Loading AI tools
ยากลุ่มเบ็นโซไดอาเซพีน จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ลอราเซแพม (อังกฤษ: Lorazepam) ซึ่งขายในชื่อทางการค้าคือ อะทีแวน (ในบรรดาชื่อต่าง ๆ) เป็นยากลุ่มเบ็นโซไดอาเซพีน[3] ใช้แก้กังวล, นอนไม่หลับ, การชักรวมทั้งภาวะชักต่อเนื่อง, การขาดสุรา และอาการคลื่นไส้และอาเจียนเหตุเคมีบำบัด (CINV)[3] ยายังใช้ในการผ่าตัดเพื่อให้คนไข้จำเหตุการณ์ไม่ได้ และใช้ระงับประสาทสำหรับผู้ใส่เครื่องช่วยหายใจ[3][7] แม้จะใช้กับภาวะกายใจไม่สงบ (agitation) ที่รุนแรงได้ แต่ปกติก็จะเลือกใช้มิดาโซแลม[3] อนึ่ง ยังใช้เป็นยาควบคู่เพื่อรักษากลุ่มภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (ACS) จากการเสพโคเคน[3] ยาสามารถให้กิน ฉีดเข้าในกล้ามเนื้อ หรือให้ผ่านเส้นเลือดดำ[3] เมื่อฉีดเข้ากล้ามเนื้อ จะได้ผลภายใน 1-30 นาทีและอาจคงยืนอยู่ได้ตลอดวัน[3] เมื่อให้ทางเส้นเลือด ก็จะต้องดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิด[3]
ข้อมูลทางคลินิก | |
---|---|
ชื่อทางการค้า | Ativan, Tavor, Temesta, อื่น ๆ[1] |
ชื่ออื่น | O-Chloroxazepam, L-Lorazepam Acetate |
AHFS/Drugs.com | โมโนกราฟ |
MedlinePlus | a682053 |
ข้อมูลทะเบียนยา |
|
ระดับความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ |
|
Dependence liability | สูง [2] |
ช่องทางการรับยา | ทางปาก ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ให้เข้าเส้นเลือดดำ อมใต้ลิ้น และแปะที่ผิวหนัง |
รหัส ATC | |
กฏหมาย | |
สถานะตามกฏหมาย |
|
ข้อมูลเภสัชจลนศาสตร์ | |
ชีวประสิทธิผล | 85% เมื่อกิน |
การเปลี่ยนแปลงยา | กลูคูโรนิเดชันในตับ |
ระยะเริ่มออกฤทธิ์ | 1–5 นาที (เข้าเส้นเลือด), 15–30 นาที (ผ่านผิวหนัง)[3] |
ครึ่งชีวิตทางชีวภาพ | 10–20 ชั่วโมง[4][5][6] |
ระยะเวลาออกฤทธิ์ | 12–24 ชั่วโมง[3] |
การขับออก | ไต |
ตัวบ่งชี้ | |
| |
เลขทะเบียน CAS | |
PubChem CID | |
DrugBank | |
ChemSpider | |
UNII | |
KEGG | |
ChEBI | |
ChEMBL | |
ECHA InfoCard | 100.011.534 |
ข้อมูลทางกายภาพและเคมี | |
สูตร | C15H10Cl2N2O2 |
มวลต่อโมล | 321.16 g·mol−1 |
แบบจำลอง 3D (JSmol) | |
SMILES
| |
InChI
| |
7 (what is this?) (verify) | |
ผลข้างเคียงสามัญรวมทั้งอ่อนเพลีย ง่วงนอน ความดันเลือดต่ำ และพยายามหายใจน้อยลง[3] ในคนไข้โรคซึมเศร้า อาจทำให้เสี่ยงฆ่าตัวตายสูงขึ้น[3][8] เมื่อใช้ในระยะยาว อาจต้องใช้ในขนาดสูงขึ้นเพื่อให้ได้ผลเท่ากัน[3] และการติดยาไม่ว่าเพราะเหตุกายหรือใจก็อาจเกิดได้ด้วย[3] ถ้าหยุดยาอย่างกระทันหันหลังจากใช้เป็นเวลานาน อาจมีอาการขาดยาเบ็นโซไดอาเซพีน (benzodiazepine withdrawal syndrome)[3] คนชราจะเกิดผลข้างเคียงบ่อยครั้งกว่า[9] ในคนกลุ่มนี้ ยาสัมพันธ์กับการหกล้มและกระดูกสะโพกหัก[10] เพราะเหตุนี้ ทั่วไปจึงแนะนำให้ใช้ยาอย่างมากเพียง 2-4 สัปดาห์[11]
ยาได้จดสิทธิบัตรในปี 1963 แล้ววางตลาดขายในสหรัฐปี 1977[12] เป็นยาในรายการยาจำเป็นขององค์การอนามัยโลก (EML) โดยเป็นยาที่ได้ผลและปลอดภัยที่สุด และจำเป็นในระบบสาธารณสุข[13] ปัจจุบันมีจำหน่ายเป็นยาสามัญ[3] ราคาขายส่งในประเทศกำลังพัฒนาสำหรับยากินขนาด 1 มก. อยู่ที่ประมาณ 0.69-7.19 บาทในปี 2015[14] ขนาดเดียวกันในสหราชอาณาจักรเป็นค่าใช้จ่ายต่อกระทรวงสาธารณสุขที่ประมาณ 7.33 บาท[15] ในสหรัฐ ยาที่ปกติใช้ได้เดือนหนึ่งมีราคาน้อยกว่า 856 บาท[16] ในปี 2016 เป็นยาที่แพทย์สั่งเป็นอันดับ 57 ในสหรัฐ[17]
