Remove ads
ภาพยนตร์ที่ออกฉายใน ค.ศ. 1997 กำกับโดยเจมส์ แคเมอรอน จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไททานิค (อังกฤษ: Titanic) เป็นภาพยนตร์อเมริกันแนวมหากาพย์ โรแมนติก ภัยพิบัติ ที่ออกฉายในปี ค.ศ. 1997 กำกับ เขียนบท ร่วมอำนวยการสร้างและร่วมตัดต่อโดย เจมส์ แคเมอรอน สร้างจากเหตุการณ์การอับปางของเรือ อาร์เอ็มเอส ไททานิก ผสมผสานทั้งด้านประวัติศาสตร์และด้านสมมติ แสดงนำโดย ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอและเคต วินสเล็ต เป็นคนในชนชั้นทางสังคมที่แตกต่างกันซึ่งตกหลุมรักกันในระหว่างการเดินทางครั้งแรกของเรือ ร่วมกับ บิลลี เซน เคที เบตส์ ฟรานเซส ฟิชเชอร์ เบอร์นาด ฮิลล์ โจนาธาน ไฮด์ แดนนี นุชชี เดวิด วอร์เนอร์ และ บิล แพกซ์ตัน
ไททานิค | |
---|---|
ใบปิดภาพยนตร์ | |
กำกับ | เจมส์ แคเมอรอน |
เขียนบท | เจมส์ แคเมอรอน |
อำนวยการสร้าง |
|
นักแสดงนำ |
|
กำกับภาพ | รัสเซลล์ คาร์เพนเตอร์ |
ตัดต่อ |
|
ดนตรีประกอบ | เจมส์ ฮอร์เนอร์ |
บริษัทผู้สร้าง |
|
ผู้จัดจำหน่าย |
|
วันฉาย |
|
ความยาว | 195 นาที[3] |
ประเทศ | สหรัฐ |
ภาษา | อังกฤษ |
ทุนสร้าง | 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[4][5][6] |
ทำเงิน | 2.264 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[7] |
แรงบันดาลใจสำหรับภาพยนตร์ของแคเมอรอนมาจากความหลงใหลในซากเรือแตก เขารู้สึกว่าเรื่องราวความรักสลับกับการสูญเสียของมนุษย์จะเป็นสิ่งสำคัญในการถ่ายทอดผลกระทบทางอารมณ์ของภัยพิบัติ งานสร้างเริ่มต้นเมื่อ ค.ศ. 1995 ซึ่งแคเมอรอนได้ลงไปถ่ายทำซากเรือ ไททานิก ส่วนฉากในยุคปัจจุบันถ่ายทำบนเรือวิจัย อะคาเดมิก มิสติสลาฟ เคลดิช ซึ่งแคเมอรอนใช้เป็นฐานในการถ่ายทำซากเรือ มีการสร้างแบบขนาดจำลอง, การใช้ภาพที่สร้างจากคอมพิวเตอร์และการก่อสร้าง ไททานิก ใหม่ที่ บาฮาสตูดิโอ เพื่อใช้ในการถ่ายทำฉากการจม ภาพยนตร์ได้รับทุนสร้างร่วมกันจาก พาราเมาต์พิกเจอส์ (เป็นผู้จัดจำหน่ายในสหรัฐและแคนาดา) และ ทเวนตีท์เซนจูรีฟอกซ์ (เป็นผู้จัดจำหน่ายทั่วโลก) เคยเป็นภาพยนตร์ที่มีทุนสร้างสูงที่สุดในช่วงเวลานั้น โดยมีทุนสร้าง 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพยนตร์ถ่ายทำตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1996 ถึงเดือนมีนาคม ค.ศ. 1997
เมื่อฉายวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1997 ไททานิค ประสบความสำเร็จอย่างมากในด้านคำวิจารณ์และรายได้ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงใน รางวัลออสการ์ จำนวน 14 สาขา และชนะเลิศ 11 สาขา รวมถึง สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และ สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม เท่ากับ เบนเฮอร์ (1959) สำหรับภาพยนตร์เดี่ยวที่ได้รับรางวัลออสการ์มากที่สุด ภาพยนตร์ทำเงินจากการฉายครั้งแรกมากกว่า 1.84 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ไททานิค เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ทำเงินมากกว่าพันล้านดอลลาร์สหรัฐและกลายเป็นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดในเวลานั้น จนกระทั่ง อวตาร ของแคเมอรอนทำเงินแซงไปเมื่อ ค.ศ. 2010 ไททานิค กลับมาฉายอีกหลายครั้ง ทำเงินเพิ่มเป็น 2.264 พันล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก ไททานิค ได้รับเลือกให้เก็บรักษาไว้ในหอทะเบียนภาพยนตร์แห่งชาติของสหรัฐเมื่อ ค.ศ. 2017
ใน ค.ศ. 1996 นักล่าสมบัติ บร็อก เลิฟเวตต์ และทีมของเขาขึ้นเรือวิจัย อะคาเดมิก มิสติสลาฟ เคลดิช เพื่อสำรวจซากเรือแตกของ อาร์เอ็มเอส ไททานิก และหวังว่าจะพบสร้อยคอที่มีชื่อว่า หัวใจมหาสมุทร พวกเขากู้ตู้นิรภัยซึ่งมีภาพวาดของหญิงสาวใส่แค่สร้อยคอ ลงวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1912 วันที่เรือชนภูเขาน้ำแข็งและอับปาง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 1,500 คน[Note 1] โรส ดอว์สัน แคลเวิร์ต ติดต่อเลิฟเวตต์หลังจากเห็นรายงานทางโทรทัศน์เกี่ยวกับการค้นพบนี้ และเปิดเผยว่าเธอคือผู้หญิงที่อยู่ในรูปวาด แคลเวิร์ตนำโรสและหลานสาวของเธอขึ้นเรือ เคลดิช เพื่อหวังว่าเธอจะช่วยค้นหาสร้อยคอได้และโรสเล่าถึงประสบการณ์ของเธอในฐานะผู้โดยสารเรือ ไททานิก
ใน ค.ศ. 1912 โรส เดวิตต์ บูเคเตอร์ อายุ 17 ปี ขึ้นเรือ ไททานิก ที่เซาแทมป์ตัน พร้อมกับ แคล ฮอกลีย์ คู่หมั้นของเธอ และ รูธ แม่ของเธอ รูธเน้นย้ำกับโรสว่าการแต่งงานของโรสจะช่วยแก้ปัญหาด้านการเงินของครอบครัว แต่โรสกลับไม่มีความสุขกับการหมั้นหมายที่ไม่มีความรัก เธอจึงปีนรั้วกั้นท้ายเรือและพยายามที่จะฆ่าตัวตาย แจ็ก ดอว์สัน ศิลปินเร่ร่อนผู้ยากจนที่ได้รับตั๋วจากเกมโป๊กเกอร์ ได้เข้ามาห้ามเธอ แจ็กกับโรสเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์ และแจ็กก็สารภาพความรู้สึกที่เพิ่มมากขึ้นที่มีต่อเธอ แม้ว่าในตอนแรกจะต่อต้าน แต่โรสก็รู้ตัวว่าเธอตกหลุมรักแจ็กแล้ว แม้ว่าแคลและรูธจะไม่เห็นด้วยก็ตาม
โรสพาแจ็กไปที่ห้องส่วนตัวของเธอ เธอขอให้แจ็กวาดภาพเธอเปลือยกายโดยใส่แค่สร้อยคอหัวใจมหาสมุทร หลังจากนั้น พวกเขาหลบหนีเลิฟจอย คนรับใช้ของแคล และมีเพศสัมพันธ์ในรถยนต์ในที่เก็บสินค้า บนดาดฟ้าด้านหน้า พวกเขาเห็นการปะทะกันของเรือกับภูเขาน้ำแข็งและได้ยินเจ้าหน้าที่และผู้สร้างเรือพูดคุยถึงความร้ายแรงของมัน แคลพบภาพวาดโรสของแจ็กกับบันทึกดูถูกจากเธอในตู้นิรภัยของเขาพร้อมกับสร้อยคอ เมื่อแจ็กกับโรสพยายามที่จะบอกแคลเรื่องเรือชนภูเขาน้ำแข็ง แคลตอบโต้ด้วยการให้เลิฟจอยแอบใส่สร้อยคอไว้ในกระเป๋าเสื้อของแจ็ก และกล่าวว่าเขาเป็นขโมย แจ็กถูกจับและถูกคุมขังในห้องของเจ้าหน้าที่ควบคุมเรือ แคลใส่สร้อยคอไว้ในกระเป๋าเสื้อของเขาเอง
