รัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ (ค.ศ. 661–750; อาหรับ: ٱلْخِلَافَة ٱلْأُمَوِيَّة, อักษรโรมัน: al-Khilāfah al-ʾUmawīyah)[2] เป็นรัฐเคาะลีฟะฮ์ที่สองจาก 4 รัฐเคาะลีฟะฮ์หลักหลังการเสียชีวิตของมุฮัมมัด รัฐเคาะลีฟะฮ์นี้ปกครองโดยราชวงศ์อุมัยยะฮ์ (อาหรับ: ٱلْأُمَوِيُّون, อัลอุมะวียูน หรือ بَنُو أُمَيَّة, บะนูอุมัยยะฮ์, "บรรดาบุตรแห่งอุมัยยะฮ์") อุษมาน อิบน์ อัฟฟาน (ครองราชย์ ค.ศ. 644–656) เคาะลีฟะฮ์รอชิดีนองค์ที่ 3 ก็เป็นสมาชิกตระกูลนี้ ตระกูลนี้จัดตั้งการปกครองแบบสืบตระกูลตามราชวงศ์ โดยเริ่มต้นที่มุอาวิยะฮ์ อิบน์ อะบีซุฟยาน ผู้ว่าการแห่งอัชชาม (ซีเรีย) กลายเป็นเคาะลีฟะฮ์องค์ที่ 6 หลังสิ้นสุดฟิตนะฮ์ครั้งที่หนึ่งใน ค.ศ. 661 หลังมุอาวิยะฮ์สวรรคตใน ค.ศ. 680 ความขัดแย้งในการสืบสันตติวงศ์ทำให้เกิดฟิตนะฮ์ครั้งที่สอง[3] และอำนาจนั้นตกเป็นของมัรวานที่ 1 จากสาขาหนึ่งของตระกูล อัชชามยังคงเป็นฐานอำนาจหลักของอุมัยยะฮ์ โดยมีดามัสกัสเป็นเมืองหลวง
รัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ ٱلْخِلَافَة ٱلْأُمَوِيَّة | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
661–750 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
รัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ใน ค.ศ. 750 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
สถานะ | รัฐเคาะลีฟะฮ์ | ||||||||||||||||||||||||||||||||
เมืองหลวง |
| ||||||||||||||||||||||||||||||||
ภาษาทั่วไป | ทางการ: อาหรับคลาสสิก ทางการในบางภูมิภาคจนถึง ค.ศ. 700: คอปติก, กรีก, ละติน, เปอร์เซีย ภาษาอื่น ๆ: แอราเมอิก, เตอร์กิก, เบอร์เบอร์, แอฟริกันโรมานซ์, อาร์มีเนีย โมซาราบิก, สินธี, จอร์เจีย, ปรากฤต, เคิร์ด | ||||||||||||||||||||||||||||||||
ศาสนา | อิสลาม | ||||||||||||||||||||||||||||||||
การปกครอง | รัฐเคาะลีฟะฮ์แบบสืบตระกูล | ||||||||||||||||||||||||||||||||
เคาะลีฟะฮ์ (อะมีรุลมุอ์มินีน) | |||||||||||||||||||||||||||||||||
• 661–680 | มุอาวิยะฮ์ที่ 1 (องค์แรก) | ||||||||||||||||||||||||||||||||
• 744–750 | มัรวานที่ 2 (องค์สุดท้าย) | ||||||||||||||||||||||||||||||||
ประวัติศาสตร์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
661 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
750 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
พื้นที่ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