ยาใช้รักษาโรควิตกกังวลรุนแรงในระยะสั้น ในสหรัฐ องค์การอาหารและยาแนะนำไม่ให้ใช้ยากลุ่มเบ็นโซไดอาเซพีนเช่นยานี้เกินกว่า 4 สัปดาห์[11][18] มันออกฤทธิ์ได้เร็ว จึงมีประโยชน์ใช้รักษาอาการตื่นตระหนก (panic attack) ที่เกิดอย่างฉับพลัน[19]
ยามีประสิทธิผลลดภาวะกายใจไม่สงบแล้วช่วยให้นอนหลับได้ ช่วงเวลาที่ยามีผลทำให้เป็นตัวเลือกอันสมควรเพื่อรักษาการนอนไม่หลับ (insomnia) ในระยะสั้น คือมันมีผลในระยะค่อนข้างสั้น[20]
อาการขาดยา รวมทั้งการกลับนอนไม่หลับหรือวิตกกังวลอีก อาจเกิดหลังจากใช้ยาเพียงแค่ 7 วัน[21]
ไดแอซิแพมหรือลอราเซแพมที่ให้ทางเส้นเลือดดำเป็นวิธีการักษาอันดับแรกสำหรับภาวะชักต่อเนื่อง (status epilepticus)[22][22] ยานี้มีประสิทธิผลมากกว่าไดแอซิแพม มากกว่าแม้เฟนิโทอินที่ให้ทางเส้นเลือดเพื่อรักษาภาวะชักต่อเนื่องด้วย และเสี่ยงน้อยกว่าต่อการชักต่อที่จำเป็นต้องให้ยาต่อไปอีก[23] อย่างไรก็ดี phenobarbital ก็ยังมีประสิทธิผลดีกว่ายานี้และยาอื่น ๆ อย่างน้อยก็ในคนชรา[24][25]
ฤทธิ์ต้านการชักและคุณสมบัติทางเภสัชจลนศาสตร์ของยา ทำให้การให้ยาทางเส้นเลือดดำไว้วางใจได้เพื่อหยุดการชักในปัจจุบัน แต่ก็ระงับประสาทอยู่นาน เบ็นโซไดอาเซพีนที่กิน รวมทั้งลอราเซแพม บางครั้งคราวใช้ป้องกันการชักแบบ absence seizure (หมดสติสั้น ๆ แล้วกลับคืนสติ ทั่วไปไม่ได้ตามด้วยภาวะง่วงงุน) ในระยะยาวที่รักษายาก แต่เพราะการชินยาที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น เบ็นโซไดอาเซพีนเช่นยานี้จึงไม่จัดเป็นการรักษาอันดับแรก[26]
ฤทธิ์ต้านชักและระงับระบบประสาทกลางมีประโยชน์ในการรักษาและป้องกันอาการขาดแอลกอฮอล์ (alcohol withdrawal syndrome) โดยในกรณีเช่นนี้ การทำงานที่พิการของตับไม่เป็นปัญหา เพราะเมแทบอลิซึมของยาไม่ต้องอาศัยกระบวนการออกซิเดชั่น ไม่ว่าจะในตับหรือในที่อื่น ๆ[27][28]
ยาบางครั้งใช้ระงับประสาท (sedation) สำหรับคนไข้ที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ แต่สำหรับคนไข้ที่ป่วยหนักอย่างวิกฤติ โปรโพฟอลจะดีกว่าทั้งโดยประสิทธิผลและโดยค่าใช้จ่ายรวม ๆ ดังนั้น อาการนี้ปัจจุบันจึงบ่งให้ใช้ยาโปรโพฟอล และไม่แนะนำลอราเซแพม[29]
เพราะยาค่อนข้างมีประสิทธิผลไม่ให้สร้างความจำใหม่[30] และช่วยลดภาวะกายใจไม่สงบและความวิตกกังวล จึงเหมาะใช้เป็นยานำ (premedication) ก่อนทำหัตถการ คือจะให้ก่อนยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย (general anesthetic) เพื่อลดขนาดของยาระงับที่ให้ หรือให้ก่อนหัตถการที่ทำเมื่อตื่นแต่ทรมาน เช่น เมื่อทำฟันหรือเมื่อสอดกล้องเข้าไปในร่างกาย เพื่อคลายกังวล เพิ่มการยินยอมทำตาม และช่วยให้คนไข้จำเหตุการณ์นั้นไม่ได้ ยาจะให้กิน 90-120 นาทีหรืออาจให้ทางเส้นเลือดดำเพียงแค่ 10 นาทีก่อนหัตถการ[31][32][33] ยาบางครั้งใช้แทนมิดาโซแลมเพื่อระงับประสาทสำหรับคนป่วยระยะสุดท้ายผู้ไม่สามารถควบคุมอาการได้โดยวิธีอื่น[34] ในหน่วยอภิบาล (ไอซียู) ยาบางครั้งใช้เพื่อคลายกังวล ให้นอนหลับ และให้จำไม่ได้[35]
