Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ปฏิบัติการบาร์บาร็อสซา (เยอรมัน: Unternehmen Barbarossa, อังกฤษ: Operation Barbarossa, รัสเซีย: Операция Барбарросса) เป็นรหัสนามสำหรับการบุกครองสหภาพโซเวียตของฝ่ายอักษะ ซึ่งเริ่มต้นขึ้น เมื่อวันอาทิตย์ ที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1941 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปฏิบัติการดังกล่าวได้นำไปสู่การกระทำเพื่อเป้าหมายทางด้านอุดมการณ์ของนาซีเยอรมนีในการพิชิตดินแดนสหภาพโซเวียตทางด้านตะวันตกเพื่อที่จะสร้างพื้นที่อยู่อาศัยใหม่ให้กับชาวเยอรมัน เกเนอราลพลานอ็อสท์ของเยอรมันนั้นมีเป้าหมายที่จะใช้ประชากรที่พิชิตมาได้บางส่วนมาเป็นแรงงานเกณฑ์สำหรับความพยายามทำสงครามของฝ่ายอักษะ ในขณะที่ได้เข้ายึดแหล่งบ่อน้ำมันสำรองบนเทือกเขาคอเคซัส รวมทั้งทรัพยากรทางเกษตรกรรมของดินแดนต่าง ๆ ของโซเวียต เป้าหมายสูงสุดของพวกเขา รวมถึงท้ายที่สุดแล้ว ได้ทำการกวาดล้าง การถูกทำให้เป็นทาส การถูกทำให้เป็นเยอรมัน และการเนรเทศต่อชาวสลาฟจำนวนมากมายไปยังไซบีเรีย และเพื่อสร้างเลเบินส์เราม์(พื้นที่อยู่อาศัย) สำหรับเยอรมนี[10][11]
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
ปฏิบัติการบาร์บาร็อสซา | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ แนวรบด้านตะวันออก ในสงครามโลกครั้งที่สอง | |||||||
ทหารเยอรมันในสหภาพโซเวียตระหว่างปฏิบัติการบาร์บาร็อสซา | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
นาซีเยอรมนี ฟินแลนด์ | สหภาพโซเวียต | ||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ |
โจเซฟ สตาลิน | ||||||
กำลัง | |||||||
ทหารราบ ~3,900,000 นาย รถถัง 3,600 คัน เครื่องบิน 4,389 ลำ[1] |
ทหารราบ ~3,200,000 นาย (ในภายหลังเพิ่มขึ้นเป็น 5,000,000+ นาย) รถถัง 12,000-15,000 คัน เครื่องบิน 35,000-40,000 ลำ (แต่ใช้งานได้จริงเพียง 11,357 ลำ[2]) | ||||||
ความสูญเสีย | |||||||
ทหารสูญเสียทั้งหมด ~918,000 นาย[3] รถถัง 2,758 คัน เครื่องบิน 2,093 ลำ[4] |
ทหารเสียชีวิต 802,191 นาย[5] ทหารสูญเสียทั้งหมด 3,000,000 นาย ถูกจับเป็นเชลย 3,300,000 นาย[6][7] รถถัง 20,500 คัน เครื่องบิน 21,200 ลำ[8][9] |
ในช่วงสองปีที่นำไปสู่การบุกครอง เยอรมนีและสหภาพโซเวียตได้ลงนามในสนธิสัญญาทางการเมืองและเศรษฐกิจเพื่อเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ อย่างไรก็ตาม กองบัญชาการใหญ่แห่งแวร์มัคท์(OKW) ได้เริ่มวางแผนการบุกครองสหภาพโซเวียตในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1940 (ภายใต้รหัสนามว่า ปฏิบัติการอ็อทโท) ซึ่งอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้มอบอำนาจ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 1940 ในช่วงระหว่างปฏิบัติการดังกล่าว จำนวนกำลังพลประมาณสามล้านนายของฝ่ายอักษะ ซึ่งเป็นกองกำลังรุกรานที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาตร์สงคราม การบุกครองดินแดนสหภาพโซเวียตทางด้านตะวันตกตามแนวรบระยะทางประมาณ 2,900 กิโลเมตร (1,800 ไมล์) ด้วยยานยนต์ 600,000 คัน และจำนวนม้ากว่า 600,000 ตัว สำหรับปฏิบัติการที่ไม่ใช่การสู้รบ การบุกครองดังกล่าวได้ขยายตัวอย่างมากในสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งในทางด้านภูมิศาสตร์และในการก่อตัวของแนวร่วมฝ่ายสัมพันธมิตร รวมทั้งสหภาพโซเวียต
ปฏิบัติการนี้ได้เปิดฉากแนวรบด้านตะวันออก ซึ่งมีกองกำลังมากมายที่เข้าร่วมมากกว่าในเขตสงครามอื่น ๆ ในประวัติศาสตร์ พื้นที่ดังกล่าวได้มีการพบเห็นถึงการสู้รบขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่ดูโหดร้ายและน่าสะพรึงกลัวที่สุด และมีการบาดเจ็บล้มตายสูงสุด (สำหรับกองกำลังฝ่ายโซเวียตและกองกำลังฝ่ายอักษะ) ซึ่งทั้งหมดนี้มีอิทธิพลต่อสงครามโลกครั้งที่สองและประวัติศาสตร์ในภายหลังของทศวรรษที่ 20 ในที่สุด กองทัพเยอรมันได้จับกุมกองกำลังทหารของกองทัพแดงโซเวียตได้ราวประมาณห้าล้านนาย[12] ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เคยกลับมามีชีวิตอีกเลย พวกนาซีได้จงใจให้อดอาหารหรือไม่ก็สังหารต่อเชลยศึกจำนวน 3.3 ล้านนายและพลเรือนอีกจำนวนมาก ด้วย"แผนความหิว" ซึ่งถูกใช้งานเพื่อแก้ไขปัญหาภาวะขาดแคลนอาหารของเยอรมันและกำจัดประชากรชาวสลาฟด้วยทุกขภิกภัย[13] มีการยิงเป้าและปฏิบัติการรมแก๊สจำนวนมากโดยพวกนาซี หรือผู้ให้ความร่วมมือด้วยความเต็มใจ[lower-alpha 1] ได้ทำการสังหารชาวโซเวียตเชื้อสายยิวจำนวนกว่าล้านคน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของฮอโลคอสต์[15]
ด้วยความล้มเหลวของปฏิบัติการบาร์บาร็อสซา ทำให้โชคชะตาของไรช์ที่สามต้องกลับตาลปัตร[16] ในทางปฏิบัติ กองทัพเยอรมันได้รับชัยชนะครั้งสำคัญและเข้ายึดครองพื้นที่ทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดบางแห่งชองสหภาพโซเวียต (ส่วนใหญ่อยู่ในยูเครน) และได้รับความเสียหาย เช่นเดียวกับการบาดเจ็บล้มตายอย่างต่อเนื่อง แม้จะประสบความสำเร็จในช่วงแรก แต่ฝ่ายรุกของเยอรมันต้องหยุดชะงักลงในยุทธการที่มอสโก เมื่อปลายปี ค.ศ. 1941 และตามมาด้วยการโจมตีตอบโต้กลับในฤดูหนาวของโซเวียตได้ผลักดันให้กองทหารเยอรมันกลับไป เยอรมันได้คาดหวังอย่างมั่นอกมั่นใจว่า การต่อต้านของโซเวียตจะพังทลายลงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับในโปแลนด์ แต่กองทัพแดงได้ซึมซับการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของกองทัพแวร์มัคท์ และจมปลักอยู่ในสงครามพร่ากำลัง ซึ่งเยอรมันไม่ได้เตรียมการมาก่อนเลย กองทัพที่ดูลิดรอนของแวร์มัคท์ไม่สามารถโจมตีตามแนวรบด้านตะวันออกทั้งหมดได้อีกต่อไป และตามมาด้วยปฏิบัติการเพื่อการรุกเข้ายึดกลับคืนและรุกเข้าไปลึก ๆ ในดินแดนโซเวียต เช่น กรณีสีน้ำเงิน ในปี ค.ศ. 1942 และปฏิบัติการซิทาเดลในปี ค.ศ. 1943 จนในที่สุดก็ต้องล้มเหลวซึ่งส่งผลทำให้แวร์มัคท์ต้องล่าถอยและพังทลายลง
