Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เฟร์นันโด โฆเซ ตอร์เรส ซันซ์ (สเปน: Fernando José Torres Sanz; เกิด 20 มีนาคม ค.ศ. 1984) เป็นอดีตนักฟุตบอลชาวสเปน ปัจจุบันเป็นผู้จัดการทีมอัตเลติโกเดมาดริด รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
ข้อมูลส่วนตัว | |||
---|---|---|---|
ชื่อเต็ม | เฟร์นันโด โฆเซ ตอร์เรส ซันซ์[1] | ||
วันเกิด | [1] | 20 มีนาคม ค.ศ. 1984||
สถานที่เกิด | ฟูเอนลาบราดา สเปน | ||
ส่วนสูง | 1.86 เมตร (6 ฟุต 1 นิ้ว)[2] | ||
ตำแหน่ง | กองหน้าตัวเป้า | ||
ข้อมูลสโมสร | |||
สโมสรปัจจุบัน | อัตเลติโกเดมาดริด อายุไม่เกิน 19 ปี (ผู้จัดการทีม) | ||
สโมสรเยาวชน | |||
1995–2001 | อัตเลติโกเดมาดริดเยาวชน | ||
สโมสรอาชีพ* | |||
ปี | ทีม | ลงเล่น | (ประตู) |
2001–2007 | อัตเลติโกเดมาดริด | 214 | (91) |
2007–2011 | ลิเวอร์พูล | 102 | (65) |
2011–2015 | เชลซี | 110 | (20) |
2014–2015 | → มิลาน (ยืมตัว) | 10 | (1) |
2015–2016 | มิลาน | 0 | (0) |
2015–2016 | → อัตเลติโกเดมาดริด (ยืมตัว) | 49 | (14) |
2016–2018 | อัตเลติโกเดมาดริด | 58 | (13) |
2018–2019 | ซางัน โทสุ | 35 | (5) |
รวม | 578 | (200) | |
ทีมชาติ‡ | |||
2000 | สเปน อายุไม่เกิน 15 ปี | 1 | (0) |
2001 | สเปน อายุไม่เกิน 16 ปี | 9 | (11) |
2001 | สเปน อายุไม่เกิน 17 ปี | 4 | (1) |
2002 | สเปน อายุไม่เกิน 18 ปี | 1 | (1) |
2002 | สเปน อายุไม่เกิน 19 ปี | 5 | (6) |
2002–2003 | สเปน อายุไม่เกิน 21 ปี | 10 | (3) |
2003–2014 | สเปน | 110 | (38) |
จัดการทีม | |||
2021– | อัตเลติโกเดมาดริด อายุไม่เกิน 19 ปี | ||
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 20:23, 20 พฤษภาคม ค.ศ. 2018 (UTC) ‡ ข้อมูลการลงเล่นและประตูให้แก่ทีมชาติล่าสุด ณ วันที่ 20:42, 16 พฤษภาคม ค.ศ. 2018 (UTC) |
ตอร์เรสเกิดที่เมืองฟูเอนลาบราดา (Fuenlabrada) เมืองชนบทขนาดย่อมทางใต้ของกรุงมาดริด เดิมตอร์เรสเป็นเด็กฝึกหัดของอัตเลติโกเดมาดริดในประเทศสเปน และก้าวขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่ รวมถึงการที่ได้รับเลือกให้เป็นกัปตันของทีม โดยในขณะนั้นตอร์เรสมีอายุเพียง 19 ปี ตอร์เรสได้รับฉายาจากสื่อในสเปนว่า "เอลนีโญ" (เด็ก) เพราะหน้าตาของตอร์เรสดูอ่อนวัยกว่าอายุเป็นอย่างยิ่ง
ตอร์เรสเป็นศูนย์หน้าที่มีพรสวรรค์ในการเล่นเป็นอย่างมาก เขาสามารถยิงประตู 75 ประตูใน 5 ฤดูกาล ในลีกสูงสุดของสเปน โดยมีเพียง ซามูเอล เอโต และ ดาบิด บียา ที่ยิงได้มากกว่าในระยะเวลาเดียวกัน
