Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
โรคไตเรื้อรัง (อังกฤษ: chronic kidney disease ตัวย่อ CKD) เป็นโรคไตชนิดหนึ่งที่การทำงานของไตจะค่อย ๆ เสียไปโดยใช้เวลาเป็นเดือน ๆ หรือปี ๆ[2][5] ในช่วงแรกมักไม่มีอาการ ต่อมาจึงจะเกิดอาการต่าง ๆ รวมทั้งขาบวม เหนื่อย อาเจียน เบื่ออาหาร และสับสน[2] ภาวะแทรกซ้อนอาจเกิดจากการทำงานผิดปกติทางฮอร์โมนของไตรวมทั้ง (ตามลำดับเวลา) ความดันโลหิตสูง (มักเกี่ยวกับการทำงานของระบบ renin-angiotensin system) ภาวะกระดูกผิดเพี้ยนเหตุไต (renal osteodystrophy) และภาวะเลือดจาง[3][4][11] อนึ่ง คนไข้จะเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนจากโรคระบบหัวใจและหลอดเลือดยิ่งขึ้นอย่างสำคัญ โดยทั้งเสี่ยงตายและเข้าโรงพยาบาลยิ่งขึ้น[12]
โรคไตเรื้อรัง (Chronic kidney disease) | |
---|---|
ชื่ออื่น | Chronic renal disease, ไตล้มเหลว (kidney failure), ไตทำงานบกพร่อง (impaired kidney function)[1] |
ไตของคนไข้โรคไตเรื้อรัง | |
สาขาวิชา | วักกวิทยา |
อาการ | ระยะแรก: ไม่มีอาการ[2] ระยหลัง: ขาบวม เหนื่อย อาเจียน เบื่ออาหาร สับสน[2] |
ภาวะแทรกซ้อน | โรคหัวใจ ความดันสูง ภาวะเลือดจาง[3][4] |
ระยะดำเนินโรค | เรื้อรัง[5] |
สาเหตุ | เบาหวาน, ความดันสูง, โรคหลอดเลือดฝอยไตอักเสบ, โรคถุงน้ำในไต[5][6] |
ปัจจัยเสี่ยง | กรรมพันธุ์, มีฐานะทางสังคมเศรษฐกิจที่ไม่ดี[7] |
วิธีวินิจฉัย | การตรวจเลือด การตรวจปัสสาวะ[8] |
การรักษา | การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ให้ยารักษาระดับความดันเลือด ระดับน้ำตาล และลดระดับไขมัน การบำบัดทดแทนไต การปลูกถ่ายไต[9][10] |
ความชุก | (ทั่วโลก) 753 ล้าน (2016)[1] |
การเสียชีวิต | (ทั่วโลก) 1.2 ล้าน (2015)[6] |
เหตุเกิดมีหลายอย่าง ที่สำคัญได่แก่โรคเบาหวาน ความดันสูง โรคหลอดเลือดฝอยไตอักเสบ (glomerulonephritis) และโรคถุงน้ำในไต (polycystic kidney disease)[5][6] ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญรวมการมีคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคไตเรื้อรัง[2] การวินิจฉัยจะทำด้วยการตรวจเลือดเพื่อประมาณอัตราการกรองเลือดของไต (อังกฤษ: estimated glomerular filtration rate ตัวย่อ eGFR) และการตรวจหาอัลบูมินในปัสสาวะ[8] บางครั้งอาจต้องตรวจอัลตราซาวด์หรือตรวจชิ้นเนื้อไตเพื่อหาเหตุเกิดโรค[5] มีระบบจัดความรุนแรงของโรคหลายระบบ[13][14]
ทางการแพทย์แนะนำให้ผู้มีความเสี่ยงเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคไตโดยไม่ต้องรอให้มีอาการ[8] การรักษาในระยะแรกเริ่มอาจเป็นการให้ยาลดความดัน ลดน้ำตาลในเลือด และลดไขมัน[10] มักจะใช้สารยับยั้งเอซีอี (ACEIs) หรือแองกิโอเทนซินรีเซพเตอร์บล๊อคเกอร์ (ARBs) เป็นยาลดความดันกลุ่มแรก เพราะสามารถช่วยชะลอโรคไตและลดความเสี่ยงโรคหัวใจหลอดเลือด[15] หากมีอาการบวมน้ำหรือยังควบคุมความดันเลือดไม่ได้อาจต้องใช้ยาขับปัสสาวะชนิดออกฤทธิ์ที่ลูป (loop diuretic)[16][10][17] ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตอรอยด์ (NSAIDs)[10] มีคำแนะนำอื่น ๆ รวมทั้งมีกิจกรรมทางกายที่กระฉับกระเฉงอยู่เสมอ ปรับเปลี่ยนอาหาร เช่นให้ทานเกลือน้อยและได้โปรตีนให้พอดี[10][18] การรักษาภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะเลือดจางและโรคกระดูกก็อาจจำเป็นด้วย[19][20] กรณีรุนแรงอาจต้องบำบัดทดแทนไตรวมทั้งฟอกไต หรือล้างไตทางช่องท้อง หรือปลูกถ่ายไตเพื่อรักษาชีวิต[9]