ยานี้บางครั้งใช้เป็นทางเลือกของยา haloperidol (ซึ่งเป็นยารักษาโรคจิตในแบบ) เมื่อต้องระงับประสาทของผู้ที่กายใจไม่สงบหรือแสดงความรุนแรง[36][37] แต่ haloperidol บวกกับโปรเมทาซีนก็จัดว่าดีกว่าโดยประสิทธิผลและเพราะผลที่ไม่ต้องการของลอราเซแพมต่อการหายใจ[38] อนึ่ง ผลที่ไม่ต้องการเช่น การเสียการยับยั้งใจ อาจทำให้ยากลุ่มเบ็นโซไดอาเซพีนไม่เหมาะกับคนไข้ที่กำลังมีอาการโรคจิต[39] อาการเพ้อที่กำลังเป็นบางครั้งก็รักษาด้วยยา แต่เพราะมันอาจก่อปฏิกิริยาปฏิทรรศน์ (paradoxical effect) จึงมักให้พร้อมกับ haloperidol (เป็นยารักษาโรคจิตในแบบ)[40] ยาดูดซึมค่อนข้างช้าถ้าฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เป็นวิธีการให้ยาสามัญเมื่อต้องผูกมัดคนไข้ไว้
อาการเคลื่อนไหวน้อยหรือมากเกิน (catatonia) พร้อมกับการพูดไม่ได้อาจตอบสนองต่อยานี้ แต่อาการก็อาจกลับเกิดอีก ดังนั้น การรักษาเป็นวัน ๆ จึงอาจจำเป็น อาการเคลื่อนไหวน้อยหรือมากเกินที่เกิดจากการเลิกยาเบ็นโซไดอาเซพีนรวดเร็วเกิน โดยเป็นส่วนของอาการขาดยาเบ็นโซไดอาเซพีน ก็ควรตอบสนองต่อยานี้เช่นกัน[41] เพราะยาอาจก่อปฏิกิริยาปฏิทรรศน์ บางครั้งจึงให้พร้อมกับยา haloperidol (เป็นยารักษาโรคจิตในแบบ)[40][42]
ยาบางครั้งใช้ในเคมีบำบัดนอกบวกกับยารักษาความคลื่นไส้และอาเจียน คือเพื่อรักษาความคลื่นไส้และอาเจียนที่แย่ลงเหตุจิตใจเพราะคิดว่าตนเองป่วย[43] มันยังใช้เป็นการรักษาเสริม (adjunct) ของอาการ cyclic vomiting syndrome[upper-alpha 1]
ฤทธิ์ที่มีประโยชน์หลายอย่างของยา (เช่น ระงับประสาท คลายกล้ามเนื้อ คลายกังวล และช่วยให้ลืม) อาจกลายเป็นผลที่ไม่พึงประสงค์เมื่อไม่ต้องการ[30] เช่น ระงับประสาทหรือก่อความดันต่ำ โดยผลจะเพิ่มขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับยาที่กดระบบประสาทกลางอื่น ๆ[22][36] ผลที่ไม่พึงประสงค์อื่น ๆ รวมความสับสน ภาวะกล้ามเนื้อเสียสหการ (ataxia) การระงับไม่ให้สร้างความจำใหม่ และอาการเมาค้าง (hangover effects) ถ้าใช้ยาเบ็นโซไดอาเซพีนเป็นระยะเวลายาว ก็จะไม่ชัดเจนว่าความพิกาารทางประชานจะกลับคืนสู่ปกติเมื่อเลิกยาหรือไม่ โดยความบกพร่องทางประชานจะคงยืนอย่างน้อย 6 เดือนหลังเลิกยา แต่อาจใช้เวลามากกว่านั้นเพื่อฟื้นสภาพ ลอราเซแพมดูเหมือนจะมีผลร้ายต่อความจำมากกว่าเบ็นโซไดอาเซพีนชนิดอื่น ๆ โดยมีผลต่อทั้งความจำชัดแจ้ง (explicit memory) และความจำโดยปริยาย (implicit memory)[47][48]
คนชราอาจหกล้มเพราะยา ผลที่ไม่พึงประสงค์เกิดบ่อยกว่าในคนชรา และมีแม้เมื่อกินยาน้อยกว่าคนที่อายุน้อยกว่า ยาอาจก่อหรือทำโรคซึมเศร้าให้แย่ลง ปฏิกิริยาปฏิทรรศน์ก็อาจเกิดด้วย เช่น ชักเพิ่มขึ้น หรือตื่นเต้นมากขึ้น โดยมีโอกาสมากกว่าในบุคคลต่าง ๆ รวมทั้งคนชรา เด็ก ผู้มีประวัติติดแอลกอฮอล์ และผู้มีประวัติดุร้ายหรือมีปัญหากับความโกรธ[9] ฤทธิ์ของยาขึ้นอยู่กับขนาด ยิ่งมาก ฤทธิ์ (รวมทั้งผลข้างเคียง) ก็ยิ่งมาก การใช้ขนาดน้อยที่สุดเพื่อให้ได้ผลที่ต้องการจะลดความเสี่ยงต่อผลที่ไม่พึงประสงค์ ยาระงับประสาทและยานอนหลับรวมทั้งยานี้ สัมพันธ์กับความเสี่ยงตายสูงขึ้น[49]
