สถาปัตยกรรมโหยสฬะ (กันนาดา: ಹೊಯ್ಸಳ ವಾಸ್ತುಶಿಲ್ಪ; โหยสลฬ วาสตุศิลป) เป็นรูปแบบหนึ่งของสถาปัตยกรรมโบสถ์พราหมณ์ ที่เกิดขึ้นในยุคของจักรวรรดิโหยสฬะ ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 11-14 ซึ่งปกครองบริเวณที่ในปัจจุบันอยู่ในรัฐกรณาฏกะ อิทธิพลของโหยสฬะมาถึงจุดสูงสุดในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 สมัยที่ปกครองบริเวณที่ราบสูงเดกกัน ตัวอย่างเทวาลัยยุคโหยสละที่สำคัญ เช่น เจนนเกศวเทวาลัยที่เบลูร์, โหยสเลศวรเทวาลัยที่หเลพีฑู และเจนนเกศวเทวาลัยที่โสมนาถปุระ[1][2][3][4] การศึกษาสถาปัตยกรรมโหยสละพบว่าได้รับอิทธิพลบ้างจากชาวอินโด-อารยัน และอิทธิพลของงานศิลป์แบบอินเดียใต้ ทำให้สถาปัตยกรรมโหยสละมีความโดดเด่นเฉพาะตัว[5]

Thumb
เทวาลัยยุคโหยสฬะที่โสมนาถปุระ

เทวาลัยที่สร้างก่อนสมัยจักรวรรดิโหยสละในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 12 แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมจลุกยะตะวันตก ส่วนเทวาลัยในยุคถัด ๆ มาจึงเริ่มมีงานศิลป์แบบโหยสฬะเสริมเข้าไป ปัจจุบันมีเทวาลัยจำนวนกว่าสามร้อยแห่งที่หลงเหลืออยู่ภายในพื้นที่ของรัฐกรณาฏกะ และอีกหลายแห่งที่ปรากฏในงานเขียนและเอกสารโบราณ เทวาลัยจำนวนมากกระจุกตัวอยู่ในอำเภอมเลนาฑู ซึ่งเคยเป็นเขตพระราชฐานของกษัตริย์โหยสฬะ[6]

สถาปัตยกรรมโหยสฬะได้รับการขัดแบ่งโดยอาดัม ฮาร์ดดี นักวิชาการที่ทรงอิทธิพล ว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมเนียม กรณาฏกทราวิฑ ซึ่งเป็นกระแสหนึ่งในสถาปัตยกรรมทราวิฑในที่ราบสูงเดกกันที่ต่างจากรูปแบบทมิฬที่อยู่ลึกลงไปทางใต้ ชื่ออื่น ๆ สำหรับธรรมเนียมนี้ รวมถึง เวสระ และสถาปัตยกรรมจาลุกยะ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสถาปัตยกรรมพทามิจาลุกยะ และกัลยาณีจาลุกยะ ซึ่งมีมาก่อนโหยสฬะไม่นาน ธรรมเนียมนี้โดยรยมครอบคลุมยุคสมัยราวเจ็ดศตวรรษที่เริ่มต้นในศตวรรษที่ 7 ภายใต้การอุปถัมภ์ของจักรวรรดิจาลุกยะแห่งพทามิ ต่อมามีการพัฒนารูปแบบต่อในสมัยจักรวรรดิราษฏรกูฏแห่งมันยาเขตในศตวรรษที่ 9-10 และ กัลยาณีจาลุกยะแห่งพสาวกัลยาณในศตวรรษที่ 11-12 ระยะการพัฒนาสุดท้ายก่อนจะแปรสภาพมาเป็นรูปแบบเฉพาะตัวมีขึ้นในสมัยปกครองของโหยสฬะในศตวรรษที่ 12-13[7] จารึกจากสมัยยุคกลางที่ปรากฏเป็นหลักตามเทวาลัยต่าง ๆ ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยใกีบการบริจาคเพื่อทำนุบำรุงศาสนสถาน รายละเอียดเกี่ยวกับการประกอบพิธีอุทิศ และในบางครั้งแม้แต่รายละเอียดเกี่ยวกับสถาปัตยกรรม[8]