720[1] | 11,100,000 ตารางกิโลเมตร (4,300,000 ตารางไมล์) | ||||||||||||||||||||||||||||||||
สกุลเงิน |
| ||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ราชวงศ์อุมัยยะฮ์ดำเนินการพิชิตดินแดนโดยมุสลิมต่อ โดยผนวกทรานโซเซียนา, แคว้นสินธ์, อัลมัฆริบ และฮิสเปเนีย (อัลอันดะลุส) เข้าในการปกครองของอิสลาม รัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ในช่วงสูงสุดมีพื้นที่ 11,100,000 ตารางกิโลเมตร (4,300,000 ตารางไมล์)[1] ทำให้เป็นหนึ่งในจักรวรรดิที่ใหญ่สุดตามพื้นที่ ราชวงศ์นี้ถูกโค่นล้มจากการกบฏที่นำโดยอับบาซียะฮ์ใน ค.ศ. 750 สมาชิกเชื้อพระวงศ์ที่รอดชีวิตตั้งถิ่นฐานที่กอร์โดบา ซึ่งภายหลังกลายเป็นเอมิเรต จากนั้นจึงเป็นรัฐเคาะลีฟะฮ์ กลายเป็นศูนย์กลางแห่งวิทยาศาสตร์ การแพทย์ ปรัชญา และการประดิษฐ์ของโลกในช่วงยุคทองของอิสลาม[4][5]
รัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ปกครองเหนือดินแดนที่มีประชากรหลากหลายเชื้อชาติและวัฒนธรรม โดยชาวคริสต์ที่ยังคงเป็นประชากรส่วนใหญ่ในรัฐเคาะลีฟะฮ์ และชาวยิวได้รับอนุญาตให้ประกอบศาสนกิจของตนได้ แต่ต้องจ่ายภาษีรายหัว (ญิซยะฮ์) ที่มุสลิมได้รับข้อยกเว้น[6] ส่วนมุสลิมต้องจ่ายภาษีซะกาต ซึ่งจัดสรรสำหรับโครงการสวัสดิการต่าง ๆ ไว้ชัดเจน[6][7] เป็นผลประโยชน์แก่มุสลิมหรือผู้ที่เข้ารีตอิสลาม[8] ตำแหน่งสำคัญในสมัยเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ตอนต้นยังคงถือครองโดยชาวคริสต์ ซึ่งบางส่วนมาจากตระกูลที่เคยดำรงตำแหน่งในรัฐบาลไบแซนไทน์ การจ้างงานชาวคริสต์เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายความปรองดองทางศาสนาที่กว้างขึ้น ซึ่งจำเป็นต่อการมีอยู่ของประชากรชาวคริสต์จำนวนมากในจังหวัดที่ถูกยึดครอง (เช่น ซีเรีย) นโยบายนี้เพิ่มความนิยมของราชวงศ์อุมัยยะฮ์และทำให้ซีเรียเป็นฐานอำนาจของตน[9][10] สมัยอุมัยยะฮ์มักถือเป็นยุคก่อตั้งของศิลปะอิสลาม[11]
ประวัติ
ต้นกําเนิด
อิทธิพลยุคแรก
ในยุคก่อนอิสลาม ตระกูลอุมัยยะฮ์ หรือ "บะนูอุมัยยะฮ์" เป็นตระกูลชั้นนำของเผ่ากุร็อยช์แห่งมักกะฮ์[12] ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 6 ตระกูลอุมัยยะฮ์ครอบครองเครือข่ายการค้าของกุร็อยช์กับอัชชาม ที่รุ่งเรืองมากขึ้น และพัฒนาพันธมิตรทางเศรษฐกิจและการทหารกับชนเผ่าอาหรับร่อนเร่ที่ควบคุมทะเลทรายอาหรับตอนเหนือและตอนกลาง ทำให้กลุ่มมีอำนาจทางการเมืองในระดับภูมิภาค[13] ตระกูลอุมัยยะฮ์ภายใต้การนำของอะบูซุฟยาน อิบน์ ฮัรบ์ ผู้นำหลักของมักกะฮ์ที่เป็นฝ่ายต่อต้านศาสดามุฮัมมัด แต่หลังจากการยึดครองมักกะฮ์ใน ค.