ตอร์เรส เริ่มต้นเป็นนักฟุตบอลกับอัตเลติโกเดมาดริด มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 เมื่อครั้งยังเป็นนักฟุตบอลฝึกหัด และมีแววว่าจะได้เป็นนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียง จนกระทั่งสามารถขึ้นสู่ชุดใหญ่ของสโมสรได้ตอนอายุเพียง 17 ปี และได้รับตำแหน่งกัปตันทีมเมื่ออายุเพียง 19 ปี โดยลงเล่นให้กับอัตเลติโกเดมาดริดไปทั้งสิ้น 244 นัด ยิงประตูได้ 91 ประตู [3]
ค่าตัวในการเซ็นสัญญาของ เฟร์นันโด ตอร์เรส ได้รับการบันทึกไว้เป็นสถิติสูงสุดของลิเวอร์พูล แม้ว่าสื่ออังกฤษรายงานว่า ค่าตัวนักเตะอยู่ที่ประมาณ 26.5 ล้านปอนด์ ราฟาเอล เบนีเตซ ยืนยันในการสัมภาษณ์กับสื่อสเปนว่า ค่าตัวอยู่ที่เกือบ 20 ล้านปอนด์ ยังมีรายงานอีกว่า ตอร์เรสยอมลดค่าเหนื่อยสำหรับการย้ายตัว หนังสือพิมพ์ The Times รายงานว่า ค่าตัวลดจาก 103,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ในสเปน เหลือ 91,000 ปอนด์[4]
ในวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ตอร์เรสลงแข่งนัดเปิดตัวให้ลิเวอร์พูล โดยแข่งกับแอสตันวิลลา และชนะไปด้วยสกอร์ 2-1 หลังจากนั้นตอร์เรสยิงประตูแรกในพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ ในการลงแข่งครั้งแรกในสนามแอนฟีลด์ ในวันที่ 19 สิงหาคม ในนาทีที่ 16 ผลเสมอ 1-1 กับเชลซี โดยวิ่งไปรับบอลจากการส่งของ สตีเฟน เจอร์ราร์ด ตอร์เรสเลี้ยงผ่านกองหลังเชลซี ทาล เบน ฮาอิม และยิงผ่านมือผู้รักษาประตู ปีเตอร์ เช็ค เข้าไปตุงตาข่ายเชลซี
ตอร์เรสยิงแฮตทริกเป็นครั้งแรกให้สโมสรในวันที่ 25 กันยายน ในนัดเยือน ถ้วยคาร์ลิงคัพกับเรดดิง และชนะไป 4-2[5] โดยประตูแรกของตอร์เรสในเกมคือประตูที่ยิงให้ลิเวอร์พูลนำ 2-1 ลูกที่สองของเขาทำให้ลิเวอร์พูลนำ 3-2 และตามด้วยลูกปิดท้าย 4-2 หลังจากจบการแข่งขัน ตอร์เรสได้รับการคิดเลือกเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน และเนื่องจากตอร์เรสสามารถทำแฮตทริกได้สำเร็จ เขาจึงได้รับลูกบอลที่ใช้ในการแข่งขันเป็นของที่ระลึก
ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ตอร์เรสสามารถทำแฮตทริกแรกในลีกได้สำเร็จในเกมที่ลิเวอร์พูลเปิดบ้านเอาชนะทีมมิดเดิลสโบร 3-2 และในวันที่ 5 มีนาคม ปีเดียวกัน ตอร์เรสสามารถทำแฮตทริกได้อีกครั้งในเกมที่ลิเวอร์พูลเอาชนะทีมเวสต์แฮมยูไนเต็ด 4-0 ทำให้เฟร์นันโด ตอร์เรสได้รับการบันทึกไว้เป็นสถิติว่า เป็นผู้เล่นคนแรกต่อจากแจ็กกี