การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ พ.ศ. 2559
From Wikipedia, the free encyclopedia
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ พ.ศ. 2559 เป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐรอบทุกสี่ปีครั้งที่ 58 มีขึ้นในวันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน 2559 นักธุรกิจ ดอนัลด์ ทรัมป์ และผู้ว่าการรัฐอินดีแอนา ไมก์ เพนซ์ ผู้สมัครพรรคริพับลิกัน ชนะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ฮิลลารี คลินตัน และสมาชิกวุฒิสภารัฐเวอร์จิเนีย ทิม เคน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ทางการเมืองที่น่าประหลาดใจที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา
| |||||||||||||||||||||||||||||
คณะผู้เลือกตั้ง 538 คน ต้องการ 270 เสียง เสียงจึงชนะ | |||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ผู้ใช้สิทธิ | 60.1%[1] 0.8% | ||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||
แผนที่ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี สีแดงแสดงรัฐที่ทรัมป์/เพนซ์ชนะ สีน้ำเงินแสดงรัฐที่คลินตัน/เคนชนะ จำนวนแสดงคะแนนของผู้เลือกตั้งที่แบ่งสรรให้ผู้ชนะของรัฐนั้น ๆ คะแนนเสียงอสัตย์: คอลิน พอเวลล์ 3 (WA), จอห์น เคซิก 1 (TX), รอน พอล 1 (TX), เบอร์นี แซนเดอส์ 1 (HI), เฟธสปอตเต็ดอีเกิล 1 (WA) | |||||||||||||||||||||||||||||
|
บารัก โอบามา ประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่งอยู่จากพรรคเดโมแครต ไม่มีสิทธิได้รับเลือกตั้งเป็นสมัยที่สาม เนื่องจากข้อจำกัดวาระที่กำหนดโดยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งที่ 22 คลินตันเอาชนะสมาชิกวุฒิสภา เบอร์นี แซนเดอร์ส ไปได้ในการเลือกตั้งไพรมารี่ของพรรคเดโมแครต และกลายเป็นแคนดิเดตประธานาธิบดีผู้หญิงคนแรกของพรรคใหญ่ ทรัมป์ปรากฏขึ้นมาเป็นตัวเต็งแคนดิเดตประธานาธิบดีหลังการเลือกตั้งไพรมารี่ของพรรคริพับลิกัน หลังจากเอาชนะสมาชิกวุฒิสภา เท็ด ครูซ และ มาร์โค รูบิโอ้, ผู้ว่ารัฐ จอห์น คาซิช และ เจ๊บ บุช, และแคนดิเดตคนอื่น ๆ นโยบายประชานิยมเอียงขวา, แคมเปญชาตินิยม ที่สัญญาว่าจะ "ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง" ("Make America Great Again") และต่อต้านความถูกต้องทางการเมือง (political correctness), ผู้ลี้ภัยผิดกฎหมาย, และข้อตกลงการค้าเสรีของสหรัฐฯ ของทรัมป์ ได้รับการนำเสนอในสื่อเป็นอย่างมาก เนื่องจากคำพูดกระตุ้นอารมณ์ที่ทรัมป์ใช้ คลินตันเน้นย้ำถึงประสบการณ์ทางการเมืองของเธอ, ประณามทรัมป์และผู้สนับสนุนของทรัมป์ว่าเป็น "ตะกร้าของพวกน่าสังเวช" ("basket of deplorables"), พวกหัวดื้อและพวกหัวรุนแรง, และสนับสนุนการขยับขยายนโยบายของประธานาธิบดี บารัก โอบามา; นโยบายด้านเชื้อชาติ, LGBT, และสิทธิสตรี; และทุนนิยมที่ไม่ทิ้งไว้ข้างหลัง (inclusive capitalism)
การหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ถูกมองว่ามีโทนที่ทำให้แตกแยก, ให้ความรู้สึกเชิงลบ, และน่าหนักใจ ทรัมป์มีประเด็นในด้านมุมมองเกี่ยวกับเชื้อชาติและผู้ลี้ภัย, ความรุนแรงที่เกิดกับผู้ชุมนุมต่อต้านทรัมป์ระหว่างทรัมป์หาเสียง, และข้อกล่าวหาเรื่องการประพฤติผิดทางเพศ รวมถึงเทป Access Hollywood ความนิยมและภาพลักษณ์ของคลินตันแย่ลงจากความกังวลในจริยธรรมและความน่าเชื่อถือของเธอ, และประเด็นการใช้อีเมลส่วนตัวขณะที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ซึ่งตามมาด้วยการสืบสวนสอบสวนของ FBI), ซึ่งถูกสื่อนำเสนอมากกว่าประเด็นอื่น ๆ ในช่วงหาเสียง คลินตันมีคะแนนนำทั้งในโพลทั่วประเทศ และโพลรัฐ swing state, โดยมีโมเดลคาดการณ์บางโมเดลมองว่าคลินตันมีโอกาสชนะมากกว่า 90%
ในวันเลือกตั้ง ทรัมป์ทำได้ดีกว่าในโพล โดยชนะในรัฐ swing states ที่สำคัญหลายรัฐในขณะที่แพ้คะแนนมหาชนไป 2.87 ล้านเสียง ทรัมป์ได้รับเสียงส่วนมากในคณะผู้เลือกตั้งและชนะอย่างไม่น่าเชื่อในแถบ Rust Belt การชนะเลือกตั้งในแถบนี้ (ซึ่งทรัมป์ชนะด้วยคะแนนน้อยกว่า 80,000 เสียงในสามรัฐ) ถูกมองว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ทรัมป์ชนะคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง ชัยชนะที่น่าประหลาดใจของทรัมป์ถูกมองว่าเกิดจากการที่คลินตันไม่มาหาเสียงในแถบนี้, และอิทธิพลของกลุ่มผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงที่สนับสนุนแซนเดอร์ส-ทรัมป์ที่เลือกที่จะไม่สนับสนุนคลินตันหลังจากแซนเดอร์สออกจากการเลือกตั้งไพรมารี่ ท้ายที่สุด ทรัมป์ได้รับคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 304 เสียง คลินได้รับ 227 เสียง เนื่องจากมี faithless elector 2 คนไม่ลงคะแนนให้ทรัมป์ และอีก 5 คนไม่ลงคะแนนให้คลินตัน ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ไม่มีประสบการณ์ทางด้านราชการหรือทางการทหาร นี่เป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 5 และครั้งล่าสุดที่ผู้สมัครที่ชนะการเลือกตั้งแพ้คะแนนมหาชน
สำหรับพรรคอื่น ๆ ที่มีชื่ออยู่บนบัตรเลือกตั้งทั้ง 50 รัฐและ DC, แกรี่ จอห์นสัน จากพรรคลิเบอร์เทเรี่ยนได้รับประมาณ 4.5 ล้านเสียง (3.27%), ซึ่งมากที่สุดสำหรับแคนดิเดตพรรคที่สาม (third party) ตั้งแต่ รอสส์ เพโรต์ ในการเลือกตั้งปี 2539, จิล สไตน์ จากพรรคกรีนได้รับประมาณ 1.45 ล้านเสียง (1.06%) อีแวน แมคมูลิน ได้รับคะแนนเสียง 21.54% ในรัฐยูทาห์ซึ่งเป็นรัฐบ้านเกิด, เป็นเปอร์เซ็นต์คะแนนสูงสุดสำหรับแคนดิเดตที่ไม่ได้มาจากพรรคใหญ่ตั้งแต่ปี 2535
วันที่ 6 มกราคม 2017 หน่วยข่าวกรองสหรัฐอเมริกา (United States Intelligence Community) สรุปว่ารัฐบาลรัสเซียเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งปี 2559 เพื่อที่จะ "บ่อนทำลายศรัทธาของสาธารณชนต่อกระบวนการประชาธิปไตยของสหรัฐฯ, ใส่ร้ายป้ายสีรัฐมนตรีฯ คลินตันและทำให้เธอดูไม่เหมาะสมที่จะถูกเลือกตั้งขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี" Special Counsel เริ่มต้นการสืบสวนสอบสวนในเดือนพฤษภาคม 2560 ถึงข้อกล่าวหาที่ว่ามีการสมรู้ร่วมคิดระหว่างรัสเซียและฝ่ายทรัมป์ การสืบสวนสอบสวนสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2562 การสืบสวนสอบสวนสรุปว่าการที่รัสเซียเข้ามาแทรกแซงให้ทรัมป์ชนะนั้น เกิดขึ้น "อย่างเป็นระบบและทั่วถึง", แต่ "ไม่มีการยืนยันว่าคนจากฝ่ายทรัมป์สมรู้ร่วมคิดหรือร่วมมือกับรัฐบาลรัสเซีย"