การระงับประสาท (กดการหายใจ ลดความดันเลือดเป็นต้น) เป็นผลข้างเคียงที่คนกินยารายงานบ่อยที่สุด ในกลุ่มคนไข้โรควิตกกังวล 3,500 คน ผลข้างเคียงที่บ่นมากที่สุดจากยาก็คือการระงับประสาท (15.9%) เวียนศีรษะ (6.9%) อ่อนเพลีย (4.2%) และเดินยืนไม่มั่นคง (3.4%) ผลข้างเคียงจะเพิ่มขึ้นตามอายุ[50] อนึ่ง ความพิการทางประชาน การเสียการยับยั้งใจ การกดการหายใจ และความดันต่ำ ก็อาจเกิดขึ้นด้วย[35][39]
ยาที่ให้โดยไม่ได้กินในขนาดมาก ๆ หรือในระยะยาวบางครังสัมพันธ์กับ propylene glycol (ที่ใช้เป็นองค์ประกอบของยาที่ไม่ได้กิน) เป็นพิษ[35][60]
ยาควรหลีกเลี่ยงในบุคคลต่อไปนี้คือ
การติดยาที่ปรากฏโดยเป็นอาการขาดยาจะเกิดในคน 1 ใน 3 ที่ใช้ยาเบ็นโซไดอาเซพีนรักษาเกินกว่า 4 สัปดาห์ ขนาดที่สูงหรือการใช้ยาในระยะยาวจะเพิ่มความเสี่ยงการติดยา ยาที่มีฤทธิ์แรงและมีครึ่งชีวิตค่อนข้างสั้น เช่นยานี้, alprazolam และ triazolam เสี่ยงติดยาสูงสุด[9] การชินยาเบ็นโซไดอาเซพีนก็จะเกิดด้วยถ้าใช้เป็นประจำ ซึ่งเป็นผลที่ต้องการสำหรับฤทธิ์ให้จำไม่ได้และฤทธิ์ระงับประสาท แต่ไม่พึงประสงค์สำหรับฤทธิ์คลายกังวล ช่วยให้นอนหลับ และฤทธิ์ต้านการชัก คนไข้เบื้องต้นจะบรรเทาจากความวิตกกังวลและนอนไม่หลับอย่างมาก แต่อาการจะค่อย ๆ กลับมาโดยค่อนข้างเร็วสำหรับการนอนไม่หลับ แต่จะช้ากว่าสำหรับอาการวิตกกังวล หลังจากใช้ยาเบ็นโซไดอาเซพีนเป็นประจำ 4-6 เดือน ประสิทธิผลของยาจะลดลง[ต้องการอ้างอิง] ถ้าใช้รักษาเป็นปกติเกินกว่า 4-6 เดือน อาจต้องเพิ่มขนาดยาเพื่อให้มีฤทธิ์เช่นเดียวกัน แต่ "อาการดื้อยา" จริง ๆ อาจเป็นอาการขาดยาเบ็นโซไดอาเซพีน[67] เพราะเกิดอาการชินยาสำหรับฤทธิ์ต้านการชัก โดยทั่วไปจึงไม่แนะนำให้รักษาโรคลมชักในระยะยาว เพราะแม้การเพิ่มขนาดจะแก้การชินยาได้ แต่การชินยาในขนาดที่สูงขึ้นก็อาจเกิดขึ้นได้โดยผลข้างเคียงก็ยังอาจคงยืนต่อไปหรือแย่ลง
กลไกการชินยาเบ็นโซไดอาเซพีนเป็นเรื่องซับซ้อน อาจอาศัยการลดหน่วยรับกาบาเอ (GABAA receptor downregulation), การเปลี่ยนโครงสร้างหน่วยย่อยของหน่วยรับ GABAA, กระบวนการ uncoupling[upper-alpha 3] หรือการดูดจุดเชื่อมเบ็นโซไดอาเซพีนกับหน่วยรับ GABAA เข้าในเซลล์ และการเปลี่ยนแปลงการแสดงออกของยีน[9]
โอกาสติดลอราเซแพมค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับเบ็นโซไดอาเซพีนชนิดอื่น ๆ เพราะมีครึ่งชีวิตในเลือดค่อนข้างสั้น อยู่จำกัดโดยหลักในเส้นเลือด และมีเมแทบอไลต์ที่ไม่ออกฤทธิ์ จึงอาจก่ออาการขาดยาแม้ในระหว่างมื้อยา ทำให้อยากยามื้อต่อไป จึงอาจเสริมแรงการติดยาทางใจ ยาเม็ดเล็กขนาด 0.5 มก. ก็ยังมีฤทธิ์อย่างสำคัญเพราะมีฤทธิ์แรง ประเทศที่ใช้ยาเม็ดเล็กสุดขนาด 1 มก. เช่นสหราชอาณาจักร จึงมีปัญหาติดยามากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงการติดทั้งทางกายและใจ ควรใช้ยานี้ในระยะสั้น และในขนาดน้อยที่สุดซึ่งได้ผล แนะนำให้หยุดยาเบ็นโซไดอาเซพีนที่ใช้ในระยะยาวไม่ว่าจะชนิดใด ๆ โดยให้ใช้เวลาเป็นอาทิตย์ ๆ เป็นเดือน ๆ หรือยาวนานกว่านั้น ตามขนาดและระยะที่ใช้ ตามระดับการติดและตามคนไข้
ลอราเซแพมที่ใช้ในระยะยาวอาจเลิกง่ายกว่าถ้าเปลี่ยนไปใช้ยาไดแอซิแพมในขนาดเดียวกันจนอยู่ตัวแล้วค่อย ๆ ลดขนาดลง ข้อดีของการลดขนาดไดแอซิแพมก็คือ เพราะมีครึ่งชีวิตยาวนานกว่า (20-200 ชม.) และมีเมแทบอไลต์ที่ออกฤทธิ์ จึงจะรู้สึกขาดยาน้อยกว่า[68]