ในปี 2016 ทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคนี้ 753 ล้านคน เป็นชาย 336 ล้านคนและหญิง 417 ล้านคน[1][21] ในปี 2015 มีคนเสียชีวิตจากโรค 1.2 ล้านคน เพิ่มจาก 409,000 คนในปี 1990[6][22] โรคที่พบว่าร่วมทำให้เสียชีวิตมากสุดคือ ความดันสูง 550,000 คน ตามด้วยเบาหวาน 418,000 คน และไตอักเสบ 238,000 คน[6]
สำหรับประเทศไทย ข้อมูลของสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยปี พ.ศ. 2552 แสดงว่า ประชากรไทยมีอัตราการป่วยโรคไตเรื้อรังระยะ 1-5 อยู่ที่ร้อยละ 17.5 โดยความชุกของโรคเพิ่มสูงขึ้นตามอายุ พบมากที่สุดในเขตกรุงเทพและปริมณฑล[23]
โรคไตเรื้อรัง หมายถึง ภาวะที่ไตทำงานผิดปกติอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่า 3 เดือน สาเหตุอาจมาจากความเสียหายของโครงสร้างหรือหน้าที่การทำงานของไตโดยตรง หรืออาจเกิดจากค่าอัตราการกรองของไต (GFR) ต่ำลงก็ได้[23]
สรุปก็คือ โรคไตเรื้อรังเกิดจากความผิดปกติของไตที่ส่งผลต่อหน้าที่การทำงาน, ค่า GFR ต่ำลง หรือทั้งสองอย่างร่วมกัน
ในเบื้องต้นโรคนี้จะไม่มีอาการ ปกติจะพบเมื่อตรวจเลือดทั่วไปเพราะระดับคริเอทีนินเพิ่มขึ้นในเลือด หรือพบโปรตีนในปัสสาวะ (proteinuria) เมื่อไตทำงานแย่ลง อาการไม่สบายก็จะเพิ่มขึ้น รวมทั้ง[24]
จนถึงปี 2015 เหตุเกิดโรคไตเรื้อรังที่สามัญที่สุดก็คือ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดฝอยไตอักเสบ[44] ผู้ใหญ่ที่มีความดันสูง 1/5 และที่เป็นเบาหวาน 1/3 จะมีโรคไตเรื้อรัง ถ้าไม่รู้เหตุ โรคก็จะเรียกว่า idiopathic (ไม่รู้เหตุ)[45]
กรณีคนไข้โรคไตเรื้อรังใหม่ ๆ จำนวนมากและยังอธิบายไม่ได้ ซึ่งเรียกในเบื้องต้นว่า โรคไตมีโซอเมริกา พบในเกษตรกรชายในอเมริกากลาง โดยหลักในไร่อ้อยในพื้นที่ลุ่มของประเทศเอลซัลวาดอร์และนิการากัว เชื่อว่า ภาวะร้อนเกินเนื่องกับการทำงานเป็นเวลานานโดยได้รายได้ตามจำนวนลำอ้อยที่ตัดได้ในที่ที่อุณหภูมิเฉลี่ยสูง[47][48][49][50] ประมาณ 36 องศาเซลเซียส เป็นเหตุ[51] หรือไม่ก็เป็นเพราะสารเคมีทางเกษตรกรรม[52]
การวินิจฉัยของโรคจะขึ้นอยู่กับประวัติคนไข้ การตรวจของแพทย์ การตรวจปัสสาวะ บวกกับการวัดค่าคริเอทีนินในเลือด การแยกแยะโรคไตเรื้อรัง (CKD) กับไตเสียหายเฉียบพลัน (AKI) เป็นเรื่องสำคัญเพราะอย่างหลังสามารถหายดีได้ อาการที่ช่วยแยกโรคจากกันก็คือคริเอทีนินที่เพิ่มขึ้นในเลือดอย่างค่อยเป็นค่อยไป (เป็นเดือน ๆ หรือปี ๆ) ไม่ใช่เพิ่มขึ้นอย่างทันทีทันใด (เป็นวัน ๆ หรือสัปดาห์ ๆ) สำหรับคนไข้โรคไตเรื้อรังเป็นจำนวนมาก การมีโรคไตมาก่อนหรือมีโรคอื่น ๆ ที่เป็นเหตุมาก่อนจะปรากฏอยู่แล้ว แต่ก็มีคนไข้จำนวนสำคัญที่ไม่รู้สาเหตุโรค[ต้องการอ้างอิง]
ไม่แนะนำให้ตรวจคัดกรองผู้ที่ไม่มีอาการและไม่มีปัจจัยเสี่ยงโรคไตเรื้อรัง[53][54] ผู้ที่ควรตรวจคัดกรองรวมทั้งผู้มีความดันสูง ผู้มีประวัติโรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้เป็นโรคเบาหวาน ผู้เป็นโรคอ้วน ผู้มีอายุเกินกว่า 60 ปี ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคไต ผู้ที่มีญาติเป็นโรคไตจนถึงต้องฟอกไต[ต้องการอ้างอิง] การตรวจคัดกรองควรรวมการประมาณค่า GFR คือ eGFR จากระดับคริเอทีนินในเลือด การวัดอัตรา albumin/creatinine (ACR) จากปัสสาวะที่ถ่ายเป็นครั้งแรกในตอนเช้า (ซึ่งแสดงค่าโปรตีนอัลบูมินในปัสสาวะ) และการใช้แผ่นวัดหาเลือดในปัสสาวะ[55]
