พระเจ้าคาโรลที่ 2 แห่งโรมาเนีย (15 ตุลาคม ค.ศ. 1893 – 4 เมษายน ค.ศ. 1953) ทรงเป็นกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรโรมาเนียตั้งแต่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 1930 กระทั่งสละราชบัลลังก์เมื่อวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1940
พระเจ้าคาโรลที่ 2 | |||||
---|---|---|---|---|---|
กษัตริย์คาโรลที่ 2 แห่งโรมาเนีย ค.ศ. 1918 | |||||
พระมหากษัตริย์แห่งชาวโรมาเนีย | |||||
ครองราชย์ | 8 มิถุนายน ค.ศ. 1930 – 6 กันยายน ค.ศ. 1940 (10 ปี 90 วัน) | ||||
ก่อนหน้า | มีไฮที่ 1 | ||||
ถัดไป | มีไฮที่ 1 | ||||
นายกรัฐมนตรี | ดูรายชื่อ
| ||||
พระราชสมภพ | 25 ตุลาคม ค.ศ. 1893 ปราสาทเปเลช, ซีนาเอีย, ราชอาณาจักรโรมาเนีย | ||||
สวรรคต | 4 เมษายน ค.ศ. 1953 ปี) เอสตอริล, ริเวียราโปรตุเกส, โปรตุเกส | (59||||
ฝังพระศพ | สุสานหลวงราชวงศ์บรากันซา, โปรตุเกส (1953) มหาวิหารเคอร์ทีอาเดออาร์เกส, โรมาเนีย (2003) | ||||
คู่อภิเษก | ซีซี ลัมบรีนอ (แต่ง 1918; โมฆะ 1919) เจ้าหญิงเฮเลนแห่งกรีซและเดนมาร์ก (แต่ง 1921; หย่า 1928) มักดา ลูเปสคู (แต่ง 1947) | ||||
พระราชบุตร | คารอล ลัมบรีนอ กษัตริย์มีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย | ||||
| |||||
ราชวงศ์ | โฮเอ็นโซลเลิร์น-ซิกมาริงเงิน | ||||
พระราชบิดา | กษัตริย์เฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งโรมาเนีย | ||||
พระราชมารดา | เจ้าหญิงมารีแห่งเอดินเบอระ |
กษัตริย์คาโรลเป็นพระราชโอรสพระองค์โตในกษัตริย์เฟอร์ดินานด์ที่ 1 ได้รับการสถาปนาเป็นมกุฎราชกุมารเมื่อ ค.ศ. 1914 ภายหลังการสวรรคตของสมเด็จพระอัยกา (กษัตริย์คาโรลที่ 1 ซึ่งเป็นพระอนุชาในพระอัยกา) พระองค์เป็นกษัตริย์ราชวงศ์โฮเอินท์ซ็อลเลิร์นแห่งโรมาเนียพระองค์แรกที่ประสูติในประเทศโรมาเนีย (พระมหากษัตริย์พระองค์ก่อนหน้านั้นประสูติและเจริญพระชันษาในเยอรมนี และเสด็จมาโรมาเนียเมื่อบรรลุนิติภาวะแล้ว) มกุฎราชกุมารคาโรลทรงใช้ภาษาโรมาเนียเป็นภาษาหลัก และเป็นสมาชิกพระราชวงศ์โรมาเนียพระองค์แรกที่ได้รับการอภิบาลตามศาสนาคริสต์นิกายออร์ทอดอกซ์ แห่งเขตอัครบิดรแห่งโรมาเนีย[1]
พระองค์ทรงมีพระบุคลิกเจ้าสำราญ อันมีส่วนให้ต้องทรงเกี่ยวพันกับปัญหาในการอภิเษกสมรสตลอดรัชกาล และตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ทรงประสบกับเรื่องอื้อฉาวมากมาย นับตั้งแต่ที่ทรงอภิเษกสมรสกับซีซี ลัมบรีนอและเจ้าหญิงเฮเลนแห่งกรีซและเดนมาร์ก พระองค์ยังทรงคงความสัมพันธ์กับมักดา ลูเปสคู ซึ่งทำให้พระองค์ต้องสละสิทธิ์ในการสืบราชบัลลังก์ใน ค.ศ. 1925 และต้องเสด็จออกนอกประเทศ
ภายหลังการสวรรคตของกษัตริย์เฟอร์ดินานด์ใน ค.ศ. 1927 และพระราชโอรสวัย 5 พรรษาของเจ้าชายคาโรลทรงครองราชย์สืบต่อเป็นกษัตริย์มีไฮที่ 1 เจ้าชายคาโรลเสด็จกลับโรมาเนียใน ค.ศ. 1930 และทรงยึดบัลลังก์จากพระราชโอรสและคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ รัชสมัยของพระองค์โดดเด่นจากการปรับความสัมพันธ์กับนาซีเยอรมนี การยอมรับกฎหมายการต่อต้านยิว และการพัฒนาไปสู่ระบอบเผด็จการตั้งแต่ปี ค.ศ. 1938 ในวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1940 พระองค์ถูกบังคับให้เสด็จออกนอกประเทศโดยนายกรัฐมนตรีเอียน อันโตเนสคู โดยกษัตริย์มีไฮที่ 1 พระราชโอรสทรงกลับมาเป็นกษัตริย์แห่งโรมาเนียอีกครั้ง [2]
ช่วงต้นพระชนม์ชีพ
เจ้าชายคาโรลประสูติที่ปราสาทเปเลซ ทรงได้รับการอบรมเลี้ยงดูจากสมเด็จพระอัยกา (พระอนุชาในพระอัยกา) คือ กษัตริย์คาโรลที่ 1 พระองค์พยายามกีดกันมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ และมกุฎราชกุมารีมารี ไม่ให้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับพระราชโอรส[3] โรมาเนียในยุคต้นศตวรรษที่ 20 เป็นที่รู้จักในเรื่องมีศีลธรรมทางเพศแบบ "ละติน" ที่ผ่อนปรน กล่าวคือ ผู้หญิงสวยที่แต่งงานแล้วและคบหาชายรูปงามคนอื่นๆเป็นคนรัก กลับเป็นที่ยกย่องสรรเสริญว่าโก้เก๋และมีรสนิยม และเจ้าหญิงมารีแห่งเอดินเบอระ ซึ่งเป็นเจ้าหญิงอังกฤษที่ถูกอบรมเลี้ยงดูด้วยค่านิยมแบบวิกตอเรียน ในที่สุดก็ "กลายเป็นคนพื้นเมือง" ไปโดยปริยาย มกุฎราชกุมารีทรงมีเรื่องอื้อฉาวกับชายชาวโรมาเนียหลายคน ชายเหล่านั้นสามารถทำให้พระนางได้รับความพึงพอใจทางอารมณ์และทางเพศได้มากกว่ามกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ ซึ่งพระองค์จะไม่พอพระทัยอย่างรุนแรงที่ทรงทราบว่าพระชายามีคนรักอื่น[4] กษัตริย์คาโรลที่ 1 ผู้เข้มงวดทรงรู้สึกว่ามกุฎราชกุมารีมารีไม่เหมาะสมที่จะอภิบาลเจ้าชายคาโรล อันเนื่องจากทรงมีเรื่องอื้อฉาว อีกทั้งยังทรงเยาว์วัยเกินไป พระนางมีพระชนมายุเพียง 17 พรรษาเท่านั้นในช่วงที่เจ้าชายคาโรลประสูติ ในขณะที่มกุฎราชกุมารีมารีทรงมองว่ากษัตริย์คาโรลเป็นคนเย็นชา เป็นทรราชที่โปรดการครอบงำพระชนม์ชีพของพระราชโอรสของพระนาง
นอกจากนี้ กษัตริย์คาโรลทรงไร้โอรสธิดา สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระมเหสีก็ไม่มีพระประสูติกาลอีกเลยนับตั้งแต่ ค.ศ. 1870 กษัตริย์และพระราชินีทรงปรารถนาพระราชโอรสตลอดพระชนม์ชีพ จึงอบรมเลี้ยงดูเจ้าคาโรลเสมือนพระราชโอรสของพระองค์เอง และทรงตามพระทัยเจ้าชายคาโรลในทุกเรื่องตามพระราชประสงค์ มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์มีพระบุคลิกค่อนข้างขี้อายและอ่อนแอ พระองค์ถูกบดบังด้วยเสน่ห์ของมกุฎราชกุมารีมารีที่ทรงกลายเป็นพระบรมวงศานุวงศ์โรมาเนียพระองค์หนึ่งที่ทรงเป็นที่รักมากที่สุด ในช่วงที่เจริญพระชันษา เจ้าชายคาโรลทรงรู้สึกละอายพระทัยที่พระราชบิดาของพระองค์ต้องถูกกดดันทั้งจากสมเด็จพระอัยกาและพระราชชนนีของพระองค์[5] พระชนม์ชีพวัยเยาว์ของเจ้าชายคาโรลเสมือนตกอยู่ในภาวะสงครามชักกะเย่อระหว่างกษัตริย์คาโรลและมกุฎราชกุมารีมารี ซึ่งทั้งสองพระองค์มีแนวคิดที่แตกต่างกันในการอบรมเลี้ยงดูเจ้าชายคาโรล[6] มารี บูเคอร์ นักประวัติศาสตร์ชาวโรมาเนีย ได้อธิบายถึงการต่อสู้กันระหว่างกษัตริย์คาโรลที่ 1 และมกุฎราชกุมารีมารี ว่าเป็นการต่อสู้กันระหว่างแนวคิดอนุรักษ์นิยมแบบปรัสเซียดั้งเดิมในศตวรรษที่ 19 กับแนวคิดเสรีนิยม ความคิดสมัยใหม่และค่านิยมความเป็นอิสระทางเพศของ ผู้หญิงยุคใหม่ ที่เป็นตัวตนของมกุฎราชกุมารีมารี[6] ดังนั้นลักษณะของมกุฎราชกุมารีมารีและกษัตริย์คาโรลที่ 1 จึงถ่ายทอดอย่างผสมผสานในตัวของเจ้าชายคาโรล[6] โดยส่วนใหญ่การต่อสู้ระหว่างกษัตริย์คาโรลที่ 1 และมกุฎราชกุมารีมารีมักจะจบลงด้วยการตามพระทัยพระโอรสและการถูกกีดกันความรักจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง[6]
การอภิเษกสมรสช่วงแรกและเรื่องอื้อฉาว
ในช่วงวัยหนุ่มของเจ้าชายคาโรล พระองค์มีลักษณะเป็น "เพลย์บอย" ซึ่งเป็นคำที่ถูกกล่าวขานถึงพระองค์ตลอดพระชนม์ชีพ กษัตริย์คาโรลที่ 1 ทรงเป็นกังวลที่เจ้าชายคาโรลทรงสนพระทัยเพียงแต่การสะสมแสตมป์ และเจ้าชายหนุ่มทรงใช้เวลามากมายไปกับการเสวยน้ำจัณฑ์ การจัดงานเลี้ยงและการมีความสัมพันธ์กับเหล่าสตรีมากหน้าหลายตาและทรงมีบุตรนอกสมรสอย่างน้อยสองคนกับนักเรียนสาววัยรุ่นที่ชื่อว่า มาเรีย มาร์ตินี ขณะที่เจ้าชายคาโรลมีพระชนมายุเพียง 19 พรรษา เจ้าชายคาโรลทรงกลายเป็นที่โปรดปรานของนักหนังสือพิมพ์แนวซุบซิบนินทาทั่วโลกซึ่งมักจะมีภาพถ่ายของพระองค์ลงข่าวที่ทรงจัดงานเลี้ยงและทรงดื่มน้ำจัณฑ์พร้อมกับมีสตรีอยู่ข้างกาย[7]
กษัตริย์คาโรลที่ 1 ทรงต้องการให้เจ้าชายหนุ่มเรียนรู้เกี่ยวกับค่านิยมแบบปรัสเซีย โดยทรงมอบหมายให้เจ้าชายเข้าร่วมฝึกฝนในกองทหารปรัสเซียใน ค.ศ. 1913[3] ในช่วงที่ทรงปฏิบัติหน้าที่ในกองทหารปรัสเซียที่ 1 พระองค์ไม่ทรงบรรลุผลสำเร็จเท่าไร และเจ้าชายคาโรลยังทรงเป็น "เจ้าชายเพลย์บอย" ต่อไป โรมาเนียในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นประเทศที่นิยมฝรั่งเศสอย่างยิ่ง ในความเป็นจริงแล้วอาจจะเป็นประเทศที่นิยมฝรั่งเศสที่สุดในโลกยุคนั้น ซึ่งชนชั้นนำชาวโรมาเนียหลงใหลทุกสิ่งที่เป็นแบบฝรั่งเศสและเชื่อว่าฝรั่งเศสเป็นโมเดลที่สมบูรณ์แบบในทุกเรื่อง เจ้าชายคาโรลทรงได้รับอิทธิพลนิยมฝรั่งเศสที่แพร่หลายในประเทศในระดับหนึ่ง แต่ตามคำบรรยายของมาร์กาเร็ต แซนคีย์ นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกัน ระบุว่า เจ้าชายคาโรลทรง "รักลัทธิทหารแบบเยอรมัน" ทีทรงรับสืบทอดมากจากกษัตริย์คาโรลที่ 1 และทรงมีความคิดที่ว่า รัฐบาลตามประชาธิปไตยทั้งหมดล้วนเป็นรัฐบาลที่อ่อนแอ[3]
กษัตริย์คาโรลที่ 1 สวรรคตในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1914 และพระองค์ได้เป็นมกุฎราชกุมารคาโรล ในรัชสมัยของกษัตริย์เฟอร์ดินานด์ที่ 1 พระราชบิดา ในเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกัน เจ้าชายคาโรลทรงเข้าร่วมเป็นสมาชิกวุฒิสภาในวุฒิสภาโรมาเนีย ซึ่งตามรัฐธรรมนูญโรมาเนีย ค.ศ. 1866 รับรองให้พระองค์มีที่นั่งในวุฒิสภาเมื่อทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว[8] พระองค์ทรงเป็นที่รู้จักในด้านความรักมากกว่าทักษะการเป็นผู้นำ มกุฎราชกุมารคาโรลอภิเษกสมรสครั้งแรกที่มหาวิหารเมืองออแดซา ยูเครน ในวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1918 กับโจอันนา มารี วาเลนตินา ลัมบรินอ (1898 - 1953) หรือ "ซีซี" บุตรสาวของนายพลชาวโรมาเนีย คือ คอนสแตนติน ลัมบรินอ ในความเป็นจริงแล้วมกุฎราชกุมารคาโรลทรงละทิ้งหน้าที่ทางทหารโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่ออภิเษกสมรสกับลัมบรินอ อันนำมาซึ่งความขัดแย้งครั้งใหญ่ในช่วงนั้น[9] การอภิเษกสมรสครั้งนี้ถูกประกาศว่าเป็นโมฆะในวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 1919 โดยศาลอิลฟอฟเคานท์ตี มกุฎราชกุมารคาโรลและซีซีประทับอยู่ด้วยกันแม้การอภิเษกสมรสจะเป็นโมฆะ ทรงมีโอรสหนึ่งพระองค์ร่วมกันคือ เมอร์เซีย เกรกอร์ คารอล ลัมบรินอ ซึ่งประสูติในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1920
มกุฎราชกุมารคาโรลอภิเษกสมรสอีกครั้งในเอเธนส์ ประเทศกรีซ วันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1921 กับเจ้าหญิงเฮเลนแห่งกรีซและเดนมาร์ก (ในโรมาเนียทรงมีพระนามว่า มกุฎราชกุมารีเอเลนา) ทั้งสองพระองค์เป็นพระญาติกัน และเป็นพระปนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย และทรงสืบเชื้อสายจากจักรพรรดินีโคลัสที่ 1 แห่งรัสเซียเช่นเดียวกัน มกุฎราชกุมารีเฮเลนทรงรับรู้ถึงพฤติกรรมที่เสเพลของมกุฎราชกุมาคาโรลและเรื่องอื้อฉาวก่อนหน้านี้ แต่ก็มีการพิสูจน์ว่าพระนางทรงหลงรักมกุฎราชกุมารคาโรล ความปรารถนาที่อยู่เบื้องหลังการอภิเษกสมรสครั้งนี้คือการสร้างพันธมิตรทางราชวงศ์ระหว่างกรีซและโรมาเนีย บัลแกเรียมีกรณีพิพาททางดินแดนกับทั้งกรีซ โรมาเนียและยูโกสลาเวีย และชาติทั้งสามตัดสินใจที่จะใกล้ชิดกันในช่วงสมัยระหว่างสงครามเนื่องจากเกรงกลัวภัยจากบัลแกเรียร่วมกัน ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสหนึ่งพระองค์คือ เจ้าชายมีไฮ ประสูติเจ็ดเดือนหลังจากทั้งสองพระองค์อภิเษกสมรสกัน มีการเล่าลือว่าเจ้าชายมีไฮทรงเป็นโอรสที่เกิดจากความสัมพันธ์ก่อนที่จะสมรสกัน เห็นได้ชัดว่าทั้งสองพระองค์ทรงใกล้ชิดในช่วงแรกๆ แต่ภายหลังทรงเริ่มแตกหักกัน การเสกสมรสของมกุฎราชกุมารคาโรลกับเจ้าหญิงเฮเลนกลายเป็นการสมรสที่ไร้ความสุข และมกุฎราชกุมารทรงมีความสัมพันธ์นอกสมรสบ่อยขึ้น[9] เจ้าหญิงเฮเลนทรงพบว่าการโปรดที่จะเสวยน้ำจัณฑ์หนักและการจัดงานเลี้ยงของมกุฎราชกุมารมากเกินไปกว่าที่พระนางจะทรงยอมรับได้[9] มกุฎราชกุมารคาโรลไม่ทรงโปรดสตรีสูงศักดิ์ ซึ่งพระองค์ทรงพบว่าสตรีพวกนี้เข้มงวดเกินไปและเป็นพิธีการมากเกินไปกว่ารสนิยมของพระองค์ ทรงพึงพอใจสตรีคนธรรมดาสมัญมากกว่า พฤติกรรมนี้ทำให้พระราชบิดาและพระราชมารดาของพระองค์ทรงผิดหวังมาก[9] มกุฎราชกุมารคาโรลทรงพบว่าผู้หญิงธรรมดาสามัญมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่พระองค์ปรารถนา เช่น ความเป็นกันเอง ความคล่องแคล่ว มีอารมณ์ขันและมีความน่าหลงใหล[9]
เรื่องอื้อฉาวรอบตัวมักดา ลูเปสคู
ชีวิตเสกสมรสของทั้งสองพระองค์ล้มเหลวลงเมื่อมกุฎราชกุมารคาโรลทรงเริ่มมีความสัมพันธ์กับเอเลนา "มักดา" ลูเปสคู (1895-1977) เป็นสตรีผู้นับถือนิกายโรมันคาทอลิกและเป็นบุตรสาวของเภสัชกรชาวยิวกับภริยาผู้นับถือโรมันคาทอลิก มักดา ลูเปสคูเคยเป็นอดีตภรรยาของนายทหารชื่อ เอียน ตัมปีอานู พรรคเสรีนิยมแห่งชาติซึ่งเป็นพรรคที่ครอบงำการเมืองโรมาเนียนั้นไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับความสัมพันธ์ของมกุฎราชกุมารคาโรลและลูเปสคู ซึ่งสมาชิกพรรคมีการถกเถียงกันว่าพระองค์ไม่ทรงมีคุณสมบัติที่จะเป็นกษัตริย์ หนึ่งในบุคคลที่มีบทบาทนำในพรรคเสรีนิยมแห่งชาติ คือ เจ้าชายบาร์บู สเตอบีย์ ผู้ซึ่งเป็นคนรักของสมเด็จพระราชินีมารี พระราชชนนีของพระองค์ และมกุฎราชกุมารคาโรลทรงเกลียดชังสเตอบีย์อย่างจริงจัง เนื่องจากทำพระราชชนกของพระองค์ต้องเสื่อมเสียพระเกียรติจากความสัมพันธ์ที่ไม่เปิดเผยกับสมเด็จพระราชินี และด้วยเหตุนี้จึงทรงเกลียดชังคนจากพรรคเสรีนิยมแห่งชาติไปด้วย[10] เมื่อพรรคเสรีนิยมแห่งชาติทราบว่าองค์มกุฎราชกุมารทรงตั้งตนเป็นศัตรูกับพวกเขา ทางพรรคจึงดำเนินการหาทางกีดกันพระองค์ออกจากราชบัลลังก์[11] การรณรงค์ที่ยืดเยื้อของพรรคเสรีนิยมแห่งชาตินั้นมีความเกี่ยวข้องน้อยมากในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมกุฎราชกุมารคาโรลและมักดา ลูเปสคู แต่จุดมุ่งหมายหลักของพรรคคือ ความพยายามกำจัด "ปืนใหญ่ที่หย่อนยาน" อย่างตัว มกุฎราชกุมารคาโรล เนื่องจากแน่ใจว่าถ้าพระองค์ได้ครองราชบัลลังก์ พระองค์จะต้องกีดกันไม่ให้พรรคเสรีนิยมแห่งชาติมีอำนาจเหนือการเมือง ดังที่พระมหากษัตริย์โฮเอ็นโซลเลิร์นเคยทำมาก่อน[11]