ศ. 630 อะบูซุฟยานกับเผ่ากุร็อยช์หันมาเข้ารับอิสลาม[14][15] เพื่อประนีประนอมกับชนเผ่ากุร็อยช์ที่มีอิทธิพล มุฮัมมัดจึงให้อดีตศัตรู (รวมถึงอะบูซุฟยาน) ดำรงตำแหน่งในระบบใหม่[16][17][18] อะบูซุฟยานกับตระกูลของเขาย้ายไปที่มะดีนะฮ์ ศูนย์กลางทางการเมืองของอิสลาม เพื่อรักษาอิทธิพลทางการเมืองที่เพิ่งผ่านการจัดตั้งในชุมชนมุสลิม[19]
การเสียชีวิตของมุฮัมมัดใน ค.ศ. 632 ปล่อยให้มีการสืบทอดความเป็นผู้นำของชุมชนมุสลิม[20] ผู้นำของชาวอันศอร ผู้อาศัยในมะดีนะฮ์ที่ให้ความปลอดภัยแก่มุฮัมมัดหลังการอพยพออกจากมักกะฮ์ใน ค.ศ. 622 ปรึกษาถึงการส่งผู้สมัครของตนเองด้วยความกังวลว่าชาวมุฮาญิรูน ผู้ติดตามช่วงแรกและผู้อพยพจากมักกะฮ์ของมุฮัมมัด จะเป็นพันธมิตรกับชนเผ่าของตนเองจากอดีตชนชั้นนำกุร็อยช์ และควบคุมรัฐมุสลิม[21] ฝ่ายมุฮาญิรูนให้ความจงรักภักดีต่ออะบูบักร์ ผู้ติดตามของมุฮัมมัดยุคแรก และทำให้การพิจารณาของฝ่ายอันศอรสิ้นสุดลง[22] ฝ่ายอันศอรกับชนชั้นนำกุร็อยช์ยอมรับและรับรองเขาเป็นเคาะลีฟะฮ์ (ผู้นำของสังคมมุสลิม)[23] พระองค์ให้การสนับสนุนตระกูลอุมัยยะฮ์ด้วยการให้รางวัลพวกเขาจากการมีบทบาทในการพิชิตลิแวนต์โดยมุสลิม หนึ่งในผู้มีส่วนร่วมคือยะซีด บุตรของอะบูซุฟยาน เป็นผู้ถือครองทรัพย์สินและดูแลเครือข่ายการค้าในอัชชาม[24][25]
อุมัร (ค. 634 – 644) ผู้สืบทอดต่อจากอะบูบักร์ ได้ลดอิทธิพลของชนชั้นนำกุร็อยช์ลง เพื่อให้การสนับสนุนแก่ผู้สนับสนุนก่อนหน้าของมุฮัมมัด ทั้งในการบริหารและการทหาร แต่ถึงกระนั้นก็ยอมให้บุตรชายของอะบูซุฟยานตั้งฐานที่มั่นในอัชชามเพิ่มขึ้น โดยพื้นที่นี้ทั้งหมดถูกพิชิตใน ค.ศ. 638[26] เมื่ออะบูอุบัยดะฮ์ อิบน์ อัลญัรรอห์ ผู้บังคับการแคว้นโดยรวมของอุมัร เสียชีวิตใน ค.ศ. 639 พระองค์แต่งตั้งให้ยะซีดเป็นผู้ว่าการอำเภอดามัสกัส, ปาเลสไตน์ และจอร์แดนของอัชชาม[26] ไม่นานยะซีดก็เสียชีวิต อุมัรจึงแต่งตั้งให้มุอาวิยะฮ์ดำรงตำแหน่งนี้ต่อ[27] ภายใต้การปกครองของมุอาวิยะฮ์ อัชชามยังคงความสงบเรียบร้อย มีระเบียบ และมีการป้องกันอย่างดีจากอดีตผู้นำไบแซนไทน์[28]
รัฐเคาะลีฟะฮ์ของอุษมาน
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การบริหาร
เคาะลีฟะฮ์สี่องค์แรกจัดตั้งการปกครองที่มั่นคงแก่จักรวรรดิ ตามแนวทางปฏิบัติและสถาบันการปกครองของจักรวรรดิไบแซนไทน์ที่เคยปกครองในภูมิภาคเดียวกัน[29] ประกอบด้วยฝ่ายของรัฐบาล 4 ฝ่าย คือ: ฝ่ายการเมือง ฝ่ายการทหาร ฝ่ายเก็บภาษี และฝ่ายบริหารศาสนา แต่ละฝ่ายจะมีสาขา สำนักงาน และแผนกต่าง ๆ แยกย่อย