ค่า GFR ที่ได้จากค่าคริเอทีนินในเลือดจะแปรไปตาม 1/creatinine ซึ่งก็คือ ค่าคริเอทีนินยิ่งสูงเท่าไหร่ ค่า GFR ก็ต่ำลงเท่านั้น เป็นค่าแสดงการทำงานของไตด้านหนึ่ง คือแสดงว่ากลอเมอรูไลที่ทำหน้าที่กรองเลือดทำงานได้ดีแค่ไหน ค่าปกติจะอยู่ระหว่าง 90-120 ml/min โดยจะใช้หน่วยไม่เหมือนกันในประเทศต่าง ๆ กลอเมอรูไลมีมวลน้อยกว่าร้อยละ 5 ของไต ดังนั้นจึงไม่สามารถเป็นตัวแสดงสุขภาพหรือการทำหน้าที่ของไตได้หมดทุกส่วน ซึ่งจะทำได้ก็ต่อเมื่อรวมค่า GFR กับการตรวจคนไข้ทางคลินิก กับการตรวจสถานะของเหลว การวัดระดับฮีโมโกลบิน โพแทสเซียม ฟอสเฟต และพาราไทรอยด์ฮอร์โมน[ต้องการอ้างอิง]
การใช้อัลตราซาวด์ตรวจไตอาจมีประโยชน์เพื่อวินิจฉัยและพยากรณ์โรคไตเรื้อรัง ไม่ว่าความผิดปกติทางพยาธิวิทยาจะเป็นเพราะกลอเมอรูไลแข็ง (glomerular sclerosis) ท่อไตฝ่อ (tubular atrophy) ช่องไตเป็นพังผืด (interstitial fibrosis) หรือไตอักเสบ เพราะผลก็คือไตส่วนนอกจะสะท้อนเสียงได้ดียิ่งขึ้น เสียงที่สะท้อนจากไตควรเทียบกับเสียงที่สะท้อนจากตับหรือจากม้าม (รูป 22 และ 23) อนึ่ง ขนาดไตที่ลงและไตส่วนนอกที่บางลงก็มักจะเห็นด้วย โดยเฉพาะเมื่อโรคแย่ลง (รูป 24 และ 25) แต่ขนาดไตมีสหสัมพันธ์กับความสูง เช่นคนเตี้ยก็จะมีไตเล็ก ดังนั้น ขนาดไตเพียงอย่างเดียวจึงไม่ใช่เกณฑ์ที่แน่นอน[56]
วิธีการตรวจอื่นรวมทั้งการสร้างภาพไตด้วยไอโซโทปกัมมันตรังสี (MAG3 scan) เพื่อดูการเดินของเลือด และดูการทำงานต่างกันระหว่างไตทั้งสอง การสร้างภาพไตด้วย dimercaptosuccinic acid (DMSA) ก็มีใช้ด้วยเหมือนกัน โดยทั้ง MAG3 และ DMSA จะใช้เป็นตัวเกาะ (แบบคีเลชัน) กับสารกัมมันตรังสี technetium-99[57]
เกณฑ์เหล่านี้[23] ใช้ร่วมกันกับค่า GFR ในตารางที่กล่าวต่อไปข้างหน้า
ระยะของโรคไตเรื้อรัง - CKD G1-5 A1-3 glomerular filtration rate (GFR) และ albumin/creatinine ratio (ACR) | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|
ACR | ||||||
A1 | A2 | A3 | ||||
ปกติจนสูงขึ้นเล็กน้อย | สูงพอสมควร | สูงมาก | ||||
<30 | 30-300 | >300 | ||||
G F R | ||||||
G1 | ปกติ | ≥ 90 | 1 ถ้าไตเสียหาย | 1 | 2 | |
G2 | แย่ลงเล็กน้อย | 60-89 | 1 ถ้าไตเสียหาย | 1 | 2 | |
G3a | แย่ลงเล็กน้อยจนถึงปานกลาง | 45-59 | 1 | 2 | 3 | |
G3b | แย่ลงปานกลางจนถึงมาก | 30-44 | 2 | 3 | 3 | |
G4 | แย่ลงมาก | 15-29 | 3 | 4+ | 4+ | |
G5 | ไตวาย | <15 | 4+ | 4+ | 4+ | |
เลข 1-4 แสดงโอกาสเสี่ยงโรคแย่ลงและจำนวนครั้งที่ต้องให้แพทย์ตรวจต่อปี จาก Kidney Disease Improving Global Outcomes - KDIGO 2012 Clinical Practice Guideline for the Evaluation and Management of Chronic Kidney Disease[58] |
อัตราการกรองของไต (glomerular filtration rate, GFR) ที่ ≥ 60 mL/min/1.73 m2 ถือว่าปกติคือไม่มีโรคไตเรื้อรังโดยไตต้องไม่เสียหาย ไตจัดว่าเสียหายถ้ามีความปกติที่พบในเลือด ปัสสาวะ หรือภาพสร้าง เช่น ค่าวัต albumin/creatinine ratio (ACR) ≥ 30[59] แต่ทุกคนที่มี GFR <60 mL/min/1.73 m2 เป็นเวลา 3 เดือนก็จัดว่ามีโรคไตเรื้อรัง[59] การมีโปรตีนในปัสสาวะเป็นตัวบ่งชี้อิสระว่า ไตทำงานได้แย่ลงและโรคระบบหัวใจหลอดเลือดกำลังแย่ลง ดังนั้น แนวทางปฏิบัติของบริติชจะให้เขียนอักษร "P" ต่อท้ายเลขระยะโรคไตถ้ามีการเสียโปรตีนอย่างสำคัญ[60]