ผลลัพธ์ของเรื่องอื้อฉาวนี้ มกุฎราชกุมารคาโรลจะต้องทรงสละสิทธิในราชบัลลังก์ในวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 1925 ให้แก่พระราชโอรสที่ประสูติแต่มกุฎราชกุมารีเฮเลน คือ เจ้าชายมีไฮ (ไมเคิล) กษัตริย์เฟอร์ดินานด์ที่ 1 เสด็จสวรรคตในวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1927 หลังจากทรงประชวรอย่างทุกข์ทรมานด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เจ้าชายไมเคิลทรงสืบราชบัลลังก์ต่อโดยอัตโนมัติหลังจากการสวรรคตของกษัตริย์เฟอร์ดินานด์ สภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินได้ถูกจัดตั้งขึ้น ซึ่งประกอบด้วย เจ้าชายนิโคลัส พระอนุชาของเจ้าชายคาโรล, อัครบิดรแห่งโรมาเนีย มิรอน คริสเตอาและจีออร์เก บุซดูกาน ประธานศาลยุติธรรมสูงสุด เนื่องจากกษัตริย์มีไฮยังทรงพระเยาว์ เจ้าหญิงเฮเลนทรงหย่าขาดจากเจ้าชายคาโรลเมื่อ ค.ศ. 1928 หลังจากทรงสละสิทธิในราชบัลลังก์ เจ้าชายคาโรลเสด็จไปประทับที่ปารีสซึ่งพระองค์ทรงประทับอยู่อย่างปกติกับมาดามลูเปสคู[12] พรรคเสรีนิยมแห่งชาตินั้นส่วนใหญ่ได้รับพลังขับเคลื่อนจากตระกูลบราเตียนูที่ทรงพลังในการใช้อำนาจในพรรค หลังจากนายกรัฐมนตรีจากพรรคเสรีนิยมแห่งชาติคือ อียอน อี. เช. บราเตียนู ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อ ค.ศ. 1927 ตระกูลบราเตียนูไม่สามารถตกลงกันเรื่องผู้สืบทอดได้ อันนำมาซึ่งอำนาจของพรรคเสรีนิยมที่เริ่มเข้าสู่จุดเสื่อม[13] ในการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปใน ค.ศ. 1928 พรรคเกษตรกรแห่งชาติ ภายใต้อียูลิว มานิว ได้รับชัยชนะด้วยคะแนนเสียง 78%[13] เจ้าชายนิโคลัส ซึ่งเป็นประธานสภาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นั้นทรงเป็นมิตรไมตรีกับพรรคเสรีนิยมแห่งชาติ นายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่างมานิวจึงมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะยุบสภาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อทูลเชิญเจ้าชายคาโรลให้เสด็จกลับมา[13]
กลับคืนสู่ราชบัลลังก์
เจ้าชายคาโรลเสด็จกลับโรมาเนียในวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 1930 หลังจากเกิดการรัฐประหารที่ดำเนินการโดยนายกรัฐมนตรีอียูลิว มานิว จากพรรคเกษตรกรแห่งชาติ เจ้าชายคาโรลทรงได้รับการยอมรับจากรัฐสภาในฐานะพระมหากษัตริย์แห่งโรมาเนียในวันถัดมา ในทศวรรษต่อมากษัตริย์คาโรลที่ 2 จะทรงพยายามเข้าไปมีบทบาททางสังคมการเมืองโรมาเนีย โดยครั้งแรกทรงใช้พระราชอำนาจจัดการความเป็นศัตรูกันระหว่างพรรคเกษตรกรและพรรคเสรีนิยมและฝ่ายต่อต้านชาวยิว ต่อมา (มกราคม ค.ศ. 1938) ทรงใช้พระราชอำนาจแต่งตั้งรัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างๆ กษัตริย์คาโรลที่ 2 ทรงพยายามจัดตั้งลัทธิบูชาบุคคลของพระองค์เองเพื่อต่อต้านอิทธิพลที่กำลังเติบโตขึ้นของพวกผู้พิทักษ์เหล็ก (Iron Guard) เช่นการจัดตั้งกองกำลังกึ่งทหารยุวชน ที่เรียกว่า สตราจาเตรี (Straja Țării) ใน ค.ศ. 1935 สแตนลีย์ จี. เพนย์ นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกัน บรรยายถึงกษัตริย์คาโรลที่ 2 ว่าเป็น "กษัตริย์ที่น่าเหยียดหยาม เลวทรามและกระหายอำนาจที่สุด มากกว่าราชบัลลังก์แห่งอื่นใดในยุโรปศตวรรษที่ 20"[14] พระองค์ทรงถูกมองว่าเป็นตัวละครที่มีสีสันในสายตาของริชาร์ด คาเวนดิช นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ ที่ว่า
"ทรงฉลาดหลักแหลม ดื้อรั้นและบุ่มบ่าม ทรงรักในสตรี แชมเปญและความเร็ว กษัตริย์คาโรลมักจะทรงขับรถแข่งและเครื่องบิน และในวาระโอกาสสำคัญมักจะทรงปรากฏด้วยฉลองพระองค์แบบในละครเพลงซึ่งมีแพรแถบริบบิ้น สายสร้อยและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เพื่อจมเรือพิฆาตขนาดเล็ก"[15]
มาเรีย บูเคอร์ นักประวัติศาสตร์ชาวโรมาเนียได้เขียนถึงกษัตริย์คาโรลที่ 2 ว่า
"แน่นอน พระองค์ทรงโปรดความหรูหรา ทรงประสูติมาอย่างอภิสิทธิ์ชน พระองค์ไม่ทรงเคยคาดหวังเรื่องอื่นใดเลยนอกจากพระชนม์ชีพที่ยิ่งใหญ่สุขสบายดังที่ทรงพบเห็นจากราชสำนักอื่นๆในยุโรป แต่พระชนม์ชีพของพระองค์ก็ไม่ได้เป็นที่แปลกประหลาดหรือพิลึกพิลั่นเหมือนมลทินที่ไร้ค่าของนีกอลาเอ ชาวูเชสกู พระองค์โปรดสิ่งที่ดูยิ่งใหญ่แต่เรียบง่าย ซึ่งพระราชวังของพระองค์เป็นเครื่องยืนยันถึงเหตุนี้ กษัตริย์คาโรลที่ 2 ทรงหลงใหลในลูเปสคู การล่าสัตว์และรถยนต์อย่างแท้จริง พระองค์ไม่ทรงเคยยอมสละสิ่งเหล่านี้เลย
กษัตริย์คาโรลที่ 2 ทรงโปรดที่จะเสนอภาพพระองค์เองแบบน่าประทับใจและเป็นที่นิยมต่อหน้าสาธารณชน พระองค์มักจะทรงสวมเครื่องแบบทางทหารพร้อมประดับเหรียญตราต่างๆ และทรงเป็นผู้อุปการะการกุศลทั่วดินแดน พระองค์ทรงโปรดการเดินขบวนสวนสนามและงานเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ และทรงเฝ้าดูการจัดกิจกรรมเหล่านี้อย่างใกล้ชิด แต่พระองค์ก็ไม่ได้ใช้กิจกรรมเหล่านี้ในการแสดงพระราชอำนาจของพระองค์เหมือนดังที่ชาวูเชสกูใช้กิจกรรมดังกล่าวแสดงอำนาจในช่วงปลายสมัยของเขา"[16]
กษัตริย์คาโรลที่ 2 ทรงมีภาพลักษณ์เป็นผู้นำประชานิยม พระองค์ทรงเสนอภาพพระองค์เองในฐานะผู้พิทักษ์ของสามัญชนทั่วไปเพื่อต่อต้านกลุ่มชนชั้นนำที่นิยมฝรั่งเศส (พวกสมาชิกพรรคเสรีนิยม) พระองค์เป็นภาพลักษณ์ที่ผสมผสานกันระหว่างชาตินิยมและอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์[17] กษัตริย์คาโรลทรงมีแนวโน้มของการรวมความเป็นประชานิยม ลัทธิอำนาจนิยมและลัทธิชาตินิยมที่เกลียดกลัวชาวต่างชาติอย่างคลุมเคลือเข้าด้วยกัน และรวมถึงกลุ่มศาสนาออร์ทอดอกซ์ด้วย เมื่อมองโดยผิวเผินจะมีความคล้ายคลึงกับกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็ก แม้ว่าอุดมการณ์ของกษัตริย์คาโรลจะสร้างการปลุกเร้าน้อยกว่าอุดมการณ์ของคอร์เนลิว เซลีอา คอดรีอานู "ท่านผู้นำ" (ของกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็ก) ผู้ซึ่งมีความฉกาจฉกรรจ์ที่ถ่ายทอดข้อความลัทธิชาตินิยมสุดโต่งอันเกลียดชังชาวต่างชาติยิ่ง อีกทั้งมีความยึดมั่นในออร์ทอดอกซ์ที่เข้มข้นอย่างมีอาคมขลัง และมีแนวคิดต่อต้านชาวยิวอย่างรุนแรงสุดโต่ง เขาเป็นนักประชานิยมที่ดูถูกพวกคนชนชั้นนำทุกคนและเขาเป็นผู้เชิดชูความตายจากการปฏิบัติหน้าที่ว่าเป็นประสบการณ์ที่สวยงาม น่าสรรเสริญ มีเกียรติและน่าหลงใหลที่สุดในโลก[17] คอดรีอานูเป็นบุรุษผู้มีเสน่ห์ในการเชิดชูความตาย เขาได้ทำให้กลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กเป็นลัทธิเชิดชูความตายที่น่าสะพรึงกลัวและเขามักจะส่งสาวกของเขาไปปฏิบัติภารกิจฆ่าตัวตาย หลังจากก่อคดีฆาตกรรมแล้ว สาวกผู้พิทักษ์เหล็กจะไม่ค่อยพยายามหลบหนีและจะรอคอยให้ถูกจับแทนเพื่อที่จะได้ถูกประหารชีวิต หลายคนพบว่าเหล่ากองกำลังกลุ่มนี้เข้าสู่ลานประหารด้วยความปรีดาปราโมทย์ที่จะตาย และการประกาศเกี่ยวกับความตายเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขามีความสุขที่สุดในชีวิตของพวกเขา กษัตริย์คาโรลทรงยกย่องลัทธิบูชาความตายของคอดรีอานู โดยเขาอ้างว่าอัครทูตสวรรค์มีคาเอลได้มาแจ้งแก่เขาว่าพระเจ้าทรงเลือกเขาให้เป็นผู้ช่วยปกป้องโรมาเนีย ซึ่งเป็นหลักฐานว่าคอดรีอานูนั้น "จิตบ้าคลั่ง"
กษัตริย์คาโรลที่ 2 ทรงเข้าพิธีสาบานพระองค์เพื่อครองราชย์ตามรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1923 เป็นคำสัญญาในตอนต้นรัชกาลว่าพระองค์จะไม่ทรงเข้าแทรกแซงการเมืองเพื่อเพิ่มพระราชอำนาจของพระองค์เอง[14] กษัตริย์คาโรลทรงเป็นนักฉวยโอกาสที่ไม่มีหลักการหรือค่านิยมอื่นใดไปมากกว่าความเชื่อว่าพระองค์เป็นผู้ที่เหมาะสมที่จะปกครองโรมาเนีย และสิ่งที่ราชอาณาจักรต้องการคือการปกครองในรูปแบบเผด็จการที่ทันสมัย[18] กษัตริย์คาโรลทรงปกครองผ่านกลไกอำนาจที่ไม่เป็นทางการคือ คามาริลลา ซึ่งประกอบด้วยเหล่าข้าราชบริพาร นักการทูตอาวุโส เจ้าหน้าที่ทางทหาร นักการเมืองและนักอุตสาหกรรม ซึ่งต้องพึ่งพาความโปรดปรานจากกษัตริย์ในการส่งเสริมอาชีพการงานของพวกเขา[19] สมาชิกคนสำคัญของกลุ่มคามาริลลา คือ มาดามลูเปสคู พระสนมของพระองค์เอง ซึ่งเป็นผู้ถวายคำแนะนำทางการเมืองของกษัตริย์คาโรลที่สำคัญมาก[19] นายกรัฐมนตรีมานิวเชิญกษัตริย์คาโรลสู่บัลลังก์เพียงเพราะความกลัวคณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดินของยุวกษัตริย์มีไฮที่ 1 ถูกครอบงำโดยพรรคเสรีนิยมแห่งชาติซึ่งแน่ใจว่าพรรคเสรีนิยมจะชนะการเลือกตั้งเสมอ[19] มาดามลูเปสคูนั้นไม่เป็นที่ชื่นชอบของประชาชนชาวโรมาเนียเลย และนายกรัฐมนตรีมานิวทูลขอให้กษัตริย์คาโรลทรงคืนดีกับเจ้าหญิงเฮเลนแห่งกรีซเพื่อเป็นราคาสำหรับที่เขาทวงคืนราชบัลลังก์ให้พระองค์ พระเจ้าคาโรลทรงปฏิเสธคำแนะนำของพระนางมารีที่ให้รับเจ้าหญิงเฮเลนกลับมา สมเด็จพระราชินีมารี พระราชชนนีของพระองค์ก็ทรงทูลขอให้นำเจ้าหญิงเฮเลนกลับมา แต่กษัตริย์คาโรลทรงผิดคำสัญญาและพระองค์ทรงเริ่มประทับอยู่กับมาดามลูเปสคูอีกครั้ง นายกรัฐมนตรีมานิวจึงลาออกจากตำแหน่งเพื่อเป็นการประท้วงในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1930 และเขาจึงกลายเป็นศัตรูคนสำคัญของกษัตริย์คาโรล[19] ในเวลาเดียวกันกับที่กษัตริย์คาโรลเสด็จกลับมา เกิดความแตกแยกภายในพรรคเสรีนิยมแห่งชาติ จีออร์เก อี. บราเตียนูออกมาตั้งพรรคการเมืองใหม่ ชื่อ พรรคเสรีนิยมแห่งชาติ-บราเตียนู ซึ่งพร้อมที่จะร่วมงานกับพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ แม้ว่าพระองค์จะทรงเกลียดชังฝ่ายพรรคเสรีนิยมแห่งชาติ แต่ความเป็นปฏิปักษ์ต่อกษัตริย์ของมานิวทำให้พระองค์ไม่มีทางเลือก ถึงกระนั้นพระองค์ทรงเพียงขอความช่วยเหลือจากฝ่ายเสรีนิยมแห่งชาติที่แตกฝ่ายออกมาแล้วเท่านั้นเพื่อต่อต้านพรรคเกษตรกรแห่งชาติ ซึ่งพรรคเกษตรกรยังคงยืนกรานให้กษัตริย์คาโรลขับไล่มาดามลูเปสคูและนำเจ้าหญิงเฮเลนแห่งกรีซกลับมา การแสดงความเป็นศัตรูของพรรคเกษตรกรแห่งชาติทำให้กษัตริย์คาโรลที่ 2 ตัดสินพระทัยปลดคณะรัฐบาล และทรงเสนอให้แต่งตั้งคณะรัฐบาลจากกลุ่มเทคโนแครตที่นำโดย ศาสตราจารย์นีกอลาเอ ออร์กา เป็นศาสตราจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ที่สอนในมหาวิทยาลัยบูคาเรสต์ และเป็นกลุ่ม คามาริลลา ของกษัตริย์คาโรล[20] ศาสตราจารย์ออร์กาสนับสนุนพระมหากษัตริย์ในช่วงความแตกแยกระหว่างพรรคเสรีนิยมแห่งชาติและพรรคเกษตรกร และขึ้นมาเป็นรัฐบาลในช่วงสั้นๆ ในช่วงที่เกิดปัญหานางลูเปสคู ด้วยเหตุนี้ออร์กาจึงกลายเป็นคู่แข่งทางการเมืองกับอียูลิว มานิวจากพรรคเกษตรกร[21] หลังจากนั้นศาสตราจารย์ออร์กาจะมีบทบาทสำคัญในการร่วมมือกับกษัตริย์คาโรลในการกำจัดอำนาจของคอดรีอานูและผู้พิทักษ์เหล็ก และนำมาซึ่งการถึงแก่อนิจกรรมของออร์กาจากการถูกสังหารใน ค.ศ. 1940
"ราชินีแดง" เป็นคำที่ชาวโรมาเนียกล่าวถึงมักดา ลูเปสคู อันเนื่องมาจากเส้นผมสีแดงของเธอ เธอเป็นสตรีที่ถูกเกลียดชังมากที่สุดในโรมาเนียยุคทศวรรษที่ 1930 และเป็นสตรีที่ชาวโรมาเนียใช้คำของนักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ รีเบ็คกา เฮย์นส์ ที่เรียกเธอว่า "ศูนย์รวมของความชั่วร้าย"[19] เจ้าหญิงเฮเลนทรงถูกมองว่าเป็นสตรีผู้ถูกทำให้มีมลทิน ส่วนลูเปสคูถูกมองว่าเป็น ผู้หญิงที่อันตรายร้ายแรงถึงหายนะ ผู้แย่งชิงคาโรลออกมาจากอ้อมกอดของเฮเลน มาดามลูเปสคูนับถือคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก แต่เนื่องจากบิดาของเธอเป็นชาวยิว เธอจึงถูกมองว่านับถือศาสนายูดายไปด้วย บุคลิกของลูเปสคูไม่ได้ทำให้เธอมีมิตรสหายมากนัก เนื่องจากเธอเป็นคนที่หยิ่งยโส รุกล้ำ จอมบงการ และโลภมากอย่างที่สุดด้วยรสนิยมที่ไม่รู้จักพอในการซื้อเครื่องสำอาง เสื้อผ้าและเครื่องเพชรราคาแพงจากฝรั่งเศส[22] ในช่วงนั้นชาวโรมาเนียต้องประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ แต่กษัตริย์คาโรลที่ 2 ทรงปรนเปรอรสนิยมราคาแพงของลูเปสคูอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้เกิดความไม่พอใจอย่างมากในหมู่ประชาชนที่มักจะบ่นกันปากต่อปากว่า เงินพวกนั้นสามารถบรรเทาความยากจนในราชอาณาจักรได้ นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้ความไม่พอใจในลูเปสคูมีมากขึ้นคือ การที่เธอเป็นนักธุรกิจหญิง เธอได้ใช้เส้นสายสัมพันธ์กับสถาบันกษัตริย์ในการทำธุรกรรมอันเป็นที่น่าสงสัย ซึ่งมักจะเป็นการถ่ายโอนเงินก้อนใหญ่ของภาครัฐเข้าสู่กระเป๋าธุรกิจของเธอ[19] อย่างไรก็ตามในมุมมองของงานค้นคว้าร่วมสมัย การที่กล่าวว่ากษัตริย์คาโรลเป็นหุ่นเชิดของนางมักดา ลูเปสคูนั้นไม่ถูกต้องเสียทีเดียว และการกล่าวว่า มาดามลูเปสคูมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจทางการเมืองของรัฐโรมาเนียนั้นถือเป็นการกล่าวที่เกินความเป็นจริง[22] ในช่วงแรกลูเปสคูให้ความสนใจกับการสร้างความร่ำรวยแก่เธอเองเพื่อตอบรับวิถีชีวิตที่ชอบความหรูหราของเธอ และเธอเองก็ไม่ได้มีความสนใจเรื่องการเมืองมากไปกว่าการปกป้องธุรกิจที่ทุจริตของเธอ[22] ซึ่งต่างจากกษัตริย์คาโรล คือ มาดามลูเปสคูนั้นไม่สนใจนโยบายทางสังคมหรือนโยบายการต่างประเทศเลย และเธอก็เป็นคนที่หลงตัวเองมากเสียจนไม่รู้ว่าเธอนั้นเป็นที่เกลียดชังของสามัญชนคนธรรมดามากเพียงใด[23] ในทางกลับกันกษัตริย์คาโรลที่ 2 ทรงสนพระทัยในกิจการของรัฐอย่างยิ่งและพระองค์ไม่เคยที่จะปฏิเสธความสัมพันธ์กับลูเปสคู แต่พระองค์ก็ทรงระวังไม่ให้เธอแสดงตนในที่สาธารณะมากเกินไป เพราะทรงรู้ว่านั่นจะทำให้พระองค์เสื่อมเสียความนิยมไปด้วย[23]
กษัตริย์คาโรลที่ 2 ทรงพยายามที่จะให้พรรคเสรีนิยมแห่งชาติ พรรคเกษตรกรแห่งชาติและกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็ก เข้าห้ำหั่นกัน เพื่อที่จะให้พระองค์บรรลุเป้าหมายสูงสุด คือ การทำให้พระองค์เองเป็นผู้นำทางการเมืองโรมาเนียและกำจัดทุกพรรคฝักฝ่ายทั้งหมดในโรมาเนีย[14] แต่ด้วยความเคารพต่อกองกำลังอัครทูตสวรรค์มิคาเอล กษัตริย์คาโรลที่ 2 ไม่ได้ตั้งพระทัยให้กลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กเข้ามามีอำนาจ แต่เพื่อให้กองกำลังนี้เป็นกองกำลังก่อกวนพวกพรรคเสรีนิยมแห่งชาติและพรรคเกษตรกร กษัตริย์คาโรลที่ 2 ทรงต้อนรับอำนาจของกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กในช่วงต้นทศวรรษที่ 1930 และทรงพยายามใช้กองกำลังมิคาเอลเป็นเครื่องมือของพระองค์[14] ในวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1933 กลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กทำการลอบสังหารนายกรัฐมนตรีจากพรรคเสรีนิยมแห่งชาติ คือ เอียน จี. ดูคา อันนำมาซึ่งการคว่ำบาตรกลุ่มกองกำลังนี้ครั้งแรก[24] การลอบสังหารนายกรัฐมนตรีดูคา เป็นคดีฆาตกรรมทางการเมืองรายแรกของโรมาเนียนับตั้งแต่ค.ศ. 1862 เหตุการณ์นี้สร้างความตกพระทัยแก่กษัตริย์คาโรลที่ 2 อย่างมาก เนื่องจากทรงเห็นความมุ่งมั่นของคอดรีอานูในความพยายามลอบสังหารนายกรัฐมนตรี และพระองค์มองว่า คอดรีอานูผู้ยึดมั่นแต่ตัวเองเริ่มที่จะควบคุมไม่ได้แล้ว และคอดรีอานูไม่ดำเนินการตามพระราชประสงค์ของกษัตริย์ที่ต้องการให้เขาเป็นพลังที่เพียงแต่ก่อกวนพรรคเสรีนิยมแห่งชาติและพรรคเกษตรกรเท่านั้น[24] ใน ค.ศ. 1934 เมื่อคอดรีอานูถูกนำตัวขึ้นศาลในคดีลอบสังหารนายกรัฐมนตรีดูคา เขาได้ขึ้นให้การว่าพวกชนชั้นนำที่นิยมฝรั่งเศสทั้งหมดเป็นพวกทุจริตและไม่คู่ควรกับการเป็นชาวโรมาเนีย และดูคาก็เป็นหนึ่งในนักการเมืองพรรคเสรีนิยมแห่งชาติที่ทุจริต เขาจึงสมควรตาย คณะลูกขุนตัดสินให้คอดรีอานูพ้นโทษ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้กษัตริย์คาโรลที่ 2 ทรงกังวลมาก เนื่องจากเหตุการณ์นี้เป็นเหมือนการแสดงสาส์นการปฏิวัติของคอดรีอานู ว่า ชนชั้นสูงทั้งหมดจะต้องถูกทำลายด้วยชัยชนะของมติมหาชน ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1934 หลังจากคอดรีอานูถูกปล่อยตัว กษัตริย์คาโรลและนายอำเภอเมืองบูคาเรสต์ กัฟริลา มารีเนสคู พร้อมกับมาดามลูเปสคู ร่วมกันวางแผนอย่างไม่เต็มใจที่จะลอบสังหารคอดรีอานูด้วยการวางยาพิษในกาแฟ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจยกเลิกแผนการ[25] จนกระทั่งใน ค.ศ. 1935 กษัตริย์คาโรลทรงเป้นผู้มีส่วนร่วมสำคัญใน "มิตรสหายของกองกำลัง" ซึ่งเป็นกลุ่มที่รวมผู้สนับสนุนกองกำลังเข้าด้วยกัน[26] กษัตริย์คาโรลทรงหยุดสนับสนุนกองกำลังนี้ หลังจากที่คอดรีอานูเริ่มเรียกมาดามลูเปสคูว่า "โสเภณียิว" ภาพลักษณ์ของกษัตริย์คาโรลนั้นเป็น "กษัตริย์เพลย์บอย" เป็นภาพลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ที่เจ้าสำราญ ซึ่งสนพระทัยในเหล่าสตรี การเสวยของมึนเมา การพนันและการจัดงานเลี้ยงมากกว่าการสนพระทัยในกิจการของรัฐ แต่กษัตริย์คาโรบนั้นสนพระทัยในกิจการของรัฐด้วย พระองค์จึงทรงถูกมองว่าเป็นจอมวางแผนและไม่ซื่อสัตย์ เพียงแค่สนพระทัยในการทำลายระบอบประชาธิปไตยเพื่อเพิ่มพระราชอำนาจของพระองค์[27]