การเลิกยาอย่างทันทีหรือเร็วเกินไป อาจก่อความวิตกกังวลและอาการขาดยา เช่นที่เห็นจากการขาดเหล้าหรือขาดบาร์บิเชอเรต เหมือนยาเบ็นโซไดอาเซพีนอื่น ๆ ลอราเซแพมอาจทำให้ติดยาทางกาย การติดยาทางใจ และอาการขาดยาเบ็นโซไดอาเซพีน (benzodiazepine withdrawal syndrome) ยิ่งใช้ขนาดมากหรือยาวนานเท่าไร โอกาสเสี่ยงอาการขาดยาที่เป็นทุกข์ก็มากขึ้นเท่านั้น แต่การขาดยาก็ยังสามารถเกิดจากการใช้ขนาดธรรมดา ๆ และหลังจากการใช้ในระยะสั้น การรักษาด้วยเบ็นโซไดอาเซพีนควรหยุดให้เร็วที่สุดโดยค่อย ๆ ลดขนาด[69]
อาการเกิดโรคอีก (rebound effect) มักเหมือนกับอาการที่กำลังรักษา แต่ปกติจะรุนแรงกว่าและอาจวินิจฉัยได้ยาก อาการขาดยาอาจเริ่มตั้งแต่ความวิตกกังวลและการนอนไม่หลับเบา ๆ จนถึงอาการที่รุนแรงกว่า เช่น ชักและอาการโรคจิต ในบรรดาปัจจัยต่าง ๆ ความเสี่ยงและความรุนแรงของการขาดยาจะเพิ่มขึ้นถ้าใช้ยาในระยะยาว ใช้ขนาดสูง ลดยาอย่างฉับพลันหรือเร็วเกิน เบ็นโซไดอาเซพีนที่มีฤทธิ์ระยะสั้น ๆ เช่น ลอราเซแพมมีโอกาสก่ออาการขาดยาที่รุนแรงกว่าเทียบกับยาที่มีฤทธิ์นาน[9] อาการขาดยาสามารถเกิดได้แม้ใช้ในขนาดรักษาเพียงแค่อาทิตย์เดียว อาการรวมทั้งปวดหัว, วิตกกังวล, เครียด, ซึมเศร้า, นอนไม่หลับ, อยู่ไม่เป็นสุข, สับสน, หงุดหงิด, เหงื่อออก, อารมณ์ละเหี่ย, เวียนหัว, derealization[upper-alpha 4], บุคลิกวิปลาศ (depersonization), ปลายนิ้วปลายแขนขาชา, ไวแสง เสียง กลิ่น, การรับรู้บิดเบือน, คลื่นไส้, อาเจียน, ไม่อยากอาหาร, ประสาทหลอน, เพ้อ, ชัก, สั่น, ตะคริวท้อง, ปวดกล้ามเนื้อ, กายใจไม่สงบ, ใจสั่น, หัวใจเต้นเร็ว, ตื่นตระหนก (panic attack), เสียความจำระยะสั้น และไข้สูง ร่างกายใช้เวลา 18-36 ชม. เพื่อกำจัดเบ็นโซไดอาเซพีนออก[70]
ยาไม่ทำให้ถึงตายถ้ากินเกิน แต่อาจกดการหายใจถ้ากินเกินขนาดพร้อมกับแอลกอฮอล์ การกินผสมนี้ยังเพิ่มฤทธิ์ให้เสียการยับยั้งชั่งใจและเสียความจำ จึงอาจทำเรื่องอับอายหรืออาชญากรรม นักวิชาการบางพวกแนะนำให้เตือนคนไข้ไม่ให้ดื่มแอลกฮอล์เมื่อกำลังรักษาด้วยยา[30][71] แต่การเตือนตรง ๆ เช่นนี้ก็ไม่ได้ทำอย่างทั่วไป[72]
ผลไม่พึงประสงค์อาจรุนแรงขึ้นเมื่อใช้กับยาอื่น ๆ เช่น โอปิออยด์หรือยานอนหลับอื่น ๆ[66] อาจมีปฏิกิริยากับยา rifabutin[73] (เป็นยาปฏิชีวนะปกติใช้รักษาวัณโรคและการติดเชื้อ Mycobacterium avium complex) ยา valproate (โดยหลักใช้รักษาโรคลมชัก โรคอารมณ์สองขั้ว และป้องกันไมเกรน) ยับยั้งเมแทบอลิซึมของลอราเซแพม เทียบกับคาร์บามาเซพีน, lamotrigine (ใช้รักษาโรคลมชักและโรคอารมณ์สองขั้ว), phenobarbital (ใช้รักษาโรคลมชัก), เฟนิโทอิน และ rifampin (เป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาการติดเชื้อโรคมีวัณโรคเป็นต้น) ที่เพิ่มเมแทบอลิซึมของมัน ยาต่าง ๆ เช่น ยาแก้ซึมเศร้าบางอย่าง ยาแก้ชักเช่น phenobarbital, เฟนิโทอิน และคาร์บามาเซพีน ยาต้านฮิสตามีนที่มีฤทธิ์ระงับประสาท โอปิแอต ยารักษาโรคจิตและแอลกอฮอล์ ซึ่งล้วนเมื่อกินร่วมกับลอราเซแพมอาจมีผลระงับประสาทเพิ่มขึ้น[9]
ในกรณีที่สงสัยว่ากินยาลอราเซแพมเกินขนาด สำคัญที่จะรู้ว่าเป็นผู้ใช้ยาลอราเซแพมหรือเบ็นโซไดอาเซพีนอื่น ๆ เป็นประจำหรือไม่ เพราะการใช้เป็นประจำจะทำให้ชินยา และต้องพิจารณาด้วยว่า ได้บริโภคสารอื่น ๆ เข้าไปด้วยหรือไม่