ขณะที่เรือกำลังจมลง โรสหนีแคลกับแม่ของเธอซึ่งได้ขึ้นเรือบด ไปช่วยปลดปล่อยแจ็ก บนดาดฟ้าเรือ แคลได้พบแจ็กกับโรสอีกครั้ง แคลและแจ็กสนับสนุนให้โรสขึ้นเรือบด แคลอ้างว่าได้ตกลงกับเจ้าหน้าที่ไว้แล้วว่าจะลงเรืออีกลำหนึ่งกับแจ็ก ซึ่งแท้จริงแล้วแจ็กไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ขณะที่เรือบดกำลังลดระดับลง โรสรู้ตัวว่าเธอไม่สามารถแยกห่างจากแจ็กได้ เธอจึงโดดกลับขึ้นเรือ แคลเอาปืนพกของเลิฟจอยแล้วไล่ตามยิงโรสกับแจ็กไปจนถึงในห้องรับประทานอาหารชั้นหนึ่ง หลังเขาใช้กระสุนหมดแล้วจึงลดละ และมานึกได้ว่าใส่สร้อยคอเพชรไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุมที่เขาสวมให้กับโรส ต่อมาเขาได้ขึ้นเรือบดโดยอุ้มเด็กที่หลงกับแม่และอ้างตัวว่าเขาเป็นพ่อ เพื่อที่จะได้ลงเรือลำนั้น
เมื่อหัวเรือที่ถูกน้ำท่วมจมลง ท้ายเรือก็ยกสูงขึ้นไปในอากาศ และแจ็กกับโรสก็เกาะราวเรือไว้ เมื่อเรือแตกออกเป็นสองส่วน และท้ายเรือจมลงไปในน้ำเย็นจัดพร้อมกับผู้โดยสารที่เหลืออยู่ แจ็กช่วยโรสขึ้นไปบนเศษซากเล็ก ๆ ที่ลอยน้ำได้ และสัญญากับเธอว่าจะมีชีวิตรอดและมีชีวิตอย่างเต็มที่ แจ็กเสียชีวิตด้วยภาวะตัวเย็นเกินและร่างของเขาก็จมลงสู่มหาสมุทร และโรสได้รับการช่วยเหลือจากเรือบดที่พายกลับมา ต่อมา อาร์เอ็มเอส คาร์เพเทีย ได้ช่วยเหลือเหล่าผู้รอดชีวิตขึ้นเรือ โรสหลบซ่อนแคลขณะที่เรือเดินทางไปนครนิวยอร์ก โรสได้เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น โรส ดอว์สัน
กลับมาในปัจจุบัน โรสกล่าวว่าเธอได้อ่านหนังสือพิมพ์แล้วพบว่า แคลฆ่าตัวตายหลังจากสูญเสียทรัพย์สมบัติของเขาจากเหตุการณ์ตลาดหลักทรัพย์วอลล์สตรีทตก ค.ศ. 1929 เลิฟเวตต์ตัดสินใจยกเลิกการค้นหาของเขา โรสได้นำสร้อยเพชรหัวใจมหาสมุทรไปที่ท้ายเรือของ เคลดิช ซึ่งอยู่ในความครอบครองของเธอมาตลอด หย่อนมันลงไปในทะเลเหนือซากเรือ ขณะที่เธอดูเหมือนกำลังหลับบนเตียงของเธอ[8] มีรูปภาพของเธอแสดงให้เห็นถึงการผจญภัยและชีวิตที่เป็นอิสระ โรสวัยสาวได้พบกับแจ็กอีกครั้งที่บันไดใหญ่ในเรือ ไททานิก และได้รับการปรบมือจากผู้เสียชีวิตในคืนที่เกิดภัยพิบัติ
แม้ว่าภาพยนตร์ไม่ได้ตั้งใจแสดงเหตุการณ์ที่สมบูรณ์ถูกต้อง[22] แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้มีการแสดงเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์หลายคน:
ลูกเรือหลายคนของ อะคาเดมิก มิสติสลาฟ เคลดิช ปรากฏตัวในภาพยนตร์ รวมไปถึง อนาโตลี สากาเลวิช ผู้สร้างและคนขับของ เมียร์ ยานพาหนะดำน้ำลึกที่ขับเคลื่อนด้วยตนเอง[42] แอนเดอส์ ฟอล์ก ผู้ถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับฉากของภาพยนตร์ให้กับสมาคมประวัติศาสตร์ ไททานิก ปรากฏตัวในภาพยนตร์เป็น ผู้อพยพชาวสวีเดนซึ่งพบกับแจ็ก ดอว์สันตอนที่เขาเข้ามาในห้องพักในเรือ เอ็ดเวิร์ด คามูดาและคาเรน คามูดา ประธานและรองประธานของสมาคมซึ่งทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของภาพยนตร์ แสดงเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์[43][44]
—เจมส์ แคเมอรอน[45]
เจมส์ แคเมอรอน หลงใหลในซากเรืออับปางมานานแล้ว สำหรับเขา อาร์เอ็มเอส ไททานิก คือ "ยอดเขาเอเวอเรสต์ของซากเรือแตก"[46][47][48] เขาเกือบจะผ่านจุดในชีวิตของเขาเมื่อเขารู้สึกว่าเขาควรตัดสินใจเดินทางใต้ท้องทะเล แต่กล่าวว่าเขายังคงมี "จิตใจกระสับกระส่าย" เพื่อใช้ชีวิตที่เขาหันหน้าหนีจากเมื่อตอนที่เขาเปลี่ยนสาขาจากวิทยาศาสตร์เป็นศิลปะในวิทยาลัย ดังนั้นเมื่อภาพยนตร์ไอแมกซ์ ไททานิกา ถูกสร้างขึ้นจากการถ่ายทำของซากเรือ เขาจึงตัดสินใจหาเงินทุนจากฮอลลีวูดเพื่อ "จ่ายเงินสำหรับการเดินทางและทำสิ่งเดียวกัน" มัน "ไม่ใช่เพราะผมอยากจะสร้างแค่ภาพยนตร์เท่านั้น" แคเมอรอนกล่าวว่า "ผมอยากดำน้ำไปที่ซากเรืออับปาง"[46]
แคเมอรอนเขียนบทร่างของภาพยนตร์ ไททานิค[49] แล้วพบกับผู้บริหารของ ทเวนตีท์เซนจูรีฟอกซ์ รวมถึง ปีเตอร์ เชอร์นิน โดยเสนอว่าเป็น "โรเมโอและจูเลียต บนเรือ ไททานิก"[47][48] แคเมอรอนกล่าวว่า "พวกเขาเหมือน, 'อืมมมมมม – มหากาพย์ความรักสามชั่วโมง? แน่นอน, นั่นคือสิ่งที่เราต้องการ แล้วมี ฅนเหล็ก อยู่ในนั้นบ้างไหม? มีแฮร์ริเออร์เจ็ตไหม?, ฉากยิงกัน?, หรือฉากไล่ล่าด้วยรถยนต์?' ผมพูดว่า 'ไม่, ไม่, ไม่ มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก'"[10] สตูดิโอไม่แน่ใจเกี่ยวกับโอกาสทางการค้าของความคิดนี้ แต่หวังว่าจะมีความสัมพันธ์ระยะยาวกับแคเมอรอน พวกเขาจึงให้ไฟเขียวกับเขา[10][11][21]
แคเมอรอนโน้มน้าวให้ฟอกซ์โฆษณาภาพยนตร์ว่า ภาพยนตร์มีการถ่ายทำจากซากเรือ ไททานิก จริง ๆ[49] และมีการจัดการดำน้ำลงไปหลายครั้งที่ซากเรือในระยะเวลามากกว่าสองปี[45] "ข้อเสนอเรื่องนั้นต้องมีรายละเอียดเพิ่มเติมเล็กน้อย," แคเมอรอนกล่าว "ดังนั้นผมจึงพูดว่า, 'ฟังนะ, พวกเราต้องทำฉากเปิดเรื่องทั้งหมดซึ่งเป็นตอนที่พวกเขากำลังสำรวจ ไททานิก และพวกเขาพบเพชร, ดังนั้นพวกเราต้องมีภาพทั้งหมดของเรือ" แคเมอรอนกล่าวว่า "ตอนนี้, พวกเราสามารถถ่ายทำโดยใช้โมเดลย่อส่วนและการถ่ายทำโดยใช้การควบคุมการเคลื่อนไหวและซีจีและทั้งหมดนั้น, ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนเงิน X – หรือพวกเราจะใช้เงิน X บวกอีก 30 เปอร์เซ็นแล้วไปถ่ายทำที่ซากของจริง"[47]
ทีมงานลงไปถ่ายทำซากเรือของจริงในมหาสมุทรแอตแลนติกจำนวนสิบสองครั้งใน ค.ศ. 1995 ด้วยระดับความลึกที่มีแรงดันน้ำ 6,000 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว "ข้อบกพร่องเล็ก ๆ เพียงหนึ่งเดียวในโครงสร้างของเรือ จะหมายถึงความตายทันทีสำหรับทุกคนที่อยู่ในเรือ" ไม่เพียงแต่การดำน้ำที่มีความเสี่ยงสูง แต่เงื่อนไขที่ไม่พึงประสงค์ก็ทำให้แคเมอรอนไม่ได้ภาพคุณภาพสูงที่เขาต้องการ[11] ในระหว่างการดำน้ำครั้งหนึ่ง หนึ่งในเรือดำน้ำชนกับลำเรือของ ไททานิก สร้างความเสียหายให้กับทั้งคู่ โดยชิ้นส่วนใบพัดของเรือดำน้ำกระจัดกระจายไปทั่วซากเรือและกำแพงกั้นภายนอกของห้องพักกัปตันสมิธทรุดตัวลงเผยให้เห็นภายใน บริเวณรอบ ๆ ทางเข้าไปสู่บันไดใหญ่ได้รับความเสียหายด้วยเช่นกัน[50]
การดำน้ำลงไปสถานที่จริง ทำให้ทั้งแคเมอรอนและทีมต้องการ "ที่จะรู้สึกถึงในระดับของความเป็นจริง ... แต่ก็มีอีกระดับของปฏิกิริยาออกมาจากซากเรือของจริง ซึ่งมันไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องราว มันไม่ได้เป็นเพียงแค่ละคร" เขากล่าว "มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนจริง ๆ ที่เสียชีวิตจริง ๆ การทำงานบริเวณซากเรือเป็นเวลานานเกินไป คุณจะรู้สึกถึงความเศร้าและความอยุติธรรมที่ลึกซึ้งและความหมายจากมัน" แคเมอรอนกล่าวว่า "คุณคิดว่า, 'คงไม่มีผู้สร้างภาพยนตร์คนไหนไปที่ ไททานิก อาจไม่มีเลย – อาจจะเป็นแค่นักสารคดี" ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้สึกว่า "เป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ในการถ่ายทอดสารซึ่งกระเทือนอารมณ์จากมัน - เพื่อทำส่วนนั้นให้ถูกต้องด้วยเช่นกัน"[21]
