Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
แก๊กต์ คามุอิ (ชื่อในวงการ Gackt Camui) (ญี่ปุ่น: 神威楽斗; โรมาจิ: Kamui Gakuto) เป็นนักร้อง เจ-ร็อก ชื่อดังของประเทศญี่ปุ่น อดีตนักร้องนำวง วิชวล เคย์ (Visual Kei) Malice Mizer ซึ่งแยกตัวออกมาเป็นศิลปินเดี่ยวในปี พ.ศ. 2542 และประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยเขายังเป็นคนแต่งเพลงของตัวเองอีกด้วย โดยมีซิงเกิลยอดนิยมคือ Mizérable, Vanilla, Lu:na และอื่นๆอีกมากมาย
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
บทความนี้อาจต้องเขียนใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพของวิกิพีเดีย หรือกำลังดำเนินการอยู่ คุณช่วยเราได้ หน้าอภิปรายอาจมีข้อเสนอแนะ |
แก๊กต์ (Gackt) | |
---|---|
แก๊กต์ ในปี 2017 | |
ข้อมูลพื้นฐาน | |
เกิด | 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2516 |
ที่เกิด | จังหวัดโอกินาวะ ประเทศญี่ปุ่น |
แนวเพลง | เจ-ร็อก,เจ-ป็อป |
อาชีพ | นักร้อง,นักดนตรี,นักแต่งเพลง,นักแสดง,โปรดิวเซอร์ นายแบบ,ดีไซเนอร์,นักพากย์,นักเขียน |
เครื่องดนตรี | เปียโน,ทรัมเป็ต,กีตาร์,เบส,ไวโอลิน,กลอง ชามิเซ็ง,บิวะ,ดนตรีออเครสตร้า |
ช่วงปี | พ.ศ. 2536 - ปัจจุบัน |
ค่ายเพลง | Nippon Crown AVEX G-Pro |
เว็บไซต์ | Gackt.com |
กากุโตะ คามุอิ เกิดที่จังหวัดโอกินาวะ ประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2516 ในเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของเขาบอกเพียงแต่วันและเดือนที่เกิด อย่างไรก็ตาม ใน DVD The Sixth Day & Seventh Night (ดูเพิ่มที่ [1] ได้โชว์ป้ายหลุมศพที่ใช้ในการแสดงสดซึ่งได้สลักข้อความว่า "Gackt 1973~2007" ซึ่งก็บอกความเป็นนัยๆได้ว่าแก๊กต์เกิดในปี ค.ศ. 1973 หรือ พ.ศ. 2516 นั่นเอง ครอบครัวของเขาประกอบด้วย พี่สาว แม่ซึ่งมักบังคับให้เขาเรียนเปียโนทั้งๆ ที่เขาเกลียดมันมากที่สุด และพ่อเป็นนักดนตรี แจ๊ส ที่เล่น ทรัมเป็ต ความสัมพันธ์ระหว่างแก๊กต์และพ่อของเขาไม่ดีนัก พวกเขามักต่อยตีกันเป็นประจำ และแก๊กต์มักจะแพ้พ่ออยู่เสมอ เพราะฉะนั้นในสมัยแก๊กต์ยังเด็ก เขามักจะมองพ่อของตนเป็นคู่แข่งคนสำคัญที่ต้องข้ามผ่านไปให้ได้
แก๊กต์เป็นเด็กไม่อยู่นิ่งและชอบที่จะเสี่ยงอันตราย นอกจากนี้เขายังเป็นเด็กที่มีความคิดแปลกประหลาด และลึกซึ้งเกินเด็กธรรมดาทั่วๆ ไป (เห็นได้จากที่แก๊กต์เคยเขียนไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติ [2] ของตัวเองว่า เขาเคยฝันอยากเป็นผู้ก่อการร้าย และวิธีการเอาตัวรอดจากการถูกขังลืมอยู่ในโรงพยาบาลเนื่องจากอาการที่แพทย์ลงความเห็นว่า "เขาป่วย" ซึ่งจะกล่าวในโอกาสต่อไป)