บัลเมอร์ ที่เคยทำแฮตทริกในเกมที่แอนฟีลด์ติดต่อกัน 2 นัด ในปี 1946 และยังเป็นนักเตะคนที่ 5 ของสโมสรที่สามารถทำได้ ตอร์เรสได้รับการคัดเลือกให้ได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งเดือนกุมภาพันธ์ของพรีเมียร์ลีกอังกฤษ โดยนอกจากนี้เขายังเป็นนักเตะนอกสหราชอาณาจักรคนแรกที่ยิงได้ 15 ประตูในพรีเมียร์ลีกให้ลิเวอร์พูล
ในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2551 เฟร์นันโด ตอร์เรส กลายเป็นผู้เล่นคนแรกของสโมสร ต่อจาก ร็อบบี ฟาวเลอร์ ที่สามารถทำประตูในลีกได้เกินถึง 20 ประตูใน 1 ฤดูกาล เมื่อเขาทำประตูในนาทีที่ 47 ในเกมที่ลิเวอร์พูลสามารถเอาชนะทีมเรดดิง 2-1 และหลังจากนั้น ตอร์เรสก็สามารถยิงประตูช่วยให้ทีมเอาชนะอินเตอร์มิลานในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 สุดท้าย
วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2551 เฟร์นันโด ตอร์เรส สามารถทำประตูที่ 30 ของตัวเองให้กับลิเวอร์พูลได้ในฤดูกาลแรกที่ย้ายมา โดยประตูดังกล่าวเกิดขึ้นในเกมที่ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะทีมแบล็กเบิร์นโรเวอร์ส 3-1 ในการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ชิพของอังกฤษ และด้วยประตูนี้เอง ทำให้เฟร์นันโด ตอร์เรสสามารถทำสถิติ ยิงประตูติดต่อกัน 7 นัด ในสนามแอนฟีลด์
และในวันสุดท้ายของฤดูกาล ณ สนามของทีมสเปอร์สในวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ตอร์เรสได้ทำประตูสุดท้ายของฤดูกาลนี้เป็นประตูที่ 33 ที่ทำให้เขาเป็นนักเตะคนแรกที่ทำประตูเกิน 30 ประตูในหนึ่งฤดูกาล โดยก่อนหน้านั้น มีเพียงร็อบบี ฟาวเลอร์ทำได้ 30 ประตู ในปี 2539-2540 โดยเฉพาะวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ณ สนามแอนฟีลด์ ลิเวอร์พูลเปิดบ้านรับการมาเยือนของทีมแมนเชสเตอร์ซิตี ทีมชนะไป 1-0 โดยตอร์เรสเป็นผู้ยิงประตูตัดสินชัยชนะ ทำให้เขาสามารถทำประตูติดต่อกันเป็นนัดที่ 8 ในถิ่นแอนฟีลด์ ส่งผลให้เขาเป็นนักเตะคนแรกของทีมที่ทำประตูในเกมลีกสูงต่อหน้าแฟนบอลในแอนฟีลด์ได้ 8 นัดติดต่อกัน โดยมีโรเจอร์ ฮันต์ ที่ทำได้อีกคนแต่ทำได้ในลีกดิวิชัน 2 เดิมในช่วงทศวรรษที่ 60 ฤดูกาล 1961-1962