หลังการถ่ายทำฉากใต้น้ำ แคเมอรอนเริ่มเขียนบทภาพยนตร์[49] เขาต้องการให้เกียรติผู้คนที่เสียชีวิตในระหว่างการอับปาง ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาหกเดือนในการศึกษาค้นคว้าลูกเรือและผู้โดยสารของ ไททานิก ทั้งหมด[45] "ผมอ่านทุกอย่างเท่าที่ผมทำได้ ผมสร้างเส้นเวลาที่มีรายละเอียดสุด ๆ ของช่วงไม่กี่วันของเรือและรายละเอียดของเส้นเวลาในคืนสุดท้ายของมัน" เขากล่าว[47] "และผมทำงานในส่วนนั้นเพื่อเขียนบท และผมได้ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์สิ่งที่ผมเขียน และแสดงความคิดเห็นและผมจะได้ปรับมัน"[47] เขาใส่ใจในรายละเอียดอย่างพิถีพิถัน แม้กระทั่งมีฉากที่แสดงบทบาทของ แคลิฟอร์เนียน ที่มีต่อการอับปางของ ไททานิก แม้ว่าจะถูกตัดออกในภายหลัง (ดูด้านล่าง) ตั้งแต่เริ่มต้นการถ่ายทำ พวกเขามี "ภาพที่ชัดเจนมาก" ของสิ่งที่เกิดขึ้นบนเรือในคืนนั้น "ผมมีกำแพงด้านหนึ่งของห้องสมุดที่เต็มไปงานเขียนของผมที่เกี่ยวกับ ไททานิก เพราะผมต้องการทำให้มันถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรากำลังจะดำลงไปที่เรือ" เขากล่าว "นั่นทำให้มาตรฐานสูงขึ้นไปอีก - มันเป็นการยกระดับภาพยนตร์ในแง่หนึ่ง เราต้องการให้ภาพยนตร์เป็นภาพที่ชัดเจนของช่วงเวลานี้ในประวัติศาสตร์ ราวกับว่าคุณย้อนเวลากลับไปด้วยเครื่องย้อนเวลาแล้วถ่ายทำมัน"[47]
แคเมอรอนได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์จากภาพยนตร์เรื่อง อะไนต์ทูรีเมมเบอร์ สร้างโดยบริษัทสัญชาติอังกฤษ ฉายเมื่อ ค.ศ. 1958 ซึ่งเขาเคยดูเมื่อตอนเป็นเด็ก เขาคัดลอกบทสนทนาบางบทและฉากจากภาพยนตร์เรื่องนั้น รวมไปถึงฉากงานเลี้ยงของผู้โดยสารชั้นสาม[51] และฉากนักดนตรีบรรเลงเพลงบนดาดฟ้าขณะที่เรือกำลังจม[22]
แคเมอรอนรู้สึกว่าการอับปางของ ไททานิก เป็น "เหมือนนวนิยายที่ยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นจริง" แต่เหตุการณ์ได้กลายเป็นเพียงแค่นิทานสอนเรื่องคุณธรรมเพียงอย่างเดียว ภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้ผู้ชมได้สัมผัสประสบการณ์การใช้ชีวิตในประวัติศาสตร์[45] นักล่าสมบัติ บร็อก เลิฟเวตต์ เป็นตัวแทนของผู้ที่ไม่เคยเข้าถึงองค์ประกอบมนุษย์ของโศกนาฏกรรม[42] ในขณะที่ความรักของแจ็คและโรสกำลังเบ่งบาน แคเมอรอนเชื่อว่าจะเป็นส่วนที่น่าสนใจที่สุดของเรื่องราว เมื่อความรักของพวกเขาถูกทำลาย ในที่สุดผู้ชมจะโศกเศร้ากับการสูญเสีย[45] เขากล่าว "ภาพยนตร์ทุกเรื่องของผมคือเรื่องราวของความรัก แต่ใน ไททานิค ในที่สุดผมทำให้มันสมดุล มันไม่ใช่ภาพยนตร์ภัยพิบัติ มันเป็นเรื่องราวความรักที่ทับซ้อนด้วยประวัติศาสตร์จริงอย่างพิถีพิถัน"[21]
แคเมอรอนตีกรอบความรักของโรสตอนชราให้ในหลายปีที่ผ่านมานั้นเห็นได้ชัดและสะเทือนอารมณ์[45] ขณะที่วินสเล็ตและสจวร์ตกล่าวถึงความเชื่อของพวกเขาว่า แทนที่จะนอนหลับอยู่บนเตียงของเธอ ตัวละครนั้นเสียชีวิตในตอนท้ายของภาพยนตร์[52][53] แคเมอรอนกล่าวว่าเขาจะไม่เปิดเผยสิ่งที่เขาตั้งใจให้เป็นในตอนจบเพราะ "คำตอบจะต้องเป็นสิ่งที่คุณคิดด้วยตัวเอง คนเดียว"[8]
ฮาร์แลนด์แอนด์วูลฟฟ์ บริษัทผู้สร้าง อาร์เอ็มเอส ไททานิก เปิดคลังเก็บเอกสารส่วนตัวให้กับทีมงานเพื่อแบ่งปันพิมพ์เขียวของเรือ ซึ่งพวกเขาคิดว่ามันหายสาบสูญไปแล้ว สำหรับการออกแบบภายในเรือ ทีมของปีเตอร์ มามอนต์ ผู้ออกแบบงานสร้าง ได้ทำการค้นหาสิ่งของที่มาจากยุคนั้น เพราะเรือนั้นยังใหม่ทำให้ของประกอบฉากทุกชิ้นต้องสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด[54] ฟอกซ์ซื้อพื้นที่จำนวน 40 เอเคอร์ บริเวณริมฝั่งด้านทิศใต้ของหาดโรซาริโตในเม็กซิโกและเริ่มก่อสร้างสตูดิโอใหม่เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1996 บ่อน้ำขนาดความจุ 17 ล้านแกลลอนถูกสร้างขึ้นสำหรับมุมมองภายนอกของเรือ ให้มุมมองของมหาสมุทร 270 องศา เรือถูกสร้างให้มีขนาดเท่ากับเรือต้นฉบับ แต่ลามอนต์ได้ตัดส่วนที่ซ้ำซ้อนของเรือออกไปและไม่ได้สร้างส่วนดาดฟ้าด้านหน้าของเรือ เพื่อให้เรือนั้นมีขนาดพอดีกับบ่อ โดยส่วนที่เหลือนั้นเติมด้วยใช้โมเดลดิจิทัล เรือชูชีพและปล่องควันถูกลดขนาดลงร้อยละสิบ ดาดฟ้าและชั้นเอของเรือสามารถใช้ถ่ายทำได้ แต่ส่วนเหลือของเรือนั้นเป็นแค่แผ่นเหล็ก ภายในนั้นมีแท่นยกห้าสิบฟุตเพื่อให้เรือเอียงในระหว่างฉากอับปาง มีเครนความสูง 49 เมตร บนรางความยาว 180 เมตร โดยเอาไว้ใช้ในการก่อสร้าง, ส่องแสงไฟและวางกล้องถ่ายทำ[42]
ฉากห้องพักภายในเรือของ ไททานิก ถูกสร้างใหม่ให้ตรงกับต้นฉบับ โดยใช้ภาพถ่ายและพิมพ์เขียวจากผู้สร้างเรือ ไททานิก บันไดใหญ่ ซึ่งเป็นฉากที่โดดเด่นในภาพยนตร์ ถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยมาตรฐานที่สูงและมีความถูกต้องมากที่สุด ถึงแม้ว่ามันจะกว้างขึ้น 30% เมื่อเทียบกับแบบดั้งเดิมและเสริมด้วยคานเหล็ก ช่างฝีมือจากเม็กซิโกและสหราชอาณาจักรแกะสลักลายไม้ที่หรูหราและงานพลาสติกจากแบบดั้งเดิมของ ไททานิก[55] การปูพรม, การหุ้มเบาะ, เฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้น, การติดตั้งไฟ, เก้าอี้, ช้อนส้อมและถ้วยชามพร้อมตราสัญลักษณ์ ไวต์สตาร์ไลน์ ในแต่ละชิ้นล้วนเป็นวัตถุที่สร้างขึ้นตามแบบดั้งเดิม[56] แคเมอรอนจ้างนักประวัติศาสตร์ ไททานิก สองคน ดอน ลินจ์และเคน มาร์สเชลล์ เพื่อตรวจสอบรายละเอียดทางประวัติศาสตร์ในภาพยนตร์[11]
