ประเทศซูดานใต้
ประเทศในแอฟริกาตะวันออก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ซูดานใต้[18] หรือ เซาท์ซูดาน[18] (อังกฤษ: South Sudan) มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐซูดานใต้ หรือ สาธารณรัฐเซาท์ซูดาน (อังกฤษ: Republic of South Sudan)[19] เป็นประเทศในแอฟริกาตะวันออก เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดมีชื่อว่า จูบา ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐอิเควทอเรียลกลางที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศ ซูดานใต้เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ทางตะวันออกมีอาณาเขตติดต่อกับเอธิโอเปีย ทางใต้ติดต่อกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ทางตะวันตกติดต่อกับสาธารณรัฐแอฟริกากลาง และทางเหนือติดต่อกับซูดาน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นบึงตมซึ่งเกิดขึ้นจากแม่น้ำไนล์ขาว
สาธารณรัฐซูดานใต้ | |
---|---|
คำขวัญ: "ความยุติธรรม เสรีภาพ ความมั่งคั่ง" | |
ประเทศซูดานใต้อยู่ในสีเขียวเข้ม ดินแดนพิพาทอยู่ในสีเขียวอ่อน | |
ที่ตั้งของ ประเทศซูดานใต้ (น้ำเงินเข้ม) – ในแอฟริกา (น้ำเงินอ่อน & เทาเข้ม) | |
เมืองหลวง และเมืองใหญ่สุด | จูบา 04°51′N 31°36′E |
ภาษาราชการ | อังกฤษ[1] |
และอีกประมาณ 60 ภาษา [note 1] | |
ภาษาพูด[3] | |
ศาสนา (2020)[8] | |
เดมะนิม | ชาวซูดานใต้ |
การปกครอง | สหพันธ์ ระบบประธานาธิบดี สาธารณรัฐรัฐธรรมนูญ[9] |
• ประธานาธิบดี | ซัลวา กีร์ มายาร์ดิต |
• รองประธานาธิบดีคนแรก | Riek Machar[10] |
• รองประธานาธิบดีคนที่ 2 | เจมส์ วานี อิกกา[10] |
• รองประธานาธิบดีคนที่ 3 | ตาบัน เดง ไก[10] |
• รองประธานาธิบดีคนที่ 4 | Rebecca Nyandeng De Mabior[10] |
• รองประธานาธิบดีคนที่ 5 | ฮุซัยน์ อับดุลบากี[10] |
สภานิติบัญญัติ | สภานิติบัญญัติแห่งชาติในช่วงเปลี่ยนผ่าน |
• สภาสูง | สภาแห่งรัฐ |
• สภาล่าง | สภานิติบัญญัติแห่งชาติในช่วงเปลี่ยนผ่าน |
ก่อตั้ง | |
• ซูดานของอังกฤษ-อียิปต์สิ้นสุด | 1 มกราคม ค.ศ. 1956 |
• ความตกลงสันติภาพเบ็ดเสร็จ | 6 มกราคม ค.ศ. 2005 |
9 กรกฎาคม ค.ศ. 2005 | |
9 กรกฎาคม ค.ศ. 2011 | |
13 กรกฎาคม ค.ศ. 2011 | |
พื้นที่ | |
• รวม | 644,329 ตารางกิโลเมตร (248,777 ตารางไมล์) (อันดับที่ 41) |
ประชากร | |
• 2019 ประมาณ | 12,778,250 (อันดับที่ 75) |
• สำมะโนประชากร 2008 | 8,260,490 (กำกวม)[11] |
13.33 ต่อตารางกิโลเมตร (34.5 ต่อตารางไมล์) (อันดับที่ 214) | |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | 2018 (ประมาณ) |
• รวม | 18.435 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[12] |
• ต่อหัว | 1,420 ดอลลาร์สหรัฐ[12] (อันดับที่ 222) |
จีดีพี (ราคาตลาด) | 2018 (ประมาณ) |
• รวม | 3.194 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[12] |
• ต่อหัว | 246 ดอลลาร์สหรัฐ[12] |
จีนี (2016) | 44.1[13] ปานกลาง |