เทพเจ้าประจำเทวาลัย

Thumb
พระวิษณุและพระลักษมี (ลักษมีนารายณ์) ที่หเลพิฑู

เทวาลัยในศาสนาฮินดูเริ่มแรกเป็นศาลเจ้าอย่างง่ายที่ภายในประดิษฐานเทพเจ้า ในยุคสมัยของชาวโหยสฬะ เทวาลัยได้พัฒนามาเป็นสิ่งปลูกสร้างใหญ่โตที่มีการประกอบสร้างขึ้นอย่างบรรจง ที่ซึ่งศาสนิกชนเสาะหาความยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติในโลกมนุษย์ เทวาลัยแบบโหยสฬะไม่เพีนงแต่จำกัดอยู่เฉพาะในธรรมเนียมอันเป็นระบบของศาสนาฮินดู แต่ยังรวมถึงผู้มีศรัทธาจากขบวนการบูชาธรรมเนียมฮินดูอื่น ๆ ชายโหยสฬะมักจะอุทิศเทวาลัยของตนแก่พระศิวะหรือพระวิษณุ สองเทพเจ้าที้มีกาาเคารพบูชาอย่างแพร่หลายในศาสนาฮินดู กระนั้นก็มีบางโอกาสที่สร้างเทวถานบูชาศาสนบุคคลในลัทธิไชนะเช่นกัน ผู้บูชาพระศิวะเรียกว่า “ไศวะ” และผู้บูชาพระวิษณุเรียกว่า “ไวษณวะ[9][10] ในขณะที่กษัตริย์วิษณุวรรธนะและผู้สืบทอดเป็นผู้นับถือลัทธิไวษณวะ[11] กลับปรากฏหลักฐานบันทึกว่าชาวโหยสฬะยังคงไว้ซึ่งความกลมเกลียวทางศาสนา ผ่านทางการสร้างเทวาลัยบูชาพระศิวะ เช่นเดียวกับที่ได้สร้างเทวาลัยบูชาพระวิษณุ[12]

เทวาลัยส่วนใหญ่มีองค์ประกอบทางโลกวิสัย และเรื่องราวที่กว้างดังที่ปรากฏในงานประติมากรรมต่าง ๆ ดังที่สามารถพบได้ในเจนนเกศวเทวาลัยในเพลูรุซึ่งบูชาพระวิษณุ และโหยสเฬศวรเทวาลัยที่หเลพิฑูซึ่งบูชาพระศิวะ เกศวเทวาลัยที่โสมนาถปุระแตกต่างไปด้วยลักษณะการประดับที่เป็นไวษณวะอย่างเคร่งครัด โดยทั่วไปแล้ว เทวาลัยไวษณวะจะบูชาพระเกศวะ (หรือในบริบทของเจนนเกศวะ หมายถึง “พระวิษณุรูปงาม”) ในขณะที่จำนวนน้อยปรากฏบูชาพระลักษมีนารายณ์ และ ลักษมีนรสิงห์ (พระนารายณ์ และ พระนรสิงห์ ล้วนเป็นอวตารของพระวิษณุ) ประกอบกับพระลักษมี พระชายาของพระวิษณุ ประทับที่เบื้องบาทของพระวิษณุ เทวาลัยพระวิษณุจะตั้งชื่อตามเทพเจ้าเสมอ[13]