33 ประตู จาก 46 นัดในทุกรายการ เฉพาะเกมลีกเขาทำไป 24 ประตู จาก 33 นัดที่ลงแข่ง และทั้ง 24 ประตูไม่มีลูกจากจุดโทษเลย ทำให้เฟร์นันโด ตอร์เรส ทำสถิติเป็นนักเตะต่างชาติที่ทำประตูสูงสุดเพียงปีแรกที่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกคนใหม่ และทำให้เขามีสถิติยิงปรตูเฉลี่ยทุก ๆ 1.39 เกม ทำลายสถิติผู้เล่นที่ทำประตูเฉลี่ยสูงสุดให้ลิเวอร์พูลในฤดูกาลแรกของ จอห์น อัลดิดจ์ (1.55 เกม) ได้อย่างสิ้นเชิง และยังเอาชนะนักเตะอย่างเอียน รัช (1.63), โรเจอร์ ฮันต์ (1.65), ร็อบบี ฟาวเลอร์ (1.83), ไมเคิล โอเวน (1.91) และเคนนี ดัลกลิช (2) ได้อีกด้วย และทุกนัดที่เขาสามารถทำประตูได้ในเกมลีกทีมจะไม่แพ้อีกด้วย และ 25 ประตู ใน 33 ประตูที่เขาทำได้ในฤดูกาลนี้เกิดขึ้นในสนามแอนฟีลด์ และนัดสุดท้ายที่เขาเล่นให้ลิเวอร์พูลคือนัดที่ลิเวอร์พูลบุกอัดวูล์ฟแฮมป์ตันไป 3-0 เมื่อ 22 มกราคม 2554 ที่ผ่านมาและตอร์เรสก็เป็นคนทำ 2 ประตูและมันก็คือประตูและก็นัดสุดท้ายที่เขาลงเล่นในสีเสื้อลิเวอร์พูล
ในวันที่ 31 มกราคม ปี พ.ศ. 2554 เฟร์นันโด ตอร์เรส ได้ย้ายจากลิเวอร์พูลมาเชลซีด้วยค่าตัวที่สูงที่สุดในอังกฤษ คือ 50 ล้านปอนด์ (ราว 2,458 ล้านบาท) ในเกมแรกของตอร์เรสนั้น ได้ลงสนามเจอกับทีมเก่าของเขา ลิเวอร์พูล ที่สนามสแตมฟอร์ดบริดจ์ ผลการแข่งขันนั้น เชลซีแพ้ลิเวอร์พูล 0-1 ตอร์เรสโดนเพื่อนร่วมทีมเก่าทำฟาวล์บาดเจ็บ และเขาได้ถูกเปลี่ยนตัวออกแล้วส่งผู้เล่นสำรอง ซาลอมง กาลู ลงมาเล่นแทนในนาทีที่ 66
ประตูแรกของตอร์เรสนั้น เป็นเกมที่เชลซีชนะเวสต์แฮมยูไนเต็ด 3-0 ที่ สนามสแตมฟอร์ดบริดจ์ โดยนัดนั้นเชลซีขึ้นนำไปก่อน 1-0 ก่อนที่ตอร์เรสจะถูกเปลี่ยนตัวลงไปแทนดีดีเย ดรอกบา และซัดด้วยเท้าซ้าย บอลเข้าไปตุงตาข่าย ทำให้เชลซีขึ้นนำอีกครั้ง 2-0 และเขาได้รับการยกย่องให้เป็นแมนออฟเดอะแมตช์ในเกมนั้น
ฤดูกาล 2011-12 ได้มีโอกาสลงเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2012 รอบแบ่งกลุ่ม เขายิงสองประตู ช่วยให้ทีมชนะเกงค์ไป 5-0 หลังจากการทำประตูในนัดที่พบกับเกงค์นั้น ตอร์เรสก็ยิงประตูคู่แข่งไม่ได้อีกเลย ในทุกรายการ ทำให้เขาถูกตัดชื่อออกจากทีมชาติสเปนชุดแข่งขันฟุตบอลยูโร 2012 และอุ่นเครื่องกับทีมชาติเวเนซุเอลา จนครบหนึ่งปีที่เขาย้ายออกจากถิ่นแอนฟีลด์สู่สแตมฟอร์ดบริดจ์ แต่ถึงแม้เขาจะยิงประตูไม่ได้แต่ก็ช่วยส่งบอลให้เพื่อนยิงประตูได้หลายครั้ง จนในวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2555 เชลซีเปิดบ้านรับทีมเลสเตอร์ซิตี เชลซีชนะ 5-2 โดยตอร์เรสสามารถยิงได้ 2 ประตู และส่งให้เพื่อนยิงอีก 2 ลูก สามารถหยุดสถิติยิงประตูคู่แข่งไม่ได้ในรอบ 5 เดือน 1,541 นาทีได้ และยิงอีก 1 ประตูในเกมที่ชนะแอสตันวิลลา 4-2 หลังจากนั้นเดือนเมษายน ในเกมถ้วยยุโรป เชลซีบุกไปเสมอบาร์เซโลนาได้ 