แคว้น
ในทางภูมิศาสตร์ จักรวรรดิแบ่งออกเป็นหลายแคว้น โดยมีการเปลี่ยนเขตชายแดนของแคว้นในสมัยอุมัยยะฮ์หลายครั้ง แต่ละเแคว้นมีผู้ว่าการที่ได้รับการแต่งตั้งจากเคาะลีฟะฮ์ โดยผู้ว่าการเป็นผู้ดูแลฝ่ายศาสนา ผู้นำกองทัพ ตำรวจ และผู้บริหารพลเรือนในแคว้นของตน ค่าใช้จ่ายในท้องถิ่นจ่ายเป็นภาษีที่มาจากแคว้นนั้น โดยส่วนที่เหลือในแต่ละปีจะถูกส่งไปยังรัฐบาลกลางในดามัสกัส
เมื่อรัฐบาลกลางของผู้นำราชวงศ์อุมัยยะฮ์ในยุคหลังเสื่อมถอย ผู้ว่าการบางคนละเลยที่จะส่งรายได้ภาษีเพิ่มเติมไปยังดามัสกัสและสร้างความมั่งคั่งส่วนตัวเป็นอย่างมาก[30]
พนักงานราชการ
เมื่อจักรวรรดิเติบโตขึ้น จำนวนแรงงานอาหรับที่ผ่านเกณฑ์มีน้อยเกินที่จะรับมือกับการขยายตัวของจักรวรรดิอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น มุอาวิยะฮ์จึงอนุญาตให้พนักงานราชการท้องถิ่นในแคว้นที่ถูกพิชิตยังคงรักษางานของตนต่อไปในรัฐบาลอุมัยยะฮ์ใหม่ ทำให้มีการบันทึกผลงานของรัฐบาลท้องถิ่นส่วนมากในภาษากรีก, คอปติก และเปอร์เซีย จนกระทั่งรัชสมัยอับดุลมะลิกที่เริ่มมีการบันทึกผลงานรัฐบาลในภาษาอาหรับ[30]
การทหาร
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
สกุลเงิน
ก่อนการพิชิตโดยมุสลิม จักรวรรดิไบแซนไทน์และซาเซเนียนพึ่งพาเงินตราเป็นสื่อกลาง และยังมีการใช้ระบบนั้นในสมัยอุมัยยะฮ์ โดยมีการใช้เหรียญกษาปณ์ไบแซนไทน์จนถึง ค.ศ. 658 และยังคงมีการใช้เหรียญทองไบแซนไทน์จนกระทั่งมีการปฏิรูปทางการเงิน ประมาณ ค.ศ. 700[31] นอกจากนี้ รัฐบาลอุมัยยะฮ์เริ่มผลิตเหรียญของตนเองในดามัสกัส ซึ่งเดิมมีความคล้ายคลึงกับเหรียญที่มีอยู่ก่อนหน้า แต่พัฒนาไปในทิศทางใหม่ เหรียญเหล่านี้ถือเป็นเหรียญแรกในประวัติศาสตร์ที่รัฐบาลมุสลิมผลิตขึ้นมา โดยเหรียญทองมีชื่อเรียกว่า "ดีนาร" ส่วนเหรียญเงินเรียกว่า "ดิรฮัม"[30]
โครงสร้างสังคม
รัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์มีชนชั้นทางสังคม 4 ชั้นหลัก:
- ชาวอาหรับมุสลิม
- มุสลิมที่ไม่ใช่ชาวอาหรับ
- ษิมมี (ผู้เป็นไทที่ไม่ใช่มุสลิม เช่น ชาวคริสต์ ยิว และโซโรอัสเตอร์)
- ทาส
ชาวอาหรับมุสลิมอยู่ในระดับสูงสุดของสังคมและมองเป็นหน้าที่ต้องปกครองเหนือพื้นที่ที่ถูกยึดครอง พวกเขาถือตนสูงกว่ามุสลิมที่ไม่ใช่ชาวอาหรับ และโดยทั่วไปมักไม่ปะปนกับมุสลิมกลุ่มอื่น ๆ