อาการแสดงการกินยาเกินเริ่มจากความสับสน พูดไม่เป็นความ ปฏิกิริยาปฏิทรรศน์ ง่วงซึม กล้ามเนื้อตึงตัวน้อย กล้ามเนื้อเสียสหการ ความดันเลือดต่ำ ภาวะเหมือนถูกสะกดจิต โคม่า ระบบหัวใจและหลอดเลือดถูกกด หายใจน้อยเกิน และความตาย
การรักษาในเบื้องต้นรวมทั้งยาทำให้อาเจียน (emetic) ล้างท้อง และคาร์บอนกัมมันต์ (activated carbon) ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็เพียงแค่สังเกตดูอาการรวมทั้งชีวสัญญาณต่าง ๆ การดูแล และถ้าจำเป็น เมื่อพิจารณาถึงอันตรายที่อาจมีเพราะทำอย่างนี้แล้ว ให้ยา flumazenil[upper-alpha 5] ทางเส้นเลือดดำ
ในสถานการณ์อุดมคติ คนไข้ควรอยู่ในที่มีการพยาบาลอย่างเมตตา ไร้สิ่งที่ทำให้หงุดหงิด เพราะเบ็นโซไดอาเซพีนเพิ่มโอกาสให้เกิดปฏิกิริยาปฏิทรรศน์ ถ้าให้ความเห็นใจแม้เมื่อแกล้งทำ คนไข้อาจตอบสนองอย่างเอื้ออารี แต่ก็ยังอาจตอบสนองต่อสิ่งที่ทำให้หงุดหงิดอย่างไม่สมเหตุผล[75] การให้คำปรึกษาแนะนำ (counseling) ไม่ค่อยมีคุณค่าในกรณีนี้ เพราะคนไข้ไม่น่าจะจำเหตุการณ์นี้ได้ เหตุฤทธิ์ทำให้จำไม่ได้ของยา
ลอราเซแพมสามารถวัดได้ในเลือดหรือน้ำเลือดเพื่อยืนยันความเป็นพิษในคนไข้ใน รพ. หรือเป็นหลักฐานเพื่อจับว่าขับรถเมื่อเมา หรือเพื่อช่วยชันสูตรศพ ความเข้มข้นในเลือดปกติมีพิสัย 10-300 ไมโครกรัม/ลิตรสำหรับบุคคลที่ได้ยาเพื่อรักษาหรือสำหรับบุคคลที่ถูกจับว่าขับรถเมื่อเมา พิสัย 300-1,000 ไมโครกรัม/ลิตร จะพบในคนไข้ที่ได้ยาเกิน[76] แต่ลอราเซแพมอาจตรวจไม่พบด้วยวิธีการตรวจเบ็นโซไดอาเซพีนในปัสสาวะที่ใช้อย่างสามัญ[77][78]
ยามีฤทธิ์คลายกังวล ฤทธิ์ระงับประสาท ฤทธิ์ยานอนหลับ ฤทธิ์ให้จำไม่ได้ ฤทธิ์ต้านการชัก และฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ[79] เป็นยาเบ็นโซไดอาเซพีนมีฤทธิ์แรง ความพิเศษ[80][81], ข้อดีและข้อเสียของยาโดยหลักมาจากคุณสมบัติทางเภสัชจลนศาสตร์ของมัน คือ ละลายน้ำและลิพิดได้ไม่ดี ยึดกับโปรตีนได้ดี มีเมแทบอลิซึมที่ไม่อาศัยออกซิเดชั่นโดยแปลงเป็นรูปแบบกลูคิวโรไนด์ (glucuronide) ที่ไม่มีฤทธิ์ทางเภสัช[82][83] ครึ่งชีวิตของยาอยู่ที่ 10-20 ชม.[84]
ลอราเซแพมมักยึดอยู่กับโปรตีน (highly protein bound) และผ่านเมแทบอลิซึมกลายเป็นเมแทบอไลต์ที่ไม่มีฤทธิ์โดยมาก[9] เพราะละลายในลิพิดได้น้อย จึงดูดเข้าผ่านทางเดินอาหารค่อนข้างช้า และไม่เหมาะให้ยาทางทวารหนัก แต่ก็เพราะละลายในลิพิดได้ไม่ดีและโดยมากยึดอยู่กับโปรตีน (85-90%[85]) จึงหมายถึงว่า โดยมากมันอยู่ในหลอดเลือดและก่อฤทธิ์สูงสุดได้ค่อนข้างยาว เทียบกับยาไดแอซิแพมที่ละลายในลิพิดได้ดี ซึ่งแม้จะดูดซึมได้ดีทางปากหรือทางทวารหนัก แต่ก็กระจายจากน้ำเลือดไปยังส่วนอื่นของร่างกายโดยเฉพาะไขมันร่างกายอย่างรวดเร็ว ซึ่งอธิบายว่าทำไมลอราเซแพมแม้จะมีครึ่งชีวิตในน้ำเลือดที่สั้นกว่า แต่ก็ออกฤทธิ์ในระดับสูงสุดได้นานกว่าไดแอซิแพมในขนาดเดียวกัน[86]
ลอราเซแพมจะจับคู่ที่กลุ่ม 3-hydroxy กับกลูคิวโรไนด์กลายเป็นเมทาบอไลต์คือลอราเซแพม-กลูคิวโรไนด์ แล้วขับออกทางปัสสาวะ เมทาบอไลต์นี้ไม่มีผลต่อระบบประสาทกลางในสัตว์ ความเข้มข้นในน้ำเลือดของยาขึ้นอยู่กับขนาดยาที่ให้ ไม่มีหลักฐานจนกระทั่งถึง 6 เดือนจากเริ่มให้ว่า ยาสะสมในร่างกาย เทียบกับไดแอซิแพมซึ่งสะสม เพราะมีครึ่งชีวิตที่ยาวนานกว่าและมีเมแทบอไลต์ที่ออกฤทธิ์ เมแทบอไลต์ยังมีครึ่งชีวิตที่ยาวนานอีกด้วย