เขาเคยจมน้ำที่ชายฝั่ง โอกินาวะ เมื่อได้อายุ 7 ปี จากประสบการณ์เฉียดตายในครั้งนั้น ทำให้แก๊กต์กลายเป็นคนที่หลงใหลในกลิ่นอายของความตาย ดังนั้นเขาจึงมักทำในสิ่งที่เสี่ยงอันตรายเพื่อที่ได้เข้าใกล้ความเต้นตื่นเร้าใจในช่วงเวลาที่ใกล้ตายอยู่บ่อยครั้ง แต่สุดท้ายขณะที่นึกว่าตัวเองกำลังจะตาย เขาก็มักรู้สึกหวาดกลัวอย่างสุดขีดและถอยหลังกลับมาเองทุกครั้ง นอกจากนี้เหตการณ์ครั้งนั้นยังทำให้เขาได้รับความสารถพิเศษกลับมาด้วย ความสามารถนั้นคือการสามารถในการมองเห็นและพูดคุยกับสิ่งที่คนทั่วไปเรียกว่า วิญญาณ ได้ ซึ่งนั้นก็รวมถึงสมาชิกในครอบครัวที่เสียชีวิตไปแล้ว ในตอนแรกคนในครอบครัวก็คิดว่าเขาคงแกล้งทำเพื่อเรียกร้องความสนใจจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร
ทว่า ... ต่อมาสายตาของคนรอบข้างก็มักจะมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ ราวกับว่าเขาเป็นตัวประหลาด แม้แต่สายตาของคนในครอบครัวที่มอง แก๊กต์ก็ยังแฝงความหวาดกลัวต่อท่าทางของเขาอยู่เงียบๆ ซึ่งนั้นทำให้เขารู้สึกอึดอัดและกดดันอย่างมากกับการปฏิบัติที่เย็นชา และเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนในครอบครัว
แก๊กต์ไม่ได้รับการพิสูจน์จากสถาบันเพื่อยืนยันเรื่องที่เขามี สัมผัสที่หก ซึ่งขัดแย้งกับความเชื่อของคนทั่ว ๆ ไป เมื่อเขาอายุได้ 10 ปี เขาก็ล้มป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ เขาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเป็นเวลานานในแผนกกุมารเวชสำหรับเด็กที่เจ็บป่วยอย่างรุนแรงมันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตช่วงหนึ่งของเขาเลยทีเดียว
นอกจากจะต้องอยู่อย่างว้าเหว่ไร้การสนใจจากทางบ้านแล้ว เพื่อนที่เขาสนิทด้วยทุกคนมักจะเสียชีวิตหลังจากได้รู้จักกับเขาเพียงไม่นาน แม้ว่าทุกคนจะจากไปด้วยอาการป่วยระยะสุดท้ายอย่างไม่หลีกเลี่ยง แต่ด้วยวัยเพียง 10 ขวบ เขาจึงเข้าใจว่าตัวเองเป็นเด็กถูกสาป ทุกคนที่เข้ามาคุยด้วยจะต้องตายหมด ดังนั้นเขาจึงเริ่มกลายเป็นเด็กเก็บตัวและไม่คบหากับใครอีก และกลายเป็นคนที่ไม่สมดุลทางด้านจิตใจและเก็บกดในเวลาต่อมา
วันหนึ่งเมื่อความอดทนต่อสภาพภายในคุกซึ่งไร้ทางหนีที่มีแต่ความสิ้นหวังเท่านั้นที่รอคอยเขาอยู่นั้นได้ขาดสะบั้นลง ทำให้ แก๊กต์ไม่อาจจะทนทานความรู้สึกเหล่านั้นได้อีกต่อไป เขาจึงเริ่มมองหาทางที่จะได้ออกจากที่นี่ สุดท้ายเขาก็ค้นพบมัน และวิธีนั้นก็คือ 'การเลียนแบบ' เพื่อที่จะได้เป็น 'คนปกติ' เขาจึงเลียนแบบความ 'ปกติ' จากคุณหมอเจ้าของไข้ซึ่งมาตรวจอาการเขาทุกเช้า ทำซ้ำๆ กันอยู่อย่างนั้นถึงหนึ่งสัปดาห์ ในที่สุดคุณหมอเจ้าของไข้ก็ลงความเห็นว่าเขา 'ปกติ' แล้วส่งตัวเขากลับบ้าน ในบ่ายวันนั้นเอง (เนื้อหาที่กล่าวมาข้างต้นถูกเขียนอยู่ในหนังสือจิฮาคุ [2] ที่แก๊กต์เป็นผู้เขียน)
