติยุโรปมักจะถือ 2 สัญชาติในประเทศเครือสหภาพยุโรป
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
|
|
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
|
ตำแหน่ง | เจ้าหน้าที่ |
---|---|
ผู้จัดการทีมชุดใหญ่ | ฮันส์-ดีเทอร์ ฟลิค |
ผู้ช่วยผู้จัดการทีม | ออสการ์ อาร์นันดัส |
ผู้ช่วยผู้จัดการทีมที่ 2 | เซร์ฆิโอ อัลเลเกร |
ผู้ช่วยผู้ฝึกสอน | ชูอัง บาบารา |
ผู้ฝึกสอนด้านฟิตเนส | ราฟา โพล เอดู พอนส์ ฟรานเชสก์ คอส ปาโก เซรูโย |
ผู้ฝึกสอนผู้รักษาประตู | โชเซ รามอน เด ลา ฟวนเต |
แมวมอง | อีซีเดร รามอน เชซุส กาซัส ฌอร์ดี เมเลโร่ ชาวเม ตอราส |
นักกายภาพบำบัด | ชาวเม มินุย ชวนโย บาว ชาบี โลเปซ ชาบี ลินเด |
นักจิตวิทยา | ชวากิน บัลเดส |
แพทย์ | รามอน กานัล รีกา พรูนา ดาเนียล เมดีนา |
ผู้ประสานงาน | การ์เลส นาวาล |
ผู้จัดการด้านฟุตบอล | เอเรียโด บราอีดา |
ผู้ช่วยผู้จัดการด้านฟุตบอล | การ์เลส เรแซช |
ผู้จัดการสถาบัน | ฌอร์ดี โรอูล่า |
ผู้จัดการทีมเยาวชน | ฌอร์ดี วินยาลส์ |
ข้อมูลล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2021
อ้างอิง: FC Barcelona
ตำแหน่ง | ชื่อ |
---|---|
ประธาน | ฌูอัน ลาปอร์ตา |
รองประธานฝ่ายการเงินและพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ | ราฟาเอล ยุสเต |
รองประธานฝ่ายสังคม | เอดูอาร์โด โรเมอู |
รองประธานฝ่ายกีฬา | ฌอร์ดี เมสเตร |
ผู้บริหารฝ่ายสนับสนุนทั่วไป | มาเนล อาร์โรโย |
เลขานุการ | โจเซป คิวเบลล์ส |
เหรัญญิก | เฟอร์ราน โอลิเว |
ผู้บริหารฝ่ายสังคม | รามอน ปอนต์ |
ข้อมูลล่าสุด: 9 สิงหาคม ค.ศ. 2021
อ้างอิง: FC Barcelona
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.