เอชดีไอ (2019) | 0.433[14] ต่ำ · อันดับที่ 185 |
สกุลเงิน | ปอนด์ซูดานใต้ (SSP) |
เขตเวลา | UTC+2 (เวลาแอฟริกากลาง) |
รูปแบบวันที่ | วว/ดด/ปปปป |
ขับรถด้าน | ขวา[15] |
รหัสโทรศัพท์ | +211[16] |
รหัส ISO 3166 | SS |
โดเมนบนสุด | .ss[17]a |
|
หลังจากประเทศซูดานได้รับเอกราชเมื่อปี พ.ศ. 2499 ได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นหลายครั้ง ซึ่งมีบางช่วงที่ซูดานใต้ได้รับสิทธิ์ในการปกครองตนเอง เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554 ได้มีการจัดการลงประชามติเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชจากประเทศซูดานขึ้น ผลปรากฏว่า ชาวซูดานใต้เสียงข้างมากเกือบ 99% เห็นควรแยกตัวเป็นเอกราช[20] และเมื่อเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 9 กรกฎาคม ซูดานใต้ก็กลายเป็นประเทศเอกราชโดยแยกตัวออกจากประเทศซูดาน[21]
ซูดานใต้ได้สมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือจักรภพแห่งชาติ[22] และยังได้รับการประกาศว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมจะสมัครเป็นสมาชิกในสันนิบาตอาหรับได้ด้วยเช่นกัน[23] นอกจากนี้ ยังได้แสดงความสนใจจะเข้าร่วมประชาคมแอฟริกาตะวันออก ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ได้รับการสนับสนุนในหลักการโดยรัฐสมาชิก เคนยาและรวันดา[24] คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติวางแผนจะประชุมกันในวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เพื่ออภิปรายถึงสมาชิกภาพและการรับรองสาธารณรัฐซูดานใต้อย่างเป็นทางการ [25] ซึ่งในวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ลงมติรับรองชาติเกิดใหม่นี้เป็นรัฐสมาชิกลำดับที่ 193 ของสหประชาชาติแล้ว
ประวัติศาสตร์
ภูมิภาคนี้ได้รับผลกระทบในแง่ลบจากสงครามกลางเมืองสองครั้งนับแต่ซูดานได้รับเอกราช รัฐบาลซูดานสู้รบกับกบฏตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498 ถึง 2515 ในสงครามกลางเมืองซูดานครั้งที่หนึ่ง และกองทัพปลดปล่อยประชาชนซูดาน (SPLA/M) ในสงครามกลางเมืองครั้งที่สองเป็นเวลาอีกเกือบยี่สิบเอ็ดปีนับตั้งแต่ก่อตั้ง SPLA/M ในปี พ.ศ. 2526 ซึ่งส่งผลให้เกิดการปล่อยปละละเลย การขาดการพัฒนาสาธารณูปโภค ตลอดจนการทำลายล้างและการย้ายประชากรอย่างมโหฬาร มีผู้ถูกสังหารมากกว่า 2.5 ล้านคน และมีอีกมากกว่า 5 ล้านคนถูกขับออกจากถิ่นที่อยู่ กลายเป็นผู้ลี้ภัยจากผลของสงครามกลางเมืองและที่เกี่ยวข้องกับสงคราม
มีการประเมินว่าภูมิภาคซูดานใต้มีประชากร 8 ล้านคน[26] แต่เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวไม่มีการทำสำมะโนประชากรมาเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว ตัวเลขประมาณนี้จึงอาจคาดเคลื่อนอย่างรุนแรง เศรษฐกิจส่วนใหญ่เป็นแบบชนบทและพึ่งพาเกษตรกรรมเพื่อยังชีพเป็นหลัก[26] ในกลางคริสต์ทศวรรษ 2000 เศรษฐกิจเริ่มเปลี่ยนจากที่ชนบทเด่นกว่ามาเป็นเขตเมือง โดยสังเกตได้ว่าซูดานใต้มีการพัฒนาอย่างกว้างขวาง