คำว่า "non-dialysis-dependent chronic kidney disease" (NDD-CKD) หมายถึงสภาวะโรคที่ได้วินิจฉัยว่าเป็นโรคไตเรื้อรังแล้ว แต่ยังไม่ต้องรักษาภาวะไตวายเพื่อพยุงชีวิต เป็นการรักษาที่เรียกว่าการบำบัดทดแทนไต (RRT) ซึ่งรวมการฟอกไตและการปลูกถ่ายไต คนไข้โรคไตเรื้อรังที่จำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีเช่นนี้จัดว่าเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย (end-stage kidney disease ตัวย่อ ESKD) ดังนั้น โรคไตระยะสุดท้ายจึงเป็นโรคไตเรื้อรังที่คืนสภาพเดิมไม่ได้ แม้คนไข้ระยะ 1-4 จะจัดว่าเป็น NDD-CKD แต่คนไข้ระยะ 5 ที่ยังไม่ได้เริ่มฟอกไตหรือเปลี่ยนไต ก็ยังจัดว่าเป็น NDD-CKD เช่นกัน
โรคไตเรื้อรังเป็นโรคหนักที่มักจะสัมพันธ์กับโรคเบาหวานและความดันเลือดสูง เป็นโรคที่รักษาให้หายไม่ได้ แต่การเปลี่ยนวิถีชีวิตและการกินยาสามารถช่วยชะลอโรค ซึ่งอาจรวมการทานอาหารที่มีผักผลไม้มาก มีโปรตีนและเกลือน้อยลง ทานยาเพื่อคุมความดันเลือดและระดับน้ำตาล และทานยาใหม่ ๆ ที่ช่วยลดการอักเสบของไต แพทย์อาจรักษาเพื่อจำกัดความเสี่ยงโรคหัวใจ ป้องกันการติดเชื้อ และป้องกันไม่ให้ไตเสียหายยิ่งขึ้น แม้การฟอกไตอาจจะจำเป็นในที่สุด แต่การชะลอโรคก็จะช่วยให้ใช้ไตได้นานที่สุด มีงานวิจัยอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยให้รักษาโรคได้ดีขึ้นและให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น[61]
แนะนำให้ใช้สารยับยั้งเอซีอี (ACEIs) หรือแองกิโอเทนซินรีเซพเตอร์บล๊อคเกอร์ (ARBs) เป็นยารักษาอันดับแรกเพราะพบว่าชะลอการแย่ลงของไตเมื่อเทียบกับคนไข้ที่ไม่ได้ยาเหล่านี้[15] ยังพบว่าลดความเสี่ยงปัญหาโรคหัวใจและเลือดหลัก ๆ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน ภาวะหัวใจวาย และความตายจากโรคหัวใจหลอดเลือดเมื่อเทียบกับคนไข้ที่กินยาหลอก[15] ACEIs อาจจะดีกว่า ARBs ในการป้องกันไม่ให้โรคแย่ลงไปจนถึงไตวายแล้วตายโดยเหตุทุกอย่างสำหรับคนไข้โรคไตเรื้อรัง[15] การโหมรักษาความดันเลือดจะลดความเสี่ยงตายของคนไข้[62]
โรคอ้วนอาจมีผลลบต่อโรคไตเรื้อรัง คือเพิ่มความเสี่ยงที่โรคจะแย่ลงจนเป็นโรคไตระยะสุดท้ายหรือจนไตวาย เทียบกับกลุ่มควบคุมที่มีน้ำหนักปกติ[70] และในระยะสุดท้าย ๆ ก็จะตกอยู่ในเกณฑ์ไม่ให้รักษาโดยเปลี่ยนไต[71] ตัวอย่างเช่น การบริโภคเครื่องดื่มที่มีแคลอรีสูงและมีฟรักโทสมากอาจทำให้บุคคล "มีโอกาสมีโรคไตเรื้อรังมากกว่าคนทั่วไปในอัตราร้อยละ 60"[72][73]
มีงานศึกษาการลดน้ำหนักในผู้ใหญ่ที่น้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนและมีโรคไตเรื้อรังในระยะต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยและประสิทธิผล การปริทัศน์เป็นระบบปี 2021[74] เก็บหลักฐานมาจากการศึกษา 17 งานซึ่งตรวจสอบวิถีชีวิตรวมทั้งอาหาร การออกกำลังกาย และพฤติกรรมอื่น ๆ ที่ทำต่างหาก ๆ หรือทำร่วมกับวิธีอื่น ๆ แล้วสรุปว่า การเปลี่ยนวิถีชีวิตอาจมีประโยชน์ทางสุขภาพ รวมทั้งมีน้ำหนักที่ดีขึ้น ลดไขมันไม่ดีคือไลโพโปรตีนหนาแน่นต่ำ (LDL) ลดความดันโลหิต (DBP) เมื่อเทียบกับวิธีการรักษาปกติหรือเทียบกับกลุ่มควบคุม แต่จะช่วยลดเหตุการณ์ทางหลอดเลือดและหัวใจ ช่วยรักษาการทำงานของไต หรือว่าช่วยลดความเสี่ยงตายหรือไม่ก็ยังไม่ชัดเจน อย่างไรก็ดี ข้อสรุปเหล่านี้ก็อาศัยหลักฐานคุณภาพต่ำมาก ดังนั้น การศึกษาที่ดีกว่านี้ในอนาคตจึงจำเป็น