การถ่ายทำภาพยนตร์ ไททานิค เริ่มต้นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1996 ที่ ดาร์ตเมาธ์ รัฐโนวาสโกเชีย ประเทศแคนาดา ด้วยการถ่ายทำฉากในยุคปัจจุบันบนเรือ อะคาเดมิก มิสติสลาฟ เคลดิช[42] ต่อมาในเดือนกันยายน ค.ศ. 1996 การถ่ายทำย้ายไปที่ฟอกซ์บาฮาสตูดิโอซึ่งสร้างใหม่ที่ โรซาริโต ประเทศเม็กซิโก ที่มีฉากของเรือ อาร์เอ็มเอส ไททานิก ขนาดใหญ่[42] ดาดฟ้าท้ายเรือถูกสร้างขึ้นบนบานพับที่สามารถทำให้เอียง 90 องศาได้ในเวลาไม่กี่วินาที ใช้ในฉากที่ท้ายเรือชี้ขึ้นฟ้าแล้วกำลังอับปาง[57] ของประกอบฉากหลายชิ้นเป็นโฟมยาง เพื่อความปลอดภัยของนักแสดงผาดโผน[58] ในวันที่ 15 พฤศจิกายน มีการถ่ายทำฉากขึ้นเรือ[57] แคเมอรอนเลือกสร้างฝั่งกราบขวาเรือของ อาร์เอ็มเอส ไททานิก จากการศึกษาข้อมูลสภาพอากาศพบว่าที่นี่มีทิศทางลมเป็นเหนือจรดใต้ ทำให้ควันจากปล่องควันลอยไปด้านหลัง ก่อให้เกิดปัญหาสำหรับการถ่ายทำฉากการเดินทางจากเซาแทมป์ตัน ซึ่งแต่เดิมนั้นเรือเทียบท่าฝั่งกราบซ้ายของเรือ ทำให้มีการแก้ไขทิศทางของบท เช่นเดียวกับ ของประกอบฉากและเครื่องแต่งกาย ซึ่งจำเป็นต้องพลิกกลับด้าน ตัวอย่างเช่น ถ้าคนไหนเดินไปทางขวาในบท คนนั้นต้องเดินไปทางซ้ายในระหว่างการถ่ายทำ ในช่วงหลังการถ่ายทำ ภาพยนตร์ได้พลิกกลับด้านเพื่อให้ได้ภาพที่ถูกต้อง[59]
มีการว่าจ้างผู้ฝึกสอนเรื่องมารยาทเพื่อสอนนักแสดงให้เรียนรู้มารยาทของคนชั้นสูงใน ค.ศ. 1912[11] อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้นักวิจารณ์หลายคนก็จับผิดการผิดยุคสมัยที่มีอยู่ในภาพยนตร์ มีไม่น้อยที่นักแสดงนำทั้งสองคนมีส่วนเกี่ยวข้อง[60][61]
แคเมอรอนเป็นคนวาดภาพเปลือยของโรส[62] สำหรับฉากที่เขารู้สึกว่ามีฉากหลังของความอดกลั้น "คุณรู้ว่ามันมีความหมายสำหรับเธอ อิสรภาพที่เธอต้องการรู้สึก มันเป็นเรื่องที่น่าดีใจ" เขากล่าว[21] ฉากเปลือยนั้นเป็นฉากแรกที่ดิแคพรีโอกับวินสเล็ตแสดงด้วยกันครั้งแรก "มันไม่ได้มีการออกแบบใด ๆ ทั้งนั้น แม้ว่าผมจะไม่สามารถออกแบบให้ได้ดีกว่านี้ มีความกังวลใจและความกระตือรือร้นและความลังเลใจในตัวพวกเขา" แคเมอรอนกล่าว "พวกเขาซ้อมด้วยกัน แต่พวกเขายังไม่เคยถ่ายทำอะไรด้วยกันเลย ถ้าผมมีทางเลือก ผมอาจจะต้องการลงรายละเอียดเข้าไปในฉากนี้ให้มากขึ้น" แคเมอรอนกล่าวว่าเขากับทีมงานของเขา "พยายามหาอะไรมาถ่ายทำก่อน" เพราะฉากใหญ่นั้น "ยังไม่พร้อมในอีกหลายเดือน ดังนั้นเราจึงพยายามดิ้นรนเพื่อเติมเต็มทุกสิ่งที่เราทำได้เพื่อจะได้ถ่ายทำ" หลังแคเมอรอนเห็นฉากนี้ในภาพยนตร์ เขารู้สึกว่ามันทำออกมาได้ดี[21]
บางครั้งการถ่ายทำก็ไม่ราบรื่นและเป็นประสบการณ์ที่ยากลำบากที่ "สร้างชื่อเสียงที่น่าเกรงขามให้กับแคเมอรอนว่าเป็น 'คนที่น่ากลัวที่สุดในฮอลลีวูด' เขากลายเป็นที่รู้จักในฐานะคนที่มีความแน่วแน่, ผู้ยึดติดความสมบูรณ์แบบ" และ "คนที่ตะโกนด้วยความดัง 300 เดซิเบล เหมือนกับ กัปตันไบลห์ ยุคปัจจุบันที่มีโทรโข่งและเครื่องส่งรับวิทยุ บินโฉบหน้าของผู้คนบนรถเครนขนาด 162 ฟุต"[63] วินสเล็ตบิ่นกระดูกในข้อศอกของเธอระหว่างการถ่ายทำและกังวลว่าเธอจะจมน้ำในถังน้ำขนาด 17 ล้านแกลลอนที่มีฉากเรืออับปางอยู่ "มีหลายครั้งที่ฉันกลัวเขาจริง ๆ จิมมีอารมณ์ที่คุณน่าจะไม่เชื่อ" เธอกล่าว[63] "'ให้ตายเถอะ!' เขาจะตะโกนใส่ทีมงานที่น่าสงสารบางคน, 'นั่นคือสิ่งที่ฉันไม่ต้องการ!'"[63] นักแสดงร่วมของเธอ บิล แพกซ์ตัน คุ้นเคยกับวิธีการทำงานของแคเมอรอนจากประสบการณ์ที่ผ่านมา "มีผู้คนมากมายในฉากถ่ายทำ จิมไม่ได้เป็นหนึ่งในคนที่มีเวลาที่จะชนะใจและความคิด" เขากล่าว[63] ทีมงานรู้สึกว่าแคเมอรอนมีตัวตนอีกด้านหนึ่งที่ชั่วร้าย จึงตั้งชื่อเล่นเขาว่า "Mij" (Jim สะกดย้อนกลับ)[63] แคเมอรอนตอบกลับการวิจารณ์เหล่านี้ โดยเขากล่าวว่า "การสร้างภาพยนตร์คือสงคราม การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ระหว่างธุรกิจและสุนทรียภาพ"[63]
ระหว่างการถ่ายทำฉากบนเรือ อะคาเดมิก มิสติสลาฟ เคลดิช ที่แคนาดา มีทีมงานคนหนึ่งใส่ ยาหลอนประสาท เฟนไซคลิดีน ลงไปในซุป ซึ่งแคเมอรอนและคนอื่น ๆ ได้กินเข้าไป[10][64] ทำให้ต้องส่งโรงพยาบาลมากกว่า 50 คน รวมถึง แพกซ์ตัน[64] นักแสดง ลูอิส อะเบอร์นาที กล่าวว่า "มีแต่คนกลิ้งไปกลิ้งมาเต็มไปหมด บางคนบอกว่าพวกเขาเห็นเส้นลายตาและประสาทหลอน" [10] แคเมอรอนพยายามอ้วกออกมาก่อนที่ยาจะออกฤทธิ์จนหมด อะเบอร์นาทีตกใจแววตาของแคเมอรอน "ดวงตาข้างหนึ่งนั้นเป็นสีแดงสนิท เหมือนตาของเทอร์มิเนเตอร์ มีแต่รูม่านตา, ไม่มีม่านตา, สีแดงล้วน ส่วนตาอีกข้างหนึ่งดูเหมือนเขาดมกาวตั้งแต่อายุสี่ขวบ"[10][63] คนที่อยู่เบื้องหลังการวางยาพิษนั้นจับไม่ได้เลยว่าเป็นใคร[52][65]
ตารางการถ่ายทำนั้นตั้งใจใช้เวลา 138 วัน แต่ก็เพิ่มขึ้นเป็น 160 วัน สมาชิกนักแสดงหลายคนเริ่มป่วยเป็นโรคหวัด, ไข้หวัดใหญ่หรือติดเชื้อในไตหลังใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่ในน้ำเย็น รวมถึง วินสเล็ต จนท้ายที่สุด เธอตัดสินในไม่ร่วมงานกับแคเมอรอนอีก นอกเสียจากเธอจะได้รับ "เงินจำนวนมาก"[65] มีหลายคนออกจากการถ่ายทำและสตันแมนสามคนกระดูกหัก แต่ สมาคมนักแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์ ตัดสินใจจากการสืบสวนว่า ไม่มีอะไรที่ไม่ปลอดภัยเกี่ยวกับฉาก[65] นอกจากนี้ ดิแคพรีโอยังกล่าวอีกว่าไม่มีสถานที่ไหนที่เขารู้สึกว่าตกอยู่ในอันตรายระหว่างการถ่ายทำ[66] แคเมอรอนเชื่อมั่นในจรรยาบรรณในการทำงานที่ทุ่มเทและไม่เคยขอโทษในวิธีการถ่ายทำของเขา แม้ว่าเขาจะยอมรับว่า:
ผมขอร้องและผมขอร้องกับทีมงานของผม ในแบบที่เหมือนกับทหาร ผมคิดว่ามีวิธีหนึ่งในการรับมือกับตัวประกอบเป็นพันคนและการขนส่งขนาดใหญ่และทำให้ผู้คนปลอดภัย ผมคิดว่าคุณต้องมีวิธีการที่เข้มงวดพอสมควรในการจัดการกับกลุ่มคนจำนวนมาก[65]
ทุนในการถ่ายทำ ไททานิค เริ่มสูงขึ้นจนในที่สุดก็ถึง 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[4][5][6] ทำให้หนึ่งนาทีในภาพยนตร์มีค่ามากกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐเล็กน้อย[67] ผู้บริหารของฟอกซ์ตื่นตระหนกและเสนอให้ตัดความยาวภาพยนตร์ออกหนึ่งชั่วโมงจากภาพยนตร์สามชั่วโมง พวกเขาโต้เถียงว่าภาพยนตร์ยิ่งยาว ยิ่งมีรอบฉายที่น้อยลง ทำให้ทำเงินได้น้อยกว่า แม้ว่าภาพยนตร์มหากาพย์ที่เรื่องยาว มีแนวโน้มที่จะช่วยให้ผู้กำกับชนะรางวัลออสการ์ แคเมอรอนปฏิเสธแล้วบอกฟอกซ์ว่า "คุณอยากจะตัดหนังของผมเหรอ? คุณจะต้องไล่ผมออก! คุณอยากไล่ผมออก? คุณจะต้องฆ่าผม![10] เหล่าผู้บริหารไม่ต้องการเริ่มต้นใหม่เพราะนั่นจะหมายถึงการสูญเสียสิ่งที่พวกเขาลงทุนทั้งหมด ในช่วงแรกพวกเขาปฏิเสธข้อเสนอของแคเมอรอนที่จะไม่รับส่วนแบ่งกำไร เนื่องจากพวกเขาคาดการณ์ภาพยนตร์ไม่น่าทำกำไร[10]