เอกราช
มีการจัดการลงประชามติแยกซูดานใต้เป็นเอกราชระหว่างวันที่ 9 ถึง 15 มกราคม พ.ศ. 2554 โดยประชากรที่ออกเสียงกว่า 98.83% โดยผลการลงประชามติเผยแพร่เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554[27] ชาวซูดานที่อาศัยอยู่ทางเหนือและที่อยู่โพ้นทะเลก็มาใช้สิทธิ์ด้วยเช่นกัน[28] ผลการลงประชามตินำไปสู่การได้รับเอกราชอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ถึงแม้ว่าข้อพิพาทบางประการจะยังคงดำเนินต่อไป อย่างเช่น ส่วนแบ่งรายได้จากการค้าน้ำมัน ซึ่งมีการประเมินว่า 80% ของน้ำมันในซูดานอยู่ในซูดานใต้ นับเป็นศักยภาพทางเศรษฐกิจอันน่าทึ่งสำหรับพื้นที่เสื่อมโทรมที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ภูมิภาค Abyei ยังคงอยู่ในระหว่างพิพาทและจะมีการจัดการลงประชามติแยกต่างหากใน Abyei ว่าชาวเมืองต้องการจะเข้าร่วมกับซูดานเหนือหรือซูดานใต้[29] ความขัดแย้งคูร์ดูฟันใต้ปะทุขึ้นในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2554 ระหว่างกองทัพซูดานใต้กับ SPLA เหนือเทือกเขานูบา
ซูดานใต้กำลังทำสงครามกับกลุ่มติดอาวุธอย่างน้อยเจ็ดกลุ่ม โดยมีประชากรถูกบังคับให้ย้ายออกจากถิ่นที่อยู่แล้วหลายหมื่นคน[30]
สงครามกลางเมือง (2556–ปัจจุบัน)
ในเดือนธันวาคม 2556 เกิดการแก่งแย่งอำนาจทางการเมืองระหว่างประธานาธิบดีกีร์และอดีตผู้ช่วยของเขา รีค มาชาร์ (Riek Machar) เมื่อประธานาธิบดีกล่าวหามาชาร์และผู้อื่นอีกสิบคนว่าพยายามรัฐประหาร[31] แม้ทั้งสองมีผู้สนับสนุนจากชาติพันธุ์ต่าง ๆ ทั่วซูดานใต้ แต่การสู้รบต่อมาเป็นชุมชน โดยกบฏมุ่งเป้าสมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ดิงกาของกีร์และทหารรัฐบาลโจมตีนูเออร์[32] ทหารยูกันดายังสู้รบร่วมกับกำลังรัฐบาลซูดานใต้ต่อกบฏ[33]
มีประมาณว่ามีผู้เสียชีวิตถึง 100,000 คนในความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์ดิงกา-นูเออร์ ข้าราชการห้าคน รวมมาชาร์ ถูกพิจารณาฐานกบฏ ซึ่งทั้งหมดปฏิเสธข้อกล่าวหาโดยสิ้นเชิง ซึ่งผู้สังเกตการณ์เกรงว่าจะคุกคามการหยุดยิงล่าสุด[32] มีผู้พลัดถิ่นกว่า 1,000,000 คนในซูดานใต้ และกว่า 400,000 คนหลบหนีไปประเทศเพื่อนบ้าน[34] โดยเฉพาะเคนยา ซูดานและยูกันดาอันเนื่องมาจากความขัดแย้ง[35]
เมื่อปลายเดือนกันยายน 2557 ทั้งกลุ่มแยก SPLM รวมทั้ง SPLM-IO ตกลงข้อเสนอทำให้เป็นสหพันธรัฐ (federalisation) ที่ขอมานานของฝ่ายค้านและตัวแสดงที่เป็นกลางกว่า
ภูมิศาสตร์
ซูดานใต้ตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 3 และ 13 องศาเหนือ และลองติจูด 24 และ 36 องศาตะวันออก ปกคลุมไปด้วยป่าเขตร้อน บึงและทุ่งหญ้า มีแม่น้ำไนล์ขาวไหล่ผ่านประเทศ ผ่านเมืองหลวง จูบา[36]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การเมือง