ความเข้มข้นในน้ำเลือดของลอราเซแพมขึ้นอยู่กับขนาดยาที่ให้ ยา 2 มก. ที่กินทางปากจะถึงความเข้มข้นในเลือดสูงสุดที่ราว ๆ 20 นาโนกรัม/มิลลิลิตรประมาณ 2 ชม. ต่อมา[85][91] ครึ่งหนึ่งเป็นลอราเซแพม และอีกครึ่งเป็นเมแทบอไลต์ที่ไม่มีฤทธิ์คือลอราเซแพม-กลูคิวโรไนด์[92] ลอราเซแพมขนาดเดียวกันที่ให้ทางเส้นเลือดดำจะได้ความเข้มข้นสูงสุดที่สูงกว่าและเร็วกว่า และมีลอราเซแพมที่ยังไม่เปลี่ยนเป็นเมแทบอไลต์และยังมีฤทธิ์ในสัดส่วนที่สูงกว่า[93]
หลังจากให้เป็นประจำ ระดับในเลือดจะสูงสุดภายใน 3 วัน การใช้ยาในระยะยาวจะไม่สะสมยาเพิ่มขึ้นจนถึงอย่างน้อย 6 เดือน[85] หลังจากเลิกให้ยา ระดับยาในเลือดจะถึงระดับไม่สำคัญหลังจาก 3 วันและจะตรวจจับไม่ได้หลังจากอาทิตย์หนึ่ง ยาจะผ่านเมแทบอลิซึมในตับโดยการจับคู่ (conjugation) กลายเป็นลอราเซแพม-กลูคิวโรไนด์ ซึ่งไม่ผ่านกระบวนการออกซิเดชั่นในตับ ดังนั้น ตับที่ทำงานได้น้อยลงจึงไม่มีผลต่อยา ลอราเซแพม-กลูคิวโรไนด์ละลายน้ำได้ดีกว่าลอราเซแพมเอง ดังนั้น จึงกระจายไปทั่วร่างกายได้มากกว่า จึงมีครึ่งชีวิตที่ยาวนานกว่าลอราเซแพม ลอราเซแพม-กลูคิวโรไนด์ในที่สุดจะขับออกทางไต[85] และเพราะมันสะสมในเนื้อเยื่อ ก็จะยังตรวจจับโดยเฉพาะในปัสสาวะได้ยาวนานกว่าลอราเซแพมอย่างพอสมควร
เทียบกับเบ็นโซไดอาเซพีนอื่น ๆ ลอราเซแพมเชื่อว่ามีสัมพรรคภาพ (affinity) สูงกับหน่วยรับกาบา (GABA receptor)[94] ซึ่งอาจอธิบายฤทธิ์ทำให้เสียความจำที่เด่นของมัน[30] ผลทางเภสัชของยาก็คือเพิ่มผลของสารสื่อประสาทกาบาที่หน่วยรับกาบาA[9] โดยคล้ายกับเบ็นโซไดอาเซพีนอื่น ๆ คือเพิ่มความถี่การเปิดช่องไอออนคลอไรด์ที่หน่วยรับกาบาA โดยมีผลเป็นฤทธิ์รักษาของยา แต่โดยตนเองก็ไม่ได้ทำให้หน่วยรับกาบาA ทำงานมากขึ้น คือยังต้องอาศัยสารสื่อประสาทกาบา ดังนั้น จึงเท่ากับเพิ่มผลของสารสื่อประสาทกาบา[9][66]
กำลังและระยะของฤทธิ์ยาขึ้นอยู่กับขนาดที่ให้ คือขนาดที่มากกว่ามีฤทธิ์มากกว่าและคงฤทธิ์นานกว่า นี่เป็นเพราะสมองยังมีหน่วยรับยาเหลืออยู่เพราะขนาดของยาที่ให้เพื่อรักษาเข้าไปทำการกับหน่วยรับที่มีเพียงแค่ 3%[95]
ฤทธิ์ต้านการชักของลอราเซแพมและเบ็นโซไดอาเซพีนอื่น ๆ ไม่ว่าจะทั้งหมดหรือว่าบางส่วน อาจมาจากการเข้ายึดกับช่องโซเดียมที่เปิดปิดโดยศักย์ไฟฟ้า (voltage-dependent sodium channel) ไม่ใช่ทำการที่หน่วยรับเบ็นโซไดอาเซพีน คือยาจะจำกัดการส่งกระแสประสาทแบบซ้ำ ๆ โดยมีผลยืดระยะ recovery period ของนิวรอน (ระยะที่ศักย์เยื่อหุ้มเซลล์ระดับพักจะกลับเป็นปกติหลังจากได้ส่งศักยะงานหนึ่ง ๆ ไปตามแอกซอนแล้วก่อนจะส่งศักยะงานอันต่อไปได้) ดังที่พบในการเพาะไขสันหลังหนู[96]
ลอราเซแพมบริสุทธิ์จะเป็นผงเกือบขาวที่ละลายน้ำและน้ำมันแทบไม่ได้ เมื่อทำเป็นยา มันจะขายเป็นเม็ดหรือเป็นยาฉีด แต่ในบางประเทศก็อาจมีแผ่นปิดผิวหนัง ยาน้ำ และยาอมใต้ลิ้น