การกินอาหารที่มีเกลือสูงอาจเพิ่มความเสี่ยงโรคความดันสูงและโรคหลอดเลือดและหัวใจ งานทบทวนแบบคอเคลนปี 2021 ได้ทบทวนงานศึกษามีกลุ่มควบคุมสำหรับคนไข้โรคไตเรื้อรังทุกระยะรวมทั้งคนที่กำลังฟอกไต แล้วพบหลักฐานที่แน่นอนสูงว่า การลดเกลือจะช่วยลดความดันเลือดทัั้งช่วง systolic และ diastolic และการมีอัลบูมินในปัสสาวะ[75] แต่ก็มีหลักฐานแน่นอนปานกลางด้วยว่า บางคนอาจเกิดอาการความดันต่ำ เช่นเวียนหัว หลังจากจำกัดเกลืออย่างฉับพลัน ส่วนผลการจำกัดเกลือต่อน้ำนอกเซลล์ การบวมน้ำ และการลดน้ำหนักตัวยังไม่ชัดเจน[75]
คนไข้โรคไตเรื้อรังที่ต้องฟอกไตมีความเสี่ยงเส้นเลือดอุดตันเพราะเลือดแข็งตัว ดังนั้น อาจทำให้ฟอกไตไม่ได้ กรดไขมันโอเมกา-3 อาจช่วยให้ร่างกายผลิตโมเลกุล eicosanoid ซึ่งจะลดการแข็งตัวของเลือด แต่งานทบทวนแบบคอเครนปี 2018 ก็ไม่พบหลักฐานที่ชัดเจนว่าการกินกรดไขมันโอเมกา-3 เป็นอาหารเสริมจริง ๆ จะช่วยป้องกันเส้นเลือดไม่ให้อุดตันสำหรับคนไข้โรคไตเรื้อรัง[76] มีหลักฐานที่แน่นอนระดับปานกลางว่า การกินเป็นอาหารเสริมไม่ได้ช่วยป้องกันการเข้าโรงพยาบาลหรือการตายภายใน 12 เดือน[76]
มีหลักฐานแน่นอนปานกลางว่า การกินอาหารเป็นโปรตีนเป็นประจำอาจเพิ่มระดับอัลบูมินในเลือดเล็กน้อยสำหรับคนไข้โรคไตเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องฟอกไต หรือว่าผู้ที่ขาดอาหาร[77] ระดับ transthyretin (หรือ prealbumin) และขนาดกล้ามเนื้อกลางต้นแขนอาจเพิ่มหลังจากได้อาหารเสริมแต่ความแน่นอนของหลักฐานก็ต่ำ[77] แม้ตัวบ่งชี้สถานะทางอาหารเหล่านี้ดูเหมือนจะดีขึ้น แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าอาหารเสริมเป็นโปรตีนมีผลต่อคุณภาพชีวิต ต่อการคาดหมายคงชีพ การอักเสบ หรือองค์ประกอบร่างกายหรือไม่[77]
งานทบทวนแบบคอเครนที่ตรวจสอบงานศึกษามีกลุ่มควบคุมซึ่งเปรียบเทียบการให้ธาตุเหล็กผ่านเส้นเลือดกับการให้กินธาตุเหล็กเสริม พบหลักฐานที่แน่นอนน้อยว่า คนไข้ที่ได้ธาตุเหล็กผ่านเส้นเลือดมีโอกาสมีฮีโมโกลบินถึงระดับที่เป็นเป้าหมาย 1.71 เท่ายิ่งกว่า[78] ฮีโมโกลบินโดยทั่วไปจะมีระดับ 0.71g/dl สูงกว่าคนไข้ที่กินธาตุเหล็ก เหล็กที่เก็บไว้ในตับซึ่งประเมินโดยระดับเฟอร์ริตินในเลือดก็มีค่า 224.84 µg/L สูงกว่าด้วย[78] แต่ก็มีหลักฐานที่แน่นอนน้อยเหมือนกันว่า ปฏิกิริยาแพ้มีโอกาสเกิดมากกว่าเมื่อให้ธาตุเหล็กทางเลือด ไม่ชัดเจนว่าวิธีการให้ธาตุเหล็กมีผลต่อความเสี่ยงตายจากเหตุทุกอย่างรวมทั้งเหตุการณ์ทางหัวใจและหลอดเลือดหรือไม่ และก็ไม่ชัดเจนด้วยว่าจะลดจำนวนคนไข้ที่ต้องถ่ายเลือดหรือต้องฟอกไตได้หรือไม่[78]
คนไข้โรคไตเรื้อรังจะมีปัญหาการนอน ไม่สามารถนอนหลับได้ดี[79] มีวิธีหลายอย่างที่อาจจะช่วยเช่นเทคนิคการผ่อนคลาย การออกกำลังกาย การฝังเข็ม และยา[79]
ปัจจุบันยังมีหลักฐานค่อนข้างจำกัดซึ่งแสดงว่าการรักษาทาง eHealth คือการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตในการติดต่อ ติดตาม และรักษาคนไข้ อาจช่วยเรื่องจำกัดการกินเกลือ และการบริหารการบวมน้ำสำหรับคนไข้โรคไตเรื้อรัง[80] แต่ก็เป็นหลักฐานที่แน่นอนต่ำจากงานศึกษา 43 งาน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีงานศึกษาที่ใหญ่กว่าและมีคุณภาพดีกว่า เพื่อให้เข้าใจผลของการรักษาทาง eHealth ต่อคนไข้โรคไตเรื้อรัง[80]