ลัทธิบูชาบุคคล
กษัตริย์คาโรลที่ 2 ทรงสร้างลัทธิบูชาบุคคลของพระองค์เองเพื่อลบล้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีอย่าง "กษัตริย์เพลย์บอย" และเป็นการสร้างให้รัชกาลของพระองค์สามารถดำเนินต่อไปในภาพลักษณ์ที่พระมหากษัตริย์เป็นเหมือนพระคริสต์ คือ "เป็นผู้ถูกเลือก" โดยพระเจ้า เพื่อสร้าง "โรมาเนียใหม่"[28] ในหนังสือ The Three Kings ค.ศ. 1934 ของซีซาร์ เปเทรสคู ซึ่งเป็นหนังสือที่เขียนเพื่อให้ผู้ที่มีการศึกษาน้อยได้อ่าน มีการเขียนอย่างเสมอๆว่า กษัตริย์คาโรลทรงเปรียบเสมือนพระเจ้า "บิดาของชาวบ้านและกรรมกรในแผ่นดิน" และเป็น "พระบิดาแห่งวัฒนธรรม" ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่มวลพระมหากษัตริย์ราชวงศ์โฮเอินท์ซ็อลเลิร์น และการที่เสด็จกลับจากลี้ภัยที่ฝรั่งเศสในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1930 ถูกเรียกว่าเป็นการ "สืบเชื้อสายลงมาจากสวรรค์"[27] เปเทรสคูบรรยายภาพของกษัตริย์คาโรลว่าเป็นจุดเริ่มต้นของภารกิจที่พระเจ้าประทานมาให้เพื่อเป็น "ผู้สร้างโรมาเนียอันนิจนิรันดร์" เป็นจุดเริ่มต้นของยุคทอง ดังที่เปเทรสคูยืนยันว่า การปกครองโดยพระมหากษัตริย์เป็นพระราชประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อชาวโรมาเนีย[28]
กษัตริย์คาโรลทรงสนพระทัยในด้านเศรษฐศาสตร์เพียงเล็กน้อย แต่พระองค์ทรงมีที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจที่ทรงอิทธิพลอย่างมาก คือ มีไฮ มาโนอีเลสคู หนึ่งในกลุ่มคามาริลลา เขาเป็นผู้สนับสนุนรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่สังคมโดยรวมโดยมีรัฐเข้าแทรกแซงระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ[29] กษัตริย์คาโรลทรงกระตือรือร้นอย่างมากในเรื่องปริมณฑลทางวัฒนธรรม ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์งานศิลปะ และสนับสนุนภารกิจขององค์กรในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อส่งเสริมและศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมโรมาเนียในทุกด้าน[30] โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กษัตริย์คาโรลทรงสนับสนุนการทำงานของนักสังคมวิทยาที่มีชื่อว่า ดีมิตรี กุสติ จากองค์กรสังคมสงเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1930 ได้เชิญนักสังคมศาสตร์จากทุกสาขาวิชา เช่น ด้านสังคมวิทยา มนุษยวิทยา ชาติพันธ์วิทยา ภูมิศาสตร์ ดนตรีวิทยา แพทยศาสตร์และชีววิทยา มาทำงานร่วมกันใน "วิทยาศาสตร์แห่งชาติ"[31] กุสตีนำทีมศาสตราจารย์จากทุกสาขาวิชาไปยังชนบท เพื่อศึกษาเรื่องราวของชุมชนทั้งหมด ในมุมมองดีๆ ช่วงฤดูร้อน จากนั้นจึงจัดทำรายงานจำนวนหลายร้อยหน้าเกี่ยวกับชุมชนเหล่านั้น[32]
พระมหากษัตริย์ผู้ครอบงำ
ตลอดช่วงสมัยระหว่างสงคราม โรมาเนียอยู่ในเขตอิทธิพลของฝรั่งเศสและในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1926 มีการลงนามในสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศส การเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสพร้อมๆกับการลงนามเป็นพันธมิตรกับโปแลนด์ใน ค.ศ. 1921 กลุ่มสัมพันธมิตรน้อยได้ถูกจัดตั้งขึ้นโดยรวมโรมาเนีย เชโกสโลวาเกียและยูโกสลาเวียไว้เป้นองค์กรร่วมกันถือเป็นหลักสำคัญของนโยบายด้านการต่างประเทศของโรมาเนีย ฝรั่งเศสเริ่มดำเนินการสร้างนโยบายต่างประเทศ คอร์โดน ซานีแตร์รี (Cordon sanitaire) หรือแปลว่า วงล้อมสุขาภิบาล เริ่มใน ค.ศ. 1919 เป็นการเปรียบเปรยว่าต้องการกีดกันเยอรมนีและสหภาพโซเวียตออกจากกิจการในยุโรปตะวันออก กษัตริย์คาโรลไม่ได้ทรงยกเลิกนโยบายต่างประเทศนี้นับต้งแต่ทรงราชย์ใน ค.ศ. 1930 ในตอนแรกพระองค์ยังทรงมองว่าการดำเนินนโยบายคอร์โดน ซานีแตร์รีอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งที่สามารถรับประกันเอกราชของโรมาเนียได้ และด้วยเหตุนี้นโยบายด้านการต่างประเทศของพระองค์จึงมีรูปแบบสนับสนุนฝรั่งเศส ในช่วงที่โรมาเนียได้ลงนามเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสนั้น ภูมิภาคไรน์ลันท์ของเยอรมนีถูกทำให้เป็นเขตปลอดทหารและมีการคิดในกรุงบูคาเรสต์เสมอว่าถ้าเยอรมนีกระทำการอื่นใดที่เป็นภัยคุกคามต่อยุโรปตะวันออก ฝรั่งเศสจะเข้ารุกรานดินแดนไรซ์ทันที ฝรั่งเศสเริ่มสร้างแนวแมกิโนต์ตามพรมแดนเยอรมนีใน ค.ศ. 1930 เริ่มมีความสงสัยเกิดขึ้นในบูคาเรสต์ว่าฝรั่งเศสจะเข้ามาช่วยเหลือโรมาเนียหรือไม่ถ้าเกิดเยอรมนีรุกรานเข้ามาใน ค.ศ. 1933 กษัตริย์คาโรลที่ 2 แต่งตั้งนีกอลาเอ ตีตูเรสคูเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เขาเป็นผู้สนับสนุนอย่างเปิดเผยด้านนโยบายด้านความมั่นคงร่วมกันภายใต้องค์การสันนิบาตชาติ เขาได้เป็นรัฐมนตรีเพื่อดำเนินนโยบายความมั่นคงร่วมกันในการสร้างความมั่นคงของประเทศเพื่อป้องกันเยอรมนีและสหภาพโซเวียตออกจากยุโรปตะวันออก[33] กษัตริย์คาโรลที่ 2 ไม่โปรดตีตูเรสคู และตีตูเรสคูก็ไม่ชอบกษัตริย์เช่นกัน แต่พระองค์ทรงต้องการให้เขาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศเพราะทรงเชื่อว่าเขาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการผนึกกำลังอันเข้มแข็งกับฝรั่งเศสและเป็นการนำอังกฤษเข้ามาร่วมในกิจการยุโรปตะวันออกด้วยภายใต้ข้อตกลงความมั่นคงร่วมกันตามบทบัญญัติของสันนิบาตชาติ[34]
กระบวนการไกลช์ชัลทุง (การประสานงาน) ของพรรคนาซีเยอรมนี ไม่ได้ขยายแต่เพียงภายในดินแดนไรซ์เยอรมันเท่านั้น แต่ในความคิดของผู้นำพรรคนาซีมองว่าเป็นการขยายไปในระดับโลก ซึ่งพรรคนาซีจะเข้าควบคุมชุมชนชาวเยอรมันทั้งหมดทั่วโลก ฝ่ายด้านการต่างประเทศของพรรคนาซีนำโดยอัลเฟรท โรเซินแบร์คเริ่มดำเนินการตามแผนใน ค.ศ. 1934 ในความพยายามครอบครองโฟล์คดอยซ์ (volksdeutsch) หรือชุมชนชาวเยอรมันในโรมาเนีย นโยบายนี้ทำให้กษัตริย์คาโรลทรงพิโรธอย่างมาก ทรงมองว่าเรื่องนี้เป็นการแทรกแซงโดยเยอรมันต่อกิจการภายโรมาเนียอย่างรุนแรง[35] ในขณะที่โรมาเนียมีพลเมืองโฟล์คดอยซ์จำนวนครึ่งล้านในทศวรรษที่ 1930 แผนการยึดครองชุมชนเยอรมันในโรมาเนียของพรรคนาซีสร้างความกังวลพระทัยแก่กษํตริย์คาโรลมาก ทรงกลัวว่าชนกลุ่มน้อยเยอรมันจะกลายเป็นกองทหารที่ห้า (fifth column; คำเปรียบเปรยว่าคือ กลุ่มคนจำนวนน้อยที่คอยบ่อนทำลายคนกลุ่มใหญ่จากภายใน)[35] นอกจากนี้ตัวแทนของโรเซินแบร์คยังเข้ามาติดต่อกับกลุ่มชาวโรมาเนียฝ่ายขวาจัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรรคคริสเตียนแห่งชาติที่นำโดยอ็อกเตเวียน โกกา และมีความเชื่อมโยงเล็กน้อยกับผู้นำกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็ก คอร์เนลิว เซลีอา คอดรีอานู ซึ่งเหตุนี้สร้างความไม่พอพระทัยแก่กษัตริย์คาโรลมาก[35] เกอร์ฮาร์ด ไวน์แบร์ค นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันได้เขียนเกี่ยวกับมุมมองด้านนโยบายต่างประเทศของกษัตริย์คาโรลว่า "พระองค์ทั้งชื่นชมและเกรงกลัวเยอรมนี แต่ทรงกลัวและเกลียดชังสหภาพโซเวียต"[36] ในความเป้นจริงแล้ว ผู้นำคนแรกที่เยือนนาซีเยอรมนี (แม้ว่าจะยังไม่ได้มีตำแหน่งเป็นทางการที) คือ กยูลา ก็อมโบส นายกรัฐมนตรีฮังการี ซึ่งเดินทางเยือนเบอร์ลินในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1933 เพื่อลงนามในสนธิสัญญาเศรษฐกิจเพื่อนำพาฮังการีเข้าสู่อิทธิพลของเยอรมนี เหตุการณ์นี้ทำให้กษัตริย์คาโรลต้องทรงตื่นตระหนกอย่างมาก[37] ตลอดช่วงสมัยระหว่างสงคราม รัฐบาลบูดาเปสต์ ฮังการีปฏิเสธที่จะยอมรับพรมแดนตามสนธิสัญญาตริอานองและเรียกร้องสิทธิในทรานซิลเวเนียของโรมาเนีย กษัตริย์คาโรลก็ทรงเป็นเหมือนกลุ่มชนชั้นนำโรมาเนียที่กังวลต่อความคาดหวังของพันธมิตรของรัฐที่เปลี่ยนแปลงใหม่ที่ปฏิเสธความชอบธรรมของระเบียบสากลที่เขียนด้วยฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วง ค.ศ. 1918-20 ซึ่งระบุว่าเยอรมนีจะสนับสนุนการอ้างสิทธิในดินแดนทรานซิลเวเนียของฮังการี[37] ฮังการีมีข้อพิพาททางดินแดนกับโรมาเนีย ยูโกสลาเวียและเชโกสโลวาเกีย ซึ่งทั้งสามชาตินี้เป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศส ดังนั้นความสัมพันธ์ฝรั่งเศส-ฮังการีจึงเป็นไปได้ไม่ค่อยดีในช่วงสมัยระหว่างสงครามและดูเหมือนว่าฮังการีจะไปเข้าหาศัตรูของฝรั่งเศสอย่างเยอรมนี
ใน ค.ศ. 1934 ตีตูเรสคูมีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งสนธิสัญญาบอลข่านซึ่งเป็นการรวมโรมาเนีย ยูโกสลาเวีย กรีซและตุรกีเป็นพันธมิตรกันเพื่อต่อต้านนโยบายฟื้นคืนดินแดนของบัลแกเรีย[34] สนธิสัญญาบอลข่านมีจุดประสงค์เพื่อเป็นจุดแรกเริ่มของการเป็นพันธมิตรกันของรัฐที่ต่อต้านระบบรัฐปรับปรุงใหม่ของยุโรปตะวันออก ดังเช่น ฝรั่งเศสและโรมาเนียเป็นพันธมิตรกับทั้งเชโกสโลวาเกียและโปแลนด์ แต่ด้วยข้อพิพาทเทสเชนในไซลีเชีย รัฐบาลวอร์ซอกับรัฐบาลปรากจึงเป็นศัตรูกัน เช่นเดียวกับที่นักการทูตแห่งเกดอร์เซย์ ปารีสระบุว่า กษัตริย์คาโรลทรงขุ่นเคืองกับข้อพิพาทระหว่างโปแลนด์-เชโกสโลวาเกีย พระองค์ทรงมองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระมากที่รัฐยุโรปตะวันออกที่ต่อต้านระบบรัฐปรับปรุงใหม่จะมีปัญหากันเองในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานที่อำนาจของเยอรมนีและโซเวียตกำลังเพิ่มขึ้นมาก[34] หลายครั้งที่กษัตริย์คาโรลทรงพยายามเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเทสเชนแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนักในการยุติความบาดหมางระหว่างโปแลนด์และเชโกสลาเวีย[34] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1934 พระองค์สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองนิยมฝรั่งเศส เมื่อรัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส หลุยส์ บาร์ทูเยือนบูคาเรสต์เพื่อพบปะกับเหล่ารัฐมนตรีต่างประเทศของสมาชิกสัมพันธมิตรน้อยคือ โรมาเนีย ยูโกสลาเวียและเชโกสโลวาเกีย กษัตริย์คาโรลทรงจัดงานเฉลิมฉลองอย่างใหญ่โตเพื่อต้อนรับบาร์ทูเพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการกระชับความสัมพันธ์ฝรั่งเศส-โรมาเนีย ในฐานะประเทศ "พี่น้องละติน" ทั้งสอง[38] เคานท์ฟรีดริช-แวร์เนอร์ กราฟ ฟอน เดอ ชูเลนบวร์ก ทูตเยอรมันในโรมาเนีย วิจารณ์อย่างน่าขยะแขยงรายงานไปยังเบอร์ลินว่า ชนชั้นนำทุกคนในโรมาเนียเป็นพวกคลั่งฝรั่งเศสอย่างแก้ไม่หาย ซึ่งมักจะบอกเสมอว่า โรมาเนียจะไม่ทรยศต่อ "พี่สาวละติน" ฝรั่งเศส[38]
ในเวลาเดียวกัน กษัตริย์คาโรลยังทรงพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนาความสัมพันธ์โรมาเนีย-เยอรมนี ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลเบอร์ลินยอมถอนการสนับสนุนรัฐบาลบูดาเปสต์ในความพยายามทวงคืนดินแดนทรานซิลเวเนีย[37] ในช่วงที่กษัตริย์คาโรลทรงมุ่งมั่นในเรื่องเยอรมนี แต่เศรษฐกิจโรมาเนียอยู่ในความสิ้นหวัง ช่วงก่อนภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ โรมาเนียเป็นประเทศที่ยากจนอย่างยิ่งและในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจก็รุมเร้าโรมาเนียอย่างหนัก โรมาเนียไม่สามารถส่งออกสินค้าได้มากเนื่องจากสงครามการค้าที่เกิดขึ้นจากรัฐบัญญัติภาษีสมูท-ฮอว์ลีย์ของอเมริกาใน ค.ศ. 1930 ซึ่งนำไปสู่ความตกต่ำของค่าสกุลเงินลิวโรมาเนีย เงินสำรองต่างประเทศของโรมาเนียถูกใช้อย่างหมดสิ้น[37] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1934 รัฐมนตรีคลังโรมาเนีย วิกตอร์ สลาเวสคู เยือนปารีสเพื่อขอให้ฝรั่งเศสช่วยอัดฉีดเงินหลายล้านฟรังก์เข้าสู่คลังของโรมาเนียและช่วยลดอัตราภาษีศุลกากรต่อสินค้าโรมาเนีย[37] เมื่อฝรั่งเศสปฏิเสธคำขอทั้งสองของโรมาเนีย ทำให้กษัตริย์คาโรลที่ 2 ไม่พอพระทัยอย่างมาก พระองค์ทรงเขียนในพระอนุทินส่วนพระองค์ว่า "พี่สาวละติน" ฝรั่งเศสทำหน้าที่เป็นพี่สาวของโรมาเนียได้น้อยลง[37] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1936 เมื่อวิลเฮล์ม ฟาบริเซียสได้รับการแต่งตั้งจากเยอรมนีให้มาเป้นทูตที่โรมาเนีย รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนีคือ ค็อนสตันทีน ฟ็อน น็อยราทได้เตือนฟาบริเซียสว่า โรมาเนียเป็นประเทศที่ไม่เป็นมิตร เป็นรัฐนิยมฝรั่งเศส แต่ก็แนะนำว่าอาจจะมีโอกาสในการเปิดการค้ากับโรมาเนียเพิ่มขึ้นเพื่อให้หลุดจากวงโคจรของฝรั่งเศส[37] น็อยราทชี้นำฟาบริเซียสอีกว่า แม้ว่าโรมาเนียจะไม่ใช้มหาอำนาจทางทหาร แต่ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเยอรมนีคือน้ำมันของโรมาเนียเป็นสิ่งจำเป็น
กษัตริย์คาโรลมักจะสนับสนุนให้พรรคการเมืองแตกแยกกันเพื่อเอื้อแก่พระราชอำนาจของพระองค์ ใน ค.ศ. 1935 อเล็กซานดรู ไวดา-วอโวด อดีตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเกษตรกรแห่งชาติ เขาเป็นผู้นำสายทรานซิลเวเนีย ได้แยกพรรคออกมาตั้งพรรคแนวโรมาเนียโดยกษัตริย์คาโรลทรงให้การสนับสนุน[39] ในเวลาเดียวกัน กษัตริย์คาโรลทรงพัฒนาความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับอาร์มานด์ คาลีเนสคู ผู้นำพรรคเกษตรกรแห่งชาติผู้ทะเยอทะยาน ในการก่อตั้งฝักฝ่ายที่ต่อต้านอียูลิว มานิว ศัตรูของกษัตริย์คาโรล และกษัตริย์คาโรลทรงโปรดให้พรรคเกษตรกรร่วมมือกับสถาบันกษัตริย์อีกครั้ง[39] ในขณะเดียวกันกษัตริย์คาโรลทรงสนับสนุนกลุ่ม "เสรีนิยมหนุ่ม" ที่นำโดยจีออร์เก ตาตาเรสคู เพื่อลดพลังอำนาจของตระกูลบราเตียนูที่ครอบงำพรรคเสรีนิยมแห่งชาติมานาน[24] เป็นที่ชัดเจนว่ากษัตริย์คาโรลเต็มพระทัยที่จะอนุญาตให้ "เสรีนิยมหนุ่ม" ภายใต้ตาตาเรสคูเข้ามามีอำนาจ แต่ทรงกีดกันพรรคเสรีนิยมสายหลักของดีนู บราเตียนูจากอำนาจ กษัตริย์คาโรลไม่ทรงลืมเลือนว่าพวกตระกูลบราเตียนูได้ดำเนินการถอดพระองค์ออกจากสิทธิในราชบัลลังก์ในช่วงทศวรรษที่ 1920[40]