แคเมอรอนอธิบายการที่เขาไม่รับส่วนแบ่งนั้นซับซ้อน "... ภาพยนตร์ที่สั้นกว่านั้นใช้ทุนสร้างตามสัดส่วนมากกว่า ฅนเหล็ก 2029 ภาค 2 และ คนเหล็ก ผ่านิวเคลียร์ เสียอีก ภาพยนตร์เหล่านั้นใช้ทุนสร้างเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละเจ็ดหรือแปดจากทุนสร้างเริ่มต้น ไททานิค เริ่มต้นด้วยทุนสร้างที่เยอะอยู่แล้ว แต่มันก็เพิ่มขึ้นเยอะมาก" เขากล่าว "ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับ ผมรับผิดชอบในส่วนของสตูดิโอที่เขียนเช็ค ดังนั้นผมทำให้พวกเขาเจ็บปวดน้อยลง ผมทำอย่างนั้นสองครั้งในสองโอกาสที่แตกต่างกัน พวกเขาไม่ได้บังคับให้ผมทำ พวกเขาดีใจที่ผมทำ"[21]
แคเมอรอนต้องการผลักดันขอบเขตของเทคนิคพิเศษในภาพยนตร์ของเขาและได้จ้าง ดิจิทัลโดเมนและแปซิฟิกดาตาอิมเมจิส เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลต่อ ซึ่งผู้กำกับเคยบุกเบิกเอาไว้ในขณะกำลังทำงานภาพยนตร์เรื่อง ดิ่งขั้วมฤตยู และ ฅนเหล็ก 2029 ภาค 2 ภาพยนตร์หลายเรื่องที่เกี่ยวกับ อาร์เอ็มเอส ไททานิก ก่อนหน้านี้ ได้ถ่ายทำฉากบนน้ำในลักษณะภาพเคลื่อนไหวช้า ทำให้ไม่ค่อยดูน่าเชื่อเท่าไหร่[68] แคเมอรอนสนับสนุนให้ทีมงานของเขาถ่ายทำกับแบบจำลองความยาว 45 ฟุต (14 เมตร) ของเรือ เหมือนกับ "พวกเรากำลังโฆษณาให้กับไวต์สตาร์ไลน"[69] น้ำดิจิทัลและควันถูกใส่เพิ่มเข้าไปในภายหลัง เช่นเดียวกับการเพิ่มตัวประกอบโดยใช้การจับเคลื่อนไหวบนสเตจ หัวหน้างานวิชวลเอฟเฟกต์ ร็อบ เลกาโต สแกนใบหน้าของนักแสดงหลายคน รวมถึงตัวเขาและลูก ๆ ของเขา เพื่อให้เป็นตัวประกอบและนักแสดงผาดโผนดิจิทัล และยังมีแบบจำลองของท้ายเรือความยาว 65 ฟุต (20 เมตร) ซึ่งสามารถหักครึ่งได้หลายรอบ เป็นแบบจำลองเดียวที่ใช้บนน้ำ[68] สำหรับฉากห้องเครื่องของเรือ มีการใช้ภาพเครื่องยนต์ของเรือ เอสเอส เจอเรอไมยาห์ โอไบรอัน ร่วมกับแบบจำลองของเครื่องยนต์และนักแสดงถ่ายทำกับฉากเขียว[70] ฉากเลานจ์ของผู้โดยสารชั้นหนึ่งนั้นเป็นแบบจำลอง โดยนำมารวมกับนักแสดงซึ่งถ่ายทำกับฉากเขียว เพื่อเป็นการประหยัดเงิน[71] แบบจำลองของเลานจ์ต่อมาถูกบดขยี้เพื่อจำลองการทำลายของห้องและแบบจำลองทางเดินของผู้โดยสารชั้นหนึ่งถูกน้ำท่วมด้วยกระแสน้ำที่รุนแรงขณะที่กล้องกำลังแพนออก[72]
แทงก์น้ำปิดขนาด 5,000,000 แกลลอนสหรัฐ (19,000,000 ลิตร) ใช้สำหรับฉากการจมภายในเรือ โดยที่ฉากนั้นสามารถเอียงได้ในน้ำ ในการจมฉากบันไดใหญ่ น้ำขนาด 90,000 แกลลอนสหรัฐ (340,000 ลิตร) ถูกใส่ลงไป ซึ่งฉากบันไดใหญ่ที่อยู่ด้านล่างของแทงก์น้ำ น้ำที่ตกลงทำให้ฉีกบันไดออกมาจากฐานรากที่เสริมด้วยเหล็กอย่างไม่คาดคิด ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครบาดเจ็บ ฉากภายนอกของ อาร์เอ็มเอส ไททานิก ความยาว 744 ฟุต (227 เมตร) ส่วนครึ่งแรกของเรือนั้นอยู่ในแทงก์น้ำ แต่เนื่องจากมันส่วนที่หนักที่สุดของเรือ จึงทำหน้าที่เป็นตัวดูดซับแรงกระแทกกับน้ำ เพื่อที่จะให้ฉากลงไปอยู่ในน้ำ แคเมอรอนทำให้ฉากนั้นว่างเปล่าให้ได้มากที่สุดและแม้แต่ทุบหน้าต่างทางเดินบางส่วนด้วยตัวเขาเอง หลังการจมห้องรับประทานอาหาร พวกเขาใช้สามวันถ่ายทำ ยานพาหนะที่ควบคุมจากระยะไกลของโลเวตต์สำรวจซากในปัจจุบัน[42] ฉากหลังการอับปางในมหาสมุทรแอตแลนติกที่หนาวถึงจุดเยือกแข็งนั้นถ่ายทำในแทงค์น้ำขนาด 350,000 แกลลอนสหรัฐ (1,300,000 ลิตร)[73] ศพที่ถูกแช่แข็งนั้นสร้างโดยนำนักแสดงมาทาแป้งที่ตกผลึกเมื่อสัมผัสกับน้ำและนำขี้ผึ้งมาเคลือบผมและเสื้อผ้า[54]
ฉากในภาพยนตร์ที่เรือแตกออกเป็นสองท่อน ก่อนที่เรือทั้งลำจะจมลงไปสู่ใต้มหาสมุทรแอตแลนติก มีการสร้างฉากขนาดเท่าของจริงซึ่งสามารถเอียงได้ มีนักแสดงประกอบ 150 คนและนักแสดงผาดโผน 100 คน แคเมอรอนวิจารณ์ภาพยนตร์ ไททานิก ก่อนหน้านี้ว่าฉากการจมนั้นเหมือนกับการไถลลงไปในน้ำอย่างนุ่มนวล เขา "ต้องการจะแสดงให้เห็นภาพของเหตุการณ์ที่โกลาหลอย่างน่ากลัวเพราะว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ"[11] เมื่อขณะถ่ายทำฉากนี้ ผู้คนจำเป็นต้องร่วงลงจากดาดฟ้าที่เอียงมากขึ้น ร่วงลงไปหลายร้อยฟุตและชนกับราวกั้นและใบพัดกระเด็นออกไป มีความพยายามในการถ่ายทำฉากนี้กับนักแสดงผาดโผน ส่งผลให้มีการบาดเจ็บเล็กน้อย และแคเมอรอนจึงให้หยุดการแสดงผาดโผนที่อันตรายกว่านี้ จนในที่สุดก็ลดความเสี่ยงด้วยการ "ใช้ผู้คนสร้างจากคอมพิวเตอร์สำหรับการร่วงที่อันตราย"[11]
มีหนึ่งฉากที่เป็น "ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ" ซึ่งแคเมอรอนเลือกที่จะตัดออกจากภาพยนตร์ ฉากดังกล่าวคือ เอสเอส แคลิฟอร์เนียน นั้นใกล้กับ ไททานิก ในคืนที่เรืออับปาง แต่เรือ แคลิฟอร์เนียน ได้ปิดวิทยุในคืนนั้น ทำให้ไม่ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจาก ไททานิก และไม่ได้ตอบสนองกับพลุขอความช่วยเหลือเช่นกัน "ใช่, [เอสเอส] แคลิฟอร์เนียน มันไม่ใช่การประนีประนอมกับการสร้างภาพยนตร์กระแสหลัก มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการให้ความสำคัญมากกว่า การสร้างความจริงทางอารมณ์ให้กับภาพยนตร์ แคเมอรอนกล่าว เขาบอกว่ามีแง่มุมของการเล่าเรื่องการอับปางที่ดูเหมือนจะสำคัญในช่วงก่อนและหลังการถ่ายทำ แต่กลับกลายเป็นว่ามีความสำคัญน้อยลงเมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้พัฒนาขึ้น "เรื่องราวของ แคลิฟอร์เนียน มันอยู่ในนั้น พวกเรายังถ่ายทำฉากที่พวกเขาปิดวิทยุมาร์โกนีเลย" แคเมอรอนกล่าว "แต่ผมเอามันออก มันเป็นการตัดที่หมดจด เพราะมันเน้นให้คุณกลับไปที่โลกนั้น ถ้า ไททานิก นั้นแข็งแกร่งดั่งคำอุปมา เป็นโลกขนาดเล็ก สำหรับวันสิ้นโลกในความรู้สึก ดังนั้นโลกดังกล่าวจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง"[21]