เนื่องจากเติบโตในครอบครัวนักดนตรี ดังนั้นเมื่อแก๊กต์อายุได้ 3 ปี พ่อแม่ของเขาจึงบังคับให้เรียน เปียโนคลาสสิก เพื่อที่จะได้กลายเป็นนักดนตรีเช่นเดียวกับพ่อในอนาคต โดยส่วนตัวแล้วเขาไม่ได้สนใจเปียโนเป็นพิเศษเลย เขาชอบออกไปเล่นกลางแจ้งเหมือนกันเด็กคนอื่นๆ มากกว่า แต่เพราะครูที่สอนเขาในตอนเริ่มเรียนนั้นเป็นคนตลก ทำให้เขาคิดว่าเขาอาจจะชอบมันก็ได้
ตอนอายุ 7 ปี เขาถูกส่งไปเรียนในโรงเรียนสอนเปียโน ซึ่งในบทเรียนในโรงเรียนนั้นเข้มงวดมาก ไม่เหมือนตอนที่เรียนกับครูคนแรกเลยสักนิด ในตอนนั้นเองที่เขาเริ่มเกลียดมัน และวิธีการต่อต้านของเขาก็คือการทำตัวเป็นเด็กเกเร คอยหาเรื่องแกล้งครูที่สอนทุกวิถีทาง เพื่อให้ครูบอกกับที่บ้านว่าตัวเขาเป็นเด็กเหลือขอเกินกว่าจะมาเรียนเปียโนได้ สุดท้ายความพยายามของเขาก็ประสบผล ในตอนเขาอายุ 12 ปี เขาได้เลิกเรียนมันแล้วกลับไปเรียนในโรงเรียนภาคปกติในที่สุด
เหตุการณ์หนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขากลับมาเล่นเปียโนอีกครั้งคือเพื่อนสมัยตัวเขาอาย 14 เพื่อนคนนั้นอยู่ในครอบครัวนักดนตรีเช่นเดียวกัน (เป็นครูสอนเปียโน) ทว่าฐานะดีกว่ามากวันหนึ่งระหว่างที่โดดเรียนไปเที่ยวบ้านของเด็กคนนั้นเขาได้ตระหนักเป็นครั้งแรกว่าว่าเพื่อนคนนั้นเล่นเปียโนได้เก่งกว่าเขามากเพียงใด
ผลที่ได้ก็คือเขากลับไปซ้อมเปียโนที่เลิกลามานานอย่างบ้าคลั่ง วันทั้งวันเขานั่งอยู่หน้าเปียโนเพื่อซ้อมเล่นเพลงจากหนังสือที่ซื้อมา โดยไม่กิน ไม่นอน ในเวลานั้นเขาลืมเลือนทุกอย่างแม้แต่เวลาผ่านไปนานท่าไหร่เขาก็ไม่อาจรับรู้ได้ ไม่มีสิ่งใดมาทำลายความตั้งใจของเขาได้ แม้กระทั่งเสียงอ้อนว้อนด้วยความเป็นห่วงจากผู้เป็นแม่ก็ตาม สิ่งที่เขารู้มีเพียงว่าตัวเองไม่อยากแพ้เพื่อนคนนั้น ความพ่ายแพ้เป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้ที่สุด
หลังจากวันนั้นสิ่งที่ทำให้เขาสนใจดนตรีแนวร๊อคเริ่มจากพบรุ่นพี่คนหนึ่งซ้อมกลองอยู่เพียงลำพัง วินาทีนั้นเองที่ทำให้เขารู้สึกว่าการเป็นมือกลองเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆๆ ดังนั้นต่อจากเปียโนเขาจึงเริ่มศึกษาการตีกลองด้วยวิธีของตัวเขาเอง [2]
แก๊กต์เป็นศิลปินที่มีผลงานมากมายในหลายสาขา จึงมีชื่อเล่นและฉายาที่ได้รับการตั้งจากคนหลายกลุ่ม อาทิ...