2-2 โดยในเกมนั้น ตอร์เรสเป็นผู้ทำประตูปิดท้ายด้วยการรับบอลยาวของแอชลีย์ โคล กลางสนามก่อนหลุดไปดวลกับบิกตอร์ บัลเดส และล็อกหลบผู้รักษาประตูแล้วแปเข้าไปแบบโล่ง ๆ ทำให้เชลซีผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศพบกับบาเยิร์นมิวนิก ด้วยประตูทีมเยือน แม้เขาจะไม่สามารถยิงได้ในนัดชิงชนะเลิศ แต่เชลซีก็สามารถคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีกได้เป็นสมัยแรกของสโมสรหลังเสมอกับบาเยิร์นมิวนิกในเวลาปกติ 1-1 ก่อนดวลจุดโทษชนะด้วยสกอร์รวม 5-4
การทำแฮตทริกครั้งแรกของตอร์เรสในสีเสื้อเชลซี เกิดขึ้นในเกมที่เชลซีเปิดบ้านถล่มสโมสรฟุตบอลควีนส์พาร์กเรนเจอส์ ไป 6-1 โดยเขาทำประตูได้ในนาทีที่ 19,25,64 ในฤดูกาล 2011-2012 เขายิงประตูได้ 11 ประตู โดยลงสนาม 48 นัดตั้งแต่ย้ายมาเชลซี ยิงรวม 12 ประตู
ก่อนเปิดฤดูกาล 2012-13 เชลซีแข่งขันชิงถ้วยคัมมิวนิตีชีลด์กับแมนเชสเตอร์ซิตี โดยตอร์เรสเป็นผู้ทำประตูให้เชลซีขึ้นนำไปก่อน 1-0 แต่เชลซีแพ้ 2-3 เมื่อพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2012-13 เปิดฤดูกาล ตอร์เรสยิงประตูแรกในฤดูกาลนี้ของตัวเองได้ในเกมที่เชลซีเปิดบ้านเอาชนะเรดดิ้งไปได้ 4-2 และยิงอีกนัดละ 1 ประตูในนัดที่เชลซีชนะนิวคาสเซิล 2-0, ชนะอาร์เซนอล 2-1, ชนะวูล์ฟแฮมตัน 6-0, ชนะนอริชซิตี 4-1 โดยในช่วงที่เขายิงประตูได้นี้ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ กองหน้าสำรองของเชลซี มีอาการบาดเจ็บ ทำให้ตอร์เรสไม่ต้องถูกเปลี่ยนตัวออกบ่อยครั้ง และทำ 1 ประตูในเกมที่ชนะชัคตาร์โดเนตสค์ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 3-2 ในเดือนธันวาคม เชลซีได้ราฟาเอล เบนีเตซมาคุมทีมแทนดี มัตเตโอ ตอร์เรสเริ่มกลับมาทำประตูให้กับทีมในนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่ถล่มโนร์เชลลันด์ 6-1 ตอร์เรสยิง 2 ประตู 3 วันต่อมา เขายิงอีกสองประตูในนัดที่พบกับซันเดอร์แลนด์ สามารถปลดล็อกการยิงประตูไม่ได้ในลีกมาแล้ว 8 เกมได้ ทำอีกนัดละ1ประตูจาชิงแชมป์สโมสรโลกที่ชนะมอนเตร์เรย์ 3-1 แคพิทอลวันคัพกับลีดส์ยูไนเต็ด 5-1 และลีกกับแอสตันวิลลา 8-0 เอฟเอคัพกับเบรนด์ฟอร์ด 2-2 จากนั้นมาอีกหลายสัปดาห์ เขาประสบปัญหาในการยิงประตูคู่แข่งไม่ได้เลย จนปลายเดือนมีนาคม ตอร์เรสก็ยิงประตูได้อีกครั้งในยูโรป้าลีก 1 ประตู (สเตอัวร์บูคาเรสต์, บาเซิล) 3 ประตู (รูบินคาซัน) และ 1 ประตูในนัดชิงชนะเลิศกับไบฟีกา เชลซีคว้าแชมป์ไปครองและยังสามารถยิงประตูในลีกนัดสุดท้ายกับเอฟเวอร์ตัน 2-1 อีกด้วย