ในปี ค.ศ. 1925 ฮิตเลอร์ได้เขียนเจตนาของเขาในการรุกรานสหภาพโซเวียตไว้อย่างชัดเจนใน ไมน์คัมพฟ์ (เยอรมัน: Mein Kampf; การต่อสู้ของข้าพเจ้า) โดยระบุถึงความเชื่อของเขาที่ว่าชาวเยอรมันเป็นชนที่พึงได้พื้นที่อยู่อาศัย (เยอรมัน: Lebensraum; อาทิเช่นที่ดิน ทรัพยากรและวัตถุดิบ) ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวนั้นควรเสาะแสวงหาในดินแดนตะวันออก อีกทั้งนโยบายทางเชื้อชาติของนาซียังระบุว่าเชื้อชาติสลาฟเป็นเชื้อชาติที่ต่ำกว่ามนุษย์ ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของ "ยิวบอลเชวิค" ในหนังสือไมน์คัมพฟ์ ฮิตเลอร์ยังเขียนไว้อีกว่าชะตากรรมของเยอรมนีคือการมุ่งสู่ตะวันออก อย่างที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหกร้อยปีก่อนหน้านั้น และ "เพื่อยุติการปกครองของชาวยิวในรัสเซีย ซึ่งจะเป็นการยุติความเป็นรัฐของรัสเซียลงไปด้วย" หลังจากนั้น ฮิตเลอร์ได้กล่าวถึงการต่อสู้ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้กับ "แนวคิดรวมเชื้อชาติสลาฟ" และชัยชนะที่ได้จะนำไปสู่ "ความเป็นเจ้าโลกนิรันดร" แม้ก่อนหน้านั้น ฮิตเลอร์จะเคยกล่าวว่า "เราจะต้องเดินทางเดียวกับพวกรัสเซีย ถ้านั่นเป็นประโยชน์ต่อเรา" ฉะนั้น นโยบายของรัฐบาลนาซี คือ สั่งฆ่า เนรเทศ หรือจับชาวรัสเซียหรือชาวสลาฟเป็นทาส และให้ดินแดนเหล่านั้นเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเยอรมันแทน
สนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอปได้รับการลงนามไม่นานก่อนหน้าการรุกรานโปแลนด์ของเยอรมนีและสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1939 ซึ่งโดยทั่วไปแล้วสนธิสัญญาดังกล่าวมีเนื้อหาเป็นสนธิสัญญาไม่รุกรานกัน แต่ทว่าได้มีข้อตกลงลับระหว่างนาซีเยอรมนีและสหภาพโซเวียตว่าจะแบ่งเขตอิทธิพลของทั้งสองชาติ สนธิสัญญาดังกล่าวสร้างความตกตะลึงให้กับโลกเนื่องจากความเป็นอริดั้งเดิมของทั้งสองฝ่าย รวมถึงอุดมการณ์ที่ตรงข้ามกันอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามเมื่อสนธิสัญญาได้รับการลงนามแล้ว ทั้งนาซีเยอรมนีและสหภาพโซเวียตก็กลายเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญ และมีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเหนียวแน่น โดยที่สหภาพโซเวียตเป็นผู้ส่งน้ำมันและวัตถุดิบต่าง ๆ ให้กับเยอรมนี ซึ่งช่วยให้เยอรมนีรอดพ้นจากการปิดล้อมทางทะเลของอังกฤษ ในขณะที่เยอรมนีก็ส่งมอบเทคโนโลยีทางการทหารให้กับสหภาพโซเวียต แต่ทว่าทั้งสองฝ่ายก็ยังคงความคลางแคลงในเจตนาของอีกฝ่าย หลังจากเยอรมนีได้เข้าร่วมกับฝ่ายอักษะร่วมกับอิตาลีและญี่ปุ่น เยอรมนีได้เจรจาเชิญชวนให้สหภาพโซเวียตเข้าเป็นสมาชิกด้วย หลังจากการเจรจานานสองวันในกรุงเบอร์ลินระหว่างวันที่ 12–14 พฤศจิกายน เยอรมนีได้ส่งข้อเสนอเป็นลายลักษณ์อักษรให้แก่สหภาพโซเวียตเพื่อเชิญชวน ทางด้านสหภาพโซเวียตได้ส่งข้อเสนอของตนกลับมาในวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940 แต่ไร้ท่าทีตอบสนองจากเยอรมนี เนื่องจากความเป็นอริต่อกันของทั้งสองประเทศเพิ่มมากขึ้นทุกที และเมื่อเกิดข้อพิพาทที่ขัดแย้งกันขึ้นในยุโรปตะวันออก จึงเป็นผลให้การปะทะกันทางทหารเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
การกระทำของสตาลินได้ทำให้นาซีเยอรมนีใช้อ้างเหตุผลเพื่อเตรียมการรุกรานและเพิ่มความเชื่อมั่นในความสำเร็จ ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1930 สตาลินได้สั่งประหารและคุมขังประชาชนจำนวนหลายล้านคนระหว่างการกวาดล้างครั้งใหญ่ ซึ่งผู้ที่ถูกสั่งประหารและคุมขังนั้นได้รวมไปถึงบุคลากรทางทหารที่มีความสามารถ ทำให้กองทัพแดงอ่อนแอและขาดผู้นำ พรรคนาซียังได้ใช้ความโหดร้ายดังกล่าวในการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งมีเนื้อหากล่าวหาว่า กองทัพแดงเตรียมการที่จะรุกรานเยอรมนี และการรุกรานของเยอรมนีนั้นเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัว
ระหว่างช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1940 เมื่อปริมาณวัตถุดิบของเยอรมนีตกอยู่ในสภาวะวิกฤต และขีดความสามารถในการรุกรานสหภาพโซเวียตเหนือดินแดนคาบสมุทรบอลข่านมีความเป็นไปได้สูง ดังนั้น ฮิตเลอร์จึงมีความมั่นใจในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยการรุกรานสหภาพโซเวียต แต่ในขณะนั้น ฝ่ายเยอรมนียังไม่มีแผนการที่เป็นรูปเป็นร่างชัดเจน ฮิตเลอร์ได้กล่าวแก่นายพลของเขาในเดือนมิถุนายนถึงชัยชนะในยุโรปตะวันตกว่า "เป็นการเตรียมการต่อเป้าหมายสำคัญที่แท้จริง นั่นคือ การจัดการกับพวกบอลเชวิค" แต่นายพลของเขาได้แย้งว่าการยึดครองสหภาพโซเวียตภาคพื้นยุโรปจะทำให้เกิดความสิ้นเปลืองมากกว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่ฮิตเลอร์ได้คาดหวังผลประโยชน์หลายประการที่จะได้หลังจากการเอาชนะสหภาพโซเวียตไว้ว่า:
ในวันที่ 5 ธันวาคม ฮิตเลอร์ได้รับทราบแผนการรุกรานที่เป็นไปได้ และอนุมัติแผนการทั้งหมด ต่อมา ในวันที่ 18 ธันวาคม ฮิตเลอร์ได้ลงนามในคำสั่งสงครามหมายเลข 21 ไปยังกองบัญชาการทหารสูงสุดของเยอรมนีในเรื่องปฏิบัติการซึ่งตั้งชื่อว่า "บาร์บาร็อสซา" กล่าวว่า "กองทัพเยอรมันต้องพร้อมที่จะบดขยี้สหภาพโซเวียตได้อย่างรวดเร็ว" โดยแผนการรุกรานถูกกำหนดให้มีขึ้นในวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1941 ส่วนทางด้านสหภาพโซเวียต สตาลินได้กล่าวแก่นายพลของเขาว่า จากที่ฮิตเลอร์ได้กล่าวถึงการรุกรานสหภาพโซเวียตใน ไมน์คัมพฟ์ กองทัพแดงจะต้องพร้อมที่จะตั้งรับการรุกรานจากเยอรมนี และพูดว่า ฮิตเลอร์คิดว่ากองทัพแดงจะต้องใช้เวลาเตรียมการนานถึงสี่ปี แต่เราจะต้องพร้อมได้เร็วกว่านั้นและเราคิดจะยืดเวลาของสงครามได้นานออกไปอีกสองปี
ช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1940 นายทหารระดับสูงของกองทัพเยอรมันได้ร่างบันทึกซึ่งกล่าวถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นภายหลังการรุกรานสหภาพโซเวียต รวมไปถึงความคิดที่ว่ายูเครน เบโลรุสเซียและรัฐแถบบอลติกจะเป็นภาระใหญ่หลวงทางเศรษฐกิจต่อเยอรมนี ส่วนนายทหารอีกพวกหนึ่งได้แย้งว่าระบบรัฐการของโซเวียตจะไม่ได้รับผลกระทบ และการยึดครองดังกล่าวจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดต่อเยอรมนี รวมไปถึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องเข้าไปเกี่ยวยุ่งกับพวกบอลเชวิคด้วย ฮิตเลอร์ปฏิเสธความคิดเห็นทั้งหมด รวมไปถึงนายพลจอร์จ โธมัส ซึ่งกำลังเตรียมการรายงานเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจในแง่ลบที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากการรุกรานสหภาพโซเวียต
ปฏิบัติการบาร์บาร็อสซาส่วนใหญ่เริ่มต้นมาจากความคิดของฮิตเลอร์แต่เพียงผู้เดียว ในขณะที่บุคลากรทางทหารและสมาชิกในพรรคนาซีแนะนำว่าเขาควรที่จะจัดการกับเกาะบริเตนให้เสร็จสิ้นไปก่อน แล้วจึงค่อยเปิดการโจมตีสหภาพโซเวียตในแนวหน้าตะวันออก แต่ส่วนใหญ่เหล่านายพลของฮิตเลอร์ก็เห็นด้วยกับฮิตเลอร์ว่าการบุกโซเวียตนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะต้องเกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่ง ในตอนนั้นฮิตเลอร์พิจารณาแล้วว่าตนเองนั้นเป็นอัจฉริยะทางการทหารและการเมือง และเป็นที่แน่ชัดว่าในขณะนั้นเขาได้รับชัยชนะอย่างรวดเร็วในแทบทุกประเทศที่เขาโจมตี (ยกเว้นเกาะบริเตนที่ยังสามารถยันการโจมตีของเยอรมันได้อยู่) ทั้ง ๆ ที่ก่อนการโจมตี โอกาสที่เขาจะชนะนั้นมีน้อยมาก อย่างไรก็ตามเขาละเลยคำแนะนำของผู้บัญชาการกองทัพเยอรมัน ซึ่งเกิดมาจากความไม่ยั้งคิดและความยินดีที่จะเสี่ยง ประสมกับระเบียบวินัยของทหารของเขาและยุทธวิธีการโจมตีสายฟ้าแลบ ทำให้เขาสามารถเอาชนะซูเดเทนแลนด์ ออสเตรีย และเชโกสโลวาเกียอย่างง่ายดาย จากนั้นเขาก็สามารถเอาชนะประเทศโปแลนด์ เดนมาร์ก และนอร์เวย์ได้โดยประสบกับปัญหาเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นเขาก็ยังสามารถทำลายกองทัพของฝรั่งเศสได้อย่างรวดเร็วโดยการบุกผ่านลักเซมเบิร์กซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของแนวมายิโนต์ (Maginot Line) และทำการปิดล้อมกองกำลังสัมพันธมิตร แล้วกองทัพของเขาจึงมุ่งหน้าไปทางใต้ไปยังชายแดนสวิส ต่อมากองกำลังสัมพันธมิตรสามารถโจมตีฝ่าส่วนปิดล้อมด้านเหนือออกมาได้ แต่ก็ถูกต้อนไปยังเมืองดันเคิร์ก และจนมุมโดยสิ้นเชิง จนกระทั่งกองทัพบริเตนกู้ภัยออกมาได้ ซึ่งทำให้ตอนนี้ผืนดินในภูมิภาคยุโรปตะวันตกเป็นของฮิตเลอร์โดยสิ้นเชิง แต่กองทัพของเขาไม่สามารถบุกข้ามช่องแคบอังกฤษไปยังเกาะบริเตนได้ในทันทีเนื่องจากความเหนือกว่าของอังกฤษในด้านการรบทางทะเล และมีอำนาจเท่าเทียมกันทางอากาศ ซึ่งข้อได้เปรียบดังกล่าวของอังกฤษทำให้ยังไม่ยอมจำนนโดยง่าย แม้ว่าจะต้องยันกับเยอรมัน โดยไม่สามารถตอบโต้กลับได้ก็ตาม เมื่อความด้อยกว่าของกองทัพเรือเยอรมันในด้านกองกำลังทางทะเล และไร้ความได้เปรียบในด้านกองกำลังทางอากาศ ทำให้การบุกมิอาจทำได้ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ทำให้ฮิตเลอร์หมดความอดทน และในขณะเดียวกันความต้องการในการบุกโซเวียตนั้นมีมากกว่าการบุกเกาะบริเตน (เนื่องจากฮิตเลอร์เชื่อว่าชาวอังกฤษเป็นเผ่าพันธุ์ที่เท่าเทียมกับเผ่าพันธุ์อารยัน) ทำให้ฮิตเลอร์โน้มน้าวบุคลากรของเขาว่ารัฐบาลบริเตนจะต้องพยายามสงบศึกกับเยอรมันแน่นอนเมื่อสหภาพโซเวียตถูกล้มไปแล้ว โดยเขากล่าวว่า:
"เราเพียงแค่ต้องถีบประตูลงมา แล้วอาคารที่เสื่อมโทรมทั้งอาคารก็จะถล่มลงมาด้วย"
แต่ฮิตเลอร์นั้นมั่นใจเกินไปจากการที่เขาประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในการรบในยุโรปตะวันตก อีกทั้งยังสบประมาทความสามารถของโซเวียตที่จะสู้รบในสงครามนอกฤดูหนาว ทำให้เขาเชื่อว่าการรบจะจบลงก่อนฤดูหนาวในรัสเซีย และไม่ได้สั่งการให้เตรียมเสบียงเสื้อผ้ากันความหนาวเย็นให้กับทหาร ซึ่งจะส่งผลรุนแรงในเวลาต่อมา อดอล์ฟ ฮิตเลอร์หวังไว้ว่าเมื่อเขาเอาชนะกองทัพแดงได้แล้ว รัฐบาลอังกฤษจะต้องเจรจาขอสงบศึกกับนาซีเยอรมนีอย่างแน่นอน
ฮิตเลอร์ได้สั่งการให้เคลื่อนพลจำนวนสามล้านสองแสนนายไปยังชายแดนหน้าสหภาพโซเวียตเพื่อเตรียมตัวในการโจมตี, สั่งให้เริ่มปฏิบัติการณ์สอดแนมทางอากาศเหนือน่านฟ้าของโซเวียต และยังสั่งให้กักตุนเสบียงเป็นจำนวนมากในโปแลนด์ที่เยอรมนีได้มา กระนั้นการบุกสหภาพโซเวียตก็ยังเป็นที่แปลกใจสำหรับฝ่ายโซเวียตอย่างมาก ซึ่งความแปลกใจนี้ส่วนใหญ่มาจากความเชื่อที่มั่นคงของสตาลินว่าอาณาจักรไรค์ที่สามไม่น่าที่จะโจมตีประเทศของตนหลังจากที่เพิ่งเซ็นกติกาสัญญาโมโลตอฟ–ริบเบินทร็อพมาได้เพียงสองปีเท่านั้น สตาลินยังเชื่อด้วยว่ากองทัพนาซีคงจะจัดการสงครามกับเกาะบริเตนให้เสร็จเสียก่อนถึงจะเปิดสมรภูมิรบใหม่กับตน แม้ว่าจะมีคำเตือนหลายครั้งหลายคราวมาจากหน่วยข่าวกรองของเขา สตาลินก็ยังปฏิเสธที่จะเชื่อการรายงานทั้งหมด โดยเกรงว่าข้อมูลดังกล่าวอาจเป็นการปล่อยข่าวโคมลอยจากกองทัพอังกฤษ เพื่อที่จะจุดชนวนสงครามระหว่างนาซีและโซเวียต อีกทั้งการที่รัฐบาลเยอรมันออกมาช่วยทำการลวงสตาลิน โดยกล่าวว่า พวกเขาแค่กำลังเคลื่อนกำลังทหารให้ออกมานอกระยะของเครื่องบินทิ้งระเบิดของอังกฤษ และยังอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่าพวกเขาพยายามจะหลอกรัฐบาลอังกฤษให้เชื่อว่ากองทัพนาซีกำลังจะบุกสหภาพโซเวียตอีกด้วย แต่ตามจริงพวกเขากำลังเตรียมตัวในการบุกเกาะบริเตนอยู่ต่างหาก และหลังจากเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่สตาลินได้รู้ ทำให้การเตรียมตัวตั้งรับการโจมตีของเยอรมนีเป็นไปอย่างไม่จริงจัง อย่างไรก็ตาม ควรสังเกตกรณีที่ ดร. ริชาร์ด ซอร์จ สายลับของโซเวียต ได้ให้ข้อมูลที่กล่าวถึงวันที่เยอรมนีจะบุกโซเวียตได้อย่างถูกต้อง รวมถึงอาร์น บัวร์ลิง นักถอดรหัสชาวสวีเดนที่ทราบวันที่เยอรมนีจะบุกก่อนที่โซเวียตจะทราบอีกด้วย
ปฏิบัติการณ์ลวงของเยอรมนีเริ่มขึ้นในเดือนเมษายน พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) โดยจุดประสงค์คือเพิ่มมูลความจริงให้ตรงกับคำอ้างของเยอรมนีว่าเกาะบริเตนคือเป้าหมายที่แท้จริง ปฏิบัติการณ์ดังกล่าวคือปฏิบัติการณ์ไฮฟิสก์ และปฏิบัติการณ์ฮาร์พูน โดยทั้งสองปฏิบัติการณ์จำลองว่าการเตรียมตัวบุกเกาะบริเตนเริ่มขึ้นในประเทศนอร์เวย์, ชายฝั่งตามแนวช่องแคบอังกฤษและแคว้นเบรอตาญในฝรั่งเศส ประกอบกับการอ้างเหตุผลเกี่ยวกับการสะสมกำลังดังที่ระบุไว้ข้างต้น รวมถึงการปฏิบัติการณ์ระดมกำลังเรือรบ, ปฏิบัติการณ์สอดแนมทางอากาศและการฝึกซ้อมภาคสนาม ถูกจัดขึ้นเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้นไปอีก โดยแผนการบุกจริง ๆ ถูกจัดขึ้น และปล่อยให้ข้อมูลสามารถรั่วไหลได้บางส่วน
แต่เยอรมันมีปัญหาในการคิดยุทธวิธีที่จะรับประกันว่ากองทัพนาซีจะสามารถยึดสหภาพโซเวียตได้สำเร็จ โดยที่ฮิตเลอร์, กองบัญชาการสูงสุดแห่งเวร์มัคท์ และผู้บัญชาการระดับสูงอีกหลาย ๆ คนมีแนวคิดที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับแผนกลยุทธที่จะใช้ในการโจมตีสหภาพโซเวียต และจุดประสงค์หลักของยุทธการควรเป็นเช่นใด กองบัญชาการกองทัพบกเสนอว่าควรเคลื่อนพลตรงไปยังเมืองหลวงมอสโก แต่ฮิตเลอร์นั้นต้องการที่จะให้กองทัพเคลื่อนทัพไปยังยูเครนที่อุดมสมบูรณ์และดินแดนบริเวณทะเลบอลติกเสียก่อนที่จะเคลื่อนพลไปยึดมอสโก การโต้แย้งที่เกิดขึ้นทำให้แผนการในการส่งกำลังบำรุงต้องหยุดชะงัก และทำให้การบุกล่าช้าไปอีกถึงหนึ่งเดือนกว่า ๆ ตามกำหนดการการบุกในเดือนพฤษภาคม