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1935 ผู้นำกองกำลังอัครทูตสวรรค์มิคาเอล ซึ่งก็คือ คอร์เนลิว เซลีอา คอดรีอานู ผู้ถูกมองว่าเป็นพันธมิตรของกษัตริย์คาโรลมาโดยตลอด ได้ดำเนินการโจมตีพระมหากษัตริย์ครั้งแรกโดยตรง เมื่อเขาได้ระดมพลสาวกออกมาเดินขบวนหน้าพระราชวัง เพื่อต่อต้านกษัตริย์คาโรลในกรณีที่มีการจับกุมนายแพทย์ดีมิตรี เกรอตา ซึ่งเขียนบทความเปิดเผยธุรกิจทุจริตของมาดามลูเปสคู[25] คอดรีอานูปราศรัยหน้าพระราชวังด่าทอลูเปสคูว่าเป็น "โสเภณียิว" ผู้ปล้นชิงประเทศโรมาเนียให้มืดบอด การกระทำเช่นนี้เป็นการหมิ่นพระเกียรติของกษัตริย์คาโรล พระองค์จึงมีคำสั่งไปยังหนึ่งในสมาชิกคามาริลลา คือ กัฟรีลา มารีเนสคู ผู้กำกับการตำรวจบูคาเรสต์ ส่งตำรวจออกไปสลายการชุมนุมของกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กด้วยความรุนแรง[25]
ข้อสงสัยเกี่ยวกับท่าทีของฝรั่งเศสที่จะเข้ามาอาสาป้องกันการรุกรานจากเยอรมนีนั้นเริ่มเป็นที่น่ากังขามากขึ้นเมื่อมีการส่งทหารกลับเข้าไรน์ลันท์ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1936 กองทัพเยอรมันเริ่มสร้างแนวซีคฟรีทตลอดแนวพรมแดนฝรั่งเศส และมีการพิจารณาว่าเริ่มมีความเป็นไปได้น้อยที่ฝรั่งเศสจะบุกเข้าไปในเยอรมนีตะวันตกถ้าเยอรมนีเข้าโจมตีรัฐอื่นตามวงล้อมคอร์โดน ซานีแตร์รี บันทึกจากฝ่ายการต่างประเทศของอังกฤษในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1936 ระบุว่า ชาติหนึ่งชาติใดในโลกที่ควรจะเข้าแทรกแซงเยอรมนีจากเหตุการณ์การส่งทหารกลับเข้าไรน์ลันท์ ชาตินั้นที่ควรเข้าร่วมลงมิตในสันนิบาตชาติคือ อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เบลเยียม, เชโกสโลวาเกีย, สหภาพโซเวียตและโรมาเนีย[41] ผลจากเหตุการณ์การส่งทหารกลับเข้าไรน์ลันท์นั้นไม่มีฝ่ายใดเข้าแทรกแซงหรือประณามเยอรมนีอย่างชัดเจน กษัตริย์คาโรลทรงเริ่มกลัวว่าประเทศที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของฝรั่งเศสในยุโรปตะวันออกจะเป็นรายต่อไป พระองค์จึงพยายามติดต่อกับเยอรมนีเพื่อรักษาเอกราชของโรมาเนีย[42] ด้วยที่โรมาเนียเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสมาอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากเดือนมีนาคม ค.ศ. 1936 กษัตริย์คาโรลทรงพยายามเพิ่มความสัมพันธ์กับเยอรมนี[43]
ในปัญหาการเมืองภายในประเทศ เดือนฤดูร้อน ค.ศ. 1936 คอดรีอานูและมานิวได้จับมือกันเป็นพันธมิตรเพื่อต่อต้านพระราชอำนาจที่เพิ่มขึ้นของพระมหากษัตริย์[44] และรัฐบาลพรรคเสรีนิยมแห่งชาติของตาตาเรสคู ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1936 กษัตริย์คาโรลทรงปลดตีตูเรสคูออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1936 กษัตริย์คาโรลทรงส่งนักการเมืองที่ทรยศพรรคเสรีนิยมแห่งชาติคือ จีออร์เก จี. บราเตียนูไปเยอรมนีเพื่อพบกับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์, ค็อนสตันทีน ฟ็อน น็อยราท รัฐมนตรีต่างประเทศ และแฮร์มัน เกอริง เพื่อแจ้งว่าโรมาเนียต้องการสร้างความสัมพันธ์กับจักรวรรรดิไรซ์[45] กษัตริย์คาโรลทรงโล่งพระทัยมากเมื่อบราเตียนูรายงานว่า ฮิตเลอร์, น็อยราทและเกอริง ให้ความเชื่อมั่นว่าจักรวรรดิไรซ์ไม่สนใจที่จะสนับสนุนการฟื้นคืนดินแดนของฮังการี และจะยืนกรานเป็นกลางในกรณีพิพาททรานซิลเวเนีย[45] การรณรงค์ของรัฐบาลเบอร์ลินที่ไม่มีสิ่งใดมาผูกมัดถือเป็นการโค่นล้มระบบระหว่างประเทศที่สร้างขึ้นจากสนธิสัญญาแวร์ซายที่แยกจากการรณรงค์ของบูดาเปสต์ เพื่อโค่นล้มระบบที่จัดตั้งขึ้นมาจากสนธิสัญญาตริอานง กลายเป็นข่าวที่สร้างความยินดีกับกษัตริย์คาโรล ซึ่งมันเป็นเรื่องการสร้างเกรตเทอร์เยอรมนีไม่ใช่เกรตเทอร์ฮังการี เกอริงได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานกรรมการแผนสี่ปี ซึ่งร่างมาขึ้นเพื่อให้เยอรมนีพร้อมเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบใน ค.ศ. 1940 โดยให้ความสนใจในน้ำมันของโรมาเนียมากเป็นพิเศษและเกอริงได้พูดคุยกับบราเตียนูถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจยุคใหม่ของเยอรมนีและโรมาเนีย[45] เยอรมนีแทยไม่มีน้ำมันเป็นของตนเองและตลอดช่วงจักรวรรดิไรซ์ที่สามการควบคุมแหล่งน้ำมันของโรมาเนียจึงเป็นเป้าหมายสำคัญของนโยบายต่างประเทศ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ กษัตริย์คาโรลทรงใช้พระราชอำนาจยับยั้งแผนการสนับสนุนพันธมิตรใหม่ระหว่างฝรั่งเศสและเชโกสโลวาเกียในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1937 ซึ่งเป็นการผนึกกำลังกันระหว่างฝรั่งเศสกับพันธมิตรน้อยอย่างเป็นทางการและเป็นแผนที่มองเห็นความสัมพันธ์ทางการทหารระหว่างฝรั่งเศสกับพันธมิตรในยุโรปตะวันออก[46] เนื่องด้วยทรัพยากรน้ำมันทำให้ฝรั่งเศสยังคงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับโรมาเนีย และด้วยกำลังคนของโรมาเนียเป็นทางหนึ่งที่สามารถชดเชยกำลังคนชาวฝรั่งเศสที่มีน้อยกว่าได้ เพื่อต่อสู้กับกำลังคนของเยอรมัน (ฝรั่งเศสมี 40 ล้านคนในขณะที่เยอรมนีมี 70 ล้านคน)[46] ยิ่งไปกว่านั้นมีการคาดเดากันในปารีสว่าเยอรมนีจะทำการรุกรานเชโกสโลวาเกีย ฮังการีจะโจมตีเชโกสโลวาเกียวเพื่อยึดสโลวาเกียและรูเทอเนีย นักวางแผนทางทหารของฝรั่งเศสจึงมองว่าโรมาเนียและยูโกสลาเวียจะมีบทบาทในการทำสงครามรุกรานฮังการีเพื่อลดกำลังพลที่จะเข้าไปโจมตีเชโกสโลวาเกีย[46]
จนถึง ค.ศ. 1940 นโยบายต่างประเทศของกษัตริย์คาโรลมีความเอนเอียงอย่างไม่มั่นคงระหว่างคงพันธมิตรดั้งเดิมกับฝรั่งเศสหรือสร้างความสัมพันธ์กับพลังอำนาจใหม่อย่างเยอรมนี[45] ในฤดูร้อน ค.ศ. 1936 กษัตริย์คาโรลทรงแจ้งไปยังทูตฝรั่งเศสว่าถ้าเยอรมนีรุกรานเชโกสโลวาเกีย พระองค์จะไม่ประสงค์ให้กองทัพแดงโซเวียตเดินทัพผ่านโรมาเนีย แต่ก็ทรงเต็มพระทัยที่จะเพิกเฉยถ้าโซเวียตต้องการผ่านน่านฟ้าโรมาเนียไปยังเชโกสโลวาเกีย[47] ในวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 1937 สนธิสัญญาทางเศรษฐกิจเยอรมนี-โรมาเนียได้ถูกลงนามภายใต้เขตอิทธิพลทางเศรษฐกิจของเยอรมนี แต่ก็ทำให้ชาวเยอรมันไม่พอใจเพราะไม่ได้มีการบรรจุแผนการความต้องการน้ำมันจำนวนมหาศาลของเยอรมนีในการใช้ในเครื่องจักรการสงครามขนาดใหญ่ในสนธิสัญญา ค.ศ. 1937[48] ดูเหมือนว่าเยอรมนีจะมีความต้องการน้ำมันอย่างไม่สิ้นสุด และไม่มีการลงนามในข้อตกลง ค.ศ. 1937 ซึ่งชาวเยอรมันเรียกร้องสนธิสัญญาเศรษฐกิจฉบับใหม่ในค.ศ. 1938 ในช่วงเวลาเดียวกับที่มีการลงนามในสนธิสัญญาเยอรมนี-โรมาเนีย ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1937 กษัตริย์คาโรลที่ 2 ทรงต้อนรับยอน เดลโบส รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส เพื่อแสดงว่าพันธมิตรระหว่างโรมาเนียกับฝรั่งเศสยังคงอยู่[49]
การเลือกตั้ง ค.ศ. 1937 และรัฐบาลของโกกา
ในฤดูร้อนใน ค.ศ. 1937 กษัตริย์คาโรลเสด็จปารีส พระองค์กล่าวต่อรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศฝรั่งเศส ยีวอน เดลโบส ว่า ระบอบประชาธิปไตยของโรมาเนียคงถึงจุดสิ้นสุด[50] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1937 คอร์เนลิว เซลีอา คอดรีอานูแห่งกองกำลังอัครทูตสวรรค์มิคาเอลได้กล่าวสุนทรพจน์ในการลงสมัครเลือกตั้งในเดือนธันวาคม เพื่อเรียกร้องให้ยุติการเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศส เขากล่าวว่า "เลือกข้าพเจ้า เพื่อนโยบายต่างประเทศโรมาเนียร่วมกันกับโรมและเบอร์ลิน เลือกข้าพเจ้า เพื่อก่อการปฏิวัติแห่งชาติต่อต้านลัทธิบอลเชวิก ภายในสี่สิบแปดชั่วโมงกองกำลังเราจะได้ชัยชนะ โรมาเนียจะเป็นพันธมิตรกับโรมและเบอร์ลิน"[51] คอดรีอานูได้ทิ้งสุนทรพจน์อันนำมาซึ่งฝันร้ายของกษัตริย์คาโรล พระองค์ทรงยืนยันเสมอว่าจะทรงควบคุมนโยบายต่างประเทศของรัฐเองซึ่งเป็นพระราชอำนาจพิเศษที่ไม่มีใครเข้าแทรกแซงได้[52] แม้ว่าตามรัฐธรรมนูญระบุว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ต้องมีความรับผิดชอบโดยตรงต่อนายกรัฐมนตรี แต่ในทางปฏิบัติของโรมาเนีย รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศมักจะรายงานโดยตรงต่อพระมหากษัตริย์ คอดรีอานูได้ล้ำเส้นพระราชอำนาจในสายพระเนตร ทำให้ในเวลาต่อมา กษัตริย์คาโรลทรงมุ่งมั่นที่จะกำจัดคอดรีอานู ผู้หยิ่งผยองพร้อมกับเหล่าผู้ติดตามของเขาที่กล้าท้าทายพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์[52] ในการเลือกตั้งเดือนธันวาคม ค.ศ. 1937 พรรคเสรีนิยมแห่งชาติของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีจีออร์เก ตาตาเรสคูได้ที่นั่งมากที่สุดในรัฐสภา แต่มีจำนวนน้อยกว่าร้อยละ 40 ทำให้ไม่สามารถกุมเสียงข้างมากในรัฐสภาได้[53] หลังจากการลอบสังหารนายกรัฐมนตรีดูคาใน ค.ศ. 1933 กลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กถูกสั่งห้ามเข้าร่วมการเลือกตั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกคว่ำบาตร คอดรีอานูจึงจัดตั้งพรรคทั้งมวลเพื่อปิตุภูมิ เพื่อเป็นแนวหน้าของผู้พิทักษ์เหล็ก พรรคทั้งมวลเพื่อปิตุภูมิได้รับคะแนนเสียงร้อยละ 16 ในการเลือกตั้งปี 1937 ซึ่งถือเป็นความสำเร็จสูงสุดของกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็ก
ในวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 1937 กษัตริย์คาโรลทรงใช้พระราชอำนาจแต่งตั้งนักกวีผู้มีแนวคิดต่อต้านชาวยิวอย่างรุนแรง คือ อ็อกเตเวียน โกกา จากพรรคคริสเตียนแห่งชาติ ซึ่งได้คะแนนเสียงจากการเลือกตั้งเพียงร้อยละ 9 ให้ดำรงเป็นนายกรัฐมนตรี กษัตริย์คาโรลทรงแต่งตั้งโกกาเป็นนายกรัฐมนตรีก็เพราะพระองค์หวังว่านโยบายการต่อต้านชาวยิวของโกกาจะทำให้พระองค์ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนที่เลือกพรรคทั้งมวลเพื่อปิตุภูมิและเพื่อทำให้กองกำลังอัครทูตอ่อนแอลง พระองค์ทรงหวังว่าโกกาจะไม่มีความสามารถในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอันนำมาซึ่งวิกฤตที่จะเปิดทางให้พระองค์ยึดอำนาจได้[54] กษัตริย์คาโรลทรงบันทึกในพระอนุทินส่วนพระองค์ว่า โกกานั้นโง่เขลาและน่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ไม่นาน และเมื่อโกกาล้มเหลวจะทำให้พระองค์ "มีอิสระที่จะใช้มาตรการที่แข็งกร้าว ซึ่งจะปลดปล่อยตัวข้าเองและประเทศจากพวกเผด็จการพรรคการเมือง"[54] กษัตริย์คาโรลทรงเห็นชอบต่อคำกราบทูลของโกกาที่ให้ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1938 ด้วยเขาเป็นผู้นำของพรรคการเมืองที่ได้คะแนนเป็นลำดับที่สี่ในรัฐสภา เหมือนเป็นที่แน่นอนว่ารัฐบาลโกกาจะพ่ายแพ้การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เมื่อรัฐสภารวมตัวกันทั้งพรรคเสรีนิยมแห่งชาติ พรรคเกษตรกรแห่งชาติและพรรคทั้งมวลเพื่อปิตุภูมิ ร่วมกันต่อต้านโกกาแม้ว่าจะมีเหตุผลที่แตกต่างกัน การเลือกตั้งเริ่มต้นจากความรุนแรงด้วยการทะเลาะวิวาทในบูคาเรสต์ระหว่างกองกำลังกึ่งทหาร ลานเชรีของโกกากับกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็ก นำมาซึ่งผู้เสียชีวิตสองคน บาดเจ็บ 52 คน และมีคนถูกจับกุม 450 คน[55] ในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1938 จึงเป็นการเลือกตั้งที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โรมาเนีย กลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กและกองกำลังลานเชรีต่อสู้กันตามท้องถนนในขณะที่แสวงหาความชอบธรรมในการต่อต้านชาวยิวไปด้วย[55] ในขณะที่รัฐสภาก็ไม่ได้มีการประชุมในรัฐบาลของโกกา ซึ่งโกกาจะต้องผ่านกฎหมายด้วยพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่กฎหมายทุกฉบับจะต้องมีการลงพระปรมาภิไธยโดยพระมหากษัตริย์
นโยบายต่อต้านชาวยิวที่รุนแรงของโกกาทำให้ ชนกลุ่มน้อยชาวยิวยากลำบาก และนำไปสู่การร้องเรียนต่อรัฐบาลอังกฤษ ฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาว่า นโยบายของโกกาจะเป็นการขับไล่ชาวยิวออกไปจากโรมาเนีย[56] ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาไม่มีความประสงค์ที่จะรับผู้อพยพชาวยิว อันเนื่องมาจากกฎหมายต่อต้านชาวยิวของรัฐบาลโกกา และรัฐบาลทั้งสามชาติกดดันกษัตริย์คาโรลให้ทรงใช้พระราชอำนาจปลดโกกาออกจากตำแหน่งเพื่อเป็นหนทางแก้ไขวิกฤตทางมนุษยธรรม[56] เอกอัครราชทูตอังกฤษคือ เซอร์เรจินัลด์ โฮอาเรและเอกอัครรัฐทูตฝรั่งเศส คือ เอเดรียง แตร์รี ได้เสนอบันทึกประท้วงรัฐบาลต่อต้านยิวของโกกา ในขณะที่ประธานาธิบดีรูสเวลต์แห่งสหรัฐอเมริกาเขียนสาส์นถึงกษัตริย์คาโรลวิจารณ์ถึงนโยบายต่อต้านชาวยิว[36] ในวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1938 โกกาประกาศถอดชาวยิวทั้งหมดออกจากการเป็นพลเมืองของประเทศโรมาเนีย และเตรียมไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือการขับไล่ชาวยิวออกจากประเทศ โดยส่วนพระองค์แล้วกษัตริย์คาโรลไม่ใช่พวกต่อต้านยิว แต่ตามพอล ดี. ควินลัน นักเขียนชีวประวัติของกษัตริย์ระบุว่า พระองค์"แค่ไม่ทรงแยแส" ต่อความทุกข์ทรมานของราษฎรชาวยิวของพระองค์จากกฎหมายต่อต้านชาวยิวของโกกา[57] กษัตริย์นักฉวยโอกาสอย่างกษัตริย์คาโรลไม่ทรงเชื่อในลัทธิต่อต้านยิวแต่ทรงเชื่อในอำนาจ แต่ถ้า เหตุผลของรัฐกำหนดว่าต้องยอมอดทนต่อรัฐบาลต่อต้านยิวเพื่อแลกกับอำนาจ กษัตริย์คาโรลก็ทรงพร้อมที่จะสละสิทธิของราษฎรชาวยิวเพื่อมัน[57] ในเวลาเดียวกัน โกกาพบว่าตัวเขาเองเป็นเลิศในด้านกวีมากกว่าเป็นนักการเมือง และในบรรยากาศของวิกฤตช่วงต้นปี ค.ศ. 1938 ซึ่งเขาหมกมุ่นแต่การแก้ "ปัญหาชาวยิว" ไวน์แบร์กเขียนถึงโกกาว่า เขา "ไม่พร้อมสำหรับตำแหน่งและไม่มีความสามารถทางผู้นำใดๆเลย..." และเขาดูเหมือนตัวตลกที่กำลังเล่นตลก เขาทำให้นักการทูตในบูคาเรสต์ "ขบขันครึ่งหนึ่ง ตกใจครึ่งหนึ่ง"[36] อย่างที่กษัตริย์คาโรลทรงคาดการณ์ไว้ โกกาเป็นผู้นำที่โง่เขลา เป็นผู้สร้างความน่าขายหน้าแก่ระบอบประชาธิปไตย ในขณะที่นโยบายต่อต้านชาวยิวที่รุนแรงของเขาทำให้ไม่มีมหาอำนาจชาติประชาธิปไตยอื่นใดเข้ามาขัดขวางการประกาศปกครองระบอบเผด็จการของกษัตริย์คาโรล[56]
ระบอบเผด็จการโดยราชวงศ์
โกกาทราบว่าเขาถูกพระมหากษัตริย์หลอกใช้ เขาจึงเข้าพบปะกับคอดรีอานู ผู้เป็นศัตรูในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1938 ที่บ้านของนักการเมืองเอียน กีกูร์ตู เพื่อตกลงกันว่าฝ่ายผู้พิทักษ์เหล็กจะถอนตัวออกจากการเลือกตั้งเพื่อสร้างความมั่นใจว่าฝ่ายต่อต้านยิวหัวรุนแรงจะครองเสียงข้างมากในรัฐสภา[58] กษัตริย์คาโรลทรงทราบถึงแผนการโกกา-คอดรีอานูอย่างรวดเร็ว และพระองค์ทรงใช้เหตุนี้เป็นข้ออ้างในการก่อรัฐประหารตัวเองซึ่งพระองค์ทรงวางแผนมาตั้งแต่ปลายปี ค.ศ. 1937[56] ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1938 กษัตริย์คาโรลทรงระงับรัฐธรรมนูญและยึดอำนาจในสถานการณ์ฉุกเฉิน[54] กษัตริย์คาโรลทรงประกาศกฎอัยการศึกและระงับสิทธิเสรีภาพทั้งหมดของพลเมืองในช่วงการเลือกตั้งที่รุนแรงนี้ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่สงครามกลางเมือง[59]