ตอร์เรสกลายเป็นนักเตะเชลซีคนแรกที่สามารถยิงประตูได้ถึง 7 รายการในฤดูกาลเดียว คือ พรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพ, ลีกคัพ, คัมมิวนิตีชีลด์, ยูฟ่าแชมป์เปียนส์ลีก, ยูฟ่ายูโรปาลีก และการชิงแชมป์สโมสรโลก
ในต้นฤดูกาล 2014-15 ตอร์เรสถูกวิจารณ์ว่าฟอร์มตกลงไป กอรปกับการย้ายเข้ามาเชลซีของดีเอโก คอสตา กองหน้าเพื่อนร่วมชาติจากอัตเลติโกเดมาดริด อันเป็นต้นสังกัดเก่าของตอร์เรสด้วย ทำให้ตอร์เรสต้องกลายเป็นตัวสำรอง ดังนั้นทางสโมสรจัดตัดสินให้เอซีมิลาน ทีมในเซเรียอา ของอิตาลี ยืมตัวตอร์เรสไปเป็นระยะเวลา 2 ปีด้วยกัน[6]
ในต้นปี ค.ศ. 2015 ตอร์เรสได้กลับคืนสู่อัตเลติโกเดมาดริด ในลาลิกา ของสเปนอีกครั้ง ซึ่งเป็นสโมสรดั้งเดิมของตัวเอง พร้อมกับสวมเสื้อหมายเลข 19 ด้วยสัญญายืมตัว 1 ปีครึ่ง โดยสัญญาจะสิ้นสุดลงเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2015-16 [3]
ตอร์เรสได้ลงเล่นในรายการโกปาเดลเรย์รอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่อัตเลติโกเดมาดริด พบกับ เรอัลมาดริด นัดที่ 2 ที่สนามซานเตียโก เบร์นาเบว โดยลงเล่นแทน มารีออ มันจูคิช และตอร์เรสก็ช่วยยิงประตูให้ทีมได้ถึง 2 ลูกในนาทีที่ 1 และนาทีที่ 46 เมื่อจบการแข่งขันเสมอกันไป 2-2 แต่ผลการแข่งขันโดยรวม เรอัลมาดริดแพ้ไป 2-4 [7]
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2544 ตอร์เรสชนะเลิศทัวร์นาเมนต์อัลการ์ฟกับทีมชาติสเปนชุดอายุไม่เกิน 16 ปี ในเดือนพฤษภาคม ที่มีได้ลงแข่ง ในฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี และชนะเลิศ โดยตอร์เรสยิงประตูชัยซึ่งเป็นประตูเดียวในนัดชิงชนะเลิศ[8] ตอร์เรสยิงประตูได้มากที่สุดในการแข่งขัน (7 ประตูใน 6 เกม) และได้รับเลือกให้เป็นนักกีฬายอดเยี่ยม
ในปี พ.ศ. 2546 ตอร์เรสได้ลงเล่นเป็นครั้งแรกให้กับทีมชาติสเปนในวันที่ 6 กันยายน ในการแข่งกระชับมิตรกับโปรตุเกส ตอร์เรสยิงประตูแรกให้ทีมชาติได้ในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2547 โดยแข่งกับอิตาลี เมื่อปิดฤดูกาล ตอร์เรสได้รับเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติสเปน เพื่อแข่งในฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรปปี 2547 ตอร์เรสได้ลงสนาม โดยการเปลี่ยนตัว ใน 2 เกมแรกในรอบแบ่งกลุ่มของสเปน แต่ได้ลงสนามเป็นตัวจริงในการแข่งนัดชี้ชะตากับโปรตุเกส ตอร์เรสยิงชนเสาในนาทีที่ 62 หลังจากนูโน โกเมส ยิงให้โปรตุเกสนำ ในนาทีที่ 57 สเปนแพ้ไป 1-0 และตกรอบ