กลยุทธสุดท้ายที่ฮิตเลอร์และนายพลของเขาร่วมกันวางขึ้นคือการแบ่งกองกำลังออกเป็นสามกลุ่มทัพโดยแต่ละกลุ่มทัพถูกจัดให้ยึดภูมิภาคที่กำหนดไว้รวมถึงเมืองใหญ่ ๆ ในสหภาพโซเวียต เมื่อการบุกสหภาพโซเวียตเริ่มต้นขึ้น จะแบ่งแนวทางการบุกออกเป็นสามทางโดยเคลื่อนพลไปตามเส้นทางที่เคยถูกบุกในประวัติศาสตร์ (อ้างอิงตามการบุกราชอาณาจักรรัสเซียของนโปเลียน โบนาปาร์ต) กลุ่มทัพเหนือถูกมอบหมายให้เคลื่อนพลผ่านดินแดนรอบทะเลบอลติก แล้วจึงเคลื่อนไปยังรัสเซียตอนเหนือ โดยทำการยึดหรือทำลายเมืองเลนินกราด (เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในปัจจุบัน) อีกด้านหนึ่ง กลุ่มทัพกลางถูกมอบหมายให้มุ่งหน้าตรงไปยังเมืองสโมเลนสค์ แล้วทำการยึดมอสโก โดยต้องทำการเคลื่อนพลผ่านประเทศเบลารุสในปัจจุบันและผ่านภูมิภาคกลางแถบตะวันตกที่สาธารณรัฐสังคมนิยมรัสเซียครอบครองอยู่ และกลุ่มทัพใต้จะต้องเปิดการโจมตีในส่วนที่เป็นใจกลางของยูเครนที่เป็นศูนย์กลางทางเกษตรกรรมและประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น โดยยึดเมืองเคียฟ ก่อนที่จะเคลื่อนพลมุ่งไปทางทิศตะวันออกผ่านทุ่งหญ้าสเตปปส์ในรัสเซียตอนใต้ไปยังแม่น้ำโวลกาและเทือกเขาคอเคซัสที่อุดมไปด้วยน้ำมันดิบ
เมื่อสหภาพโซเวียตก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 1940 (พ.ศ. 2483) ในตอนนั้นสหภาพโซเวียตคือชาติมหาอำนาจ จากการปฏิวัติอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วของโซเวียตในทศวรรษที่แล้วทำให้ผลผลิตทางอุตสาหกรรมของโซเวียตเป็นรองแค่สหรัฐอเมริกา และมีผลผลิตเท่าเทียมกับประเทศเยอรมนี การผลิตยุทโธปกรณ์นั้นเพิ่มขึ้นอย่างคงที่ โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีก่อนสงครามโลกครั้งที่สองที่เศรษฐกิจของโซเวียตนั้นถูกกำหนดไปที่การผลิตอุปกรณ์ทางทหารอย่างต่อเนื่อง เนื่องมาจากในช่วงต้นทศวรรษที่ 1930 (พ.ศ. 2473–พ.ศ. 2478) หลักการปฏิบัติของกองทัพแดงนั้นถูกพัฒนาให้ทันสมัยยิ่งขึ้นแล้วจึงประกาศให้เป็นหลักปฏิบัติภาคสนามของกองทัพในปี พ.ศ. 2479 (ค.ศ. 1936) จึงทำให้เกิดการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจดังกล่าวขึ้น
ในปี พ.ศ. 2484 กองกำลังของโซเวียตในภูมิภาคตะวันตกนั้นน้อยกว่ากองกำลังของเยอรมนีมาก อย่างไรก็ตามขนาดโดยรวมของกองกำลังโซเวียตในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2484 นั้นรวมแล้วมีถึงห้าล้านนายกว่า ๆ ซึ่งมีจำนวนมากกว่ากองกำลังภาคพื้นดินของเยอรมนีที่ใช้บุกโซเวียตในยุทธการบาร์บาร็อสซาเสียอีก นอกจากนี้การสะสมกำลังของกองทัพแดงยังแข็งแกร่งขึ้นอย่างคงที่ และยังมีความสามารถในการวางกำลังที่เป็นต่อกว่าเยอรมนีในสมรภูมิตะวันออก แต่ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายมีกำลังมากน้อยต่างกันไป จะถูกต้องกว่าที่จะระบุว่าการบุกสหภาพโซเวียตใน พ.ศ. 2484 ของเยอรมนี ทั้งฝ่ายต่อสู้กันโดยใช้กำลังทหารที่ใกล้เคียงกันมากโดยประมาณ
อย่างไรก็ตาม ในด้านระบบยุทโธปกรณ์ที่สำคัญ ทางฝ่ายโซเวียตนั้นมีอยู่มากทีเดียว อาทิเช่น กองทัพแดงนั้นมีความเหนือกว่าอย่างมากในกองกำลังยานเกราะที่มีรถถังประจำการถึง 24,000 คัน ซึ่งมีถึง 12,782 คันที่ประจำอยู่ในเขตทหารภูมิภาคตะวันตก (ซึ่งมีสามเขตในภูมิภาคที่สามารถปะทะกับกองทัพเยอรมันในสมรภูมิตะวันออก) ส่วนกองทัพบกเวอร์มัคท์ (Wehrmacht) ของเยอรมนีมีรถถังประจำการอยู่ทั้งหมด 5,200 คัน โดยใช้ในการบุกโซเวียต 3,350 คัน นี่ทำให้อัตราส่วนของรถถังที่สามารถใช้ได้ระหว่างเยอรมนีและโซเวียตนั้นเป็น 4 : 1 ซึ่งทำให้กองทัพแดงมีความได้เปรียบที่เหนือกว่า รถถังรุ่น ที-34 ของโซเวียตเป็นรถถังที่ล้ำหน้าที่สุดและทันสมัยที่สุดในเวลานั้น และยังมีรถถังรุ่น BT-8 (ภาษารัสเซีย: Bystrokhodniy หรือรถถังเร็ว) ที่เป็นรถถังที่เร็วที่สุด ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับรถถังเยอรมันแล้ว ตามที่นายทหารข่าวกรองของโซเวียต วิกเตอร์ ซูโวรอฟ (Viktor Suvorov) อ้างว่า รถถังหนักของเยอรมนีรุ่นแรกนั้นเพิ่งถูกออกแบบในวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 (1941) ซึ่งถือว่าล้าหลังกว่าโซเวียตที่เริ่มโครงการออกแบบรถถังหนัก T-35 ตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 1930) อีกทั้งโซเวียตยังมีจำนวนอาวุธปืนใหญ่ และเครื่องบินรบที่มากกว่าเยอรมนี ซึ่งรวมไปถึงปืนใหญ่สนาม A-19 ที่ว่ากันว่าเป็นปืนใหญ่ที่ดีที่สุดในโลกในเวลานั้น อย่างไรก็ตาม รถถังรุ่นที่ทันสมัยที่สุดของโซเวียตยังไม่ถูกผลิตในปริมาณมากในช่วงต้นของสงคราม
อีกทั้งความได้เปรียบทางปริมาณของโซเวียตนั้นยังถูกหักล้างด้วยคุณภาพเหนือกว่ามากของเครื่องบินรบเยอรมัน รวมถึงการฝึกฝนกองกำลังเยอรมันที่เหนือกว่าและเตรียมพร้อมมามากกว่า การที่ทหารเจ้าหน้าที่และผู้บัญชาการระดับสูงของโซเวียตถูกกวาดล้างในการกวาดล้างใหญ่ของสตาลิน (พ.ศ. 2478 – พ.ศ. 2481; 1935-38) ยังทำให้นายทหารของกองทัพแดงถึงเกือบหนึ่งในสาม และนายพลแทบทุกคนถูกประหารชีวิต หรือส่งให้ไปประจำการในไซบีเรีย และถูกแทนที่ด้วยนายทหารที่มีแนวโน้มที่ "ไว้ใจได้ทางการเมือง" มากกว่านายทหารที่ถูกกวาดล้าง ซึ่งรวมไปถึงสามในห้าบรรดาจอมพลช่วงก่อนสงครามซึ่งถูกประหารชีวิต ผู้บัญชาการกองพลและกองร้อยประมาณสองในสามถูกจับยิงเป้า การกวาดล้างดังกล่าวจึงทำให้เหลือแต่นายทหารที่อ่อนกว่าและได้รับการฝึกน้อยกว่ามาแทนที่ อย่างเช่นกรณีหนึ่งใน พ.ศ. 2484 (1941) ที่ 75% ของนายทหารของกองทัพแดงได้ดำรงตำแหน่งนานน้อยกว่าหนึ่งปี และอายุโดยเฉลี่ยของผู้บัญชาการกองพลของโซเวียตนั้น น้อยกว่าอายุโดยเฉลี่ยของผู้บัญชาการกองร้อยของเยอรมนีถึง 12 ปี โดยนายทหารเหล่านี้มีทีท่าที่ไม่เต็มใจอย่างยิ่งที่จะริเริ่มในการทำสิ่งใด ๆ และส่วนใหญ่ขาดการฝึกฝนในการบัญชาการ