รายชื่อสัตว์เลี้ยงทั้งหมดของแก๊กต์ เรียงตามลำดับในการเลี้ยง
แก๊กต์เริ่มการเป็นนักดนตรีอาชีพจากการเป็นมือกลองของวง CAINS:FEEL จุดเริ่มต้นของการเป็นนักร้องของเขาก็อยู่ที่นั้นด้วย เมื่อวันหนึ่ง "ยู" ซึ่งเป็นมือกีต้าร์ (ต่อมาได้กลายเป็นมือกีต้าร์ของ Gackt JOB) [4] ได้ชักชวนให้เขาร้องเพลง หลังจากนั้นเขาเริ่มเรียนร้องเพลง และในภายหลังสมาชิกส่วนใหญ่ของ CAINS:FEEL ก็ได้มาเป็นเล่นดนตรีเป็นแบ๊คอัพให้แก๊กต์หรือที่เรียกกันว่า Gackt JOB
แก๊กต์ได้เจอกับ มาน่า ซึ่งก็ได้ชวนเขาเข้าวงวิชวล เคย์ ที่มีชื่อว่า Malice Mizer ในปี พ.ศ. 2538 โดยแก๊กทำหน้าที่ร้องนำและเล่นเปียโน ในช่วงที่เขาอยู่ Malice Mizer แก๊กต์ทำการปิดบังชื่อจริง อายุ และที่อยู่ทั้งหมด เพื่อให้เข้ากับประวัติของสมาชิกในวงคนอื่นๆ โดยการแต่งกายของวงในช่วงนี้จะออกแนวขุนนาง ฝรั่งเศส เน้นที่สีสันที่ฉูดฉาด และให้อารมณ์โกธิก [5][6]
แก๊กต์เปิดตัวครั้งแรกในอัลบั้ม Voyage~sans retour ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้กับวงอย่างรวดเร็ว[5] และใน พ.ศ. 2540 ทางวงได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงใหญ่อย่าง Nippon Columbia [7] หลังจากนั้นทางวงก็มีผลงานอย่างมากมายทั้งซิงเกิล และภาพยนตร์สั้นอย่าง Bel Air ~Kuuhaku no Shunkan no Naka De~ de L'Image ในปี พ.ศ. 2541 ทางวงได้ปล่อยอัลบั้มที่สามที่ชื่อว่า Merveilles ภายใต้สังกัด Nippon Columbia และในช่วงนี้ทางวงยังมีรายการวิทยุเป็นของตัวเองอีกด้วย[5] หลังจากซิงเกิล Le Ciel แก๊กต์ก็ออกจากวงในปี พ.ศ. 2542 ทางวงได้หยุดเพื่อหานักร้องนำคนใหม่ ส่วนแก๊กต์หายหน้าไปจากวงการถึง 8 เดือน
สาเหตุการออกจากวงของเขาไม่มีใครทราบแน่ชัด โดยทางวงออกมากล่าวว่าความคิดเห็นทางแนวเพลงไม่เหมือนกัน แต่ตัวแก๊กต์เองกลับบอกว่าอันที่จริงตัวเขานั้นอยากอยู่ต่อ แต่ทางวงได้เชิญเขาออกเอง[2]
หลังจากแก็กต์ออกจาก Malice Mizer เค้าก็เริ่มงานศิลปินเดี่ยวในปี พ.ศ. 2542 โดยมีวงแบ็กอัพคือ "Gackt JOB" ซึ่งประกอบไปด้วย
ยู (ไวโอลิน/กีตาร์) , ชาช่ามารุ (ลีดกีตาร์) , มาสะ (กีตาร์) , เร็น (เบส) , โทชิ (กลอง) , โยช (แด๊ซเซอร์) , และอิกาโอะ (คีย์บอร์ด) ภายหลังสมทบด้วย ริว และ จู-เคน และแก๊กต์ยังได้ตั้ง เดียร์ส (Dears) เป็นชื่อทางการของแฟนคลับเค้าอีกด้วย โดยเขาประสบความสำเร็จอย่างงดงามในฐานะศิลปินเดี่ยว[8] ด้วยคาแรกเตอร์ที่เป็นคนเงียบๆ ลึกลับปนตลกของเขา ทำให้เขามีแฟนคลับมากมายแม้กระทั่งต่างประเทศ เขาจึงก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินแนวหน้าของญี่ปุ่นอย่างรวดเร็ว[8]