เมื่อหมดประโยชน์แล้ว กษัตริย์คาโรลทรงปลดโกกาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และทรงแต่งตั้งพระอัครบิดรเอลี คริสเตอา หรืออัครบิดรมิรอนแห่งโรมาเนียวัย 69 ปี ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขาเป็นประมุขแห่งนิกายคริสต์ออร์ทอดอกซ์โรมาเนียและอดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลกษัตริย์มีไฮที่ 1 เขาเป็นบุรุษผู้ที่กษัตริย์คาโรลทรงทราบว่าเป็นบุคคลที่เป็นที่เคารพของประชาชนโรมาเนียทั่วประเทศซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเมืองนับถือออร์ทอดอกซ์ ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1938 กษัตริย์คาโรลทรงร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แม้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้จะมีความคล้ายคลึงกับฉบับก่อนหน้า แต่แท้จริงแล้วมันเป็นรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นเผด็จการและเป็นการปกครองแบบหมู่คณะที่รุนแรง รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยอมรับพระราชอำนาจฉุกเฉินที่กษัตริย์คาโรลเข้ายึดอำนาจในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อเปลี่ยนให้รัฐบาลกลายเป็นเผด็จการโดยพฤตินัย มันเป็นการสร้างพระราชอำนาจในพระหัตถ์ของพระองค์อย่างเข้มข้น ซึ่งเกือบจะถึงจุดที่เรียกว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้รับการเห็นชอบผ่านการทำประชามติด้วยเงื่อนไขที่ห่างไกลจากความลับ กล่าวคือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะต้องมารายงานตัวต่อหน้าสำนักงานการเลือกตั้งและแถลงด้วยวาจาว่าพวกเขาจะเห็นชอบในรัฐธรรมนูญ การที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเงียบจะถือว่าลงคะแนน "เห็นชอบ" ภายใต้เงื่อนไขนี้ มีการรายงานอย่างไม่น่าเชื่อว่า มีประชาชนเห็นชอบกับรัฐธรรมนูญใหม่ถึงร้อยละ 99.87[60][61]
นิตยสารไทม์ได้บรรยายถึงพระอัครบิดรคริสเตอาว่าเป็น "นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด" ของกษัตริย์คาโรลที่ 2[62] ในการกล่าวสุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพระอัครบิดรคริสเตอา เขาประกาศประณามแนวคิดพหุนิยมทางการเมืองของพวกเสรีนิยม และกล่าวว่า "พวกอสูรกายที่มีหัวการเลือกตั้งทั้ง 29 ตัวได้ถูกกำจัดไปแล้ว" (เป็นการพาดพิงถึงพรรคการเมือง 29 พรรคที่ถูกคว่ำบาตร) และอัครบิดรยังอ้างว่าพระมหากษัตริย์จะนำมาซึ่งการช่วยให้พันภัย (Salvation)[63]
ในช่วงการรัฐประหารเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1938 กษัตริย์คาโรลทรงแจ้งต่อเอกอัครรัฐทูตเยอรมัน วิลเฮล์ม ฟาบริเซียส ให้ทราบถึงพระราชประสงค์ที่จะกระชับความสัมพันธ์กับเยอรมนี[64] ทูตแตร์รีของฝรั่งเศสได้ทูลกษัตริย์คาโรลว่า รัฐบาลของพระองค์ได้รับ "การตอบรับที่ดี" จากปารีส และฝรั่งเศสจะไม่ยอมให้จุดจบของระบอบประชาธิปไตยนำมาซึ่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับโรมาเนีย[65] รัฐบาลใหม่ของพระอัครบิดรคริสเตอาไม่ได้ดำเนินนโยบายต่อต้านชาวยิวใหม่ แต่ก็ไม่ได้ยกเลิกกฎหมายต้านยิวเดิมที่มาจากรัฐบาลโกกา แม้ว่าพระอัครบิดรคริสเตอาจะไม่ค่อยบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้มากนัก[65] มีรายงานว่าเมื่อมีสหายชาวยิวถามรัฐมนตรีมหาดไทย อาร์มานด์ คาลีเนสคู ว่า สถานะความเป็นพลเมืองของเขาจะได้รับการฟื้นฟูไหม ในเมื่อโกกาหลุดจากตำแหน่งไปแล้ว คาลีเนสคูเป็นคนที่เกลียดชังผู้พิทักษ์เหล็กและเกลียดแนวคิดต่อต้านยิวก็ยันยันว่ารัฐบาลของคริสเตอาไม่สนใจที่จะคืนสัญชาติให้ชาวยิว[66]
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1938 อาร์มานด์ คาลีเนสคู รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่ใกล้ชิดกษัตริย์คาโรลมากที่สุด เขาเป็นเหมือน "คนแข็งแกร่ง" ในระบอบใหม่นี้ ซึ่งต้องการให้กำจัดพวกกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็ก[67] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1938 กษัตริย์คาโรลทรงหันไปกำจัดกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็ก โดยให้จำคุกคอดรีอานูในข้อหาหมิ่นประมาทอดีตนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์นีกอลาเอ ออร์กา นักประวัติศาสตร์ หลังจากที่คอดรีอานูตีพิมพ์จดหมายสาธารณะกล่าวหาว่าออร์กาทำธุรกิจที่ทุจริต หลังจากคอดรีอานูถูกตัดสินว่าผิดจริงในวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1938 เขาก็ถูกพิจารณาโทษอีกครั้งในวันที่ 27 พฤษภาคม ในข้อหากบฏ เนื่องจากเขาถูกกล่าวหาว่าทำงานให้เยอรมนีเพื่อเริ่มการปฏิวัติ ค.ศ. 1935 และคอดรีอานูถูกตัดสินจำคุก 10 ปี[67]
กษัตริย์คาโรลทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกพิเศษลำดับที่ 892 แห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์เตอร์ ใน ค.ศ. 1938 จากพระญาติคือ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร ใน ค.ศ. 1937 พระองค์ทรงได้รับกางเขนแห่งความยุติธรรมของกองทัพและฮอสปิทัลเลอร์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญลาซารัสแห่งเยรูซาเลม วันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1938[68] ในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1938 กษัตริย์คาโรลพร้อมกลุ่มคนชนชั้นนำในโรมาเนียต้องตกตะลึงอย่างมากกับความตกลงมิวนิก วันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1938 ที่พระองค์เห็นว่าเป็นการอนุญาตให้ยุโรปตะวันออกทั้งหมดให้อยู่ภายใต้อิทธิพลของเยอรมัน[69] โรมาเนียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความนิยมฝรั่งเศสอย่างมากที่สุดในโลก ดังนั้นความตกลงมิวนิกจึงกระทบประเทศนี้มากเป็นพิเศษ[69] งานของไวน์เบิร์กได้เขียนบรรยายถึงผลกระทบของความตกลงมิวนิกที่มีต่อความสัมพันธ์ฝรั่งเศส-โรมาเนียที่ว่า "ในมุมมองความสัมพันธ์แบบดั้งเดิมจะกลับไปเป็นแบบช่วงจุดเริ่มต้นอิสรภาพของโรมาเนีย ที่ชนชั้นสูงโรมาเนียมองว่าฝรั่งเศสเป็นแบบอย่างสำหรับทุกสิ่งนับตั้งแต่แฟชันไปจนถึงระบอบรัฐบาล การที่ฝรั่งเศสสละอิทธิพลออกไปนั้นเป็นสิ่งที่น่าตกใจอย่างยิ่ง"[69] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1938 กลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กวางแผนก่อการร้ายในการลอบสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจและข้าราชการ อีกทั้งวางแผนวางระเบิดตามสถานที่ราชการเพื่อโค่นอำนาจกษัตริย์คาโรล[70][71] กษัตริย์คาโรลทรงโต้กลับอย่างรุนแรงด้วยการสั่งให้ตำรวจเข้าจับกุมกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กโดยไม่ต้องมีหมายจับและให้ประหารชีวิตผู้ที่พบอาวุธอย่างรวดเร็ว
ในด้านของเยอรมนีนั้นต้องการน้ำมันและเยอรมนีส่งคำขอมาซ้ำๆเพื่อให้ทำข้อตกลงการค้าฉบับใหม่ เพื่อต้องการให้เรือบรรทุกน้ำมันของโรมาเนียเข้าเทียบท่าเยอรมนีมากยิ่งขึ้น กษัตริย์คาโรลทรงพบปะกับฟาบริเซียสเพื่อแสดงเจตนารมณ์ว่าพระองค์ประสงค์ข้อตกลงที่จะสร้างความเข้าใจกันระหว่างเยอรมนีและโรมาเนียในระยะยาว[72] ในขณะเดียวกันช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ค.ศ. 1938 กษัตริย์คาโรลทรงเล่นเกมสองหน้าด้วยทรงมีคำขอความช่วยเหลือไปยังอังกฤษ เพื่อให้นำโรมาเนียเข้าสู่อิทธิพลเศรษฐกิจของอังกฤษ พระองค์เสด็จเยือนลอนดอนในระหว่างวันที่ 15 - 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1938 เพื่อดำเนินการเจรจาซึ่งไม่สำเร็จ[73] วันที่ 24 พฤศจิกายน กษัตริย์คาโรลเสด็จเยือนเยอรมนีและเข้าพบฮิตเลอร์เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์เยอรมนี-โรมาเนีย[74] ในระหว่างการเจรจาข้อตกลงเศรษฐกิจเยอรมนี-โรมาเนียที่จะมีการลงนามในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1938 ไวน์เบิร์กเขียนว่า "กษัตริย์คาโรลทรงให้การสัมปทานเท่าที่จำเป็น แต่พระองค์ก็ทรงเป็นห่วงต่อเอกราชของประเทศโดยทรงต่อรองราคาอย่างหนัก"[74] นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ ดี.ซี. วัตต์ ได้เขียนว่า กษัตริย์คาโรลทรง "ถือไพ่เหนือกว่า" ในการควบคุมน้ำมันที่เยอรมนีต้องการอย่างมากและเยอรมันก็เต็มใจที่จ่ายค่าน้ำมันโรมาเนียในอัตราที่สูงโดยที่กองทัพไม่สามารถมายุ่งเกี่ยวอะไรได้[75] ระหว่างที่ทรงประชุมกับฮิตเลอร์ กษัตริย์คาโรลทรงพิโรธมากที่ฮิตเลอร์เรียกร้องให้ปล่อยตัวคอดรีอานูเป็นอิสระและแต่งตั้งเขาเป็นนายกรัฐมนตรี[76] กษัตริย์คาโรลทรงเชื่อว่าตราบใดที่คอดรีอานูยังมีชีวิตอยู่ เขาก็จะเป็นผู้นำที่ฮิตเลอร์คอยหนุนหลัง แต่ถ้าเขาถูกกำจัดแล้ว ฮิตเลอร์ก็จะไม่มีทางเลือกอื่นๆใดที่จะสนับสนุนเขาเลย[76]
ในช่วงแรกกษัตริย์คาโรลทรงต้องการให้คอดรีอานูติดคุกต่อไป แต่หลังจากเกิดการก่อการร้ายขึ้นในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1938 กษัตริย์คาโรลทรงเห็นด้วยกับแผนการของรัฐมนตรีคาลีเนสคูที่วางแผนจะสังหารผู้นำกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กทุกคนที่ถูกจองจำอยู่[77] ในกลางดึกของวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1938 กษัตริย์คาโรลทรงมีพระบัญชาให้สังหารคอดรีอานูและผู้นำกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กอีก 13 คน โดยมีแถลงอย่างเป็นทางการว่า นักโทษ "ถูกยิงหลังจากพยายามหลบหนี"[78] การฆาตกรรมในคืนวันที่ 30 พฤศจิกายน ซึ่งผู้นำผู้พิทักษ์เหล็กถูกกวาดล้างออกไปจากประวัติศาสตร์โรมาเนีย ถูกเรียกว่า "ค่ำคืนแห่งแวมไพร์"[76] เยอรมันโกรธเคืองการฆาตกรรมคอดรีอานูอย่างมาก และช่วงปลายปี 1938 มีการรณรงค์โฆษณาชวนเชื่ออย่างรุนแรงต่อต้านกษัตริย์คาโรลในหนังสือพิมพ์เยอรมันที่มีการลงเรื่องราวที่ คอดรีอานู "ถูกยิงขณะหลบหนี" อยู่เสมอ และเรียกการฆาตกรรมคอดรีอานูว่า "เป็นชัยชนะของพวกยิว"[78][79] แต่ในที่สุดความกังวลด้านเศรษฐกิจก็กลับมา เยอรมันต้องการน้ำมันของโรมาเนียอย่างมาก ทำให้นาซียอมเงียบจากเรื่องผู้พิทักษ์เหล็กในช่วงต้นปี 1939 และความสัมพันธ์กับกษัตริย์คาโรลก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม[78]
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1938 พรรคแนวร่วมเรอเนซองแห่งชาติ ได้ถูกจัดตั้งขึ้นในฐานะพรรคที่ถูกต้องตามกฎหมายพรรคเดียวในประเทศ ในเดือนเดียวกันกษัตริย์คาโรลทรงแต่งตั้งพระสหายของพระองค์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มคามาริลลา คือ กริกอร์ กาเฟนคู ในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศ[80] กาเฟนคูได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศส่วนหนึ่งเป็นเพราะพระองค์ทรงไว้วางพระทัยเขาและอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะมิตรภาพของกาเฟนคูกับโยเซ็ฟ เบ็ค รัฐมนตรีต่างประเทศของโปแลนด์ ซึ่งกษัตริย์คาโรลประสงค์ที่จะผูกสัมพันธ์กับโปแลนด์[80] กาเฟนคูพยายามแสดงความสามารถในช่วงที่ได้โอกาสเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นผู้ซึ่งต้องการไม่ให้เกิดการปะทะต่อต้านกันมากที่สุด ซึ่งตรงกันข้ามกับอาร์มานด์ คาลีเนสคู รัฐมนตรีมหาดไทยผู้แข็งกร้าว "ดูเหมือนออกนอกลู่นอกทาง" ตัวเล็กและมีตาเดียว (จากนั้นเขาเป็นนายกรัฐมนตรี) ซึ่งประกาศตนเป็นปรปักษ์กับลัทธิฟาสซิสต์ทั้งในโรมาเนียและต่างประเทศและพยายามกระตุ้นให้กษัตริย์คาโรลทรงยืนข้างฝ่ายสัมพันธมิตร[80] นโยบายต่างประเทศของกษัตริย์คาโรลในปี 1939 คือการสร้างพันธมิตรที่เข้มแข็งระหว่างโรมาเนียและโปแลนด์และกลุ่มพันธมิตรบอลข่าน เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับศัตรูโรมาเนียอย่าง ฮังการีและบัลแกเรีย สนับสนุนให้อังกฤษและฝรั่งเศสเข้ามายุ่งเกี่ยวในบอลข่านเพื่อหลีกเลี่ยงการรุกรานจากเยอรมนี[81] ในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1939 อัครบิดรคริสเตอา นายกรัฐมนตรีถึงแก่อสัญกรรม คาลีเนสคูจึงขึ้นสืบเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1939 เกอริงได้ส่งผู้ช่วยคือ เฮลมุท โวลทัท ขององค์การแผนสี่ปีให้มายังบูคาเรสต์ พร้อมคำแนะนำให้ลงนามสนธิสัญญาทางเศรษฐกิจเยอรมนี-โรมาเนียอีกฉบับ ซึ่งจะทำให้เยอรมนีสามารถครอบงำอำนาจทางเศรษฐกิจของโรมาเนีย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมน้ำมัน[82] โวลทัทเป็นบุรุษหมายเลขสองในองค์การแผนสี่ปีถูกส่งไปบูคาเรสต์เพื่อทำการเจรจาเยอรมัน-โรมาเนียที่สำคัญนี้[81] กษัตริย์คาโรลทรงต่อต้านข้อเสนอของเยอรมันที่ต้องการน้ำมันมากขึ้นในข้อตกลงเดือนธันวาคม ค.ศ. 1938 และประสบความสำเร็จในช่วงต้นปี 1939 ที่สามารถนำพาโรมาเนียไปอยู่ในขอบเขตอำนาจทางเศรษฐกิจของอังกฤษได้[80] เพื่อถ่วงดุลอิทธิพลของเยอรมันที่กำลังทรงอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆในคาบสมุทรบอลข่าน กษัตริย์คาโรลจึงต้องการผูกสัมพันธ์กับอังกฤษ[80] ในเวลาเดียวกันแผนสี่ปีกำลังประสบปัญหาความยุ่งยากในช่วงต้นปี 1939 และโดยเฉพาะแผนการของเกอริงที่ต้องการโรงงานสังเคราะห์น้ำมันจากถ่านหินเป็นไปด้วยความล่าช้ากว่าแผน[81] เทคโนโลยีใหม่ในการสังเคราะห์น้ำมันจากถ่านหินทำให้เกิดปัญหาด้านเทคนิคขนานใหญ่และมีค่าใช้จ่ายมากเกินไป เกอริงได้รับแจ้งในต้นปี 1939 ว่า โรงงานน้ำมันสังเคราะห์ที่เริ่มสร้างในปี 1936 จะไม่สามารถเปิดใช้ได้ทันตามแผนในปี 1940 จนกระทั่งถึงฤดูร้อน ค.ศ. 1942 โรงงานน้ำมันสังเคราะห์จึงเริ่มเปิดให้ดำเนินการในที่สุด เห็นได้ชัดว่าเกอริงเจ็บแค้นอย่างมากในช่วงเดือนแรกๆของปี 1939 ที่เศรษฐกิจเยอรมันไม่มีความพร้อมในการก่อสงครามเต็มรูปแบบในปี 1940 เนื่องจากแผนสี่ปีที่ถูกร่างไว้ตั้งแต่ค.ศ. 1936 ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจของเขาบอกเขาว่า เยอรมนีต้องการนำเข้าน้ำมัน 400,000 ตันต่อเดือน แต่เยอรมนีนำเข้าได้เพียง 61,000 ตันต่อเดือนเท่านั้นในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 1938[81]