แนวทางปฏิบัติในการส่งคนไข้ต่อไปหาแพทย์วักกวิทยาจะไม่เหมือนกันในประเทศต่าง ๆ แต่โดยมากก็เห็นเหมือนกันว่า จะต้องทำสำหรับคนไข้ระยะ 4 คือเมื่อ eGFR/1.73m2 < 30 mL/min หรือเมื่อลดลงยิ่งกว่า 3 mL/min/year[81]
แต่นี่ก็อาจจะมีประโยชน์สำหรับคนไข้ระยะก่อนหน้านี้ด้วย (เช่น ระยะ 3) เมื่ออัตราอัลบูมินต่อคริเอทีนินเกิน 30 mg/mmol หรือเมื่อควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ หรือเมื่อมีโลหิตในปัสสาวะ หรือมีอาการอื่น ๆ ที่ชี้ว่าเป็นโรคกลอเมอรูไลแบบปฐมภูมิ หรือเป็นโรคทุติยภูมิที่อาจจะรักษาได้โดยวิธีโดยเฉพาะ ประโยชน์อื่น ๆ ของการส่งต่อคนไข้ให้กับแพทย์วักกวิทยารวมทั้งการได้ข้อมูลอย่างละเอียดในเรื่องการฟอกไต/ปลูกถ่ายไต
เมื่อถึงระยะที่ 5 คนไข้ปกติจะต้องได้การบำบัดทดแทนไต (RRT) ไม่ว่าจะเป็นการฟอกไตหรือการปลูกถ่ายไต
เมื่อมีโรคไตเรื้อรัง สารพิษต่าง ๆ ที่ปกติไตจะนำออกก็จะสะสมอยู่ในเลือด แม้เมื่อคนไข้ระยะสุดท้ายจะได้การฟอกไต แต่ระดับสารพิษก็จะไม่กลับสู่ค่าปกติเพราะการฟอกไตไม่มีประสิทธิภาพพอ และเช่นเดียวกัน แม้หลังจากการปลูกถ่ายไต ระดับพิษก็อาจจะไม่กลับไปสู่ค่าปกติเพราะไตที่ปลูกถ่ายอาจจะทำงานได้ไม่เต็มร้อย แต่ถ้าเมื่อทำได้ ระดับคริเอทีนินก็มักจะปกติ สารพิษจะมีฤทธิ์เป็นพิษต่าง ๆ ต่อเซลล์ ปรากฏในเลือดโดยมีมวลโมเลกุลต่าง ๆ กัน บางอย่างจะจับอยู่กับโปรตีนอื่น ๆ โดยหลักกับอัลบูมิน สารพิษเพราะไตเสื่อมสามารถจัดเป็นหมวด 3 หมวดคือ สารละลายน้ำขนาดเล็ก สารละลายน้ำขนาดกลาง และสารละลายที่จับอยู่กับโปรตีน[82]
การชำระเลือดผ่านเยื่อแบบ high-flux หรือการรักษาที่ใช้เวลานานหรือทำบ่อย ๆ และการเพิ่มอัตราการไหลระหว่างเลือดกับสารฟอก (dialysate) ได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการกำจัดสารพิษละลายน้ำที่มีขนาดเล็ก สารพิษขนาดกลางจะกำจัดได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าถ้าใช้เยื่อ high-flux และใช้วิธี hemodiafiltration และ hemofiltration แต่การฟอกไตก็ยังมีความจำกัดในการกำจัดสารพิษที่จับอยู่กับโปรตีน[83]
โรคไตเรื้อรังจะเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยคนไข้ยังมักจะมีความเสี่ยงอื่น ๆ เกี่ยวกับโรคหัวใจอีกด้วยเช่น ภาวะสารไขมันสูงในเลือด เหตุความตายที่สามัญที่สุดในคนไข้โรคไตเรื้อรังก็คือโรคหัวใจและหลอดเลือด ไม่ใช่ไตวาย
การมีโรคไตเรื้อรังมีผลเป็นอัตราตายเนื่องกับเหตุทุกอย่างที่แย่กว่า ซึ่งจะแย่ลงเรื่อย ๆ เมื่อไตทำงานได้น้อยลง[84] เหตุตายที่สำคัญที่สุดก็คือโรคหัวใจและหลอดเลือด ไม่ว่าคนไข้จะแย่ลงจนถึงระยะ 5 หรือไม่[84][85][86]
แม้การบำบัดทดแทนไตอาจจะช่วยรักษาให้มีชีวิตอยู่ได้นาน แต่คุณภาพชีวิตก็จะแย่ลง[87][88] การปลูกถ่ายไตจะเพิ่มโอกาสรอดชีวิตสำหรับคนไข้ระยะ 5 เมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ[89][90] แต่ก็เพิ่มโอกาสการตายในระยะสั้นเพราะผลข้างเคียงของการผ่าตัด นอกเหนือจากการปลูกถ่ายไต การฟอกไตที่บ้าน (high-intensity) ดูจะสัมพันธ์กับการรอดชีวิตที่ดีขึ้นและกับคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า เมื่อเทียบกับการชำระเลือดผ่านเยื่อ 3 ครั้งต่ออาทิตย์และการชำระเลือดผ่านเยื่อบุช่องท้อง[91]