เมื่อศาสนาอิสลามขยายออกไป ทำให้มีประชากรมุสลิมที่ไม่ใช่ชาวอาหรับมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้สังคมเกิดความไม่สงบ เนื่องจากผู้เข้ารีตใหม่ไม่มีสิทธิเดียวกันกับชาวอาหรับมุสลิม และเมื่อมีผู้เข้ารีตมากขึ้น รายได้ภาษี (ภาษีชาวนา) จากผู้มิใช่มุสลิมลดลงจนอยู่ในระดับอันตราย ปัญหาเหล่านี้มีแต่จะเลวร้ายจนกระทั่งพวกเขาช่วยก่อให้เกิดการปฏิวัติราชวงศ์อับบาซียะฮ์ในคริสต์ทศวรรษ 740[32]
ผู้มิใช่มุสลิม
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
สิ่งสืบทอด
รัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์มีความสำคัญทั้งจากการขยายดินแดนและปัญหาด้านการปกครองกับวัฒนธรรมที่มาจากการขยายดินแดน แม้จะมีข้อยกเว้นที่น่าสังเกตอยู่บ้าง ฝ่ายอุมัยยะฮ์มักให้สิทธิแก่ตระกูลอาหรับเก่าแก่หลายตระกูล โดยเฉพาะพวกของตนเอง มากกว่ากลุ่มผู้ที่เข้ารับอิสลามใหม่ ดังนั้น พวกเขายึดมั่นในแนวคิดสากลของอิสลามน้อยกว่าฝ่ายศัตรูหลายกลุ่ม ดังที่ G.R. Hawting เขียนไว้ว่า "แท้จริงแล้วอิสลามถูกมองว่าเป็นทรัพย์สินของชนชั้นสูงผู้พิชิต"[33]
ในสมัยอุมัยยะฮ์ ภาษาอาหรับกลายเป็นภาษาฝ่ายบริหาร และมีการแผลงเป็นอาหรับในลิแวนต์ เมโสโปเตเมีย แอฟริกาเหนือ และไอบีเรีย เอกสารและสกุลเงินของรัฐเขียนด้วยภาษาอาหรับ การเปลี่ยนศาสนาจำนวนมากก่อให้เกิดประชากรมุสลิมในรัฐเคาะลีฟะฮ์เพิ่มขึ้น
รายงานจากมุมมองทั่วไปมุมมองหนึ่ง ราชวงศ์อุมัยยะฮ์เปลี่ยนแปลงรัฐเคาะลีฟะฮ์จากสถาบันศาสนา (ในสมัยรัฐเคาะลีฟะฮ์รอชิดีน) ไปเป็นสถาบันราชวงศ์[34] อย่างไรก็ตาม เคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ดูเหมือนจะเข้าใจตนเองเป็นตัวแทนของพระเจ้าบนโลก และมีต้องรับผิดชอบต่อ "ความหมายและรายละเอียดในกฎเกณฑ์ของพระเจ้า หรืออีกนัยหนึ่งคือคำจำกัดความหรือคำอธิบายโดยละเอียดของกฎหมายอิสลาม"[35]
นักประวัติศาสตร์อิสลามยุคหลังตอบรับรัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ในเชิงลบอย่างมาก โดยกล่าวหาพวกเขาว่าสนับสนุนความเป็นกษัตริย์ (มุลก์ เป็นศัพท์ที่มีความหมายแฝงว่า ทรราช) แทนรัฐเคาะลีฟะฮ์ที่แท้จริง (คิลาฟะฮ์) ในแง่นี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์มักไม่เรียกตนเองว่า เคาะลีฟะฮ์ เราะซูลุลลอฮ์ ("ผู้สืบทอดของศาสนทูตของอัลลอฮ์" ตำแหน่งที่พบในธรรมเนียม) แต่เรียกเป็น เคาะลีฟะตุลลอฮ์ ("ตัวแทนของพระเจ้า") ความแตกต่างดูเหมือนจะบ่งบอกว่า อุมัยยะฮ์ "ถือตนเองเป็นตัวแทนของพระเจ้าที่ประมุขของชุมชน และเห็นว่าไม่จำเป็นต้องแบ่งปันหรือมอบหมายอำนาจทางศาสนาของพวกตนแก่ชั้นนักวิชาการศาสนาที่กำลังเติบโต"[36]