ยาเม็ดและยาน้ำไว้ให้กินเท่านั้น ยายี่ห้อแอทิแวนยังมีองค์ประกอบเป็นแล็กโทส, เซลลูโลสเนื้อจุลผลึก, polacrilin, magnesium stearate และสี (indigo carmine สำหรับเม็ดสีน้ำเงิน และ tartrazine สำหรับเม็ดสีเหลือง) ลอราเซแพมสำหรับฉีดรวมเข้ากับ polyethylene glycol 400 ใน propylene glycol บวกกับ benzyl alcohol 2.0% เพื่อเป็นสารกันเสีย
ยาสำหรับฉีดจะใช้ฉีดในกล้ามเนื้อหรือให้ทางเส้นเลือดดำ โดยเป็นหลอดขนาด 1 มล. และมีลอราเซแพม 2 หรือ 4 มก. สารละลายที่ใช้ก็คือ polyethylene glycol 400 และ propylene glycol และก็ใช้ benzyl alcohol เป็นสารกันเสียเช่นกัน[97]
มีรายงานว่าคนไข้ที่ได้ยาทางเส้นเลือดอย่างต่อเนื่องเกิดพิษเนื่องกับ propylene glycol[98] ยาที่ให้ทางเส้นเลือดดำควรให้อย่างช้า ๆ และคอยเฝ้าตรวจผลข้างเคียง เช่น กดการหายใจ ความดันเลือดต่ำ และทางเดินอากาศติดขัด
แม้จะเห็นผลเบื้องต้น ๆ ก่อนหน้านี้ ฤทธิ์สูงสุดจะเกิดใกล้กับระดับสูงสุดในเลือดโดยคร่าว ๆ[91] เกิดหลังให้ผ่านเส้นเลือดดำ 10 นาที เกิดหลังฉีดเข้ากล้ามเนื้ออาจถึง 60 นาที และเกิดหลังกิน 90-120 นาที[85][91] ขนาดที่ใช้รักษาปกติจะมีผลนาน 6-12 ชม. ทำให้ไม่เหมาะให้ยาวันละครั้ง ดังนั้น จึงให้ 2-4 ครั้งต่อวันโดยอาจเพิ่มเป็น 5-6 ครั้งโดยเฉพาะในคนชราที่ไม่สามารถรับยาขนาดมาก ๆ ได้
ยาลอราเซแพมเฉพาะแห่งสำหรับผิว (topical) แม้จะใช้รักษาอาการคลื่นไส้โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อยู่ในบ้านดูแลคนป่วยหนัก ไม่ควรใช้สำหรับการนี้เพราะไม่มีหลักฐานว่ามีประสิทธิผล[99]
ลอราเซแพมเป็นยาเบ็นโซไดอาเซพีนแบบคลาสสิกชนิดหนึ่ง ชนิดอื่น ๆ รวมทั้งไดแอซิแพม, คโลนะเซแพม, oxazepam, nitrazepam, flurazepam, bromazepam และ clorazepate[100] บริษัทขายยา Wyeth Pharmaceuticals ได้เริ่มวางตลาดยาในปี 1977 ในชื่อการค้าแอทิแวนและเทเมสทา (Temesta)[101] แม้สิทธิบัตรดั้งเดิมสำหรับยาของบริษัทได้หมดอายุไปแล้วในสหรัฐ แต่ยาก็ยังขายได้ดีอยู่[ต้องการอ้างอิง]
ยายังใช้เพื่อการอื่น เช่นเพื่อเป็นยาเสพติด คือใช้ให้ได้ความเมา หรือเมื่อคนไข้ใช้ยาต่อไปในระยะยาวแม้หมอจะห้าม[102]
งานศึกษาการไปหาหมอแผนกฉุกเฉินเพราะยางานใหญ่ทั่วประเทศของรัฐบาลกลางสหรัฐ (SAMHSA) พบว่า ยาระงับประสาทและยานอนหลับเป็นยาที่ใช้นอกเหนือจากที่หมอสั่งมากที่สุดในสหรัฐ โดยการไปหาหมอแผนกฉุกเฉินที่เกี่ยวกับยา 35% เป็นเพราะยาระงับประสาทและยานอนหลับ ในหมวดหมู่นี้ เบ็นโซไดอาเซพีนเป็นยาสามัญที่สุด ทั้งชายหญิงใช้ยานอกเหนือจากที่หมอสั่งเท่า ๆ กัน ในบรรดายาที่ใช้ฆ่าตัวตาย เบ็นโซไดอาเซพีนเป็นยาที่ใช้อย่างสามัญที่สุด คือคนพยายามฆ่าตัวตาย 26% ใช้ยานี้ ลอราเซแพมเป็นยาที่ใช้เป็นอันดับ 3 ในสถิติที่ได้เหล่านี้[103]
ลอราเซแพมเป็นยาที่ควบคุมโดยกฎหมาย (ภายใต้ Schedule IV) ในสหรัฐ และอยู่ในอนุสัญญาของสารออกฤทธิ์ต่อจิต (Convention on Psychotropic Substances) ของสหประชาชาติ[104]
ในปี 2000 บริษัทขายยา Mylan ได้ยินยอมจ่ายค่าปรับ 147 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 5,907 ล้านบาท) เพราะคำกล่าวหาของคณะกรรมการการค้ากลางสหรัฐ (FTC) ว่าบริษัทโก่งราคายาสามัญคือลอราเซแพม 2,600% และ clorazepate (เป็นเบ็นโซไดอาเซพีนอีกชนิดหนึ่ง) 3,200% ในปี 1998 หลังจากได้รับสัญญาผูกขาดสำหรับองค์ประกอบบางอย่างของยา[105]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.