ในการลงแข่งครั้งแรกในฟุตบอลโลกในปี พ.ศ. 2549 ในประเทศเยอรมนี ตอร์เรสยิงประตูสุดท้าย ในเกมที่ชนะยูเครน 4-0 ด้วยลูกวอลเลย์ ในนัดที่สองรอบแบ่งกลุ่ม ตอร์เรสยิง 2 ประตูในนัดเจอตูนิเซีย ประตูแรกในนาทีที่ 76 ทำให้สเปนนำ 2-1 และอีกลูกจากจุดโทษ ในนาทีที่ 90 ตอร์เรสไม่ได้ลงในนัดกระชับมิตรกับโรมาเนีย ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2549 แต่ได้ลงเล่นในนัดกระชับมิตรกับอังกฤษ ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 โดยสเปนชนะไป 1-0
ในฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป ปี 2551 รอบคัดเลือก ตอร์เรสยิงประตูแรกในนัดเจอกับลีชเทินชไตน์ ซึ่งสเปนชนะไป 4-0 ตอร์เรสยิงลูกเสียบมุมประตู จากระยะ 11 เมตร ตอร์เรสได้ลงเล่นในนัดเจอกับไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งสเปนแพ้ 3-2 สเปนได้แข่งกับสวีเดน และแพ้ไป 2-0 ในนัดนี้ ในนัดเจอเดนมาร์ก ตอร์เรสได้เปลี่ยนตัวลงมาเล่นในนาทีที่ 64 แต่ไม่สามารถยิงประตูได้ แต่สเปนก็ชนะไป 2-1 ตอร์เรสเป็นตัวสำรองอีกครั้ง แต่ได้เปลี่ยนตัวลงมาในนาทีที่ 43 แทนเฟร์นันโด โมเรียนเตส ตอร์เรสยิง 2 ครั้ง แต่ไม่ตรงกรอบทั้งสองครั้ง แต่สเปนยังชนะ 1-0 จากประตูของอีเนียสตาในนาทีที่ 80 ตอร์เรสไม่ได้ถูกเลือกในนัดที่สเปนชนะลัตเวีย 2-0 และนัดเจอลีชเทินชไตน์ 2-0 ตอร์เรสได้ลงเล่นในนัดเสมอ 1-1 กับไอซ์แลนด์ ชาบี อาลอนโซเพื่อนร่วมทีมลิเวอร์พูล โดนใบแดงไล่ออก ในนัดเจอลัตเวีย ตอร์เรสยิงได้ 1 ประตู สเปนได้เป็นที่ 1 ของกลุ่ม และตอร์เรสยิงให้สเปนได้ 2 ประตู
ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 ตอร์เรสยิงประตูได้ 3 ประตู ในเกมที่ชนะทีมชาติไอร์แลนด์ 4-0 สองลูก และในนัดชิงชนะเลิศที่สเปนชนะอิตาลี 4-0 อีกหนึ่งลูก คว้าดาวซัลโวร่วมกับคริสเตียโน โรนัลโด, มารีโอ โกเมซ, มารีโอ บาโลเตลลี, อลัน ดซาโกเอฟ และมารีออ มันจูคิช แต่ตอร์เรสได้รับรางวัลดาวซัลโวรองเท้าทองคำ เนื่องจากยิงได้ 3 ประตู จ่ายให้เพื่อนยิง 1 ลูกและลงเล่นในเวลาที่น้อยกว่า 5คนที่เป็นดาวซัลโวร่วม เขาจึงได้รับรางวัลดาวซัลโวพร้อมแชมป์ยูโร 2012 กับสเปนไปครอง โดยก่อนหน้าที่จะมาทำศึกฟุตบอลยูโร 2012 เขายิงได้ในเกมอุ่นเครื่องกับทีมชาติเกาหลีใต้ได้อีก 1 ลูก