สภานิติบัญญัติของสาธารณรัฐซูดานใต้อนุมัติรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554[37] ใช้เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองรัฐ โดยยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเมื่อปี พ.ศ. 2548[38] รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวจัดตั้งระบบการปกครองแบบระบบประธานาธิบดี ซึ่งมีประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐ ประมุขแห่งรัฐบาล และผู้บัญชาการทหารสูงสุด จอห์น กาแรง ผู้ก่อตั้งกองทัพปลดปล่อยประชาชนซูดาน (SPLA/M) เป็นประธานาธิบดีคนแรกของรัฐบาลปกครองตนเองจนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 ซัลวา กีร์ มายาร์ดิต มือขวาของเขา สาบานตนเข้ารับตำแหน่งรองประธานาธิบดีคนแรกของซูดานและประธานาธิบดีรัฐบาลซูดานใต้เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2548 อำนาจนิติบัญญัติตกเป็นของรัฐบาลและสภานิติบัญญัติซูดานใต้ที่เป็นแบบสภาเดียว รัฐธรรมนูญยังได้กำหนดให้ฝ่ายตุลาการทำหน้าที่เป็นอิสระ โดยมีองค์กรสูงสุดคือศาลสูงสุด
เอกสารกลาโหมว่าด้วยกระบวนการป้องกันริเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2550 โดยรัฐมนตรีว่าการกิจการ SPLA โดมีนีก ดิม เดง และมีการจัดทำร่างขึ้นในปี พ.ศ. 2551 เอกสารดังกล่าวประกาศว่าซุดานใต้จะดำรงไว้ซึ่งกองทัพบก กองทัพอากาศและกองทัพแม่น้ำ (riverine forces)[39][40]
การแบ่งเขตการปกครอง
ซูดานใต้แบ่งเขตการปกครองออกเป็นสิบรัฐตามภูมิภาคทางประวัติศาสตร์สามภูมิภาคของซูดาน ได้แก่ บาหร์ อัล กาซัล, เอควาทอเรียและเกรตเตอร์อัปเปอร์ไนล์ และแบ่งย่อยลงไปอีกเป็น 86 เขต
- บาหร์ อัล กาซัล
- บาหร์ อัล กาซัลเหนือ
- บาหร์ อัล กาซัลตะวันตก
- ลาเคส
- วารับ
- เอควาทอเรีย
- เอควาทอเรียตะวันตก
- เอควิทอเรียกลาง (เป็นที่ตั้งของเมืองหลวง จูบา)
- เอควาทอเรียตะวันออก
- เกรตเตอร์อัปเปอร์ไนล์
- จุนกาลี
- ยูนิตี
- อัปเปอร์ไนล์
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
เมื่อซูดานใต้แยกตัวออกจากซูดานโดยผลการลงประชามติ การลงประชามติเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชในบางภูมิภาคที่ติดต่อกับซูดานใต้เองก็มีการตกลงในหลักการหรือกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณา รวมทั้งรัฐคูร์ดูฟันใต้และบลูไนล์[41]
นับตั้งแต่วันที่ประกาศอิสรภาพ ความสัมพันธ์กับซูดานยังคงอยู่ในระหว่างการเจรจา ประธานาธิบดีซูดาน อูมัร ฮะซัน อะห์มัด อัลบะชีร์ แต่แรกเคยประกาศเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2554 ว่าอนุญาตให้พลเมืองถือสองสัญชาติในซูดานเหนือและใต้ได้[36] แต่หลังจากการประกาศอิสรภาพของซูดานใต้ เขาได้ถอนข้อเสนอดังกล่าว เขายังได้เสนอแนะสมาพันธรัฐแบบสหภาพยุโรป[42]
ซูดานใต้เป็นรัฐสมาชิกสหประชาชาติ แม้จะยังไม่ได้เข้าเป็นสมาชิกสันนิบาตอาหรับ แต่ก็คาดว่าจะได้รับสมาชิกภาพเร็ว ๆ นี้[43][44] ซูดานใต้ยังมีแผนจะเข้าร่วมเครือจักรภพแห่งชาติ[45] ประชาคมแอฟริกาตะวันออก[46][47] กองทุนการเงินระหว่างประเทศ[48] และธนาคารโลก[49]
เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจซูดานใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจอ่อนแอและด้อยพัฒนาที่สุดประเทศหนึ่งในโลก โดยมีสาธารณูปโภคน้อยมากและมีอัตราการเสียชีวิตของมารดาและอัตราไม่รู้หนังสือในผู้หญิงสูงที่สุดในโลกในปี พ.ศ. 2554[50] ซูดานใต้ส่งออกไม้ไปยังตลาดระหว่างประเทศ ภูมิภาคนี้ยังมีทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก อย่างเช่น ปิโตรเลียม แร่เหล็ก ทองแดง แร่โครเมียม สังกะสี ทังสเตน ไมกา เงิน ทองคำ และพลังงานน้ำ เศรษฐกิจของประเทศ เหมือนกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นอีกมาก พึ่งพาการเกษตรเป็นหลัก
น้ำมัน
บ่อน้ำมันในซูดานใต้ทำให้เศรษฐกิจในภูมิภาคยังคงอยู่รอดได้ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เมื่อซูดานใต้ได้รับเอกราชจากซูดานในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 นักเจรจาฝ่ายใต้และฝ่ายเหนือยังไม่สามารถบรรลุความตกลงว่าด้วยรายได้จากบ่อน้ำมันในซูดานใต้[51] ระหว่างสมัยปกครองตนเองครั้งที่สองระหว่าง พ.ศ. 2548 ถึง 2554 รัฐบาลซูดานเรียกร้องรายได้ 50% จากการส่งออกน้ำมันของซูดานใต้ และซูดานใต้ถูกบีบให้ต้องพึ่งพาท่อส่งและโรงกลั่นน้ำมันทางเหนือ เช่นเดียวกับเมืองท่าทะเลแดงที่พอร์ตซูดาน คาดว่าข้อตกลงหลังซูดานใต้ได้รับเอกราชจะคล้ายเดิม โดยนักเจรจาฝ่ายเหนือมีรายงานว่ากดดันให้ยังคงรักษาส่วนแบ่งรายได้น้ำมัน 50-50 และนักเจรจาซูดานใต้ก็ยืนกรานให้มีข้อเสนอที่ดีกว่า[52]
การคมนาคม
ซูดานใต้มีรางรถไฟแคบ 1,067 มิลลิเมตร ทางเดี่ยวยาว 248 กิโลเมตรจากพรมแดนซูดานถึงปลายทางเวา ท่าอากาศยานที่มีผู้โดยสารมากที่สุดและพัฒนามากที่สุดในซูดานใต้ คือ ท่าอากาศยานจูบา
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ลักษณะประชากร
ซูดานใต้มีประชากรราว 6 ล้านคนและเศรษฐกิจสำคัญเป็นแบบพึ่งพาตนเองในชนบท ภูมิภาคนี้ได้รับผลกระทบเชิงลบจากสงครามเป็นเวลาหลายสิบปี ชาวซูดานใต้ส่วนใหญ่นับถือความเชื่อชนพื้นเมืองโบราณ ถึงแม้ว่าบางส่วนจะนับถือศาสนาคริสต์ อันเป็นผลมาจากการเผยแผ่ศาสนาของมิชชันนารี[26]
ภาษา
ภาษาราชการของซูดานใต้ คือ ภาษาอังกฤษ ขณะที่ภาษาพูดอารบิกมีพูดกันอย่างแพร่หลาย และภาษาอารบิกจูบา อันเป็นภาษาผสม ใช้พูดกันในพื้นที่รอบเมืองหลวง
ประชากรซูดานใต้ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 200 กลุ่ม และเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีความหลากหลายมากที่สุดในทวีปแอฟริกา อย่างไรก็ตาม มีภาษาจำนวนมากที่มีผู้พูดเพียงไม่กี่พันคนเท่านั้น ภาษาที่มีผู้พูดเป็นภาษาแม่มากที่สุด คือ ภาษาดิงคา ซึ่งมีผู้พูดราว 2-3 ล้านคน
กลุ่มผู้ลี้ภัยชาวซูดานใต้ผู้ซึ่งเติบโตขึ้นในคิวบาระหว่างสงครามซูดาน ซึ่งมีจำนวนราว 600 คน ยังสามารถพูดภาษาสเปนได้อย่างคล่องแคล่วด้วย และส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในจูบาในช่วงที่ประเทศได้รับเอกราช[53]
ศาสนา