ในขณะที่สงครามในสมรภูมิทางตะวันตกกำลังดำเนินไป กำลังรบส่วนใหญ่ของโซเวียตยังคงประจำการอยู่เหมือนในยามสงบ ซึ่งอธิบายว่าทำไมบรรดาเครื่องบินรบของโซเวียตถึงได้จอดเรียงกันและใกล้กันเป็นกลุ่ม ๆ มากกว่าที่จะกระจายกันไปตามที่เคยปฏิบัติเป็นปกติในยามสงคราม ด้วยเหตุนั้น จึงทำให้กองเครื่องบินที่จอดอยู่กลายเป็นเป้าโจมตีง่าย ๆ สำหรับเครื่องบินจู่โจมจากอากาศสู่พื้นดินของเยอรมันในวันแรก ๆ ที่เยอรมนีบุกโซเวียต อีกเหตุผลหนึ่งคือการที่กองทัพอากาศโซเวียตถูกสั่งห้ามไม่ให้โจมตีเครื่องบินสอดแนมของเยอรมัน แม้ว่าจะมีเครื่องบินเยอรมันบินอยู่เป็นร้อย ๆ ลำอยู่เหนือน่านฟ้าสหภาพโซเวียตก็ตาม กองเครื่องบินขับไล่ของโซเวียตประกอบไปด้วยเครื่องบินรุ่นล้าสมัยย้อนไปถึงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเช่นเครื่องบินปีกสองชั้น I-15 และเครื่องบินปีกชั้นเดียวรุ่นแรกของโซเวียต I-16 และเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่กว่าเช่นมิก (MiG) และ LaGG (Lavochkin-Gorbunov-Goudkov) เพียงไม่กี่ลำที่ใช้งานได้ โดยมีเครื่องบินจำนวนไม่มากที่ติดตั้งวิทยุสื่อสารลงไป อีกทั้งวิทยุไม่กี่รุ่นที่มีอยู่นั้นก็ไม่ได้ถูกเข้ารหัสและมีสภาพการใช้งานที่ไม่แน่นอน รวมถึงยุทธวิธีต่อสู้ทางอากาศที่ยังล้าสมัยอยู่
กองทัพแดงแห่งสหภาพโซเวียตกระจัดกระจายกันออกไป, ไม่มีความพร้อมในการทำศึก และมีกองกำลังหน่วยต่าง ๆ ที่อยู่แยกจากกัน โดยไม่มีการลำเลียงไปยังจุดรวมพลเมื่อการรบเกิดขึ้น แม้ว่ากองทัพแดงจะมีปืนใหญ่ชั้นดีจำนวนมาก แต่ปืนส่วนใหญ่กลับไม่มีกระสุน กองปืนใหญ่มักไม่สามารถเข้าสู่การรบได้เพราะไม่มีการลำเลียงพล กองกำลังรถถังนั้นมีขนาดใหญ่และคุณภาพดี แต่ขาดการฝึกและการสนับสนุนทางเสบียง รวมถึงมาตรฐานในการบำรุงรักษายังแย่มาก กองกำลังถูกส่งเข้าสู่การรบโดยไม่มีการจัดการเติมเชื้อเพลิง, สนับสนุนเสบียงกระสุน หรือทดแทนกำลังทหารที่สูญเสียไป โดยมีบ่อยครั้งที่หลังจากการปะทะเพียงครั้งเดียว หน่วยรบถูกทำลายหรือถูกทำให้หมดสภาพ รวมไปถึงความจริงที่ว่ากองทัพโซเวียตกำลังอยู่ในช่วงจัดระบบหน่วยยานเกราะให้กลายเป็นกองพลรถถังยิ่งเพิ่มความไม่เป็นระบบของกองกำลังรถถังมากยิ่งขึ้นไปอีก
แม้ว่าในเอกสารใด ๆ จะระบุว่ากองทัพแดงใน พ.ศ. 2484 อย่างน้อยก็มีกำลังเท่าเทียมกับกองทัพเยอรมัน แต่ผลที่ตามมาในสมรภูมินั้นแตกต่างจากเอกสารมาก ด้วยเหตุที่ว่ากองทัพแดงนั้นประกอบด้วยนายทหารที่ไร้ความสามารถ เช่นเดียวกันกับการขาดแคลนยุทโธปกรณ์, การสนับสนุนเสบียงยานเกราะที่ไม่เพียงพอ และทหารที่ได้รับการฝึกในระดับต่ำ ทำให้กองทัพแดงเสียเปรียบกองทัพเยอรมันอย่างมากเมื่อปะทะกัน ยกตัวอย่างเช่น ตลอดช่วงการบุกสหภาพโซเวียตของเยอรมนี กองทัพแดงจะเสียรถถังหกคันในขณะที่กองทัพเยอรมันเสียเพียงแค่คันเดียว
แต่ก็มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการตีความข้างต้นในหนังสือ Icebreaker โดยผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่เคยเป็นนายทหารข่าวกรองหลักของโซเวียต (GRU - Glavnoe Razvedyvatel'noe Upravlenie) วิกเตอร์ ซูโวรอฟ โดยเนื้อความในหนังสือแย้งว่ากองกำลังภาคพื้นดินของโซเวียตนั้นมีความเป็นระบบระเบียบดีมาก และถูกวางกำลังกระจายกันไปเป็นกลุ่มใหญ่ ๆไปตลอดตามแนวชายแดนระหว่างเยอรมนีและโซเวียตเพื่อเตรียมตัวในการบุกทวีปยุโรปของสหภาพโซเวียตที่ถูกกำหนดไว้ในวันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2484 ส่วนยุทธการบาร์บาร็อสซาของเยอรมนีนั้น เขาอ้างว่าที่จริงแล้วเป็นการชิงเปิดการโจมตีก่อนของเยอรมนี โดยอาศัยความได้เปรียบที่กำลังทหารโซเวียตกำลังรวมพลอยู่เป็นจำนวนมากหน้าพรมแดนเยอรมนี ซูโวรอฟทำการแย้งว่าฉะนั้นการที่กองกำลังโซเวียตมารวมพลกันหน้าพรมแดนเยอรมนีจึงเป็นการเดินกลยุทธแบบรุก และไม่ใช่การตั้งรับดังที่ประวัติศาสตร์ดั้งเดิมบันทึกอยู่แต่อย่างใด แต่การตีความของเขาถูกปฏิเสธโดยนักประวัติศาสตร์ที่ได้รับความนับถือหลายต่อหลายคนมาโดยตลอด โดยเฉพาะนักประวัติศาสตร์สงครามชาวอเมริกัน เดวิด แกลนท์ซ (David Glantz) และการตีความดังกล่าวไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นจริงเป็นจังนักในบรรดานักประวัติศาสตร์วิชาการที่อยู่ทางตะวันตก อย่างไรก็ตาม มุมมองนี้ต่างออกไปในยุโรปตะวันออก รวมถึงประเทศรัสเซีย ที่ ๆ มีการโต้วาทีในประเด็นที่เกี่ยวกับการปะทะระหว่างโซเวียตและเยอรมนียังคงมีอยู่ จากการศึกษาอย่างจริงจังโดยนักประวัติศาสตร์ทางทหารชาวรัสเซีย มิคาเอล เมลทยูคอฟ (Mikhail Meltyukhov) ในหนังสือ Stalin's Missed Chance ได้ทำการสนับสนุนที่ว่ากองกำลังโซเวียตนั้นได้ทำการรวมพลเพื่อเตรียมเปิดการโจมตีเยอรมนีอยู่จริง ๆ แต่อย่างไรก็ตาม เมลทยูคอฟก็ปฏิเสธคำกล่าวที่ว่าการบุกของเยอรมนีเป็นการชิงเปิดการโจมตีก่อน แต่เขาเชื่อว่าทั้งสองฝ่ายต่างกำลังเตรียมทำการบุกอยู่เช่นกัน แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่เชื่อว่าฝ่ายหนึ่งจะเปิดการโจมตีอีกฝ่ายหนึ่ง
ในช่วงก่อนสงคราม แน่นอนว่า สหภาพโซเวียตได้ประกาศโฆษณาชวนเชื่อออกมาโดยตลอด โดยกล่าวว่ากองทัพแดงนั้นแข็งแกร่งมาก และสามารถเอาชนะผู้รุกรานไม่ว่าหน้าไหนได้อย่างง่ายดาย
จากการที่โจเซฟ สตาลินมีนายทหารประจำการที่จะรายงานเฉพาะสิ่งที่เขาต้องการได้ยินเท่านั้น, กอปรกับความเชื่อมั่นอย่างไร้มูลเหตุในสนธิสัญญาว่าด้วยการไม่โจมตีต่อกัน สตาลินถูกชักนำให้เชื่อว่าสถานภาพของสหภาพโซเวียตในช่วงต้นปี พ.ศ. 2484 (1941) นั้นแข็งแกร่งกว่าที่มันเป็นจริง ๆ มาก ในฤดูใบไม้ผลิในปีเดียวกัน หน่วยงานข่าวกรองของสตาลินได้ทำการเตือนสตาลินถึงการโจมตีของเยอรมนีที่กำลังจะเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง ความเชื่อมั่นของสตาลินในนายทหารและกำลังทหารของเขานั้นมั่นคงมาก จนเขาและคณะนายพลที่ปรึกษา ที่ถึงแม้จะทราบดีถึงความเป็นไปได้ที่เยอรมนีจะโจมตี และได้เตรียมการสำคัญ ๆ ไว้หลายอย่าง กลับตัดสินใจที่จะไม่ยั่วยุฮิตเลอร์ ผลก็คือทหารตามแนวชายแดนโซเวียตไม่ได้อยู่ในสถานะที่ตื่นตัวเต็มที่ ถึงขนาดที่ทหารโซเวียตถูกห้ามไม่ให้ยิงโต้ตอบโดยไม่ได้ขออนุญาตเมื่อถูกโจมตี แม้ว่าจะมีคำสั่งให้ตื่นตัวในบางส่วนในวันที่ 10 เมษายน แต่กำลังทหารโซเวียตก็ยังคงไม่พร้อมเมื่อการโจมตีของเยอรมนีเริ่มต้นขึ้น นี่อาจเป็นจุดที่ทำให้เกิดการโต้แย้งโดยวิกเตอร์ ซูโวรอฟ กระทั่งเมื่อการโจมตีเริ่มต้นขึ้น สตาลินก็ยังคงปฏิเสธที่จะวางกำลังและเคลื่อนกำลังทหารทั้งหมดเข้าสู่แนวรบ