แก๊กต์เริ่มต้นงานเดี่ยวครั้งแรกด้วยการปล่อยมินิอัลบั้ม "Mizerable"[9] ออกมา ซึ่งแนวเพลงยังคงมีกลิ่นอาย โกธิก และ คลาสสิก ร็อก[ต้องการอ้างอิง] เหมือนเมื่อสมัยเขาอยู่ Malice Mizer โดยภายในอัลบั้มได้บรรจุเพลง Story ซึ่งภายหลังได้นำมาอัดใหม่ และเปลี่ยนชื่อเป็น Saikai ~Story~[9] ซึงกลายเป็นซิงเกิลในปี พ.ศ. 2543 นอกจากนี้ในอัลบั้มนี้ยังสามารถขึ้นไปถึงอันดับสองใน Oricon Chart ได้สำเร็จอีกด้วย[10]
ในปี พ.ศ. 2543 แก๊กต์ได้ปล่อยอัลบั้มเต็มชุดแรก "MARS"[9] ออกมา โดยภายในอัลบั้มได้บรรจุเพลง U+K ซึ่งแก๊กต์แต่งเพลงนี้เพื่อระลึกถึง คามิ[11] มือกลองวง Malice Mizer เพื่อนสนิทของเขาที่เสียชีวิตไปเมื่อปี พ.ศ. 2542 นอกจากนี้อัลบั้มนี้ยังบรรจุเพลงยอดฮิตอย่าง Vanilla ซิงเกิลที่สองเข้าไปอีกด้วย นอกจากนี้แก๊กยังมีผลงานอย่างต่อเนื่อง และออกอัลบั้มต่อมา "Rebirth"[9] ในปี พ.ศ. 2544 แนวเพลงของแก๊กต์ก็เปลี่ยนไปกลายเป็น เจ-ป็อป[ต้องการอ้างอิง] แต่ยังคงไม่ทิ้งความเป็นร็อกของตนออกไป
ในปี พ.ศ. 2545 แก๊กต์ได้ปล่อยอัลบั้ม "Moon"[9] โดยตัวอัลบั้มไม่ได้บรรจุบุ๊กเล็ทมาด้วย มีเพียงแค่ข้อความสั้นที่ให้ผู้ซื้อใช้ "ความรู้สึก" ในการเดาเรื่องราวของอัลบั้ม[ต้องการอ้างอิง] ตัวอัลบั้มยังบรรจุเพลงยอดฮิตอย่าง ANOTHER WORLD และตัวอัลบั้มยังสามารถขึ้นไปถึงอันดับสองใน Oricon Chart อีกด้วย[10]
ในปี พ.ศ. 2546 อัลบั้มเต็มชุดที่สี่ "Crescent"[9] ก็วางขาย ซึ่งชื่อของอัลบั้มนี้หมายถึง "ดวงจันทร์ครึ่งซีก" ซึ่งแก๊กต์จงใจที่จะทำให้อัลบั้มนี้มีความ "เกี่ยวโยง" กับอัลบั้ม Moon[ต้องการอ้างอิง] โดยตัวอัลบั้มได้แถมบุ๊กเล็ทของอัลบั้ม Moon มาด้วย นอกจากนี้ในอัลบั้มนี้ยังบรรจุเพลง "Orenji no Taiyou" (オレンジの太陽) ซึ่งเป็นเพลงประกอบหนังเรื่อง Moonchild ซึ่งได้ ไฮด์ นักร้องนำจากวง L'Arc~en~Ciel มาร่วมร้องอีกด้วย
ในปี พ.ศ. 2547 แก๊กต์ได้ปล่อยอัลบั้ม "The Sixth Day: Single Collection"[9] และ "The Seventh Night: Unplugged"[9] ซึ่งเป็นอัลบั้ม Compilations โดย The Sixth Day เป็นการรวมซิงเกิลยอดฮิตของแก๊กเข้าไว้ด้วยกัน ส่วน The Seventh Night เป็นการนำเพลงยอดฮิตในอัลบั้มเก่ามารีมิกซ์กลายเป็นเพลงแนว อาคูสติก ทั้งหมด