ศาสนาที่ชาวซูดานใต้นับถือกันนั้นประกอบด้วยศาสนาชนพื้นเมืองดั้งเดิม ศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม[54] แหล่งข้อมูลวิชาการและกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริการะบุว่า ชาวซูดานใต้ส่วนใหญ่ยังคงนับถือความเชื่อชนพื้นเมืองแต่เดิม (บางครั้งใช้คำว่า วิญญาณนิยม) โดยมีผู้นับถือศาสนาคริสต์รองลงมา[55][56][57][26] ตามข้อมูลของหอสมุดรัฐสภาสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษ 1990 อาจมีประชากรซูดานใต้ไม่เกิน 10% ที่เป็นคริสเตียน[58] อย่างไรก็ตาม บางรายงานข่าวและองค์กรคริสเตียนระบุว่า ประชากรซูดานใต้ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์[59][60] คริสเตียนส่วนใหญ่เป็นนิกายคาทอลิกและแองกลิคัน และความเชื่อถือผีนั้นมักจะผสมเข้ากับความเชื่อคริสเตียน[61]
ประธานาธิบดีซูดานใต้ คีร์ มายาร์ดิต ว่า ซูดานใต้จะเป็นชาติที่เคารพเสรีภาพในการนับถือศาสนา[62]
สถานการณ์ด้านมนุษยธรรม
ซูดานใต้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีตัวชี้วัดสุขภาพบางด้านเลวร้ายที่สุดในโลก[63][64][65] อัตราการเสียชีวิตของเด็กอายุไม่ถึงห้าปีอยู่ที่ 112 คน ต่อ 1,000 คน ขณะที่มีอัตราการเสียชีวิตของมารดาขณะคลอดบุตรสูงที่สุดในโลกที่ 2,053.9 คน ต่อ 100,000 คน[65] ในปี พ.ศ. 2547 มีศัลยแพทย์เพียงสามคนเท่านั้นที่อยู่ในซูดานใต้ โดยมีโรงพยาบาลที่ได้รับมาตรฐานเพียงสามแห่ง และในบางพื้นที่มีแพทย์เพียงหนึ่งคนต่อประชากรถึง 500,000 คน[63]
วิทยาการระบาดของเอชไอวี/เอดส์ในซูดานใต้มีบันทึกไว้อย่างเลว แต่คาดว่ามีความชุกของโรคอยู่ที่ประมาณ 3.1%[66]
ในห้วงความตกลงสันติภาพเบ็ดเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2548 ความต้องการด้านมนุษยธรรมในซูดานใต้มีสูงมาก อย่างไรก็ตาม องค์การด้านมนุษยธรรมภายใต้การนำของสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (OCHA) จัดการเพื่อรับรองว่ามีการระดมทุนเพียงพอที่จะนำความช่วยเหลือมายังประชากรท้องถิ่น ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูและการช่วยเหลือพัฒนา โครงการมนุษยธรรมถูกบรรจุเข้าไปในแผนการทำงานปี พ.ศ. 2550 ของสหประชาชาติและองค์กรสนับสนุน ประชากรซูดานใต้มากกว่า 90% ดำรงชีวิตอยู่ด้วยเงินน้อยกว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน แม้ว่าจีดีพีต่อหัวของซูดานทั้งประเทศจะอยู่ที่ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี (3.29 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน)[67] หลังจากปี พ.ศ. 2550 OCHA เริ่มลดบทบาทในซูดานใต้ลง เนื่องจากความต้องการด้านมนุษนธรรมค่อย ๆ ลดลงเป็นลำดับ แต่ได้ส่งมอบการควบคุมกิจกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาให้แก่องค์กรสาธารณประโยชน์และองค์กรที่ตั้งขึ้นในท้องถิ่น[68]
หมายเหตุ
อ้างอิง
อ่านเพิ่ม
หนังสืออ่านเพิ่มเติม
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand in your browser!
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.