เทวาลัยของไศวะจะปรากฏศิวลึงค์ สัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองและสัญลักษณ์สากลของพระศิวะ ในห้องบูชาของเทวาลัย ชื่อของเทวาลัยพระศิวะสามารถลงท้ายด้วยคำต่อท้านว่า -เอศวร ซึ่งแปลว่า ”เจ้าแห่ง“ เช่น ”โหยสเฬศวร“ แปลว่า เจ้าแห่งโหยสฬะ เป็นต้น นอกจากนี้ยังอาจตั้งชื่อตามผู้ศรัทธาที่ก่อสร้างเทวาลัยขึ้น เช่น พุเจศวรเทวาลัย (Bucesvara temple) ที่ โกรวังคัล (Koravangala) ตั้งชื่อตามศรัทธาชนนามว่า พุจิ (Buci)[14] การประดับด้วยประติมากรรมที่โดดเด่นอยู่บนแถวแนวนอนของมุมอาคาร ที่ซึ่งภาพสลักนูนต่ำ ตลอดจนประติมากรรมรูปเทพเจ้าที่แกะสลักอย่างวิจิตรปราฏตามผนังของเทวาลัยส่วนนอก[15]

เทวาลัยโทฑฑฆัฑฑวัลลีลักษมีเทวี ("เทวีแห่งความมั่งคั่ง") เป็นข้อยกเว้นพิเศษ เนื่องจากไม่ได้อุทิศแด่ทั้งพระวิษณุหรือพระศิวะ หลังการพ่ายแพ่ของไชนะในจักรวรรดิคงคา (ปัจจุบันคือกรณาฏกะใต้) ให้แก่ชาวโจฬะในต้นศตวรรษที่ 11 ประกอบกับจำนวนศาสนิกชนของลัทธิไวษณวะและวีรไวษณวะในศตวรรษที่ 12 เกิดขึ้นควบคู่กับความสนใจในศาสนาไชนะที่ลดถอยลง[16] อย่างไรก็ตาม ปรากฏเทวาลัยของไชนะที่สำคัญสองแห่งในอาณาเขตของโหยสฬะ ซึ่งคือ ศรวัณเพลโคละ และ กัมพทหัลลี ชาวโหยสฬะได้สร้างศาสนสถานไชนะขึ้นเพื่อให้ประชากรชาวไชนะพึงพอใจ มีอยู่ไม่มากที่ยังหลงเหลืออยู่ในหเลพิฑู ที่ซึ่งภายในประดิษฐานเทวรูปของตีรถังกรในศาสนาไชนะ ชาวโหยสฬะยังก่อสร้างอ่างเก็บน้ำซึ่งมีขั้นบันไดลงไป เรียกว่า ปุษกรณี (Pushkarni) หรือ กัลยาณี (Kalyani) ดังที่ปรากฏพบที่เทวาลัยในหุเลเกเร (Hulikere) อ่างเก็บน้ำที่หุลิเกเรยังประกอบด้วยศาล 12 ศาลบูชาเทพเจ้าตั้งอยู่โดยรอบ[17]

เทพเจ้าหลักสององค์ที่ปรากฏในประติมากรรมเทวาลัยโหยสฬะ ได้แก่พระศิวะและพระวิษณุในรูปปางและอวตารต่าง ๆ พระศิวะมักปรากฏแสดงในปางสี่กร ทรงตรีศูล กองเล็ก และสัญลักษณ์อื่น ๆ ซึ่งมีการบูชาแยกเป็นของตัวเองในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้อง[18] เทวรูปบุรุษใด ๆ ที่แสดงในลักษณะนี้จะถือว่าเป็นพระศิวะ กระนั้นก็พบรูปเคารพสตรีที่บางครั้งอาจปรากฏในรูปลักษณ์ดังกล่าวในฐานะพระชายาของพระศิวะ ซึ่งคือพระปารวตี สำหรับเทวรูปพระศิวะมีปรากฏอยู่หลายลักษณะ เช่น ในรูปเปลือยพระองค์ทั้งพระองค์หรือบางส่วน, ในรูปปางขณะสังหารอสูร (อานธกะ) หรือร่ายรำบนหัวของช้างที่ถูกสังหาร (คชาสูร) และดึงหนังขึ้นมาหลังคอ มักปรากฏพระองค์เคียงกับพระปารวตีซึ่งเป็นพระชายา หรือกับโคนนทิ นอกจากนี้ยังสามารถพบในรูปพระไภรวะซึ่งเป็นอวตารหนึ่งของพระองค์[18]