ชาตินิยมอาหรับสมัยใหม่จัดให้สมันอุมัยยะฮ์เป็นส่วนหนึ่งในยุคทองของชาวอาหรับ[ไม่แน่ใจ ] โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มชาตินิยมซีเรียกับประเทศซีเรียในปัจจุบัน ซึ่งมีจุดศูนย์กลางของอุมัยยะฮ์ที่ดามัสกัส[37] ธงขิงรัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์เป็นสีขาว ตามธงของมุอาวิยะฮ์ อิบน์ อะบีซุฟยาน[38] ปัจจุบันเป็นหนึ่งใน 4 สีกลุ่มชนอาหรับที่ปรากฏในธงชาติของชาติอาหรับส่วนใหญ่
สถาปัตยกรรม
ตระกูลอุมัยยะฮ์สร้างมัสยิดใหญ่และพระราชวังทะเลทรายทั่วลิแวนต์, อียิปต์และแอฟริกาเหนือ เช่นเดียวกันกับการสร้างเมืองทหารรักษาการณ์ (อัมศอร) เพื่อป้องกันชายแดนของตน เช่นที่อัลฟุสฏอฏ, อัลก็อยเราะวาน, กูฟะฮ์, บัสรา และมันศูเราะฮ์ อาคารหลายแห่งมีรูปแบบสถาปัตยกรรมและภาพวาดแบบไบแซนไทน์ เช่น โมเสกโรมันกับเสาแบบคอรินเทียน อาคารที่มีชื่อเสียงที่สุดได้แก่โดมแห่งศิลาที่เยรูซาเลม และมัสยิดอุมัยยะฮ์ที่ดามัสกัส[34] และสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ อย่างพระราชวังของฮิชาม, ก็อศร์อัมเราะฮ์, มัสยิดใหญ่แห่งอัลก็อยเราะวาน และมัสยิดใหญ่แห่งอเลปโป
มุมมองศาสนา
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
รายพระนาม
เคาะลีฟะฮ์ | ครองราชย์ |
---|---|
เคาะลีฟะฮ์แห่งดามัสกัส | |
มุอาวิยะฮ์ที่ 1 อิบน์ อะบีซุฟยาน | 28 กรกฎาคม 661 – 27 เมษายน 680 |
ยะซีดที่ 1 อิบน์ มุอาวิยะฮ์ | 27 เมษายน 680 – 11 พฤศจิกายน 683 |
มุอาวิยะฮ์ที่ 2 อิบน์ ยะซีด | 11 พฤศจิกายน 683 – มิถุนายน 684 |
มัรวานที่ 1 อิบน์ อัลฮะกัม | มิถุนายน 684 – 12 เมษายน 685 |
อับดุลมะลิก อิบน์ มัรวาน | 12 เมษายน 685 – 8 ตุลาคม 705 |
อัลวะลีดที่ 1 อิบน์ อับดุลมะลิก | 8 ตุลาคม 705 – 23 กุมภาพันธ์ 715 |
สุลัยมาน อิบน์ อับดุลมะลิก | 23 กุมภาพันธ์ 715 – 22 กันยายน 717 |
อุมัร อิบน์ อับดุลอะซีซ | 22 กันยายน 717 – 4 กุมภาพันธ์ 720 |
ยะซีดที่ 2 อิบน์ อับดุลมะลิก | 4 กุมภาพันธ์ 720 – 26 มกราคม 724 |
ฮิชาม อิบน์ อับดุลมะลิก | 26 มกราคม 724 – 6 กุมภาพันธ์ 743 |
อัลวะลีดที่ 2 อิบน์ ยะซีด | 6 กุมภาพันธ์ 743 – 17 เมษายน 744 |
ยะซีดที่ 3 อิบน์ อัลวะลีด | 17 เมษายน 744 – 4 ตุลาคม 744 |
อิบรอฮีม อิบน์ อัลวะลีด | 4 ตุลาคม 744 – 4 ธันวาคม 744 |
มัรวานที่ 2 อิบน์ มุฮัมมัด | 4 ธันวาคม 744 – 25 มกราคม 750 |
ดูเพิ่ม
หมายเหตุ
อ้างอิง
บรรณานุกรม
อ่านเพิ่ม
Wikiwand in your browser!
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.