ในช่วงการตัดต่อครั้งแรก แคเมอรอนได้เปลี่ยนแปลงตอนจบที่วางแผนเอาไว้ ซึ่งเป็นการสรุปเรื่องราวของบร็อก เลิฟเวตต์ ในตอนจบแบบเดิม บร็อกและลิซซีเห็นโรสวัยชรากำลังปืนท้ายเรือและกลัวว่าเธอกำลังจะฆ่าตัวตาย จากนั้นโรสก็เปิดเผยว่าเธอนั้นมีสร้อยคอเพชร "หัวใจมหาสมุทร" อยู่ในการครอบครองมาโดยตลอด แต่เธอไม่เคยขายมันเพื่อที่จะอยู่ได้ด้วยตัวเธอเองโดยไม่ต้องใช้เงินของแคล เธอให้บร็อกสัมผัสสร้อยคอแล้วบอกเขาว่า ชีวิตเป็นสิ่งที่ล้ำค่าแล้วโรสก็โยนสร้อยคอลงไปในมหาสมุทร บร็อกหัวเราะกับความโง่เขลาของเขา หลังยอมรับว่าสมบัตินั้นไร้ค่า โรสกลับไปที่ห้องเธอแล้วนอนหลับ จากนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้จบลงในลักษณะเดียวกับภาพยนตร์ฉบับสุดท้ายที่ฉายในโรงภาพยนตร์ ในห้องตัดต่อ แคเมอรอนตัดสินใจว่า ณ จุดนี้ ผู้ชมคงจะไม่สนใจในตัว บร็อก เลิฟเวตต์ แล้วและตัดบทสรุปเรื่องราวของเขาออก ทำให้โรสนั้นอยู่คนเดียวขณะที่เธอหย่อนสร้อยคอ แคเมอรอนไม่อยากจะทำลายความเศร้าโศกของผู้ชมหลังจากเรือ ไททานิก จม[74] แพกซ์ตันเห็นด้วยว่าฉากของเขากับบทสรุปและหัวเราะของบร็อกนั้นไม่จำเป็น เขากล่าวว่า "ผมว่าต้องฉีดเฮโรอีนเพื่อให้ฉากนี้ดีขึ้น ...คุณไม่ต้องการอะไรจากเราจริง ๆ งานของเราก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ... ถ้าคุณฉลาดและกำจัดอัตตาและความหลงตัวเองออกไป คุณจะฟังภาพยนตร์และภาพยนตร์จะบอกคุณว่ามันต้องการอะไรและไม่ต้องการอะไร"[75]
ภาพยนตร์ที่ฉายในรอบทดสอบครั้งแรก มีฉากการต่อสู้ระหว่างแจ็กและเลิฟจอย ซึ่งเกิดขึ้นหลังแจ็กและโรสหนีเข้าไปยังห้องอาหารที่ถูกน้ำท่วม แต่ผู้ชมทดสอบไม่ชอบ[76] ฉากนี้เขียนขึ้นเพื่อให้ภาพยนตร์มีความระทึกขวัญมากขึ้น โดยที่แคล (หลอก) ให้โอกาสเลิฟจอย ซึ่งเป็นคนรับใช้ของเขา ได้ "หัวใจมหาสมุทร" ไปครอบครองถ้าเขาจับแจ็กกับโรสได้ เลิฟจอยติดตามทั้งคู่ไปยังห้องอาหารชั้นหนึ่งซึ่งกำลังจม เลิฟจอยได้ยินเสียงโรสเอามือตบน้ำ โดยเธอหลบอยู่หลังโต๊ะ กำลังจับเก้าอี้แล้วมือของเธอก็ลื่น ขณะที่เลิฟจอยกำลังเดินไปหาโรส แจ็กเข้ามาจากข้างหลังเลิฟจอยแล้วผลักศีรษะของเขาไปชนกับกระจกหน้าต่าง แจ็กแก้แค้นเลิฟจอยที่กล่าวหาเขาว่าเป็นคน "ขโมย" สร้อยคอ ซึ่งเป็นการอธิบายว่าบาดแผลบนหัวของเลิฟจอยได้มาอย่างไร ที่เห็นก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในภาพยนตร์ฉบับสมบูรณ์ การตอบรับของฉากนี้ ผู้ชมทดสอบกล่าวว่าจะไม่สมจริงที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อความมั่งคั่ง และแคเมอรอนก็ตัดฉากนี้ออกด้วยเหตุผลดังกล่าว เช่นเดียวกันเหตุผลในเรื่องเวลาและจังหวะของภาพยนตร์ ฉากอื่น ๆ หลายฉากถูกตัดออกด้วยเหตุผลที่คล้ายคลึงกัน[76]
สำหรับการออกแบบหัวใจมหาสมุทร ช่างอัญมณีในลอนดอน แอสเพรย์แอนด์การ์ราร์ด ใช้คิวบิกเซอร์โคเนียในชุดทองคำขาว[77] เพื่อสร้างสร้อยคอสไตล์เอ็ดเวิร์ดเพื่อใช้เป็นของประกอบฉากในภาพยนตร์ แอสเพรย์แอนด์การ์ราร์ดผลิตและออกแบบสร้อยคอ: ผลที่ได้คือการออกแบบที่แตกต่างกันสามแบบและมีเอกลักษณ์ การออกแบบสองแบบของพวกเขาถูกนำมาใช้ในภาพยนตร์ ในขณะที่อีกแบบไม่ได้ใช้จนกระทั่งหลังภาพยนตร์ฉาย สร้อยคอทั้งสามนี้รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นของประกอบฉากดั้งเดิม, สร้อยคอของ เจ. ปีเตอร์แมนและสร้อยคอแอสเพรย์ สร้อยคอทั้งสามมีความคล้ายคลึงกันมาก แต่มีความแตกต่างที่เด่นชัด
การออกแบบที่สามและแบบสุดท้ายไม่ได้ใช้ในภาพยนตร์ หลังจากความสำเร็จของภาพยนตร์ แอสเพรย์แอนด์การ์ราร์ดได้รับมอบหมายให้สร้างสร้อยคอหัวใจมหาสมุทรของแท้โดยใช้การออกแบบดั้งเดิม ผลลัพธ์ที่ได้คือไพลินซีลอนรูปหัวใจชุดแพลตตินัม 171 กะรัต (34.2 กรัม) ล้อมรอบด้วยเพชร 103 เม็ด[77] การออกแบบนี้มีไพลินซีลอนรูปลูกแพร์กลับหัวขนาดใหญ่กว่ามาก โดยมีรอยแยกเล็ก ๆ ที่ดูคล้ายหัวใจ โซ่สำหรับสร้อยคอนี้ยังมีเพชรสีขาวเจียระไนทรงกลม, ลูกแพร์และมาร์คีส์ ส่วนตะขอยังมีเพชรสีขาวเจียระไนรูปหัวใจพร้อมเพชรเจียระไนทรงกลมอีกเม็ดติดกับเพชรรูปลูกแพร์คว่ำซึ่งติดเข้ากับกรอบของเพชรหลัก สร้อยคอนี้บริจาคให้กับบริษัทประมูลของโซเทบีในเบเวอร์ลีฮิลส์ สำหรับการประมูลเพื่อประโยชน์ของ กองทุนอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ และความช่วยเหลือสำหรับโรคเอดส์ของแคลิฟอร์เนียตอนใต้ สร้อยคอถูกขายให้กับลูกค้าของแอสเพรย์ที่ไม่ปรากฏชื่อ[78] ในราคา 1.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใต้ข้อตกลงที่ เซลีน ดิออน จะสวมมันสองคืนต่อมาในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 70 เมื่อ ค.ศ. 1998 ตั้งแต่นั้นมา สร้อยคอนี้ไม่ได้เปิดให้บุคคลทั่วไปชม
แคเมอรอนเขียนบทภาพยนตร์ ไททานิค ขณะฟังผลงานของ เอนยา นักดนตรีแนวนิวเอจชาวไอริช[79] เขาเสนอโอกาสให้เอนยาแต่งดนตรีประกอบสำหรับภาพยนตร์ แต่เธอปฏิเสธ[80] แคเมอรอนเลือก เจมส์ ฮอร์เนอร์ เพื่อแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์แทน ทั้งสองคนแยกทางกันหลังจากประสบการณ์การทำงานอันวุ่นวายใน เอเลี่ยน 2 ฝูงมฤตยูนอกโลก,[81] แต่ ไททานิค ได้ประสานความร่วมมือที่ประสบความสำเร็จซึ่งคงอยู่จนกระทั่งฮอร์เนอร์เสียชีวิต[82] สำหรับเสียงร้องที่ได้ยินตลอดทั้งเรื่อง ซึ่ง เอิร์ล ฮิตช์เนอร์ จาก เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล อธิบายในภายหลังว่า "ชวนให้นึกถึง" ฮอร์เนอร์เลือกนักร้องชาวนอร์เวย์ ซิสเซล คีร์เคโบ หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ "ซิสเซล" ฮอร์เนอร์รู้จักซิสเซลจากอัลบั้ม อินเนอร์ตอิสเชลิน และเขาชอบที่เธอร้องเพลง "เอกไวติฮิมเมริเกบอริก" ("ฉันรู้ในสวรรค์ว่ามีปราสาท") เป็นพิเศษ เขาทดลองนักร้องมายี่สิบห้าหรือสามสิบคนก่อนหน้านี้ ในที่สุดเขาก็เลือกซิสเซลเป็นเสียงร้องเพื่อสร้างอารมณ์เฉพาะในภาพยนตร์[83]
ฮอร์เนอร์ยังได้แต่งเพลง "มายฮาร์ตวิลโกออน" อย่างลับ ๆ กับ วิล เจนนิงส์ เพราะแคเมอรอนไม่ต้องการเพลงใด ๆ ที่มีการร้องเพลงในภาพยนตร์[84] เซลีน ดิออน ตกลงที่จะบันทึกเดโมจากการโน้มน้าวของสามีของเธอ เรเน แองเจลิล ฮอร์เนอร์รอจนกระทั่งแคเมอรอนอยู่ในอารมณ์ที่เหมาะสมก่อนจะนำเสนอเพลงแก่เขา หลังจากเล่นหลายครั้ง แคเมอรอนก็ประกาศอนุมัติ แม้ว่าจะกังวลว่าเขาจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า "เป็นการโฆษณาในตอนจบของภาพยนตร์"[84] แคเมอรอนก็ต้องการเอาใจผู้บริหารสตูดิโอที่กังวลและ "เห็นว่าเพลงฮิตจากภาพยนตร์ของเขาอาจเป็นเพียงปัจจัยบวกในการรับประกันความสมบูรณ์แบบเท่านั้น"[11]