เทวรูปบุรุษที่ในมือถือวัตถุบางประการ เช่น หอยสังข์ (สัญลักษณ์ของความเป็นนิรันดร์, พื้นที่อันเป็นสวรรค์) และจักร (เวลาอันเป็นนิรันดร์และพลังแห่งการทำลายล้าง) ถือเป็นพระวิษณุ หากปรากฏในรูปสตรีทรงวัตถุเหล่านี้ จะถือว่าเป็นพระชายาของพระวิษณุ ซึ่งคือพระลักษมี ในทุกรูปปางจะปรากฏพระวิษณุทรงของสี่อย่าง ได้แก่ หอยสังข์ จักร บัว และคฑาเกาโมฑกี ซึ่งสามารถทรงในหัตถ์ใดก็ได้ ทำให้มีรูปปางที่เป็นไปได้อยู่ 24 รูปที่ต่างกัน อันล้วนมีชื่อเรียกของตนเองเป็นเฉพาะ[19] นอกจากนี้ ยังปรากฏพระวิษณุในรูปปางใด ๆ ในสิบอวตาร ซค่งรวมถึงพระวิษณุประทับบนนาคอานันทะ หรือที่รู้จักในชื่อ นาคเศศะ), พระวิษณุประทับเคียงพระลักษมี โดยพระลักษมีประทับบนตัก (ลักษมีนารายณ์), ในรูปที่มีเศียรเป็นสิงโตกระชากเครื่องในออกจากตัวของอสูรอยู่บนตัก (ลักษมีนรสิงห์), ในรูปที่เศียรเป็นหมูป่าเดินเหยียบอสูร (วราหะ), ในปางพระกฤษณะ [ในรูปเวณุโคปาลหรือคนเลี้ยงวัวเป่าเวณุ (ขลุ่ย)), ร่ายรำบนหัวงูกาลิยะ, ยกเขาเช่นเขาวรรธนะ, มีเท้าอยู่เหาือศีรษะของตัวบุคคลขนาดเล็กกว่า (วามนะ), ในรูปเคียงข้างพระอินทร์ทรงช้าง, กับพระลักษมีประทับบนครุฑ และเหยียว (เพื่อขโมยต้นปาริชาต[19]

หมู่สิ่งปลูกสร้างในเทวาลัย

จุดสำคัญของเทวาลัยอยู่ที่ครรภคฤห์หรือโถงบูชากลาง ที่ประดิษฐานเทวรูป การออกแบบสถาปัตยกรรมของเทวาลัยจึงเป็นการขยับผู้สักการะจากด้านนอกสู่ครรภคฤห์ผ่านทางทางเดินซึ่งมีไว้เดินรอบ และห้องโถง (มณฑป) ซึ่งยิ่งมีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเมื่อยิ่งเข้าใกล้องค์เทพเจ้า เทวาลัยแบบโหยสฬะมีองค์ประกอบที่โดดเด่นเป็นพิเศษที่ถูกรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งส่วน ตรงข้ามกันกับเทวาลัยแบบแคว้นทมิฬซึ่งองค์ประกอบต่าง ๆ ของเทวาลัยอยู่แยกเป็นเอกเทศจากกัน[20] แม้ว่าจะมีลกษณะภายนอกที่แตกต่างเป็นพิเศษ เทวาลัยแบบโหยสฬะมีลักษณะคล้ายกันในเชิงโครงสร้าง ซึ่งประกอบด้วยประติมากรรมจำนวนมหาศาลประดับทุกส่วนของเทวาลัย ประติมากรรมเหล่านี้แกะสลักมาจากหินปูนอ่อน (chloritic schist) อันเป็นวัสดุชั้นเยี่ยมสำหรับการแกะสลักหินที่มีความวิจิตร ทำขึ้นโดยช่างฝีมือท้องถิ่น และแสดงถึงลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นจากสถาปัตยกรรมเทวาลัยอื่น ๆ ในอินเดียใต้[21]