แต่กระนั้น กองกำลังโซเวียตขนาดมหึมาก็ถูกประจำการไว้หลังชายแดนฝั่งตะวันตกในกรณีที่เยอรมนีเกิดโจมตีขึ้นมาจริง ๆ อย่างไรก็ตาม กองกำลังเหล่านี้เปราะบางมาก ซึ่งเกิดจากการกำลังเปลี่ยนแปลงหลักการทางยุทธวิธีของกองทัพแดง ในปี พ.ศ. 2481 (1938) กองทัพแดงได้ทำการแปลงกลยุทธป้องกันให้เป็นแบบระนาบมาตรฐานเหมือนกับชาติอื่นตามการสนับสนุนของนายพลพาฟลอฟ โดยมีเหล่ากองร้อยทหารราบเป็นกำลังหลัก เสริมด้วยส่วนประกอบที่เชื่อมต่อกันคล้ายกับรถถัง โดยจะทำการขุดสนามเพลาะเพื่อสร้างพื้นที่ป้องกันที่แน่นหนา แต่หลังจากความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับของประเทศฝรั่งเศสต่อนาซีเยอรมนีในศึกแห่งฝรั่งเศส ซึ่งเป็นที่น่าประหลาดใจว่า กองทัพฝรั่งเศสที่ถือว่าแข็งแกร่งเป็นอันดับที่สองของโลกในเวลานั้น (รองมาจากกองทัพแดง) กลับถูกเอาชนะได้ในเวลาแค่หกสัปดาห์เท่านั้น โซเวียตได้ทำการวิเคราะห์เหตุการณ์ตามข้อมูลบางส่วน และสรุปว่าการล่มสลายของรัฐบาลฝรั่งเศสนั้นเกิดขึ้นจากการพึ่งพากลยุทธป้องกันแนวระนาบ และการขาดแคลนกองกำลังยานเกราะ โซเวียตตัดสินใจที่จะไม่ทำผิดพลาดซ้ำรอย โดยแทนที่การขุดสนามเพลาะให้เป็นการป้องกันในแนวระนาบ พวกเขาจะวางกำลังเหล่ากองร้อยทหารราบให้รวมพลกันในกระบวนทัพที่เคลื่อนพลได้ง่ายในขนาดใหญ่ และรถถังทุกคันจะถูกรวมพลกันเป็นกองพลยานเกราะขนาดใหญ่ยักษ์ 31 กองพล โดยที่แต่ละกองพลนั้นถูกวางแผนให้ใหญ่กว่ากองทัพรถถังแพนเซอร์ (แต่มีเพียงไม่กี่กองพลเท่านั้นที่สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางแผนไว้ได้ก่อนวันที่ 22 กรกฎาคม) เมื่อใดก็ตามที่เยอรมนีเปิดการโจมตี ยานเกราะหัวหอกของเยอรมนีก็จะถูกตัดกำลังและกวาดล้างโดยกองพลจักรกล ซึ่งหลังจากนั้นจะทำการเข้ารวมกับทัพทหารราบเพื่อที่จะขับไล่กองกำลังทหารราบเยอรมันที่เปราะบางเมื่อกำลังทำการเคลื่อนพลประชิดกลับไป ส่วนปีกด้านซ้ายของสหภาพโซเวียต จะมีกำลังเสริมขนาดมหึมาในยูเครนที่ใหญ่พอที่จะสามารถทำการโอบล้อมทางยุทธศาสตร์ โดยหลังจากที่ทำลายกลุ่มทัพเยอรมันในด้านใต้แล้ว กองกำลังโซเวียตก็จะบุกขึ้นเหนือฝ่าโปแลนด์ไปยังด้านหลังของกลุ่มทัพกลางและเหนือ จากนั้นกองทัพเยอรมันที่ถูกโอบล้อมก็จะต้องถูกทำลายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตามมาด้วยการปลดปล่อยทวีปยุโรปอย่างผู้กรำชัยชนะ
ขนาดกำลังของกองทัพทั้งสองฝ่ายบนแนวรบด้านตะวันออกในวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2484
แหล่งที่มา: Mikhail Meltyukhov “Stalin's Missed Chance”, ตารางที่ 47
กองกำลังฝ่ายอักษะเปิดการโจมตีสหภาพโซเวียตในวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2484 เมื่อเวลา 4.45 น. มันยังเป็นเรื่องยากที่จะประมาณกองกำลังของแต่ละฝ่ายได้อย่างแม่นยำในช่วงต้น ๆ ของการรบ เนื่องจากปริมาณกองกำลังเยอรมันส่วนใหญ่ยังรวมถึงกองกำลังสำรองที่ถูกกำหนดให้บุกจากทางทิศตะวันออกเข้ามา แต่ยังไม่ได้เปิดการโจมตี เช่นเดียวกันกับปัญหาหลายอย่างที่เกี่ยวกับการเปรียบเทียบสถิติทหารของทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าจะประมาณและคาดคะเนแล้ว จำนวนที่ดูสมเหตุสมผลน่าจะเป็นทหารเยอรมันประมาณ 2.6 ล้านนายที่เข้าทำการรบในวันที่ 22 มิถุนายน โดยมีทหารโซเวียตประจำการตามเขตแดนทหารอยู่ในปริมาณที่ใกล้เคียงกัน ส่วนการจะเอาปริมาณกองกำลังของพันธมิตรของเยอรมนี มารวมด้วยคงจะยังไม่เกิดขึ้นจนกระทั่งยุทธการได้เริ่มขึ้นได้สักพักแล้ว แต่การทำให้ฝ่ายตรงข้ามประหลาดใจของเยอรมนีนั้นประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ โดยกองบัญชาการสามัญของสหภาพโซเวียตหรือสตาฟก้า (Stavka: Shtab vierhovnogo komandovania) ที่ได้รับรายงานว่ากองกำลังทหารเยอรมันกำลังเข้าประชิดชายแดนเพื่อจัดวางกำลังพล ในเวลา 00.30 น. และได้สั่งการเตือนทหารตามชายแดนว่าสงครามกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า แต่กลับไม่มีทหารสักหน่วยที่เข้าสถานะเตรียมพร้อมในเวลานั้น
อาการตื่นตกใจของกองบัญชาการและทหารโซเวียตเมื่อถูกโจมตีมีสาเหตุมาจากช่วงเวลาที่การโจมตีเกิดขึ้นในกลางดึก อีกทั้งการที่ทหารฝ่ายอักษะจำนวนมากได้ทำการเข้าขนาบชายแดนโซเวียตและรุกล้ำเข้ามาพร้อม ๆ กัน และนอกจากกองกำลังภาคพื้นดินเยอรมันประมาณ 3.2 ล้านนาย (จำนวนทหารราบกับพลประจำยานเกราะรวมกัน) ที่ได้ทำการเข้าปะทะหรือได้ถูกจัดกำลังพลไว้สำหรับปฏิบัติการณ์ในยุโรปตะวันออกแล้ว ยังจะมีกองกำลังพันธมิตรของเยอรมนีที่ประกอบไปด้วยทหารโรมาเนีย, ฮังการี, สโลวาเกียและอิตาลีเป็นแสน ๆ คนที่กำลังเดินทัพมุ่งหน้าไปบรรจบกับกองทัพเยอรมนีอีกด้วย ในขณะที่กองทัพฟินแลนด์ได้ทำการสนับสนุนส่วนใหญ่ในตอนเหนือ โดยมีกองกำลังโซเวียตหันทัพมาทางฟินแลนด์อย่างซึ่ง ๆ หน้า (ไม่รวมถึงกองทัพโซเวียตที่อยู่ทางตอนกลางและกองกำลังสำรองของสตาฟก้า) และทำการเสริมกำลังถึงระดับที่ทหารโซเวียตที่เริ่มต้นจาก 2.6 ล้านนายในวันที่ 22 มิถุนายนเพิ่มขึ้นเป็น 4 ล้านคนในตอนท้ายปี แม้ว่าจะต้องหากำลังมาทดแทนกำลังที่สูญเสียไปถึง 4.5 ล้านนายในกองกำลังทุกภาค
ในช่วงแรกของการรบนั้น ความรวดเร็วในการโจมตีของเยอรมนีทำให้แผนป้องกันทั้งหมดของโซเวียตล้วนเปล่าประโยชน์ การขาดแคลนวิทยุสื่อสารรวมถึงการสื่อสารกันในรูปแบบอื่น ๆ ส่งผลให้คำสั่งจำนวนมากของกองบัญชาการโซเวียตมาถึงผู้รับสารไม่ทันท่วงที ในเวลาไม่กี่วันต่อมา กองกำลังประจำการของโซเวียตในลิทัวเนีย ที่อยู่ในบริเวณทะเลบอลติก ได้ทำการทรมานและสังหารหมู่นักโทษทางการเมือง เพื่อป้องกันการฉวยโอกาสในการก่อกบฏ
ในขณะที่ประสบความสำเร็จในช่วงแรก แต่ในที่สุดแล้วเวลาของเยอรมนีก็หมดลง เมื่อตอนที่กองกำลังเยอรมันมาถึงชานเมืองรอบนอกของกรุงมอสโก ฤดูหนาวรัสเซียก็เริ่มขึ้นในเดือนธันวาคม สาเหตุของความล่าช้านี้เกิดขึ้นมาจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งสำคัญในวันที่ 15 พฤษภาคม เนื่องจากฮิตเลอร์ต้องการที่จะเข้าไปยับยั้งแนวร่วมต่อต้านเยอรมนีในยูโกสลาเวีย และเข้าไปหยุดความคืบหน้าของกรีซในการต่อต้านอิตาลีภายใต้การปกครองของเบนิโต มุสโสลินีในอัลเบเนีย การตัดสินใจเช่นนี้ร่นระยะเวลาที่มีน้อยอยู่แล้วในฤดูร้อนของรัสเซียให้สั้นลงไปอีกห้าสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงแค่หนึ่งในหลาย ๆ เหตุผลที่นำไปสู่ความล่าช้าในการบุก อีกเหตุผลหนึ่งก็คือช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิในปี 2484 (1941) ในรัสเซีย ซึ่งมีสภาพอากาศที่มีฝนตกอยู่บ่อย ๆ ตลอดเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2484 ซึ่งทำให้ถนนหลายสายในรัสเซียภูมิภาคตะวันตกไม่สามารถขับรถบรรทุกและยานเกราะผ่านไปได้ โดยในระหว่างที่ยุทธการดำเนินไป ฮิตเลอร์ได้สั่งการให้ทัพหลักที่กำลังมุ่งหน้าไปสู่มอสโกให้เปลี่ยนเส้นทางมุ่งลงใต้เพื่อช่วยกลุ่มทัพใต้ในการยึดยูเครน ซึ่งคำสั่งดังกล่าวชะลอเวลาการโจมตีเมืองหลวงของโซเวียตยิ่งขึ้นไปอีก แม้ว่ามันจะช่วยรักษาความมั่นคงของปีกซ้ายของกลุ่มทัพกลางไว้ได้ แต่เมื่อถึงตอนที่พวกเขาหันทัพมุ่งไปยังมอสโก ตอนนั้นเองกองทัพแดงก็เริ่มต่อต้านอย่างดุเดือด ด้วยดินโคลนที่เกิดขึ้นจากฝนตกในฤดูใบไม้ร่วง และหิมะที่เริ่มตกหนักในฤดูหนาว เป็นใจให้กับโซเวียตที่จะยับยั้งการรุกคืบเข้ามาของกองทัพเยอรมันให้หยุดลง