ดังนั้นโวลทัทจึงเรียกร้องในระหว่างการเจรจากับกริกอร์ กาเฟนคู รัฐมนตรีต่างประเทศโรมาเนีย ว่าให้โรมาเนียโอนอุตสาหกรรมน้ำมันทั้งหมดของโรมาเนียมาเป็นของรัฐ ซึ่งต่อไปจะถูกควบคุมโดยบริษัทใหม่ที่จะเป็นการร่วมมือระหว่างรัฐบาลเยอรมันกับรัฐบาลโรมาเนีย ขณะที่เรียกร้องให้โรมาเนีย "เคารพผลประโยชน์การส่งออกของเยอรมัน" โดยขายน้ำมันให้กับเยอรมนีเท่านั้น[81] เท่านั้นไม่พอ โวลทัทเรียกร้องให้มีมาตรการอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการเปลี่ยนโรมาเนียให้กลายเป็นอาณานิคมทางเศรษฐกิจของเยอรมัน[81] โดยกษัตริย์คาโรลไม่ทรงเห็นชอบในข้อเรียกร้องเหล่านี้ การเจรจาที่บูคาเรสต์จึงเป็นไปไม่ค่อยดีเท่าไร เมื่อถึงจุดนี้ กษัตริย์คาโรลทรงเริ่มดำเนินการในเหตุการณ์ที่จะถูกเรียกว่า "เรื่องอื้อฉาวตีลีอา" เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 1939 วีโอเรล ตีลีอา เอกอัครราชทูตโรมาเนียประจำอังกฤษ ได้บุกเข้าไปยังห้องทำงานของรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ ลอร์ดฮาลิแฟกซ์ ตีลีอาในสภาพกระวนกระวายใจประกาศว่า ประเทศของเขากำลังเผชิญการรุกรานจากเยอรมันที่กำลังใกล้เข้ามา และขอให้ลอร์ดฮาลิแฟกซ์ช่วยดำเนินการขอการสนับสนุนจากอังกฤษ[83] ในขณะเดียวกัน กษัตริย์คาโรลทรงระดมพลทหารห้าเหล่าบริเวณชายแดนที่ติดกับฮังการีเพื่อป้องกันการรุกรานที่อาจเกิดขึ้น[84] "เศรษฐกิจเชิงรุกราน" ของอังกฤษในคาบสมุทรบอลข่านได้ก่อให้เกิดความบอกช้ำทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริงของเยอรมัน โดยที่อังกฤษทำการซื้อน้ำมันจากโรมาเนีย อันเป็นน้ำมันที่เยอรมันต้องการมาก ดังนั้นพวกเยอรมันจึงต้องการควบคุมอุตสาหกรรมน้ำมันของโรมาเนีย อันเป็นสิ่งที่ทำให้กษัตริย์คาโรลทรงพิโรธ[81] ในขณะที่อังกฤษเชื่อว่า ข้อเรียกร้องของตีลีอา ใน "เรื่องอื้อฉาวตีลีอา" มีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อนโยบายต่างประเทศของอังกฤษ ทำให้รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีเนวิล เชมเบอร์ลินจะต้องพลิกนโยบายจากการเอาใจเยอรมนีมาเป็นนโยบาย "จำกัด" อำนาจของเยอรมนี[85][86] กษัตริย์คาโรลทรงปฏิเสธ โดยทรงอ้างว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำของตีลีอาในลอนดอน แต่ถึงกระนั้นอังกฤษก็เตือนเยอรมันถึงการกระทำที่คุกคามโรมาเนียในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1939 ทำให้เยอรมันต้องยอมผ่อนปรนข้อเสนอและได้มีการลงนามสนธิสัญญาเศรษฐกิจเยอรมัน-โรมาเนียในวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1939 ซึ่งตามความเห็นของวัตต์ นักประวัติศาสตร์ มองว่า "มีความคลุมเครือมาก"[87] แม้จะมี "เรื่องอื้อฉาวตีลีอา" กษัตริย์คาโรลทรงตัดสินพระทัยที่จะไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในการเจรจาทางการทูตใดๆ ที่จะบังคับให้พระองค์เลือกข้างอย่างเด็ดขาดระหว่างเยอรมนีและอังกฤษ และพระองค์จะไม่ทรงยินยอมที่จะรับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียตที่พยายามขัดขวางเยอรมนี[87]
นโยบายพยายาม "จำกัด" เยอรมนี เริ่มต้นในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1939 อังกฤษพยายามสร้าง "แนวหน้าสันติภาพ" ที่ประกอบด้วยอย่างน้อยที่สุดก็คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส โปแลนด์ สหภาพโซเวียต ตุรกี โรมาเนีย กรีซ และยูโกสลาเวีย ในส่วนของกษัตริย์คาโรลทรงกังวลในช่วงครึ่งแรกของปี 1939 ว่าฮังการีจะเข้าโจมตีโรมาเนียภายใต้การสนับสนุนของเยอรมนี[88] ในวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1939 มีการประชุมคณะรัฐมนตรีซึ่งมีข้อสรุปว่า โรมาเนียจะไม่เข้าร่วม "แนวหน้าสันติภาพ" แต่จะแสวงหาการสนับสนุนจากอังกฤษ-ฝรั่งเศส ในฐานะที่เป็นประเทศเอกราชแทน[88] ในการประชุมเดียวกัน มีการตัดสินใจว่าโรมาเนียจะกระชับความสัมพันธ์กับประเทศบอลข่านอื่นๆ แต่ก็จะหาหนทางที่จะหลีกเลี่ยงความพยายามของอังกฤษ-ฝรั่งเศสในการเชื่อมโยงความปลอดภัยของบอลข่านเข้าด้วยกับความปลอดภัยของโปแลนด์[89] วันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1939 เนวิล เชมเบอร์ลิน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้อภิปรายในสภาสามัญชนสหราชอาณาจักร และเอดัวร์ ดาลาดีเย นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสก็อภิปรายในรัฐสภาเช่นกัน ในการประกาศการ "รับประกันร่วม" ของอังกฤษ-ฝรั่งเศส ในการรับรองเอกราชของโรมาเนียและกรีซ[90] กษัตริย์คาโรลทรงยอมรับ "การรับประกัน" นี้ในทันที ในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1939 จอมพลฝรั่งเศส มักซีม เวย์ก็องด์ เดินทางมาเยือนบูคาเรสต์และเข้าเฝ้าฯกษัตริย์คาโรล พร้อมพบปะนายกรัฐมนตรี อาร์มานด์ คาลีเนสคู เพื่อหารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะใช้โรมาเนียมีส่วนร่วมใน "แนวหน้าสันติภาพ"[91] ทั้งกษัตริย์คาโรลและคาลีเนสคูให้การสนับสนุน แต่ก็บอกปัด เมื่อมีการบอกว่าจะให้สหภาพโซเวียตเข้ามาต่อสู้กับเยอรมนี ซึ่งทั้งสองไม่ยอมให้สหภาพโซเวียตเข้ามาในดินแดนโรมาเนียแม้ว่าเยอรมนีจะโจมตีก็ตาม[91] กษัตริย์คาโรลทรงบอกเวย์ก็องด์ว่า "เราไม่ต้องการให้ประเทศเข้าไปมีส่วนร่วมในสงคราม ซึ่งไม่กี่สัปดาห์ กองทัพก็จะถูกทำลาย และประเทศก็จะถูกยึดครอง... เราไม่ต้องการที่จะเป็นสายล่อฟ้าอันนำมาซึ่งพายุโหมกระหน่ำ"[92] กษัตริย์คาโรลยังทรงพร่ำบ่นว่า พระองค์ทรงมียุทโธปกรณ์เพียงพอสำหรับกองทัพของพระองค์เพียงสองในสาม ซึ่งยังขาดรถถัง ปืนต่อต้านอากาศยาน ปืนใหญ่หนัก และปืนต่อต้านยานเกราะ ในขณะที่กองทัพอากาศ มีเพียงเครื่องบินโบราณๆ 400 ลำเท่านั้น ซึ่งผลิตในฝรั่งเศส ไม่สามารถเทียบกับฝ่ายเยอรมันได้[92] เวย์ก็องด์รายงานไปยังกรุงปารีสว่า กษัตริย์คาโรงมีพระราชประสงค์ในการสนับสนุนของอังกฤษ-ฝรั่งเศส แต่จะไม่ต่อสู้ร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรเมื่อสงครามเกิดขึ้น[92]
ในวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1939 ความตกลงสหราชอาณาจักร-โรมาเนีย ได้มีการลงนามโดยอังกฤษสัญญาว่า จะมอบเครดิตแก่รัฐบาลโรมาเนียถึง 5 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง และสัญญาว่าจะซื้อข้าวสาลีโรมาเนีย 200,000 ตัน ในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด[93] เมื่อยูโกสลาเวียทำการตอบโต้เชิงลบต่อปฏิญญาสหราชอาณาจักร-ตุรกีในวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1939 โดยสัญญาว่า "จะสร้างหลักประกันความปลอดภัยในคาบสมุทรบอลข่าน" และยูโกสลาเวียขู่ว่าจะออกจากกติกาสัญญาบอลข่าน กาเฟนคูจึงเข้าร่วมประชุมกับรัฐมนตรีต่างประเทศยูโกสลาเวีย อเล็กซานดาร์ ชินการ์-มาร์โกวิช เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1939 เพื่อขอให้ยูโกสลาเวียยังคงอยู่ในกติกาสัญญาบอลข่านต่อไป[94] แต่การพูดเรื่องที่จะออกจากกติกาสัญญาบอลข่านของชินการ์-มาร์โกวิชนั้น เป็นกลอุบายของ เจ้าชายพอล ผู้สำเร็จราชการแห่งยูโกสลาเวีย ซึ่งกำลังสนับสนุนแผนที่เสนอโดยรัฐมนตรีต่างประเทศตุรกี ซูครู ซาราโคกลู ที่จะอนุญาตให้บัลแกเรียเข้าร่วมกติกาสัญญาบอลข่าน โดยยอมให้โรมาเนียยกดินแดนโดบรูยาให้บัลแกเรีย[95] เจ้าชายพอลทรงมีลายพระหัตถ์ถึงกษัตริย์คาโรลระบุว่า เจ้าชายพอลทรงต้องการให้พวกบัลแกเรียเลิกค่อนแคะตลบหลังสักที ด้วยทรงเกรงว่าพวกอิตาลีจะสร้างกองกำลังในอาณานิคมใหม่อย่าง แอลเบเนีย และทรงขอให้กษัตริย์คาโรลผู้เป็นสหายให้สัมปทานแก่พระองค์ด้วย[95] กษัตริย์คาโรลทรงตอบลายพระหัตถ์ว่า มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้พระองค์ยกดินแดนให้กับบัลแกเรีย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพระองค์ไม่เห็นด้วยในการยกดินแดนอื่นใดให้ผู้อื่น เพราะการยกโดบรูยาให้บัลแกเรีย จะเป็นแรงกระตุ้นให้พวกฮังการีอ้างสิทธิในทรานซิลเวเนียด้วยเช่นกัน[93]
แม้ว่ากษัตริย์คาโรลจะทรงต่อต้านอย่างเป็นทางการต่อ "แนวร่วมสันติภาพ" แต่พระองค์ก้ตัดสินพระทัยที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งของพันธมิตรบอลข่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับตุรกี[96] นับตั้งแต่ที่อังกฤษและฝรั่งเศสพยายามทำงานเพื่อเป้นพันธมิตรกับตุรกี ในขณะเดียวกันก็เจรจากับสหภาพโซเวียตด้วย กษัตริย์คาโรลทรงให้เหตุผลว่า ถ้าโรมาเนียเป็นพันธมิตรกับตุรกีอย่างแนบแน่น เป็นหนทางเดียวที่จะเชื่อมโยงโรมาเนียกับ "แนวร่วมสันติภาพ" ได้โดยไม่ต้องเข้าร่วมจริง[96] แม้ว่ากษัตริย์คาโรลจะทรงผิดหวังในเจ้าชายผู้สำเร็จราชการพอล แต่พระองค์ก็ยังต้องการที่จะรักษาความสัมพันธ์กับยูโกสลาเวีย ในฐานะเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรของโรมาเนีย[96] เพื่อต่อต้านการเรียกร้องของบัลแกเรียในดินแดนโดบรูยา กษัตริย์คาโรลยังทรงรักษาความสัมพันธ์กับศัตรูตัวฉกาจของบัลแกเรียนั่นก็คือ กรีซ[96]
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1939 กษัตริย์ทรงเริ่มประทะอย่างรุนแรงกับฟริตซ์ ฟาบริเซียส นักการเมืองโรมาเนีย ผู้นำพรรคนาซีชาติเยอรมันซึ่งเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในหมู่พรรคการเมืองโวล์กด็อยช์ และเข้าร่วมพรรคแนวร่วมเรอเนซองส์แห่งชาติตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ. 1939[97] ฟาบริเชียสเรียกตนเองว่า ฟือเรอร์และจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธสองกลุ่ม คือกลุ่มแรงงานแห่งชาติและกลุ่มยุวชนเยอรมัน อีกทั้งจัดพิธีการที่มีชนกลุ่มน้อยเยอรมันในโรมาเนียเข้าร่วมถึง 800,000 คน ซึ่งดำเนินการแสดงความจงรักภักดีต่อเขา[97] ในต้นเดือนกรกฎาคม ฟาบริเชียสได้ไปเยือนมิวนิกและได้กล่าวสุนทรพจน์ว่า กลุ่มโวล์กด็อยช์โรมาเนีย มีความจงรักภักดีต่อเยอรมนี ไม่ใช่โรมาเนีย และเขากล่าวว่าปรารถนาจะเห็น "จักรวรรดิไรซ์เยอรมันอันยิ่งใหญ่" ซึ่งจะมีกลุ่มชาวชนบทติดอาวุธตั้งถิ่นฐานไปทั่วเทือกเขาคาร์เปเทียน อูรัลและคอเคซัส[97] ใน "Grossraum" นี้ (เป็นคำภาษาเยอรมันที่แปลความหมายไม่ได้ มีความหมายหยาบๆว่า "พื้นที่กว้างใหญ่") มีเพียงชาวเยอรมันเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้อยู่อาศัย และผู้ที่ไม่เต็มใจที่จะเป็นชาวเยอรมันจะต้องออกไป[97] หลังจากฟาบริเชียสพูดสุนทรพจน์นี้ เมื่อเขากลับโรมาเนีย เขาถูกเรียกตัวไปพบนายกรัฐมนตรีคาลีเนสคูในวันที่ 13 กรกฎาคม นายกรัฐมนตรีบอกเขาว่า กษัตริย์ทรงอดทนเพียงพอแล้วและจะทรงดำเนินการจัดการเขา[97] ฟาบริเชียสสัญญาว่าจะทำตัวให้ดีขึ้น แต่เขาก็ถูกขับไล่จากโรมาเนียหลังจากวันนั้นไม่นาน เมื่อพบว่าหนึ่งในผู้ติดตามของเขาออกจากรถไฟโดยที่ในกระเป๋าเอกสารเต็มไปด้วยหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ผู้สนับสนุนฟาบริเชียสมีอาวุธเป็นของตนเอง และฟือเรอร์ฟาบริเชียสได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากเยอรมนี[97]
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1939 กษัตริย์คาโรลทรงได้รับข่าวลือว่า ฮังการีได้รับการสนับสนุนจากเยอรมนีให้วางแผนเข้ารุกรานโรมาเนีย ทำให้เกิดวิกฤตครั้งใหม่ของความสัมพันธ์โรมาเนีย-ฮังการี ซึ่งเกิดจากการร้องเรียนจากบูดาเปสต์ที่ร้องเรียนว่าชาวโรมาเนียกำลังทารุณกรรมชาวแม็กยาร์ในทรานซิลเวเนีย (การร้องเรียนนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเบอร์ลิน) กษัตริย์คาโรลจึงทรงมีพระบรมราชโองการระดมพลทหารในขณะที่ทรงกำลังขึ้นเรือยอรพระที่นั่งไปยังอิสตันบูล[98] ในช่วงระหว่างเสด็จเยือนอิสตันบูล กษัตริย์คาโรลทรงมีพระราชปฏิสันถารกับอิสเมท อีเนอนือ ประธานาธิบดีตุรกี และซึกครือ ซาราโกกลู รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกี ซึ่งทางตุรกีสัญญาว่าจะระดมพลทหารทันทีถ้าฝ่ายอักษะรุกรานโรมาเนีย[98] ตุรกีบีบคั้นให้กษัตริย์คาโรลทรงลงพระนามเป็นพันธมิตรกับสหภาพโซเวียต อันเป็นสิ่งที่พระองค์ไม่เต็มพระทัยนัก พระองค์ยอมดำเนินการเช่นนั้น เพราะตุรกีจะเป็นคนกลางในการประสานความร่วมมือ และทรงยินยอมถ้าหากสหภาพโซเวียตยอมรับแนวพรมแดนของโรมาเนีย[98] การที่โรมาเนียแก้ปัญหาด้วยการได้รับการสนับสนุนจากตุรกีนั้นส่งผลให้พวกฮังการียอมถอนความตั้งใจที่จะรุกรานโรมาเนีย[98]
ข่าวกติกาสัญญาโมโลตอฟ–ริบเบินทร็อพในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1939 สร้างความหวาดหวั่นแก่กษัตริย์คาโรลมาก[99] ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1939 กษัตริย์คาโรลทรงเล่นเกมการเมืองให้สองฝ่ายเข้าสู้กัน พระองค์ทรงอนุญาตให้นายกรัฐมนตรีคาลีเนสคูบอกทูตแตร์รีของฝรั่งเศสว่า ชาวโรมาเนียจะทำลายบ่อน้ำมันถ้าฝ่ายอักษะเข้ารุกราน ในขณะเดียวกันรัฐมนตรีต่างประเทศ กาเฟนคู ได้บอกแก่โยอาคิม ฟ็อน ริบเบินทร็อพ รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมัน ว่า เขายืนยันมิตรภาพระหว่างโรมาเนียกับเยอรมนี รวมถึงการแสดงจุดยืนต่อต้าน "แนวหน้าสันติภาพ" และมีความตั้งใจที่จะขายน้ำมันให้เยอรมันมากขึ้น[100] หลังจากการลงนามในกติกาสัญญา คาลีเนสคูทูลแนะนำกษัตริย์คาโรลว่า "เยอรมนีเป็นอันตรายอย่างแท้จริง การเป็นพันธมิตรมันเท่ากับว่าเป็นรัฐในอารักขาของเยอรมัน มีแต่เพียงให้เยอรมนีถูกกำจัดโดยอังกฤษและฝรั่งเศสเท่านั้นถึงจะสามารถป้องกันจากอันตรายได้"[66] วันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 1939 กาเฟนคูบอกฟาบริเชียสว่า โรมาเนียจะประกาศตนเป็นกลางถ้าเยอรมนีรุกรานโปแลนด์ และต้องการจะขายน้ำมันให้เยอรมัน 450,000 ตันต่อเดือน เพื่อแลกกับเงิน 1.5 ล้านไรซ์มาร์ก รวมถึงอากาศยานเยอรมันสมัยใหม่จำนวนหนึ่งฟรีๆ[100] กษัตริย์คาโรลทรงพบปะกับกองทัพอากาศเยอรมันในวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 1939 เพื่อแสดงความยินดีร่วมกับเยอรมันในความสำเร็จทางการทูตที่ยิ่งใหญ่ที่พวกเขาได้รับจากการทำสัญญากับสหภาพโซเวียต[100] กษัตริย์คาโรลไม่ทรงทราบว่ากติกาสัญญาโมโลตอฟ–ริบเบินทร็อพ มี "สนธิสัญญาลับ" ที่ยอมรับให้ดินแดนของโรมาเนียคือ เบสซาราเบีย ให้ตกเป็นของสหภาพโซเวียต ในระยะสั้นสนธิสัญญาเยอรมัน-โซเวียตนั้นเป็นประโยชน์แก่กษัตริย์คาโรล เพราะในตอนนี้เยอรมันได้ซื้อน้ำมันของสหภาพโซเวียต ทำให้ช่วยลดแรงกดดันของน้ำมันโรมาเนียได้
สงครามโลกครั้งที่สอง