ตอร์เรสสนิทกับเพื่อนร่วมทีมชาติสเปน เซร์คีโอ ราโมส ตอร์เรสคบหาอย่างเงียบ ๆ กับแฟนสาว โอลายา โดมิงเกซ ลิสเต (Olalla Domínguez Liste) ซึ่งเขารู้จักตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 โดยครอบครัวของตอร์เรสย้ายไปอยู่บ้านในถนนเดียวกับแฟนสาวในแคว้นกาลิเซีย[9] ตอร์เรสแต่งงานกับโอลายา ไปเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2552
ตอร์เรสแสดงมิวสิกวิดีโอ "Ya Nada Volvera a Ser Como Antes" ของเอลกันโตเดลโลโก วงดนตรีป็อปร็อกของสเปน
เขารับบทนักแสดงสมทบใน "Torrente 3" ซึ่งเป็นหนังตลกสเปน ในปี 2548 เขาแสดงเป็นตัวเองและหลบหลีกอันตราย โดยเตะลูกระเบิดมือ เหมือนกับเป็นลูกฟุตบอล
เขาสักชื่อ "Fernando" ที่ด้านในแขนซ้าย ด้วยอักษรเทงกวาร์ สักหมายเลข 9 ที่ด้านในแขนขวา และสักวันที่ 7-7-2001 เป็นตัวเลขโรมัน ที่ด้านในน่องขวา[10]
อัตเลติโกเดมาดริด
เชลซี
สเปน
เกียรติประวัติส่วนตัว
09
สโมสร | ฤดูกาล | พรีเมียร์ลีก | เอฟเอคัพ | ลีกคัพ | ยุโรป | รวม | |||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
นัด | ประตู | นัด | ประตู | นัด | ประตู | นัด | ประตู | นัด | ประตู | ||
เชลซี | 2011-13 | 36 | 8 | 5 | 2 | 4 | 2 | 16 | 9 | 61 | 21 |
2011-12 | 34 | 6 | 6 | 2 | 1 | 0 | 10 | 3 | 49 | 11 | |
2010-11 | 14 | 1 | 0 | 0 | 0 | 0 | 4 | 0 | 18 | 1 | |
รวม เชลซี | 75 | 14 | 10 | 4 | 5 | 2 | 26 | 9 | 104 | 25 | |
ลิเวอร์พูล | 2010-11 | 23 | 9 | 1 | 0 | 0 | 0 | 2 | 0 | 26 | 9 |
2009-10 | 22 | 18 | 2 | 0 | 0 | 0 | 8 | 4 | 32 | 22 | |
2008-09 | 24 | 14 | 3 | 1 | 2 | 0 | 9 | 2 | 38 | 17 | |
2007-08 | 33 | 24 | 1 | 0 | 1 | 3 | 11 | 6 | 46 | 33 | |
รวม ลิเวอร์พูล | 102 | 65 | 7 | 1 | 3 | 3 | 30 | 12 | 142 | 81 | |
สโมสร | ฤดูกาล | ลาลิกา | โกปาเดลเรย์ | - | ยุโรป | รวม | |||||
นัด | ประตู | นัด | ประตู | นัด | ประตู | นัด | ประตู | นัด | ประตู | ||
อัตเลติโกเดมาดริด | 2006-07 | 36 | 14 | 4 | 5 | - | - | - | - | 40 | 19 |
2005-06 | 36 | 13 | 4 | 0 | - | - | - | - | 40 | 13 | |
2004-05 | 38 | 16 | 6 | 2 | - | - | 5 | 2 | 49 | 20 | |
2003-04 | 35 | 19 | 5 | 2 | - | - | - | - | 40 | 21 | |
2002-03 | 29 | 13 | 2 | 1 | - | - | - | - | 31 | 14 | |
(ดิวิชัน 2 สเปน) | 2001-02 | 36 | 6 | 1 | 1 | - | - | - | - | 37 | 7 |
2000-01 | 4 | 1 | 2 | 0 | - | - | - | - | 6 | 1 | |
รวม อัตเลติโกเดมาดริด | 214 | 82 | 24 | 7 | 0 | 0 | 5 | 2 | 243 | 91 | |
รวม | 391 | 161 | 41 | 12 | 8 | 5 | 61 | 23 | 501 | 201 | |
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.