นอกจากนี้ โซเวียตที่ประกาศว่าการรบของพวกเขาคือ มหาสงครามผู้รักชาติ (Great Patriotic War) ได้ทำการปกป้องมาตุภูมิของพวกเขาได้ดุดันกว่าที่กองบัญชาการเยอรมันได้คาดการณ์ไว้ยิ่งนัก ป้อมปราการชายแดนเมืองเบรสต์ในเบลารุสสื่อถึงความหมายของชาวโซเวียตได้เป็นอย่างดี ป้อมที่ถูกโจมตีในวันแรก ๆ ของการบุกโดยเยอรมนี เป็นป้อมที่ถูกคาดการณ์ไว้ว่าจะถูกยึดด้วยความประหลาดใจของโซเวียตในไม่กี่ชั่วโมง กลับกลายเป็นการสู้รบในป้อมที่ยาวนานและขมขื่นระหว่างกองกำลังของเยอรมนีและโซเวียตเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ๆ การส่งกำลังบำรุงกลายเป็นอีกปัญหาใหญ่ของเยอรมนี เนื่องจากเส้นทางขนส่งเสบียงที่ยาวและง่ายต่อการโจมตีของพลพรรคต่อต้านฟาสซิสต์ของโซเวียตจากด้านหลัง อีกทั้งโซเวียตยังใช้กลยุทธ์ผลาญภพในแผ่นดินที่พวกเขาถูกบีบให้ถอนกำลังไป เพื่อไม่ให้กองทัพเยอรมันสามารถใช้ที่นา, อาหาร, เชื้อเพลิง และอาคารในดินแดนที่พวกเขายึดมาได้
แต่กองทัพเยอรมันยังคงคืบหน้าต่อไปแม้ว่าจะพบกับอุปสรรคบางประการ อย่างไรก็ตาม ก็มีบางครั้งที่เยอรมนีจะทำลายกองกำลังป้องกันทั้งหมดหรือปิดล้อมพวกเขาให้ยอมแพ้ โดยเฉพาะในศึกแห่งเคียฟที่มีผลลัพธ์ที่รุนแรงเป็นพิเศษ โดยในกลางเดือนตุลาคม กลุ่มทัพใต้ของเยอรมนีจึงสามารถยึดเคียฟมาได้ และจับกุมเชลยชาวโซเวียตได้มากกว่า 650,000 คน ในเวลาต่อมา หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด ในปี พ.ศ. 2508 (1965) เคียฟจึงได้รับการยกย่องให้เป็นวีรนคร (Hero City) สำหรับการป้องกันเยี่ยงวีรบุรุษของมัน
ส่วนกลุ่มทัพเหนือที่ถูกมอบหมายให้ยึดดินแดนรอบทะเลบอลติกจนถึงเมืองเลนินกราด (เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในปัจจุบัน) การรุกคืบหน้าของกลุ่มทัพนี้เป็นไปด้วยดีจนกระทั่งพวกเขามาถึงชายเมืองรอบนอกทางทิศใต้ในเดือนสิงหาคม ที่ ๆ พวกเขาถูกกองกำลังโซเวียตต่อต้านอย่างดุเดือดจนทำให้การรุกคืบหน้าอย่างต่อเนื่องของพวกเขาต้องหยุดลง และเนื่องจากการพยายามที่จะยึดเมืองคงจะเป็นการเสียกำลังพลมากเกินไป กองบัญชาการเยอรมันจึงตัดสินใจที่จะปล่อยให้ประชากรในเมืองอดอาหารจนตายผ่านการปิดทางเสบียงและการคมนาคม ซึ่งเป็นการเริ่มต้นการปิดล้อมแห่งเลนินกราด แต่เมืองยังคงยืนหยัดไว้ได้ แม้ว่ากองกำลังเยอรมันจะพยายามหลายครั้งหลายหนในการฝ่าแนวป้องกันของโซเวียต รวมถึงทำการโจมตีทางอากาศและระดมยิงปืนใหญ่ใส่เมืองอย่างไม่หยุดหย่อน และทำให้เกิดการขาดอาหารและเชื้อเพลิงอย่างรุนแรง จนกระทั่งฝ่ายเยอรมันเองกลายเป็นฝ่ายที่ต้องล่าถอยเมื่อกำลังเสริมของกองกำลังโซเวียตในเลนินกราดมาถึงในตอนต้นปี พ.ศ. 2487 (1944) และทำให้เลนินกราดกลายเป็นเมืองแรกที่ได้รับการยกย่องให้เป็นวีรนคร
สาเหตุโดยรวมที่ทำให้กองทัพโซเวียตพ่ายแพ้อย่างยับเยินในปี พ.ศ. 2484 (1941) เป็นเพราะการโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัวของเยอรมนี ในขณะที่กองทัพโซเวียตแทบไม่ได้เตรียมตัวเลย และเนื่องจากในขณะนั้น กองกำลังของเยอรมันเป็นกองกำลังที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี และมีประสบการณ์การรบมากที่สุดในโลก เยอรมนีมีหลักการในการวางกำลังพล, การทำลายล้าง, การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม, และความเชื่อมั่นที่มาจากการประสบชัยชนะอย่างต่อเนื่องโดยเสียกองกำลังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนกองกำลังโซเวียต เป็นไปในทางตรงกันข้าม ขาดทั้งบุคลากรที่มีความเป็นผู้นำ, ขาดการฝึกฝนและความพร้อม โดยแผนการของโซเวียตส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าสงครามระหว่างนาซีเยอรมนีและโซเวียตจะยังไม่เกิดขึ้นจนกระทั่งปี พ.ศ. 2485 (1942) ฉะนั้นเมื่อกองทัพเยอรมันเปิดการโจมตี กองทัพโซเวียตยังคงปฏิรูปองค์กร และดูเหมือนว่ากำลังเป็นไปในทางที่ดี แต่ยังไม่ได้ทำการทดสอบใด ๆ และยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ เพิ่งถูกผลิตให้กับหน่วยงานภาคสนาม อีกทั้งกองทัพโซเวียตส่วนใหญ่ในยุโรปนั้น ยังคงรวมพลอยู่ในพรมแดนโซเวียตใหม่ทางตะวันตกที่เคยเป็นประเทศโปแลนด์ ซึ่งไม่ได้เตรียมการป้องกันอย่างเอาจริงเอาจังใด ๆ และทำให้มันถูกเอาชนะอย่างราบคาบและกองกำลังโซเวียตที่ปกป้องมันอยู่ก็ถูกทำลายลงในช่วงสัปดาห์แรก ๆ ของการรบ อีกทั้งในช่วงแรก ๆ นั้น หน่วยรบของโซเวียตจำนวนมากยังถูกขัดขวางไม่ให้เข้าทำการรบตามคำสั่งของสองจอมพลผู้รอดชีวิตจากการกวาดล้าง นายพลซีมิยอน ทิโมเชนโก้ และนายพลกิออร์กี้ ชูคอฟ ที่ได้รับคำสั่งโดยตรงมาจากสตาลินอีกที ว่าไม่ให้ทำการเข้าปะทะ และไม่ให้ตอบโต้ต่อการยุยง ตามมาด้วยคำสั่งแรกจากมอสโกหลังการโจมตีที่ให้ทำการ 'ยืนหยัดต่อสู้และทำการสวนกลับ' ซึ่งจะทำให้กองทัพเยอรมันทำการโอบล้อมกองทัพโซเวียตได้โดยง่าย โดยสรุปคือ การที่โซเวียตพ่ายแพ้ในช่วงแรกก็เนื่องมาจากการขาดแคลนนายทหารที่มีประสบการณ์ (อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อโต้เถียงกันอยู่ในประเด็นนี้) และความล่าช้าทางด้านระบบบริหารราชการ
ความผิดพลาดทางการยุทธของโซเวียตในช่วงไม่กี่สัปดาห์แรกระหว่างการรุกรานของเยอรมนีนั้น ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงกับโซเวียต โดยในช่วงแรก กองทัพแดงได้ประเมินกำลังรบของตนเองว่ามีปริมาณและประสิทธิภาพเกินกว่าความเป็นจริงที่เป็นอยู่อย่างลิบลับ โดยกองพลยานเกราะของโซเวียต จากที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะจัดการกับกองทัพรถถังแพนเซอร์ได้อย่างราบคาบ กลับถูกดักโจมตีและถูกทำลายอย่างยับเยินโดยเครื่องบินดิ่งทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศลุฟท์วัฟเฟอของเยอรมนี ส่วนบรรดารถถังโซเวียต ซึ่งขาดการบำรุงรักษาและถูกควบคุมโดยพลขับที่ไร้ประสบการณ์ ยังประสบกับอัตราความชำรุดเสียหายที่พุ่งขึ้นอย่างน่าใจหาย อีกทั้งการขาดแคลนชิ้นส่วนอะไหล่และรถบรรทุกขนส่งยังทำให้การส่งกำลังบำรุงไม่สามารถทำได้อย่างสิ้นเชิง การตัดสินใจที่จะไม่ให้ทหารราบของตนขุดสนามเพลาะถูกพิสูจน์ว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด และส่งผลให้กองกำลังทหารราบของโซเวียต ที่ขาดทั้งรถถังและการสนับสนุนด้านการต่อต้านยานเกราะที่ไม่เพียงพอ ประสบกับการสูญเสียอย่างมหาศาล เนื่องจากไม่สามารถต่อกรกับกองทัพเยอรมันโดยใช้กลยุทธกระจายกำลังที่จำเป็นต้องใช้รถถังได้