ทเวนตีท์เซนจูรีฟอกซ์และพาราเมาต์พิกเจอส์ ร่วมกันออกทุนสร้างภาพยนตร์ ไททานิค โดยพาราเมาต์ดูแลการจัดจำหน่ายในสหรัฐและแคนาดาและฟอกซ์ดูแลการจัดจำหน่ายทั่วโลก พวกเขาคาดหวังว่าแคเมอรอนจะสร้างภาพยนตร์ให้เสร็จ สำหรับการฉายในวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1997 ภาพยนตร์จะเข้าฉายในวันดังกล่าว "เพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากการขายตั๋วในช่วงฤดูร้อนซึ่งทำเงินมหาศาล เมื่อภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์มักจะทำได้ดีกว่า"[11] ในเดือนเมษายน แคเมอรอนกล่าวว่าเทคนิคพิเศษของภาพยนตร์นั้นซับซ้อนมากและทำให้การฉายในช่วงฤดูร้อนนั้นคงเป็นไปไม่ได้[11] การสร้างที่ล่าช้า ทำให้พาราเมาต์เลื่อนวันฉายออกไปเป็นวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1997[85] "เรื่องนี้ทำให้เกิดการคาดเดาว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะกลายเป็นหายนะ" มีการฉายรอบตัวอย่างในมินนีแอโพลิสเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม "ได้รับการตอบรับในแง่บวก" และ "การพูดคุยกันบนอินเทอร์เน็ตมีส่วนรับผิดชอบต่อการพูดปากต่อปากที่ดีเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้" ในที่สุดก็นำไปสู่การรายงานข่าวในทางที่ดีมากขึ้น[11]
ภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1997 ในงานเทศกาลภาพยนตร์โตเกียว[86] ซึ่งการตอบรับได้รับการอธิบายโดย เดอะนิวยอร์กไทมส์ ว่า "ไม่น่าสนใจ"[87] บทวิจารณ์ในแง่บวกเริ่มกลับมาปรากฏในสหรัฐ เมื่อมีการฉายรอบปฐมทัศน์ในฮอลลีวูดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1997 ที่ "ดาราภาพยนตร์ชื่อดังมาร่วมงานเปิดตัวและต้องการเผยภาพยนตร์เรื่องนี้ไปยังสื่อทั่วโลกอย่างกระตือรือร้น"[11]
ไททานิค ทำเงิน 668.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐในอเมริกาเหนือและ 1.556 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในต่างประเทศ รวมแล้วทำเงินทั่วโลก 2.224 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยรวมเงินที่ได้จากการฉายใหม่เมื่อ ค.ศ. 2012, 2017 และ 2023 ด้วย[7] กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุด ใน ค.ศ. 1998 โดยทำเงินแซง จูราสสิค พาร์ค กำเนิดใหม่ไดโนเสาร์ (1993)[88] ไททานิค ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดเป็นเวลาสิบสองปี จนกระทั่ง อวตาร (2009) ซึ่งเขียนบทและกำกับโดยแคเมอรอน ทำเงินแซงไปใน ค.ศ. 2010[89] เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1998,[90] ไททานิค เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ทำเงินมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก[91] และในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ 13–15 เมษายน ค.ศ. 2012 หนึ่งศตวรรษหลังการอับปางของเรือ ไททานิค กลายเป็นภาพยนตร์เรื่องที่สองที่ทำเงินมากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก โดยทำเงินจากการฉายใหม่ในรูปแบบสามมิติ[92] บ็อกซ์ออฟฟิศโมโจ ประมาณการว่า ไททานิค เป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดอันดับที่ห้าในอเมริกาเหนือเมื่อปรับอัตราเงินเฟ้อแล้ว[93] และยังประมาณการว่าภาพยนตร์ได้ขายตั๋วไปมากกว่า 128 ล้านใบในสหรัฐในช่วงการฉายครั้งแรก[94]
ไททานิค เคยเป็นภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศเรื่องแรกที่ประสบความสำเร็จในอินเดีย ซึ่งอ้างว่ามีผู้ชมภาพยนตร์มากที่สุดในโลก[95] รายงานของ ฮินดูสถานไทมส์ ระบุว่าความคล้ายคลึงของภาพยนตร์และแก่นเรื่องมีลักษณะคล้ายกับภาพยนตร์บอลลีวูดส่วนใหญ่[96]
ไททานิค ได้รับการเข้าชมอย่างต่อเนื่องหลังจากเปิดตัวฉายในอเมริกาเหนือเมื่อวันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1997 โดยในวันอาทิตย์ โรงภาพยนตร์ก็เริ่มขายตั๋วหมด ภาพยนตร์ทำเงิน 8,658,814 ดอลลาร์สหรัฐในวันเปิดตัวและ 28,638,131 ดอลลาร์สหรัฐในช่วงสุดสัปดาห์จากการฉายในโรงภาพยนตร์ 2,674 แห่ง เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10,710 ดอลลาร์สหรัฐต่อโรง และครองอันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศ นำหน้า น.หนูฤทธิ์เดชป่วนโลก, หวีดสุดขีด 2 และ 007 พยัคฆ์ร้ายไม่มีวันตาย ภาพยนตร์ เจมส์ บอนด์ เรื่องที่สิบแปด ภาพยนตร์ทำเงินแซงสถิติของ เดอะ ก็อดฟาเธอร์ ภาค 3 ที่ทำเงินสูงสุดในวันคริสต์มาส โดยทำเงิน 9.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพยนตร์ทำเงิน 35.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่สอง กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในวันหยุดสุดสัปดาห์ของเดือนธันวาคมแซง หวีดสุดขีด 2[97] ไททานิค ทำเงินมากกว่า 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในวันขึ้นปีใหม่ ภาพยนตร์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นและโรงภาพยนตร์ยังคงขายตั๋วจนหมด ไททานิค กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินมากกว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐในบ็อกซ์ออฟฟิศในประเทศได้เร็วที่สุด โดยใช้เวลาเพียง 44 วัน แซงหน้าสถิติเดิมของ จูราสสิค พาร์ค กำเนิดใหม่ไดโนเสาร์ ซึ่งใช้เวลา 67 วัน[98] ไททานิค รักษาสถิตินี้ไว้จนกระทั่งถูกทำลายสถิติใน ค.ศ. 1999 โดย สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 1 ภัยซ่อนเร้น[99] ภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดในวันเดียวคือวันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1998 โดยทำเงิน 13,048,711 ดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าแปดสัปดาห์หลังจากเปิดตัวในอเมริกาเหนือ[100][101] ภาพยนตร์ติดอันดับหนึ่งเป็นเวลา 15 สัปดาห์ติดต่อกันในอเมริกาเหนือ มากกว่าภาพยนตร์เรื่องใด ๆ[102] จนกระทั่งในเดือนเมษายน ค.ศ. 1998 ภาพยนตร์ก็ตกลงมาอยู่อันดับสอง เมื่อ ทะลุโลกหลุดจักรวาล ทำเงินแซงไป[103] ภาพยนตร์ฉายในโรงภาพยนตร์ในอเมริกาเหนือเป็นเวลาเกือบ 10 เดือน ก่อนจะฉายวันสุดท้ายในวันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1998 โดยทำเงินในประเทศรวม 600,788,188 ดอลลาร์สหรัฐ[104] เทียบเท่ากับ 1140.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน ค.ศ. 2023[105] ภาพยนตร์ทำเงินในต่างประเทศ 1,242,413,080 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าอเมริกาเหนือสองเท่า[106] และทำเงินรวมทั้งสิ้น 1,843,201,268 ดอลลาร์สหรัฐทั่วโลกจากการฉายครั้งแรก[107]