คนไข้ระยะสุดท้ายจะเสี่ยงมะเร็งเพิ่มขึ้น[92] โดยความเสี่ยงจะสูงมากสำหรับคนที่อายุน้อย ความเสี่ยงจะค่อย ๆ น้อยลง ตามอายุ[92] องค์กรทางแพทย์เฉพาะทางแนะนำว่า แพทย์ไม่ควรตรวจคัดกรองมะเร็งสำหรับคนไข้ที่มีความคาดหมายคงชีพน้อยเหตุโรคไตเรื้อรัง เพราะหลักฐานชี้ว่าไม่ได้ทำให้ผลลัพธ์ดีขึ้น[93][94]
ในเด็กโรคไตเรื้อรัง การไม่โตเป็นผลข้างเคียงสามัญ คนไข้เด็กจะสูงน้อยกว่าเด็กอายุเดียวกันและเพศเดียวกันร้อยละ 97 อื่น ซึ่งอาจรักษาได้ด้วยการให้อาหารเสริม หรือยาเช่น Growth hormone[95]
งานทบทวนปี 2022 ได้ตรวจสอบการรอดชีวิตและคุณภาพชีวิตของคนไข้ที่ตัดสินใจไม่ฟอกไตเมื่อเป็นโรคระยะสุดท้าย เป็นงานศึกษาตามยาว (หรืองานศึกษาตามแผน) 41 งาน โดยรวมคนไข้ 5,102 คน อายุเฉลี่ยของคนไข้ต่องานอยู่ที่ 60-70 ปี eGFR เฉลี่ยเมื่อตัดสินใจไม่ฟอกไตต่องานอยู่ที่ระหว่าง 7-19 ml/min/1.73 m2
การรอดชีวิตมัธยฐานต่องานอยู่ที่
การรอดชีวิตนานที่สุดต่องานจากงานศึกษา 3 งานที่มีค่ามัธยฐานสูงสุดอยู่ที่ 82, 79 และ 75 เดือน
ในช่วง 8-24 เดือน คนไข้จะมีความสุขทางจิตใจที่ดีขึ้น ส่วนความอยู่เป็นสุขทางกายและคุณภาพชีวิตโดยทั่วไปจะสม่ำเสมอจนกระทั่งถึงระยะสุดท้ายของโรค
นักวิจัยผู้ทบทวนจึงได้สรุปว่า "ผลที่เราค้นพบได้ท้าทายแนวคิดผิด ๆ ที่สามัญว่า ทางเลือกอื่นเดียวจากการฟอกไตสำหรับคนไข้โรคไตเรื้อรังระยะท้าย ๆ ก็คือ ไม่ดูแลหรือว่าตาย"[96][97]
งานทบทวนปี 2021 ได้วิเคราะห์งานศึกษา 25 งานที่ได้เปรียบเทียบระยะการรอดชีวิตกับคุณภาพชีวิตในบรรดาคนไข้ที่ฟอกไตและไม่ฟอก การรอดชีวิตทั่วไปจะนานกว่าเมื่อฟอกไต แต่เมื่อถึงอายุ 80 ปีขึ้นและในคนไข้อายุมากผู้มีโรคที่เกิดร่วมกัน (comorbidities) ผลเช่นนี้จะไม่แน่นอน สำหรับคุณภาพชีวิต มีแนวโน้มว่าคนไข้ที่ไม่ฟอกไตจะดีกว่า[98]
โรคไตเรื้อรัง (CKD) ได้กลายเป็นภัยคุกคามสุขภาพประชาชนทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ส่งผลให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร และอาจลุกลามสู่ภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย (ESRD) ซึ่งต้องรักษาด้วยการฟอกไตหรือปลูกถ่ายไต[23]
การศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่า อัตราการเกิดและผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 13 ของประชากรในปี 2004 โดยความชุกของโรคไตเรื้อรังในระยะเริ่มต้นนั้น พบได้มากกว่าระยะที่เป็นโรคมากถึง 100 เท่า[23]
สำหรับประเทศไทย ข้อมูลของสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยปี พ.ศ. 2552 ที่ศึกษากลุ่มอาสาสมัครอายุ 18 ปีขึ้นไปจำนวน 3,459 คนจากอำเภอ 20 อำเภอในจังหวัด 10 จังหวัดโดยอาศัยการคำนวณอัตราการกรองของไตจากสมการ MDRD แสดงว่า ประชากรไทยมีอัตราการป่วยโรคไตเรื้อรังระยะ 1-5 อยู่ที่ร้อยละ 17.5 โดยความชุกของโรคเพิ่มสูงขึ้นตามอายุ พบมากที่สุดในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และที่น่ากังวลคือ คนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตนเองป่วยเป็นโรคไตเรื้อรัง[23]
โรคไตเรื้อรังเป็นเหตุการเสียชีวิต 956,000 รายทั่วโลกในปี 2013 โดยเพิ่มขึ้นจาก 409,000 รายในปี 1990[22]