เทวาลัยโหยสฬะส่วนใหญ่มีระเบียงทางเดินทางเข้าที่มีหลังคาปกคลุม รับน้ำหนักด้วยเสาทรงบิดกลึง ซึ่งบางครั้งก็มีแกะสลักหรือประกอบแม่ลายประดับเข้าไป ตัวเทวาลัยอาจสร้างขึ้นบนฐานที่ยกสูงจากพื้นขึ้นมาราวหนึ่งเมตร เรียแว่า "ชคตี" ซึ่งนอกจากจะให้รูปลักษณ์เหมือนอาคารยกสูงแล้ว ยังเป็น ประทักษิณปาถ หรือเส้นทางเดินสำหรับเดินวนรอบเทวาลัย ในขณะที่ครรภคฤห์จะไม่มีลักษณะดังกล่าว[22] เทวาลัยในลักษณะดังกล่าวจะมีขั้นบันไดเพิ่มเติมเข้ามา ซึ่งเปิดออกภายในมณฑป (โถงเปิด) ซึ่งเปิดโล่ง และมีกำแพงลายลูกกรง ตัวอย่างชิ้นเยี่ยมของเทวาลัยแบบนี้คือเกศวเทวาลัยที่โสมนาถปุระ ที่ซึ่ง ชคตี มีลักษณะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสิ่งปลูกสร้างที่เหลือของเทวาลัย[23] ซึ่งมีการออกแบบแปลนเป็นรูปดาว และมีผนังเป็นแบบลายซิกแซ็ก ลักษณะเช่นนี้ถือเป็นประดิษฐกรรมของโหยสฬะ[24]

ผู้เดินทางมาสักการะสามารถเริ่มต้นด้วยการทำการทำพิธีเดินวนรอบส่วนฐาน ชคตี โดยเริ่มจากทางเข้าหลักและเดินไปในทิศตามเข็มนาฬิกา (หรือเดินไปทางซ้ายมือ) ก่อนจะเดินเข้าส่วนมณฑป งานประติมากรรมแกะสล้กนูนต่ำบนผนังของกำแพงส่วนนอกก็จัดเรียงลำดับการเล่าเรื่องมหากาพย์ฮินดูในทิศตามเข็มนาฬิกาเช่นกัน เทวลายัที่ไม่ได้สร้างบนฐานชคตีสามารถมีบันไดที่ขนาบข้างด้วยฐานซี่รั้ว (balustrades) ที่แกะสลักเป็นรูปช้าง อันนำพาเข้าไปสู่ในมณฑปจากชั้นระดับพื้นดิน ตัวอย่างเทวาลัยที่ไม่ปรากฏฐานยก คือเทวาลัยพุเจศวรในอำเภอหัสสาน เทวาลัยที่มีสองศาลภายใน (ทวิกูฏ) จะมี วิมาน ตั้งอยู่ข้างกันหรือตรงกันข้ามกันกับแต่ละศาลได้เช่นกัน[25] ลักษมีเทวีเทวาลัยที่โฑททฆัฑฑวัฬฬิ เป็นตัวอย่างสถาปัตยกรรมโหยสฬะที่โดดเด่นเฉพาะตัว ด้วยศาลสี่ศาล และศาลร่วมตรงกลางเป็นศาลที่ห้า (ซึ่งบูชาพระไภรวะ) ภายในหมู่สิ่งปลูกสร้างเดียวกัน[26] นอกจากนี้ยังมีศาลย่อยอีกสี่ศาลตั้งอยู่ที่มุมขอบทั้งสี่ของลานกลาง (ปราการัม)[27]

องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม

มณฑป

มณฑป หมายถึงโถงซึ่งผู้คนมารวมตัวกันเพื่อสวดภาวนา ทางเข้าสู่มณฑปโดยทั่วไปมีชิ้นประติมากรรมประดับอย่างวิจิตรเหนือขื่อประตู เรียกว่า มกรโตรณะ (มกร เป็นสัตว์ในตำนาน และ โตรณะ หมายถึงเครื่องประดับที่อยู่เหนือศีรษะ)[22] มณฑปมีลักษณะเปิด จึงมีบทบาทในฐานะห้องโถงชั้นนอก ลักษณะเช่นนี้ปรากฏในเทวาลัยโหยสฬะขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีทางเดินไปสู่กับมณฑปปิดขนาดเล็ก และบรรดาศาลภายใน มณฑปเปิดซึ่งมักจะมีพื้นที่ขนาดใหญ่นี้มักมีพื้นที่นั่ง (อาสนะ) ทำมาจากหิน ส่วนผนังลายลูกกรงเป็นพนักพิงหลัง ที่นั่งอาจจัดวางไปตามรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่สับเื่อมกันตามลายผนังลูกกรง[28][29] เพดานของมณฑปมักมีเสาจำนวนมากค้ำยัน ทำให้เกิดช่วงเสา (bays) ขึ้นมากมาย[30] รูปทรงของมณฑปเปิดเช่นนี้สามารถบรรยายว่าเป็รลักษณะสี่เหลี่ยมจัตุรัสสลับเหลื่อม (staggered-square) และถือเป็นรูปแบบที่ปรากฏในเทวาลัยโหยสฬะส่วนใหญ่[31] แม้มณฑปเปิดที่มีขนาดเล็กที่สุดยังพบว่ามีช่วงเสารวม 13 ส่วน ผนังราวลูกกรงซึ่งมีเสาครึ่งหนึ่งช่วยรับน้ำหนักขอบปลายส่วนนอกของหลังคา และยังช่วยให้มีแสงสว่างเข้าถึงภาพในเพียงพอ อันช่วยให้สามารถมองเห็นรายละเอียดของงานประติมากรรมได้ทั้งหมด เพดานของมณฑปมักประดับอย่างวิจิตรด้วยงานประติมากรรม ทั้งจากปรัมปราและรูปพันธุ์ไม้ดอกต่าง ๆ เพดานยังอาจประกอบด้วยพื้นผิวลึกและพื้นผิวทรงโดมซึ่งภายในมีงานประติมากรรมรูปหน่อกล้วยไปจนถึงงานประดับอื่น ๆ[32]

ในกรณีที่เทวาลัยมีชนาดเล็กจะประกอบด้วยเพียง มณฑป แบบปิด กล่าวคือมีผนังปิดตั้งแต่พื้นจรดเพดาน อยู่หลังเดียว และตัวศาล สำหรับมณฑปทรงปิดซึ่งมีการตกแต่งอย่างดีทั้งด้านในและภายนอก มีขนาดใหญ่กว่าเพียงห้องทางเข้า (vestibule) ที่เชื่อมต่อเข้ากับศาล นอกจากนี้ ตัว มณฑป ยังประกอบด้วยเสากลึงเป็นรูปกลม (lathe-turned pillars) สี่เสา ซึ่งรับน้ำหนักของเพดาน ส่วนเพดานอาจมีลักษณะเป็นทรงโดมอย่างลึก (deeply domed) เสาสี่เสานี้แบ่งพื้นที่ห้องของมณฑปออกเป็นเก้าส่วน (bays) ที่ซึ่งมีเพดานอันประดับตกแต่งเก้าเพดาน[33] ผนังหินฉลุลาย (ฌาฬิ หรือ งานแลททิซ) ซึ่งใช้งานเป็นหน้าต่างใน นวรงค์ (navaranga; โถง) และ สภามณฑป (Sabhamantapa; โถงรวมตัว, โถงพบปะ) เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบเชิงรูปแบบที่เฉพาะต่อสถาปัตยกรรมโหยสฬะ[22]

อ้างอิง

Wikiwand in your browser!

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.

Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.