![cover image](https://wikiwandv2-19431.kxcdn.com/_next/image?url=https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/3/33/Flag_of_Spain_%25281945%25E2%2580%25931977%2529.svg/langth-640px-Flag_of_Spain_%25281945%25E2%2580%25931977%2529.svg.png&w=640&q=50)
สเปนภายใต้การนำของฟรังโก
From Wikipedia, the free encyclopedia
สเปนภายใต้การนำของฟรังโก (สเปน: España franquista) หรือ ระบอบเผด็จการฟรังโก (สเปน: dictadura franquista) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า รัฐสเปน (สเปน: Estado Español)[lower-alpha 1] เป็นช่วงเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์สเปนที่เริ่มขึ้นตั้งแต่การขึ้นสู่อำนาจของนายพลฟรันซิสโก ฟรังโก หลังฝ่ายชาตินิยมมีชัยชนะเหนือฝ่ายนิยมสาธารณรัฐในสงครามกลางเมืองในเดือนเมษายน ค.ศ. 1939 จนกระทั่งฟรังโกถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1975 แม้ว่าการรื้อฟื้นระบอบเผด็จการจะลากยาวไปจนถึงการประกาศใช้รัฐธรรมนูญผ่านการลงประชามติใน ค.ศ. 1978
รัฐสเปน Estado Español (สเปน) | |||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ค.ศ. 1936–1975 | |||||||||||
ธงชาติสเปน
(1945–1977) ตราแผ่นดิน
(1945–1977) | |||||||||||
![]() ดินแดนและอาณานิคมของรัฐสเปน:
| |||||||||||
เมืองหลวง และเมืองใหญ่สุด | มาดริด[lower-alpha 1] | ||||||||||
ภาษาราชการ | สเปน | ||||||||||
ศาสนา | โรมันคาทอลิก (ทางการ) | ||||||||||
เดมะนิม | ชาวสเปน | ||||||||||
การปกครอง | รัฐเดี่ยว ระบบพรรคการเมืองเดียวภายใต้ลัทธิบุคคลนิคมเผด็จการของฟรังโก | ||||||||||
เกาดิโย | |||||||||||
• ค.ศ. 1936–1975 | ฟรันซิสโก ฟรังโก | ||||||||||
นายกรัฐมนตรี | |||||||||||
• ค.ศ. 1938–1973 | ฟรันซิสโก ฟรังโก | ||||||||||
• ค.ศ. 1973 | ลุยส์ การ์เรโร บลังโก | ||||||||||
• ค.ศ. 1973–1975 | การ์โลส อาเรียส นาบาร์โร | ||||||||||
เจ้าชาย | |||||||||||
• ค.ศ. 1969–1975 | เจ้าชายฆวน การ์โลส | ||||||||||
สภานิติบัญญัติ | กอร์เตสเอสปัญโญลัส | ||||||||||
ยุคประวัติศาสตร์ | สมัยระหว่างสงคราม • สงครามโลกครั้งที่สอง • สงครามเย็น | ||||||||||
17 กรกฎาคม ค.ศ. 1936 | |||||||||||
• ฝ่ายชาตินิยมชนะ | 1 เมษายน ค.ศ. 1939 | ||||||||||
• กฎหมายการสืบทอด | 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1947 | ||||||||||
14 ธันวาคม ค.ศ. 1955 | |||||||||||
• กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ | 1 มกราคม ค.ศ. 1967 | ||||||||||
• อสัญกรรมของฟรังโก | 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1975 | ||||||||||
พื้นที่ | |||||||||||
ค.ศ. 1940[1] | 856,045 ตารางกิโลเมตร (330,521 ตารางไมล์) | ||||||||||
ประชากร | |||||||||||
• ค.ศ. 1940[2] | 25,877,971 | ||||||||||
สกุลเงิน | เปเซตาสเปน | ||||||||||
รหัสโทรศัพท์ | +34 | ||||||||||
| |||||||||||
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ | อิเควทอเรียลกินี โมร็อกโก สเปน เวสเทิร์นสะฮารา | ||||||||||
หลังสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลง นายพลฟรังโกได้จัดตั้งระบอบเผด็จการฟาสซิสต์[8] หรือระบอบกึ่งฟาสซิสต์[9] ที่เป็นการรวมเอาอิทธิพลที่เห็นได้ชัดของลัทธิเผด็จการเยอรมันและอิตาลีในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านแรงงานสัมพันธ์ นโยบายเศรษฐกิจพึ่งพาตนเอง ด้านสุนทรียศาสตร์ การใช้สัญลักษณ์[10] หรือระบบพรรคการเมืองเดียว[11] เป็นต้น ในช่วงท้ายของการปกครอง ระบอบได้เปลี่ยนแปลงกลายเป็นเผด็จการแบบพัฒนานิยมมากขึ้น[12] แม้ว่าจะยังรักษาความเป็นฟาสซิสต์ที่หลงเหลืออยู่เสมอ[9] ทั้งนี้ ระบอบฟรังโกไม่มีอุดมการณ์ที่กําหนดไว้อย่างชัดเจน นอกเหนือจากโรมันคาทอลิกแห่งชาติ (National Catholicism)
ในช่วงทศวรรษ 1940 เผด็จการทหารเริ่มแข็งแกร่งขึ้นจากการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองและเศรษฐกิจ หรือที่เรียกว่า "ความน่าสะพรึงสีขาว" (terror blanco) มีผู้คนราว 485,000 คน ได้หลบหนีออกนอกประเทศ[13] แหล่งข้อมูลบางส่วนกล่าวว่ามีผู้อพยพประมาณ 9,000-15,000 คน ที่ถูกจับกุมในค่ายกักกันนาซี ซึ่งมีจำนวนครึ่งหนึ่งที่รอดชีวิตมาได้[14][15] ส่วนบุคคลอื่น ๆ ถูกจับเข้าค่ายกักกันของฟรังโก โดยคาดว่ามีจำนวนไม่ต่ำกว่า 367,000 คน ที่ถูกกักกันในค่ายกักกันที่มีประมาณ 150-188 แห่ง[14] ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1940 มีชายหญิงอีก 280,000 คน ที่ถูกคุมตัวอยู่ในเรือนจําของรัฐ[16][17] นักประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งประมาณการไว้ว่า ผู้คนตั้งแต่ 23,000-46,000 คนถูกประหารชีวิตในช่วงหลังสงคราม[18]
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แม้ว่าประเทศจะดำเนินนโยบายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด[19] แต่ก็มีส่วนสนับสนุนนาซีเยอรมนีต่อการบุกครองสหภาพโซเวียต ซึ่งมีการส่งกองพลน้ำเงิน ซึ่งเป็นหน่วยทหารอาสาเข้าร่วมกับกองทัพเยอรมันในแนวรบด้านตะวันออกเป็นเวลาสองปี ความร่วมมือกับฝ่ายอักษะนี้ทำให้ประเทศถูกโดดเดี่ยวในระดับนานาชาติหลังจากความพ่ายแพ้ใน ค.ศ. 1945 ซึ่งได้รับการส่งเสริมโดยพันธมิตรภายในองค์การสหประชาชาติที่สร้างขึ้นใหม่
ในช่วงทศวรรษ 1950 ภายใต้กรอบของสงครามเย็น ตําแหน่งทางภูมิศาสตร์และการปกครองแบบเผด็จการทหารของสเปนกลายเป็นยุทธศาสตร์สําหรับสหรัฐและพันธมิตรในยุโรปเพื่อต่อต้านสหภาพโซเวียต พันธมิตรระหว่างสเปนกับสหรัฐได้ยุติการถูกโดดเดี่ยวของประเทศ และสนับสนุนการเปิดเศรษฐกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเป็นไปในระดับการพัฒนาที่ต่ำกว่าเศรษฐกิจของประเทศยุโรปตะวันตกอื่น ๆ ต่อมาในช่วงทศวรรษ 1960 จนถึงต้นทศวรรษ 1970 ระดับการพัฒนาเศรษฐกิจดีขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ แม้ว่าจะไม่เท่าเทียมกันก็ตาม มาตรฐานการครองชีพของประชากรส่วนใหญ่ที่เป็นชนชั้นกลางแทบจะไม่มีอยู่จริง ระดับเสรีภาพส่วนบุคคลและการเมืองไม่ได้เพิ่มขึ้นไปในทางเดียวกัน เริ่มเกิดการระดมกำลังต่อต้านระบอบเผด็จการของคนงานและนักศึกษา
เจ้าชายฆวน การ์โลส แห่งบูร์บง ได้รับการแต่งตั้งจากฟรังโกให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขแห่งรัฐ ในฐานะเจ้าชายแห่งสเปน และเมื่อฟรังโกถึงแก่อสัญกรรม เจ้าชายฆวน การ์โลส ทรงให้คำสัตย์ว่าจะปฏิบัติตามหลักการของขบวนการแห่งชาติที่มุ่งทําให้ระบอบฟรังโกคงอยู่ตลอดไป ทว่าในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงอาศัยกรอบสถาบันของฟรังโกเพื่อส่งเสริมกฎหมายเพื่อการปฏิรูปการเมือง ซึ่งให้สัตยาบันในการลงประชามติ โดยผลลัพธ์ที่ได้คือ ร้อยละ 94 เห็นด้วยกับการปฏิรูป จึงมีการเริ่มเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยใน ค.ศ. 1976