โรคไตเรื้อรังบางกรณีจะไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งจะระบุว่าเป็น chronic kidney disease of unknown aetiology (CKDu) เมื่อประเมินในปี 2020 ความชุกได้เพิ่มขึ้นอย่างน่าแปลกใจในไม่กี่ทศวรรษในเขตต่าง ๆ ของอเมริกากลางและเม็กซิโก เป็น CKDu ที่เรียกว่า Mesoamerican nephropathy (MeN) ในปี 2013 ประเมินว่ามีชาย 20,000 คนที่ได้เสียชีวิตก่อนวัย บางคนอยู่ในช่วงวัย 20 หรือ 30 เท่านั้น ต่อมาในปี 2020 ประเมินว่ามีชาย 40,000 คนที่ได้เสียชีวิต ในเขตที่มีอุบัติการณ์นี้ การเสียชีวิตเพราะโรคไตเรื้อรังอาจมากเป็น 5 เท่าของอัตราทั่วประเทศ โดยมากเกิดกับเกษตรกรไร่อ้อย[48] แม่จะยังไม่รู้เหตุ แต่ในปี 2020 นักวิชาการก็ได้พบความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างการทำงานหนักในเขตที่ร้อนมากกับอุบัติการณ์โรคไตเรื้อรังอันไม่ทราบสาเหตุ ดังนั้น การกินน้ำบ่อย ๆ การพักผ่อนและการได้ร่มเงา ก็อาจจะลดอุบัติการณ์โรคเช่นนี้ได้[99] CKDu ยังมีผลต่อชาวศรีลังกาโดยเป็นเหตุให้เสียชีวิตในโรงพยาบาลมากที่สุดเป็นอันดับ 8[100]
คนแอฟริกา คนเชื้อสายสเปน (Hispanic) คนเอเชียใต้ โดยเฉพาะจากปากีสถาน ศรีลังกา บังกลาเทศ และอินเดีย มีความเสี่ยงเกิดโรคไตเรื้อรังสูง คนแอฟริกาเสี่ยงเพราะผู้เป็นโรคความดันสูงมีอัตราสูงมาก ยกตัวอย่างในสหรัฐเช่น คนเชื้อสายแอฟริกาที่เป็นโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายร้อยละ 37 มีเหตุจากความดันสูงเทียบกับร้อยละ 19 ในบรรดาคนผิวขาว[7] ประสิทธิภาพในการรักษาก็ยังต่างกันระหว่างเชื้อชาติต่าง ๆ อีกด้วย ในบรรดาคนขาว การให้ยาแก้ความดันปกติจะป้องกันไม่ให้โรคแย่ลง แต่มักจะมีผลน้อยในการชะลอโรคไตในบรรดาคนดำ ซึ่งมักจะต้องรักษาเพิ่มเช่น โดยใช้ bicarbonate therapy[7] แม้สถานะทางสังคมเศรษฐกิจจะมีผลต่อการเกิดโรค แต่ความต่างการเกิดโรคระหว่างคนดำกับคนขาวเมื่อควบคุมปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ แล้วก็ยังชัดเจนอยู่ดี[7]
แม้การเกิด CKDu จะได้บันทึกเป็นการเป็นงานในชาวเกษตรกรไร่อ้อยในประเทศคอสตาริกาในช่วงทศวรรษ 1970 แต่จริง ๆ ก็อาจจะมีผลต่อเกษตรกรเมื่อเริ่มปลูกอ้อยในเขตแคริบเบียนมาตั้งแต่ทศวรรษ 1600 แล้ว ในช่วงล่าอาณานิคม บันทึกการเสียชีวิตของทาสชาวไร่อ้อยมีอัตราสูงกว่าทาสที่ทำงานอื่น ๆ[99]
อัตราการเกิดโรคไตเรื้อรังของสุนัขอยู่ที่ 15.8 กรณีต่อ 10,000 ตัว-ปี อัตราการตายอยู่ที่ 9.7 กรณีต่อ 10,000 ตัว-ปี (อัตราได้มาจากข้อมูลประกันสุนัขประเทศสวีเดน 600,000 ตัว อัตราความเสี่ยงที่ 1 ตัว-ปี ก็คือ สุุนัขตัวหนึ่งจะมีโอกาสเสี่ยงเป็นเวลาหนึ่งปี) พันธุ์ที่มีอัตราเสี่ยงสูงสุดคือ Bernese mountain dog, miniature schnauzer และบ็อกเซอร์ พันธุ์ที่มีอัตราเสี่ยงน้อยสุดคือ Swedish Elkhound, ไซบีเรียนฮัสกี และ Finnish spitz[101][102]
แมวที่มีโรคไตเรื้อรังอาจจะสะสมสารพิษที่ปกติไตจะกำจัด แมวอาจจะดูเหมือนเซื่องซึม สกปรก ผอม และอาจมีความดันสูง อาจจะทำให้ปัสสาวะผิดปกติ ทำให้แมวปัสสาวะมากกว่าปกติ จึงต้องกินน้ำเพิ่ม การเสียโปรตีนและวิตามินที่สำคัญทางปัสสาวะ อาจทำให้เมแทบอลิซึมผิดปกติและไม่อยากอาหาร การสะสมกรดในเลือดอาจจะมีผลเป็นภาวะกรดเกิน แล้วเกิดภาวะเลือดจาง (ซึ่งอาจจะทำให้เหงือกปรากฏเป็นสีชมพูหรือขาว ๆ แต่การมีเหงือกสีปกติก็ไม่ใช่ว่า จะไม่มีภาวะเลือดจาง) และความเซื่องซึม[103]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.