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเกิดขึ้นจากการที่เยอรมนีเข้ารุกรานโปแลนด์ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 ตามมาด้วยอังกฤษและฝรั่งเศสประกาศสงครามต่อจักรวรรดิไรซ์ในวันที่ 3 กันยายน ปีเดียวกัน กษัตริย์คาโรลทรงประกาศเป็นกลาง การที่พระองค์ทรงทำเช่นนี้ถือเป็นการละเมิดสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรกับโปแลนด์ที่ลงนามไว้ในปี 1921 รวมถึงสนธิสัญญากับฝรั่งเศสที่ลงนามเมื่อ ค.ศ. 1926 กษัตริย์คาโรลทรงดำเนินนโยบายภายใต้เหตุผลที่ว่าเยอรมนีเป้นพันธมิตรกับสหภาพโซเวียตภายใต้กติกาสัญญาโมโลตอฟ–ริบเบินทร็อพ และฝรั่งเศสตรึงกำลังตามแนวแมกิโนต์ โดยไม่เต็มใจที่จะรุกคืบเข้าเยอรมนี การประกาศเป็นกลางจึงเป็นสิ่งที่รักษาความเป็นเอกราชของราชอาณาจักรของพระองค์[101] กษัตริย์คาโรลทรงพยายามเล่นการเมืองแบบรักษาสมดุลอย่างรอบคอบระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะ ด้านหนึ่งทรงลงนามสันธิสัญญาเศรษฐกิจใหม่กับเยอรมนี ในขณะที่อีกด้านหนึ่งทรงพิจารณาอนุญาตให้ทหารโปแลนด์สามารถข้ามพรมแดนมายังโรมาเนียตามช่วงเวลาได้ โดยทรงปฏิเสธที่จะกักตัวพวกเขาตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ทหารชาวโปลได้รับอนุญาตให้เดินทางไปที่เมืองคอนสตันซาเพื่อขึ้นเรือและพาพวกเขาไปที่มาร์แซย์ เพื่อสู้รบต่อต้านเยอรมันร่วมกับฝรั่งเศส[101] หัวสะพานโรมาเนียยังคงเป็นเส้นทางหลบหนีสำคัญของชาวโปลหลายพันคนในช่วงล่อแหลมของเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 เส้นทางนี้ได้รับการร้องเรียนอย่างหัวเสียจากทูตฟาบริเชียสในกรณีที่เป็นเส้นทางของทหารโปแลนด์ข้ามมาโรมาเนีย สุดท้ายกษัตริย์คาโรลจึงทรงต้องกักกันชาวโปลที่หลบหนี
ในวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1939 นายกรัฐมนตรีคาลีเนสคูถูกลอบสังหารโดยกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็ก โดยมีการวางแผนที่เบอร์ลิน เพื่อกำจัดกลุ่ม คามาริลลา ที่สนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างแข็งขัน[102] วันต่อมา มือสังหารคาลีเนสคู 9 คน ถูกยิงทิ้งโดยไม่มีการพิจารณาคดี และในช่วงสัปดาห์วันที่ 22 - 28 กันยายน ค.ศ. 1939 สมาชิกกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็ก 242 คนตกเป็นเหยื่อการประหารชีวิตแบบวิสามัญฆาตกรรม[103] เนื่องด้วยเรื่องน้ำมันทำให้โรมาเนียถูกมองว่ามีความสำคัญยิ่งต่อทั้งสองฝ่ายและในช่วงระหว่างสงครามลวงในปี 1939 - 1940 อันเป็นสิ่งที่นักประวัติศาสตร์อย่างไวน์เบิร์กเรียกว่า "การกระเสือกกระสนอย่างเงียบๆเพื่อชิงน้ำมันของโรมาเนีย" โดยรัฐบาลเยอรมันพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้มีอำนาจเหนือน้ำมันโรมาเนียเท่าที่จะเป็นไปได้ ในขณะที่อังกฤษและฝรั่งเศสพยายามทุกวิถีทางเช่นกันเพื่อให้เยอรมนีไม่ได้น้ำมันจากโรมาเนียไป[104] โดยเฉพาะอังกฤษได้ดำเนินแผนการก่อวินาศกรรมทำลายบ่อน้ำมันของโรมาเนียและทำลายเครือข่ายขนส่งน้ำมันไปยังเยอรมนีซึ่งไม่สำเร็จ[101] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1940 กษัตริย์คาโรลทรงมีพระราชดำรัสผ่านสถานีวิทยุ โดยทรงประกาศว่า นโยบายต่างประเทศที่ชาญฉลาดของพระองค์สามารถทำให้โรมาเนียเป็นกลางและปลอดภัยจากอันตรายได้[105] ในพระราชดำรัสเดียวกัน กษัตริย์คาโรลทรงประกาศว่าจะทรงก่อสร้างแนวป้องกันขนาดใหญ่รอบราชอาณาจักร ดังนั้นจะต้องมีการขึ้นภาษีเพื่อใช้จ่ายในการก่อสร้างนี้[105] ชาวโรมาเนียเรียกแนวเขตแดนนี้ว่า แนวอิแมกิโนต์ ถูกมองว่าเป็นแนวตั้งรับในจินตนาการของแนวแมกิโนต์ และผู้อยู่ใต้สังกัดของกษัตริย์คาโรลหลายคนสงสัยว่า เงินที่มีมากขึ้นจากการเพิ่มอัตราภาษีจะเข้าสู่บัญชีธนาคารของกษัตริย์ที่ธนาคารสวิส[105]
กษัตริย์คาโรลทรงป้องกันการเดิมพันครั้งนี้ของพระองค์เกี่ยวกับการที่จะเลือกระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรหรือฝ่ายอักษะ เพียงปลายเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1940 เมื่อฝรั่งเศสดูเหมือนจะแพ้สงคราม กษัตริย์คาโรลจึงเปลี่ยนไปสนับสนุนฝ่ายอักษะ[106] ในช่วงยุคหลังสงครามลวง หลังจากทรงต่อสู้กับกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กอย่างนองเลือดมานาน นำมาซึ่งจุดสูงสุดเมื่อนายกรัฐมนตรีคาลีเนสคูถูกลอบสังหาร กษัตริย์คาโรลจึงทรงเริ่มยื่นมือไปหากลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กที่ผู้นำบางคนยังรอดชีวิตอยู่[107] พระองค์ทรงมองว่ากลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กที่ "เชื่อง" จะสามารถใช้เป็นฐานสนับสนุนความนิยมได้ ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1940 กษัตริย์คาโรลทรงเปิดการเจรจากับวาซิล โนวีอานู ผู้นำกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กใต้ดินในโรมาเนีย แต่ก็เจรจาได้ไม่ถึงต้นเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1940 ฮอเรีย ซีมา ผู้นำกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กที่ลี้ภัยในเยอรมนีได้รับการชักชวนให้สนับสนุนรัฐบาล[108] ในวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 ซีมาเดินทางจากเยอรมนีกลับโรมาเนียเพื่อเริ่มเจรจากับนายพลมีไฮ มอรูซอฟแห่งหน่วยสืบราชการลับเกี่ยวกับการที่กลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กเจ้าเข้าร่วมรัฐบาล[108] ในวันที่ 28 พฤษภาคม หลังจากทรงรับรู้การพ่ายแพ้ของเบลเยียม กษัตริย์คาโรลทรงบอกต่อสภาราชบัลลังก์ว่า เยอรมนีกำลังจะชนะสงคราม และโรมาเนียจำเป็นต้องปรับนโยบายต่างประเทศและนโยบายภายในประเทศใหม่เพื่อผู้ชนะสงคราม[108] ในวันที่ 13 มิถุนายน มีการตกลงกันในขณะที่กลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมพรรคแนวร่วมเรอเนซองแห่งชาติ (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อพรรคเป็น พรรคแห่งชาติ) เพื่อแลกเปลี่ยนกับนโยบายที่ให้ดำเนินการต่อต้านชาวยิวอย่างเข้มข้นมากขึ้น[108] พรรคแนวร่วมเรอเนซองแห่งชาติรวมตัวใหม่เป็นพรรคแห่งชาติ ซึ่งขนานนามว่าเป็น "พรรคเดี่ยวและอำนาจนิยมเบ็ดเสร็จภายใต้ผู้นำสูงสุดล้นเกล้าล้นกระหม่อม สมเด็จพระเจ้าคาโรลที่ 2"[109] ในวันที่ 21 มิถุนายน ฝรั่งเศสลงนามสงบศึกกับเยอรมนี ชนชั้นนำโรมาเนียที่เคยอยู่ภายใต้แนวคิดนิยมฝรั่งเศสมานาน การพ่านแพ้ของฝรั่งเศส ทำให้ชนชั้นนำกลุ่มนี้ถูกมองว่าเป็นผู้น่าอัปยศอดสูในสายตาของประชาชนและทำให้ประชาชนหันไปให้การสนับสนุนกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กที่นิยมเยอรมันแทน[105]
ในช่วงที่โรมาเนียหันไปสนับสนุนกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กและเยอรมนีภัยก็เข้ามาเยือน ในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1940 สหภาพโซเวียตยื่นคำขาดเรียกร้องให้โรมาเนีบส่งมอบดินแดนเบสซาราเบีย (ซึ่งเคยเป็นของรัสเวียจนถึงปี 1918) และภาคเหนือของบูโกวินา (ซึ่งไม่เคยเป็นของรัสเซียเลย) ให้ส่งคืนแก่สหภาพโซเวียต และข่มขู่ว่าจะกอสงคราม ภายในสองวันคำขาดของโซเวียตก็ถูกปฏิเสธ[110] กษัตริย์คาโรลทรงพิจารณาในตัวอย่างกรณีของฟินแลนด์ใน ค.ศ. 1939 ซึ่งเผชิญกับคำขาดของสหภาพโซเวียตเช่นเดียวกัน แต่ผลของสงครามฤดูหนาวก็แทบเป็นตัวอย่างที่สร้างแรงบันดาลใจไม่ได้[110] ในตอนแรกกษัตริย์คาโรลทรงพิจารณาปฏิเสธคำขาด แต่เมื่อทรงได้รับแจ้งว่ากองทัพโรมาเนียไม่สามารถต่อกรกับกองทัพแดงได้ พระองค์ก็ตัดสินพระทัยสละดินแดนแบสซาราเบียและภาคเหนือของบูโกวินาให้สหภาพโซเวียต กษัตริยืคาโรลทรงขอร้องไปยังรัฐบาลเบอร์ลินให้ช่วยต่อต้านคำขาดสหภาพโซเวียต แต่ก็ทรงได้รับการบอกเพียงว่าให้เห็นดีงามกับข้อเรียกร้องของโจเซฟ สตาลิน [110] การสูญเสียดินแดนโดยไม่ได้ต่อสู้กับสหภาพโซเวียตกลายเป็นความอัปยศระดับชาติของชาวโรมาเนีย และส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อพระเกียรติยศของกษัตริย์คาโรล ลัทธิบูชาบุคคลของกษัตริย์คาโรลใน ค.ศ. 1940 นั้นได้รับผลกระทบสูงสุด การสละดินแดนให้โซเวียตนั้นไม่มีการต่อต้านจากเบสซาราเบียและภาคเหนือของบูโกวินาเลย อันเป็นที่เผยให้เห็นว่า กษัตริย์คาโรลก็ทรงเป็นมนุษย์คนหนึ่งเฉกเช่นทุกคน และที่ย่ำแย่คือศักดิ์ศรีของพระองค์ถูกบั่นทอน จนกษัตริย์คาโรลถูกมองว่าเป็นกษัตริย์ยังคงเป็นธรรมดาที่เจียมเนื้อเจียมตนไม่วิเศษเหมือนเมื่อก่อน[105]
ในวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1940 ซีมาได้เข้าร่วมรัฐบาลในฐานะปลัดกระทรวงศึกษาธิการ[111] ในวันที่ 1 กรกฎาคม กษัตริย์คาโรลทรงมีพระราชดำรัสทางวิทยุประกาศล้มเลิกสัญญาพันธมิตรกับฝรั่งเศสปี 1926 และสนธิสัญญาอังกฤษ-ฝรั่งเศส ที่ "รับประกัน" ฐานะของโรมาเนียในปี 1939 โดยทรงตรัสว่า ต่อจากนี้โรมาเนียจะแสวงหาการคุ้มครองภายใต้เยอรมัน "ระเบียบโลกใหม่" ในยุโรป[112] วันถัดมา กษัตริย์คาโรลทรงเชิญให้เจ้าหน้าที่ทาวทหารเยอรมันเข้ามาฝึกซ้อมทหารในกองทัพโรมาเนีย[112] วันที่ 4 กรกฎาคม กษัตริย์คาโรลเสด็จรับพิธีสาบานตนของรัฐบาลใหม่ที่นำโดย เอียน กีกูร์ตู เป็นนายกรัฐมนตรี และซีมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศิลปกรรมและวัฒนธรรม[113] กีกูร์ตูเป็นผู้นำพรรคคริสเตียนแห่งชาติต่อต้านเซมิติกในช่วงทศวรรษที่ 1930 เขาเป็นเศรษฐีนักธุรกิจที่มีสายสัมพันธ์กับเยอรมนี และเป้นที่รู้จักว่าเป็นพวกนิยมเยอรมัน[113] ด้วยเหตุเหล่านี้ กษัตริย์คาโรลทรงหวังว่าการให้กีกูร์ตูเป็นนายกรัฐมนตรีจะทำให้ชนะใจฮิตเลอร์ และป้องกันการสูญเสียดินแดนต่อไป[113] ในขณะเดียวกัน กษัตริย์คาโรลทรงลงพระนามในสนธิสัญญาเศรษฐกิจใหม่กับเยอรมนีในวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1940 และในที่สุดชาวเยอรมันก็ครอบงำโรมาเนียและครอบงำน้ำมันที่พวกเขาแสวงหามาตลอดในช่วงทศวรรษที่ 1930
หลังจากนั้นเป็นต้นมาสหภาพโซเวียตกลายเป็นตัวอย่างให้บัลแกเรียทำตามบ้างในการเรียกร้องดินแดนคืนจากโรมาเนีย โดยเรียกร้องดินแดนโดบรูยาที่สูญเสียไปในสงครามบอลข่านครั้งที่สอง ค.ศ. 1913 ส่วนฮังการีก็เรียกร้องดินแดนทรานซิลเวเนียคืนหลังจากสูญเสียไปหลังพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง[114] โรมาเนียและบัลแกเรียเปิดการเจรจากันนำไปสู่สนธิสัญญาไครโอวาที่ยินยอมมอบดินแดนโดบรูบาตอนใต้ให้บัลแกเรีย ในทางปฏิบัติ กษัตริย์คาโรลไม่ทรงเต็มพระทัยที่จะยกทรานซิลเวเนียให้ฮังการี และหากไม่ได้เป็นการแทรกแซงการทูตของโรมาเนียและอิตาลี พระองค์ก็จะไม่ทรงยอมเช่นนั้น โรมาเนียและฮังการีกำลังจะทำสงครามกันในฤดูร้อน ปี 1940[114] ในขณะเดียวกัน กษัตริย์คาโรลทรงจับกุมนายพลเอียน อันโตเนสคูในวันที่ 9 กรกฎาคม ค.ศ. 1940 หลังจากเขาวิพากษ์วิจารณ์พระมหากษัตริย์ โจมตีการทุจริตของรัฐบาลพระราชทานว่ารัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อความอับอายที่กองทัพโรมาเนียได้รับและรวมถึงการสูญเสียเบสซาราเบียด้วย[115] ทั้งฟาบริเชียสและแฮร์มันน์ เนาบาเชอร์ ผู้ปฏิบัติการแผนสี่ปีในบอลข่านได้เข้าแทรกแซงกษัตริย์คาโรล พวกเขาเสนอว่า การทำให้อันโตเนสคู "ตายจากอุบัติเหตุ" หรือ "ถูกยิงขณะพยายามหลบหนี" จะทำให้เกิด "ความไม่พอใจต่อผู้นำระดับสูงของเยอรมัน" เพราะอันโตเนสคูเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญในการเป็นพันธมิตรกับเยอรมนี[115] วันที่ 11 กรกฎาคม กษัตริย์คาโรลทรงปล่อยตัวอันโตเนสคู แต่ให้กักบริเวณที่อารามบิสตีอา[115]
ฮิตเลอร์ตื่นตระหนกต่อสงครามระหว่างโรมาเนียและฮังการีที่อาจจะเกิดขึ้น เขากลัวว่าอาจจะทำให้แหล่งน้ำมันโรมาเนียถูกทำลาย หรือสหภาพโซเวียตเข้าแทรกแซงและยึดครองโรมาเนียทั้งหมด[114] ในเวลานี้ ฮิตเลอร์กำลังพิจารณาอย่างจริงจังในการบุกสหภาพโซเวียตในปีค.ศ. 1941 และถ้าเขาจะทำเช่นนั้น เขาต้องใช้น้ำมันโรมาเนียในการเสริมสร้างกองทัพของเขา[114] ในเหตุการณ์การอนุญาโตตุลาการเวียนนาครั้งที่สองวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1940 รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมัน โยอาคิม ฟ็อน ริบเบินทร็อพ และรัฐมนตรีต่างประเทศอิตาลี เคานท์กาลีซโซ ชิอาโน ได้ระบุให้ทรานซิลเวเนียตอนเหนือเป็นของฮังการี ในขณะที่ทรานซิลเวเนียตอนใต้เป็นของโรมาเนีย การประนีประนอมนี้ยิ่งทำให้รัฐบาลบูคาเรสต์และบูดาเปสต์ไม่พอใจอย่างลึก ๆ ต่อการอนุญาโตตุลาการเวียนนา[116] ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ โรมาเนียมีความสำคัญต่อฮิตเลอร์มากกว่าฮังการี แต่โรมาเนียเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสตั้งแต่ค.ศ. 1926 และเข้าร่วม "แนวหน้าสันติภาพ" ของอังกฤษในปี 1939 ฮิตเลอร์จึงไม่ชอบและไม่ไว้ใจกษัตริย์คาโรล เขาจึงมองว่าโรมาเนียต้องถูกลงโทษเนื่องจากใช้เวลานานมากกว่าจะเข้าร่วมฝ่ายอักษะ[114] หลังจากปารีสพ่ายแพ้ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1940 เยอรมันเข้ายึดครองเกดอร์เซย์ และได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการทูตสองหน้าของกษัตริย์คาโรลว่าดำเนินการจนถึงฤดูใบไม้ผลิของปี 1940[117] จากการถอดความจากเอกสารฝรั่งเศสที่เก็บมาได้แล้วแปลมาเป็นภาษาเยอรมันให้ฮิตเลอร์ (ฮิตเลอร์ไม่มีความสามารถทางภาษาใดๆ นอกจากภาษาเยอรมันของเขาเอง) เขาไม่ประทับใจกษัตริย์คาโรลที่พยายามสานสัมพันธ์กับฝรั่งเศสในเวลาเดียวกับที่เป็นมิตรกับเยอรมัน[117] ในเวลาเดียวกัน ฮิตเลอร์มีข้อเสนอให้กษัตริย์คาโรลถึงเรื่อง "การรับประกัน" ดินแดนส่วนที่เหลือของโรมาเนียเพื่อไม่ให้สูญเสียเพิ่ม ซึ่งกษัตริย์คาโรลทรงยอมรับในทันที[116]
หนทางสู่การสละราชบัลลังก์
การยอมรับในการอนุญาโตตุลาการเวียนนาครั้งที่สองทำให้ประชาชนหมดศรัทธาในกษัตริย์คาโรลอย่างสิ้นเชิง และในช่วงต้นเดือนกันยายน ค.ศ. 1940 มีการเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่ในโรมาเนียเพื่อกดดันให้พระมหากษัตริย์สละราชบัลลังก์ ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1940 ซีมาซึ่งได้ลาออกจากคณะรัฐบาลได้กล่าวสุนทรพจน์เพื่อให้กษัตริย์คาโรลสละราชสมบัติ และกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กจะรวมตัวกันชุมนุมประท้วงทั่วโรมาเนียเพื่อกดดันให้พระองค์สละราชบัลลังก์[118] ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1940 วาเลอร์ พ็อพ ข้าราชบริพารและเป็นสมาชิกกลุ่ม คามาริลลา คนสำคัญได้ทูลถวายคำแนะนำแก่กษัตริย์คาโรลให้ทรงแต่งตั้งนายพลเอียน อันโตเนสคูเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์นี้[119] เหตุผลของพ็อพที่ทูลแนะนำพระองค์คือ อันโตเนสคูนั้นเป็นมิตรไมตรีกับกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กและเขาถูกจับกุมโดยกษัตริย์คาโรล ทำให้มีการเชื่อว่าเขามีเบื้องหลังเป็นฝ่ายต่อต้าน ซึ่งการทำเช่นนี้จะเป็นการเอาใจประชาชน และพ็อพรู้ว่า อันโตเนสคูได้รับความเห็นอกเห็นใจจากฝ่ายกองทัพ การแต่งตั้งเขาเป็นนายกรัฐมนตรีจะทำให้กลุ่มชนชั้นสูงและทหารจะไม่ต่อต้าน เมื่อฝูงชนจำนวนมากเริ่มรวมตัวกันด้านหน้าพระราชวังเพื่อเรียกร้องให้พระมหากษัตริย์สละราชบัลลังก์ กษัตริย์คาโรลทรงพิจารณาคำแนะนำของพ็อพ แต่ไม่ทรงเต็มพระทัยที่จะให้อันโตเนสคูเป็นนายกรัฐมนตรี[120] ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากเริ่มเข้าร่วมประท้วง พ็อพกลัวว่าโรมาเนียกำลังจะเกิดการปฏิวัติ ซึ่งไม่เพียงจะกวาดล้างระบอบกษัตริย์เท่านั้น แต่อาจจะกวาดล้างกลุ่มชนชั้นสูงที่ปกครองประเทศนี้มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ไปด้วย ดังนั้นเพื่อกดดันกษัตริย์คาโรลมากยิ่งขึ้น พ็อพเข้าพบปะฟาบริเชียสในกลางคืนของวันที่ 4 กันยายน เพื่อขอให้เขาไปทูลบอกกษัตริย์คาโรลว่า ไรซ์เยอรมันต้องการให้นายพลอันโตเนสคูเป็นนายกรัฐมนตรี[120] นอกจากนี้นายพลอันโตเนสคูที่มีความทะเยอทะยานยิ่ง มีความปรารถนาที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีมานานแล้ว เขาจึงเริ่มมองข้ามความเกลียดชังที่มีมานานต่อกษัตริย์คาโรล และเขาแนะนำว่าเขาเตรียมที่จะให้อภัยกับความขัดแย้งและความขัดแย้งในอดีต
ในวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1940 อันโตเนสคูได้เป็นนายกรัฐมนตรี และกษัตริย์คาโรลทรงถ่ายโอนอำนาจเผด็จการส่วนใหญ่ไปให้แก่เขา[121][122] ในฐานะนายกรัฐมนตรี อันโตเนสคูได้รับการยอมรับจากทั้งฝ่ายผู้พิทักษ์เหล็กและกลุ่มชนชั้นสูง[123] กษัตริย์คาโรลทรงวางแผนที่จะประทับอยู่ต่อไปหลังจากแต่งตั้งอันโตเนสคู และในช่วงต้นเองอันโตเนสคูก็ไม่สนับสนุนข้อเรียกร้องจากสาธารณชนที่จะให้พระมหากษัตริย์สละราชบัลลังก์[123] อันโตเนสคูเป็นนายกรัฐมนตรี แต่เขามีฐานการเมืองที่อ่อนแอ ในฐานะทหาร อันโตเนสคูเป็นคนสันโดษ หยิ่งยโสและหัวสูง มักจะอารมณ์เสียง่าย อันเป็นเหตุให้เขาไม่เป็นที่นิยมในหมู่เพื่อนทหารเท่าไร ความสัมพันธ์ทางการเมืองของอันโตเนสคูนั้นไม่ค่อยดีนัก และในตอนแรกอันโตเนสคูก็ไม่ตั้งใจที่จะต่อต้านกษัตริย์ จนกระทั่งเขาเริ่มมีพันธมิตรทางการเมืองบ้าง กษัตริย์คาโรลทรงมีรับสั่งให้อันโตเนสคูและนายพลดูมีทรู โคโรอามาบัญชาการกองทัพในบูคาเรสต์เพื่อปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วง แต่คำสั่งนี้ทั้งสองปฏิเสธที่จะทำตาม[124] ในวันที่ 6 กันายน ค.ศ. 1940 เมื่อันโตเนสคูทราบแผนการที่พยายามลอบสังหารเขาซึ่งวางแผนโดยสมาชิกกลุ่มคามาริลลา คือ นายพลพอล ทีโอดอเรสคู ทำให้อันโตเนสคูหันมาอยู่ฝ่ายที่เรียกร้องให้กษัตริย์คาโรลสละราชบัลลงก์[125] ด้วยสาธารณชนต่อต้านพระองค์และกองทัพปฏิเสธที่จะทำตามรับสั่งกษัตริย์คาโรลจึงทรงถูกบังคับให้สละราชบัลลังก์
ตามข้ออ้างของนักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกัน แลร์รี่ วัตต์ ระบุว่า กษัตริย์คาโรลทรงนำโรมาเนียเป็นพันธมิตรกับนาซีเยอรมนี และจอมพลเอียน อันโตเนสคูต้องสืบทอดความเป็นพันธมิตรกับเยอรมนีในปี 1940 อย่างไม่เต็มใจนัก โดฟ ลุนกู นักประวัติศาสตร์ชาวแคนาดา ก็เขียนไว้ว่า
"นักเขียน [วัตต์] อ้างว่า การที่โรมาเนียเป็นพันธมิตรโดยพฤตินัยกับเยอรมนีภายใต้อันโตเนสคูนั้น เป็นผลงานของกษัตริย์คาโรล ซึ่งเริ่มวางรากฐานพันธมิตรมาตั้งแต่ต้นปี 1938 แล้ว ข้อเรียกร้องของกษัตริย์คาโรลในเยอรมนีนั้นเป็นข้อตกลงแบบครึ่งใจ และพยายามถ่วงเวลาให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยความหวังว่ามหาอำนาจตะวันตก จะฟื้นคืนเกี่ยวกับแนวหน้าการเมืองการทูต ตั้งแต่เดือนกันยายน ค.ศ. 1939 พร้อมกับด้านการทหาร แต่ในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1940 เมื่ออำนาจของเยอรมนีดูเหมือนจะใกล้เข้ามา ในที่สุดพระองค์ก็ทรงเปลี่ยนทิศทางทางเศรษฐกิจและการเมืองภายนอกประเทศเสียสิ้น นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างอย่างลึกซึ้งระหว่างคำของของกษัตริย์คาโรลในช่วงสัปดาห์ท้ายๆ ของรัชกาลในการดำเนินการให้มีภารกิจทางทหารเยอรมันในการฝึกซ้อมทหารของโรมาเนียที่ไม่มีความพร้อม กับอีกประการคือการตัดสินใจของอันโตเนสคูที่มีขึ้นเกือบทันทีในช่วงที่เขาขึ้นสู่อำนาจว่าจะสู้เคียงข้างเยอรมันจนกระทั่งสงครามสิ้นสุด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วอันโตเนสคูปรารถนาเพียงแค่ยึดคืนดินแดนเบสซาราเบียเท่านั้น ดังนั้นอันโตเนสคูมีความกระตือรือร้นมากกว่าพวกเยอรมันในการเตรียมการโรมาเนียเข้าสู่สงครามต่อต้านสหภาพโซเวียต [126]
เสด็จลี้ภัย
ภายใต้การบีบบังคับของสหภาพโซเวียต และต่อมาโดยฮังการี บัลแกเรียและเยอรมนี ที่บังคับให้ยกดินแดนพิพาทของอาณาจักรให้ต่างชาตินั้น ท้ายที่สุดกษัตริย์คาโรลก็ทรงพ่ายแพ้ในเชิงเล่ห์เหลี่ยมต่อฝ่ายนิยมเยอรมันภายใต้จอมพลเอียน อันโตเนสคู พระองค์ได้สละราชบัลลังก์ให้พระราชโอรส คือ กษัตริย์มีไฮ ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1940 โดยเสด็จลี้ภัยตอนแรกไปยังเม็กซิโก[127] แต่ท้ายสุดทรงประทับที่ประเทศโปรตุเกส ในเม็กซิโกกษัตริย์คาโรลและลูเปสคูประทับที่เม็กซิโกซิตี ซึ่งทรงซื้อบ้านหลังหนึ่งในย่านที่มีราคาแพงในเม็กซิโกซิตี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อดีตกษัตริย์คาโรลทรงพยายามจัดตั้งขบวนการโรมาเนียอิสระซึ่งมีฐานดำเนินการในเม็กซิโกเพื่อโค่นล้มอันโตเนสคู อดีตกษัตริย์ทรงหวังว่าขบวนการโรมาเนียอิสระของพระองค์จะได้รับการยอมรับในฐานะรัฐบาลพลัดถิ่น และท้ายที่สุดจะทำให้พระองค์ได้รับการฟื้นฟูราชบัลลังก์ การยอมรับในขบวนการโรมาเนียอิสระของกษัตริย์คาโรลนั้นใกล้เป็นความจริงในปีค.ศ. 1942 เมื่อประธานาธิบดีมานูเอล อาบิลา กามาโช อนุญาตให้อดีตกษัตริย์คาโรลประทับยืนเคียงข้างเขาในขณะพิธีตรวจพลทหาร อดีตกษัตริย์ทรงต้องการขยายฐานปฏิบัติการในอเมริกา และรัฐบาลอเมริกันปฏิเสธที่จะให้พระองค์เสด็จเข้าประเทศ[128] แต่อดีตกษัตริย์คาโรลก็ทรงติดต่อกับนักบวชนิการอีสเติร์นออร์ทอดอกซ์ในชิคาโกที่มีชื่อว่า บาทหลวงกลีเชอรี โมรารู และบาทหลวงอเล็กซานดรู โอปรีอานู ซึ่งพยายามจัดตั้งองค์กรในกลุ่มชุมชนชาวโรมาเนียอเมริกันเพื่อกดดันให้รัฐบาลกลางสหรัฐรับรองคณะกรรมการ "โรมาเนียอิสระ" ในฐานะรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายของโรมาเนีย แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ[129]
เพื่อสนับสนุนกลุ่มนี้ อดีตกษัตริย์คาโรลทรงตีพิมพ์นิตยสารอเมริกัน ชื่อ เดอะฟรีโรมาเนียน และตีพิมพ์จำนวนมากในภาษาโรมาเนียและอังกฤษ[130] ปัญหาสำคัญสำหรับความพยายามของอดีตกษัตริย์คือการระดมชุมชนชาวโรมาเนียอเมริกัน มีปัญหาตามรัฐบัญญัติควบคุมการอพยพเข้าเมืองของรัฐบาลสหรัฐในปี 1924 ซึ่งจำกัดการอพยพของประชาชนจากยุโรปตะวันออกมายังอเมริกาอย่างมาก ดังนั้นประชากรชาวโรมาเนียอเมริกันส่วนใหญ่ในปีทศวรรษที่ 1940 เป็นประชาชนที่อพยพมาก่อนที่รัฐบัญญัติปี 1924 ออกมา หรือเป็นบุตรหลานของพวกเขา ซึ่งคนกลุ่มนี้มองว่าอดีตกษัตริย์คาโรลไม่ได้มีความหมายอะไรต่อพวกเขามากนัก นอกจากนี้ชาวโรมาเนียอเมริกันส่วนใหญ่เป็นชาวยิวซึ่งไม่ให้อภัยและไม่ลืมว่า อดีตกษัตริย์คาโรลแต่งตั้งนักการเมืองบ้าคลั่งที่เกลียดชังชาวยิวอย่าง โกกา เป็นนายกรัฐมนตรี[130] ดังนั้นเพื่อเป็นการปรับปรุงภาพลักษณ์ในหมู่ชาวยิว อดีตกษัตริย์คาโรลทรงเกลี้ยกล่อมลีออน ฟิสเชอร์ อดีตรองประธานสมาคมยูไนเต็ดโรมาเนียนยิวแห่งอเมริกา เพื่อเขียนบทความในนามของพระองค์ในนิตยสารของชาวอเมริกันยิว เพื่อแสดงให้เห็นว่าอดีตกษัตริย์เป็นมิตรและเป็นผู้ปกป้องชาวยิวควมถึงปกป้องศัตรูของฝ่ายต่อต้านชาวยิวด้วย[130] ปฏิกิริยาต่อบทความของฟิสเชอร์นั้นส่งผลกระทบเชิงลบโดยมีจดหมายถึงบรรณาธิการนิตยสารมากมายที่ทำการวิจารณ์อย่างขมขื่นว่า อดีตกษัตริย์คาโรลเป็นผู้ลงนามในกฎหมายของโกกาทั้งหมด ในการยึดคืนความเป็นพลเมืองโรมาเนียจากชาวยิว และทำให้สิทธิในการถือครองที่ดินของชาวยิวโรมาเนียผิดกฎหมาย และจดหมายมีการส่งต่อไปยังบริษัทต่างๆ และถึงชาวยิวที่ทำงานเป็นทั้งทนายความ แพทย์ และครู เป็นต้น[130] นอกจากนี้ ผู้เขียนจดหมายยังระบุว่า อดีตกษัตริย์คาโรลทรงอนุญาตให้กฎหมายเหล่านี้ยังคงอยู่ในเล่มบทบัญญัติแม้ว่าจะปลดโกกาออกไปแล้วก็ตาม และผู้เขียนมีการวิจารณ์อย่างกระทบกระเทียบว่า ถ้าอดีตกษัตริย์คาโรลทรงเป็นมหามิตรกับชาวยิวในโรมาเนียจริง ชาวยิวโรมาเนียจะไม่ต้องการเป็นศัตรูกับใครคนไหนอีกเลย[130]
ข้อเสนอของอดีตกษัตริย์คาโรล คือ ต้องการให้คณะกรรมการโรมาเนียอิสระของพระองค์ได้รับการรับรองในฐานะรัฐบาลพลัดถิ่น แต่ข้อเสนอของพระองค์ได้ถูกขัดขวางด้วยความไม่เป็นที่นิยมของพระองค์ในดินแดนเกิดของพระองค์เองโดยมีนักการทูตอเมริกันและอังกฤษหลายคนโต้เถียงกันว่า ถ้าหากให้การสนับสนุนอดีตกษัตริย์ จะเป็นการเพิ่มคะแนนนิยมให้นายพลอันโตเนสคูไปโดยปริยาย นอกจากนี้ยังมีศัตรูของฝ่ายโรมาเนียอิสระคือ วีโอเรล ตีลีอา ซึ่งอยู่ในลอนดอน เขาไม่ต้องการที่จะเกี่ยวข้องกับฝ่ายกรรมการโรมาเนียอิสระของอดีตกษัตริย์ในเม็กซิโกซิตี[131] วีโอเรลเคยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยในช่วงทศวรรษที่ 1930 เคยสนับสนุนกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็ก ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติของชาวโรมาเนียในช่วงเวลานี้ ตีลีอามีความนิยมอังกฤษมากกว่านิยมฝรั่งเศส และเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในฐานะนักศึกษาแลกเปลี่ยน การที่ตีลีอาอยู่ในอังกฤษได้เปลี่ยนแนวคิดทางการเมืองของเขา เขาได้ระบุว่า ไดีพบเห็นผู้คนหลากหลายชาติพันธ์อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขในอังกฤษอย่างกลมกลืน ทำให้เขาตระหนักว่า มันไม่มีความจำเป็นที่กลุ่มชาติพันธ์หนึ่งจะมีอำนาจครองชาติพันธ์อื่นทั้งหมด ดังที่คอดรีอานูเคยอ้างไว้ เหตุนี้ทำให้ตีลีอาแตกหักกับกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็ก เมื่อนายพลอันโตเนสคูสาบานตนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ "รัฐกองทัพแห่งชาติ" (National Legionary State) ตีลีอาลาออกจากตำแหน่งทูตในลอนดอนเพื่อประท้วงการรับตำแหน่งของอันโตเนสคู[131] ต่อมาในปีค.ศ. 1940 ตีลีอาจัดตั้งคณะกรรมการโรมาเนียอิสระของเขาเองในลอนดอน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากชาวโรมาเนียจำนวนมากที่หลบหนีจากระบอบของอันโตเนสคู[132] คณะกรรมการอิสระของตีลีอาไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลอังกฤษ แต่เป็นที่รู้ว่าได้รับการสนับสนุนจากอังกฤษและมีความใกล้ชิดกับรัฐบาลพลัดถิ่นโปแลนด์ อันเป็นเหตุให้อังกฤษปฏิเสธคณะกรรมการอิสระของอดีตกษัตริย์คาโรลในเม็กซิโกซิตี ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกษัตริย์เท่านั้น หรือ กลุ่มคามาริลลา[133] คณะกรรมการของตีลีอามีสำนักงานในอิสตันบูล ซึ่งสามารถส่งสาส์นไปยังที่หลบซ่อนในบูคาเรสต์ได้ ซึ่งจะมีการแลกเปลี่ยนจดหมายกับอดีตนายกรัฐมนตรีของกษัตริย์คาโรล คือ คอนสแตนติน อาร์เกตอเอียนู เป็นตัวแทนในการต่อต้านอันโตเนสคู[132] อาร์เกตอเอียนูรายงานว่า กษัตริย์มีไฮทรงต่อต้านระบอบอันโตเนสคู และมีพระราชประสงค์ที่จะก่อรัฐประหารขับไล่อันโตเนสคู โดยรอให้ฝ่ายสัมพันธมิตรบุกเข้าคาบสมุทรบอลข่าน[132] นายพลอันโตเนสคูนั้นเป็นเผด็จการ แต่นายทหารโรมาเนียได้ถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ อันเป็นเหตุผลเป็นที่เชื่อในลอนดอนว่า กองทัพโรมาเนียจะเข้าข้างฝ่ายพระมหากษัตริย์ในการต่อต้านนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่ทั้งสองคนขัดแย้งกัน ในมุมมองของอังกฤษ ได้มีการเชื่อมโยงว่า การดำเนินการของอดีตกษัตริย์คาโรลคือความพยายามปลดพระราชโอรสออกจากบัลลังก์อีกครั้ง และยิ่งทำให้อังกฤษดำเนินการร่วมกับกษัตริย์มีไฮได้ยาก
อดีตกษัตริย์คาโรลและมักดา ลูเปสคู เสกสมรสกันที่รีโอเดจาเนโร บราซิล ในวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 1947 มักดาเรียกตัวเธอเองว่า เจ้าหญิงเอเลนา ฟอน โฮเอินท์ซ็อลเลิร์น ในปีค.ศ. 1947 หลังจากคอมมิวนิสต์ยึดครองโรมาเนีย มีการจัดตั้งคณะกรรมการชาติโรมาเนียเพื่อต่อต้านระบอบคอมมิวนิสต์ อดีตกษัตริย์คาโรลประสงค์ที่จะเข้าร่วมคณะกรรมการชาติโรมาเนีย แต่ได้รับการคัดค้านจากทุกฝ่าย และฝ่ายนิยมกษัตริย์โรมาเนียแสดงให้เห็นชัดว่าพวกเขาเคารพในอดีตกษัตริย์มีไฮ ในฐานะกษัตริย์ที่ถูกต้องตามกฎหมายของโรมาเนียมากกว่าพระราชชนก[130] อดีตกษัตริย์คาโรลยังทรงลี้ภัยต่อไปตลอดพระชนม์ชีพช่วงสุดท้ายของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงได้พบอดีตกษัตริย์มีไฮ พระราชโอรสอีกนับตั้งแต่ปีค.ศ. 1940 ซึ่งพระองค์เสด็จออกจากโรมาเนีย อดีตกษัตริย์มีไฮเองก็ไม่ทรงประสงค์ที่จะพบพระราชชนก ซึ่งทรงมองว่าพระราชชนกทรงทำให้พระราชชนนีของพระองค์ต้องเสื่อมเสียพระเกียรติอย่างน่าอับอายหลายครั้ง และพระองค์ไม่เสด็จร่วมพระราชพิธีฝังพระบรมศพพระราชชนกด้วย ว่ากันว่า "อดีตกษัตริย์คาโรลทรงปรารถนาที่จะพบพระโอรสมาก แต่หลังจากเสด็จออกจากโรมาเนียก็ไม่ทรงพบกันอีกเลย... อดีตกษัตริย์คาโรลทรงพยายามหลายครั้งและพร้อมที่จะพบกับพระราชโอรสทุกเมื่อ แต่อดีตกษัตริย์มีไฮจะทรงปฏิเสธทุกครั้ง"[134]
พระบรมศพกลับคืนสู่โรมาเนีย
อดีตกษัตริย์คาโรลที่ 2 สวรรคตที่เอสตอริล ริเวียราโปรตุเกส ใน ค.ศ. 1953 พระศพของพระองค์ถูกบรรจุในสุสานราชวงศ์บรากันซาในกรุงลิสบอน ก่อนที่จะย้ายไปยังวิหารคูร์ตีอาเดออาร์เกสในโรมาเนีย เมื่อ ค.ศ. 2003 ซึ่งเป็นวิหารที่ฝังพระศพราชวงศ์โรมาเนียตามธรรมเนียม ตามคำขอและค่าใช้จ่ายที่ออกโดยรัฐบาลโรมาเนีย พระศพถูกฝังด้านในวิหาร ซึ่งเป็นที่ฝังพระศพกษัตริย์และราชินีโรมาเนีย แต่ศพของเอเลนา "มักดา" ถูกฝังภายนอกเพราะไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ พระโอรสทั้งสองของพระองค์ไม่ได้เข้าร่วมพิธี อดีตกษัตริย์มีไฮทรงให้เจ้าหญิงมาร์กาเรตาแห่งโรมาเนีย พระราชธิดาและเจ้าชายราดูแห่งโรมาเนีย พระสวามีเสด็จแทนพระองค์
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2018 มีการประกาศว่าพระศพของกษัตริย์คาโรลที่ 2 จะถูกย้ายไปอัครสังฆมณฑลและวิหารใหม่ ฝังเคียงคู่กับพระศพของเฮเลนแห่งกรีซและเดนมาร์ก อดีตพระมเหสี นอกจากนี้พระศพของเจ้าชายเมอร์เซียแห่งโรมาเนีย พระอนุชาของกษัตริย์คาโรลจะถูกย้ายไปยังวิหารใหม่ด้วยเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันพระศพยังคงฝังอยู่ที่ปราสาทบราน
คารอล ลัมบรีนอ ถูกสั่งห้ามเข้าโรมาเนีย (ตั้งแต่ ค.ศ. 1940) แต่ศาลโรมาเนียได้ประกาศว่าเขาเป็นโอรสที่ถูกต้องตามกฎหมายใน ค.ศ. 2003 คารอลมาเยือนบูคาเรสต์ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2005 ไม่นานนักเขาก็เสียชีวิต
ในวัฒนธรรมสมัยนิยม
กษัตริย์คาโรลทรงถูกนำไปเป็นแบบ [ในฐานะ เจ้าชายคาโรล] ในตอนสุดท้ายของภาคที่สามซีรีส์เรื่อง Mr Selfridge ซึ่งรับบทโดยแอนตัน เบลค นักแสดงชาวอังกฤษ[135]
กษัตริย์คาโรลกลายเป็นแรงบันดาลใจแก่ตัวละครที่มีชื่อว่า เจ้าชายชาร์ลแห่งคาร์ปาเทีย ในละครเวทีปี 1953 เรื่อง The Sleeping Prince และในภาพยนตร์ปี 1957 เรื่อง The Prince and the Showgirl[136]
พระราชตระกูล
พงศาวลีของพระเจ้าคาโรลที่ 2 แห่งโรมาเนีย | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
อ้างอิง
- Royal House of Romania เก็บถาวร 2007-09-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Royal House of Greece เก็บถาวร 2006-09-07 ที่ archive.today
เชิงอรรถ
Wikiwand in your browser!
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.