ต่อจากนั้น สตาลินยังสั่งห้ามกองทัพของเขาไม่ให้ถอยทัพหรือยอมจำนน ซึ่งส่งผลให้กองทัพของเขาวางกำลังกระจายกันออกไปประจำพลอยู่ในตำแหน่งเรียงกันเป็นระนาบโดยไม่ทำการเคลื่อนพลใด ๆ ในขณะที่รถถังเยอรมันยังคงเจาะกองกำลังของโซเวียตเข้ามาได้อย่างง่ายดาย และตัดเส้นทางเสบียงรวมถึงทำการล้อมกองทัพโซเวียตทั้งหมดเอาไว้ ถึงตอนนั้นเองที่สตาลินอนุมัติให้กองทัพทั้งหมดของเขาถอยทัพมายังแนวหลังเพื่อรวมพลเตรียมการป้องกันแนวหลังหรือเตรียมการตอบโต้การโจมตี หลังจากนั้น ทหารชาวโซเวียตมากกว่า 2,400,000 นายถูกจับเป็นเชลยจนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2484 (1941) ในเวลาที่การรบในชานเมืองมอสโกเริ่มต้นขึ้นระหว่างกองกำลังโซเวียตและเยอรมัน
แม้ว่าเยอรมนีจะประสบกับความล้มเหลวในการยึดกรุงมอสโก ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของยุทธการบาร์บาร็อสซา แต่ความสูญเสียอย่างมากของโซเวียตก็ทำให้การโฆษณาชวนเชื่อของโซเวียตเปลี่ยนจากจากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยก่อนสงครามจะเกิดขึ้น รัฐบาลโซเวียตได้ออกมาระบุว่ากองทัพโซเวียตนั้นแข็งแกร่งมาก จนกระทั่งมาถึงฤดูใบไม้ร่วงที่รัฐบาลได้เปลี่ยนท่าที โดยประกาศว่ากองทัพโซเวียตนั้นยังอ่อนแอ และไม่มีเวลาเพียงพอที่จะเตรียมทัพให้พร้อมทำสงคราม นอกจากนี้ยังถูกจู่โจมอย่างคาดไม่ถึงโดยเยอรมนี และเหตุผลอื่น ๆ ที่รัฐบาลโซเวียตได้อ้างสาเหตุ
สาเหตุของความพ่ายแพ้เยอรมนี (ในช่วงแรก) ได้ถูกนำเสนอต่างออกไปโดยวิกเตอร์ ซูโวรอฟในหนังสือ Icebreaker ของเขา โดยที่ซูโวรอฟอ้างว่าเหตุการณ์ในสงครามนั้นเป็นความจำนงของสตาลินอยู่แล้ว โดยคำกล่าวอ้างนี่เป็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก และนักประวัติศาสตร์ชาวตะวันตกโดยทั่วไปถือว่าคำกล่าวอ้างของซูโวรอฟไม่มีมูลความจริง
ยุทธการบาร์บาร็อสซานั้นมาถึงจุดสรุปเมื่อกลุ่มทัพกลางของเยอรมนีที่กำลังขาดแคลนเสบียงเนื่องจากโคลนหลังฤดูฝนในเดือนตุลาคม ถูกสั่งให้บุกรุดหน้าต่อไปยังมอสโก จนกระทั่งกำลังทหารเยอรมันรุดหน้ามาถึงหน้าพระราชวังเครมลินในช่วงต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2484 (1941) เมื่อมาถึงตรงนั้น กองกำลังทหารเยอรมันทั้งหมดก็จำต้องหยุดลง เมื่อกำลังเสริมขนาดใหญ่ของสตาลินมาถึง จากไซบีเรีย พร้อมกับความสดใหม่ของทหารและการบำรุงรักษากำลังอย่างครบครัน และได้ทำการป้องกันมอสโกอย่างดุเดือดในศึกแห่งมอสโก ผลของการรบออกมาโดยฝ่ายโซเวียตเป็นผู้กรำชัยชนะอย่างเด็ดขาด และได้ทำการตีโต้กองกำลังเยอรมันกลับไปเมื่อฤดูหนาวมาถึง กองกำลังตอบโต้ของโซเวียตขนาดใหญ่ยักษ์ได้ถูกสั่งให้เข้าทำการโจมตีกลุ่มทัพกลางของเยอรมัน ซึ่งไม่น่าแปลกใจเท่าไรนัก เนื่องจากกลุ่มทัพกลางวางกำลังอยู่ใกล้มอสโกมากที่สุด การป้องกันกรุงมอสโกได้สำเร็จ ทำให้เมืองนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นวีรนครในเวลาต่อมา
เมื่อกองกำลังเยอรมันทั้งหมดที่ประจำการอยู่ในดินแดนของโซเวียตประสบกับการไม่มีที่อยู่ที่พักอาศัย (ซึ่งเกิดจากกลยุทธทำลายล้างของโซเวียต), ขาดเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาวที่เหมาะสม, ขาดเสบียงอาหารเป็นเวลานานติดต่อกัน (หิมะในฤดูหนาวที่กลบถนนจนมิด ทำให้การส่งกำลังบำรุงของเยอรมันแทบจะเป็นอัมพาต) และไม่มีที่จะไป (เพราะการออกไปในอากาศหนาวเช่นนั้นโดยไม่มีเสื้อผ้ากันหนาวที่ดีพอ หมายถึงความตายของทหารเยอรมัน) ทำให้กองกำลังเยอรมันไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากจะรอกำลังเสริมในฤดูหนาวในดินแดนแถบขั้วโลก ในขณะที่กองกำลังเยอรมันสามารถหลีกเลี่ยงการถูกตีให้แตกพ่ายยับเยินโดยกองกำลังตอบโต้ของโซเวียตมาได้ แต่ก็ประสบกับการสูญเสียกำลังเป็นจำนวนมากทั้งจากการรบ และการถูกโจมตีระหว่างเคลื่อนทัพ
การยึดกรุงมอสโกถือว่าเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ชัยชนะของเยอรมนีในขณะนั้น แต่ก็เกิดการถกเถียงระหว่างนักประวัติศาสตร์ในปัจจุบันว่าการเสียกรุงมอสโกจะนำไปสู่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เยอรมนีก็ประสบกับความล้มเหลวในการยึดมอสโก ซึ่งนำไปสู่ความล้มเหลวของยุทธการบาร์บาร็อสซาในเวลาต่อมา ในเดือนธันว่าคม พ.ศ. 2484 (1941) เยอรมนีก็ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกา (ตามจักรวรรดิญี่ปุ่นซึ่งหนึ่งในพันธมิตรอักษะของเยอรมนีที่ได้ทำการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ต่อสหรัฐอเมริกา) ซึ่งระหว่างเวลาหกเดือนต่อจากนี้ ตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ของเยอรมนีเริ่มล่อแหลมขึ้นมาทุกที เนื่องจากการวางแผนอุตสาหกรรมทางทหารของเยอรมนีถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการทำสงครามในระยะสั้นเท่านั้น และยังไม่มีความพร้อมที่จะทำสงครามยืดเยื้อแต่อย่างใด
ผลลัพธ์ของยุทธการบาร์บาร็อสซาต่อเยอรมนีนั้นสร้างความเสียหายให้กับโซเวียตในอย่างมหาศาล แต่ฝ่ายเยอรมันก็ไม่ได้มีสถานภาพต่างจากฝ่ายโซเวียตมากนัก แม้ว่าเยอรมนีจะล้มเหลวในการยึดกรุงมอสโก แต่กองกำลังเยอรมันก็สามารถยึดดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลทางตะวันตกของสหภาพโซเวียต รวมถึงเขตการปกครองของสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตทั้งเขต ได้แก่เบลารุส, ยูเครน และดินแดนรอบทะเลบอลติก รวมถึงภูมิภาครัสเซียตะวันตกที่มอสโกปกครองอยู่ กองทัพเยอรมันสามารถยึดดินแดนมาได้กว่า 1,300,000 ตร.กม. ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่กว่า 75 ล้านคนตามสถิติจากปลายปี พ.ศ. 2484 รวมถึงกำลังวางแผนที่จะยึดดินแดนมาอีกกว่า 650,000 ตร.กม. ก่อนที่จะถูกบีบให้ถอยทัพหลังจากความพ่ายแพ้ในศึกแห่งสตาลินกราด (เมืองโวลกากราดในปัจจุบัน) และศึกแห่งเคิร์สก์ ในขณะเดียวกัน ทุกดินแดนที่เยอรมนียึดมาได้ล้วนแข็งข้อต่อเยอรมนี จากอัตราการก่อกวนกองกำลังเยอรมันที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งทำให้เยอรมนีลงโทษกลับอย่างโหดเหี้ยม ต่อมากองกำลังเยอรมันยังคงยันยื้อต่อกองกำลังตอบโต้ของโซเวียตอย่างเท่าที่จะเป็นไปได้ ส่งผลให้เกิดผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมากในทั้งสองฝ่ายจากการรบหลายต่อหลายครั้ง
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.