ก่อนการฉาย ไททานิค นักวิจารณ์ภาพยนตร์หลายคนคาดการณ์ว่าภาพยนตร์จะสร้างความผิดหวังอย่างมากในบ็อกซ์ออฟฟิศ เนื่องจากเป็นภาพยนตร์ที่มีทุนสร้างสูงที่สุดในขณะนั้น[63][108][109][110] เมื่อภาพยนตร์ฉายต่อสื่อมวลชนในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1997 "มันมีลางสังหรณ์ใหญ่โต" เนื่องจาก "ผู้รับผิดชอบในการฉายเชื่อว่าพวกเขากำลังจะตกงาน เพราะภาพนกอัลบาทรอสตัวใหญ่นี้ ในที่สุด สตูดิโอสองแห่งต้องรวมกันเพื่อแบ่งปันภาระอันมหาศาลในการสร้างมัน"[109] แคเมอรอนยังคิดว่าเขากำลัง "มุ่งหน้าสู่หายนะ" อยู่ช่วงหนึ่งระหว่างการถ่ายทำ "เราทำงานกันหกเดือนกับ ไททานิค โดยรู้แน่ชัดว่าสตูดิโอจะต้องเสียเงิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐแน่นอน" เขากล่าว[63] เมื่อภาพยนตร์ใกล้จะฉาย "พิษเฉพาะถูกพ่นออกมาใส่แคเมอรอนสำหรับสิ่งที่ถูกมองว่าเป็นความโอหังและความฟุ่มเฟือยอย่างยิ่งใหญ่ของเขา" นักวิจารณ์ภาพยนตร์จาก ลอสแอนเจลิสไทมส์ เขียนไว้ว่า "ความหยิ่งผยองของแคเมอรอนใกล้จะทำให้โครงการนี้ล่มแล้ว" และภาพยนตร์เป็น "สำเนาของความรักฮอลลีวูดเก่า ๆ ที่ลอกเลียนแบบมาอย่างสมบูรณ์"[63]
ไททานิค ได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกอย่างมากจากนักวิจารณ์ภาพยนตร์และได้รับคำชมในแง่บวกจากผู้ชมและนักวิชาการ ซึ่งแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบทางวัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์และการเมืองของภาพยนตร์[111][112][113] บนเว็บไซต์รวบรวมบทวิจารณ์ รอตเทนโทเมโทส์ ภาพยนตร์ได้รับคะแนนที่อนุมัติแล้ว 88% โดยมีคะแนนเฉลี่ย 8/10 จาก 244 บทวิจารณ์ ฉันทามติของเว็บไซต์ระบุว่า: "ชัยชนะที่ไร้เงื่อนไขโดยส่วนใหญ่สำหรับเจมส์ แคเมอรอน ผู้นำเสนอการผสมผสานที่ชวนเวียนหัวของภาพที่งดงามและประโลมโลกสมัยเก่า"[114] เมทาคริติก ให้คะแนนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก 75 จาก 100 จาก 35 บทวิจารณ์ โดยรายงานว่าภาพยนตร์มี "บทวิจารณ์ที่ดีโดยทั่วไป"[115] แบบสำรวจผู้ชมโดย ซีนะมาสกอร์ ให้เกรดภาพยนตร์ "A+" โดยหนึ่งในภาพยนตร์น้อยกว่า 60 เรื่องในประวัติศาสตร์ของซีนะมาสกอร์ตั้งแต่ ค.ศ. 1982 ถึง 2011 ที่ได้รับเกรดนี้[116]
ไททานิค กวาดรางวัลโดยเริ่มจาก รางวัลลูกโลกทองคำ โดยชนะเลิศสี่สาขา ได้แก่ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์ดรามา, สาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม[117] เคต วินสเล็ตและกลอเรีย สจวร์ต ก็ได้รับการเสนอชื่อเช่นกัน[118] ภาพยนตร์ได้รับการเสนอชื่อใน รางวัลออสการ์ สิบสี่สาขา เทียบเท่ากับสถิติของภาพยนตร์เรื่อง วิมานลวง ของ โจเซฟ แอล. มานคีวิกซ์ เมื่อ ค.ศ. 1950[119] โดย ไททานิค ชนะเลิศสิบเอ็ดสาขา ได้แก่ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (เป็นภาพยนตร์เรื่องที่สองที่เกี่ยวกับ ไททานิก ที่ได้รับรางวัล ต่อจาก ภาพยนตร์เรื่อง คาวาลเคด เมื่อ ค.ศ. 1933), สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม, สาขากำกับศิลป์ยอดเยี่ยม, สาขาถ่ายภาพยอดเยี่ยม, สาขาเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม, สาขาลำดับภาพยอดเยี่ยม, สาขาออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม, สาขาบันทึกเสียงยอดเยี่ยม (แกรี ไรด์สตรอม, ทอม จอห์นสัน, แกรี ซัมเมอส์, มาร์ก อูลาโน), สาขาลำดับเสียงยอดเยี่ยม, สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม[120] เคต วินสเล็ต, กลอเรีย สจวร์ต และช่างแต่งหน้า เป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อแต่ไม่ได้ชนะเลิศ โดยแพ้ให้กับ เฮเลน ฮันต์ ใน เพียงเธอ..รักนี้ดีสุดแล้ว, คิม เบซิงเงอร์ ใน ดับโหด แอล.เอ.เมืองคนโฉด และ เอ็มไอบี หน่วยจารชนพิทักษ์จักรวาล พร้อมกัน[121] บทภาพยนตร์ดั้งเดิมของเจมส์ แคเมรอนและลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ ไม่ได้รับการเสนอชื่อ[108] ไททานิค เป็นภาพยนตร์เรื่องที่สองที่ได้รับรางวัลออสการ์สิบเอ็ดสาขา ต่อจาก เบนเฮอร์ เมื่อ ค.ศ. 1959[122] และใน ค.ศ. 2004 ภาพยนตร์เรื่อง มหาสงครามชิงพิภพ ก็ได้รับรางวัลออสการ์เท่ากัน[123]
ไททานิค ชนะเลิศ รางวัลออสการ์ สาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ใน งานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 70, เช่นเดียวกับ รางวัลแกรมมี สี่สาขา ได้แก่ สาขาบันทึกเสียงแห่งปี, สาขาเพลงแห่งปี, สาขาเพลงยอดเยี่ยมที่แต่งสำหรับภาพยนตร์หรือโทรทัศน์โดยเฉพาะและสาขาการแสดงร้องเพลงป๊อปหญิงยอดเยี่ยม[124][125] เพลงประกอบของภาพยนตร์กลายเป็นเพลงประกอบที่มีวงออร์เคสตราเป็นหลักที่ขายดีที่สุดตลอดกาล และประสบความสำเร็จไปทั่วโลก โดยใช้เวลา 16 สัปดาห์ในการขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในสหรัฐ และได้รับการรับรองระดับไดมอนด์สำหรับยอดขายกว่า 11 ล้านชุดเฉพาะในสหรัฐเพียงแห่งเดียว[126] อัลบั้มเพลงประกอบยังกลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในสหรัฐในปี 1998[127] "มายฮาร์ตวิลโกออน" ชนะเลิศรางวัลแกรมมี สาขาเพลงยอดเยี่ยมที่แต่งสำหรับภาพยนตร์หรือโทรทัศน์โดยเฉพาะ
ภาพยนตร์ยังได้รับรางวัลต่าง ๆ นอกสหรัฐ รวมถึงรางวัลเจแปนอะแคเดมี สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมแห่งปี[128] ไททานิค คว้ารางวัลเกือบเก้าสิบรางวัลและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงอีกสี่สิบเจ็ดรางวัลจากองค์กรมอบรางวัลต่าง ๆ ทั่วโลก[ต้องการอ้างอิง] นอกจากนี้ หนังสือเกี่ยวกับการสร้างภาพยนตร์ก็ยังติดอันดับหนังสือขายดีของเดอะนิวยอร์กไทมส์เป็นเวลาหลายสัปดาห์ "เป็นครั้งแรกที่หนังสือพ่วงขายดังกล่าวได้รับตำแหน่งนี้"[11]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.