ต่อมาในปี พ.ศ. 2548 แก๊กต์ปล่อยอัลบั้มเต็มชุดที่ห้า "Love Letter"[9] ออกมาโดยเพลงในอัลบั้มนี้เป็นเพลงแนวอาคูสติกทั้งหมด นอกจากนี้แก๊กต์ยังได้ปล่อยอัลบั้มพิเศษ "Love Letter - For Korean Dears" โดยการนำเพลง 7 เพลงจากอัลบั้ม Love Letter มาร้องใหม่เป็นภาษาเกาหลีเพื่อแฟนชาวเกาหลีโดยเฉพาะ[12] โดยตัวอัลบั้มวางขายในปีเดียวกัน ปลายปี พ.ศ. 2548 แก๊กต์ได้ออกอัลบั้มเต็มชุดที่หก Diabolos[9] โดยตัวเพลงได้กลับมาเป็นสไตล์ ป็อป/ร็อก อีกครั้ง[ต้องการอ้างอิง]
ใน วันคริสต์มาส พ.ศ. 2548 แก๊กต์ได้มีโอกาสขึ้นโตเกียวโดมเป็นครั้งแรกในคอนเสิร์ตที่ใช้ชื่อว่า Diabolos Tour หลังจากนั้นเขาก็หายหน้าไปในปี พ.ศ. 2549 ก่อนที่จะกลับมาอีกครั้งในปี พ.ศ. 2550 [13]
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 แก๊กต์ปล่อยซิงเกิล"No ni Saku Hana no yō ni" 「野に咲く花のように」[9] ซึ่งตัวเพลงเกี่ยวกับการจบการศึกษาของเหล่านักเรียนมัธยมปลาย ซึ่งเขาได้ไอเดียนี้มาจากนักเรียนมัธยมปลายคนนึงที่เขียนจดหมายมาหาเขา เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาธรรมชาติ และขอร้องให้แก๊กต์ช่วยให้คำแนะนำ และขอให้เขามาในงานจบการศึกษาของเขาอีกด้วย[ต้องการอ้างอิง] แก็กต์จึงไปปรากฏตัวแบบเซอร์ไพรส์ที่นั้นและทำการร้องเพลงนี้เป็นครั้งแรก[14]
แก๊กต์ได้ปล่อยซิงเกิลและอัลบั้มยอดฮิตอีกมากมายเช่น ANOTHER WORLD ในปี พ.ศ. 2544 ,君が追いかけた夢 [Kimi ga oikaketa yume] ในปี พ.ศ. 2546 ,君に逢いたくて [Kimi ni aitakute] ในปี พ.ศ. 2547 และ Metamorphoze~メタモルフォーゼ~ ในปี พ.ศ. 2548 โดยทุกเพลงสามารถขึ้นไปถึงอันดับสองของ Oricon Chart ได้สำเร็จ[10]
วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2550 แก๊กต์ได้วางแผงซิงเกิลใหม่ที่ชื่อว่า"Returner~Yami no Shuuen~" 「Returner~闇の終焉~」[15][9] และสามารถขึ้นอับดับหนึ่งใน Oricon Chart เป็นครั้งแรกได้สำเร็จ [10]
วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2550 แก๊กต์จะวางแผงอัลบั้มใหม่ที่ชื่อว่า "0079-0088" เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อ โทมิโนะ โยชิยูกิ บิดาแห่งการตูนเรื่อง "Kidou Senshi Gundam" โดยอัลบั้มนี้จะบรรจุเพลงทั้งหมด8เพลง ซึ่งเพลงทั้งหมดเป็นเพลงจากการตูนเรื่อง "Kidou Senshi Gundam" โดย5เพลงแรกเป็นเพลงที่แก๊กต์ได้แต่งไว้ให้การตูนที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อปี พ.ศ. 2548 และ 2549 คือ "Kidou Senshi Z Gundam" ทั้งสามภาค และอีกสามเพลงจะเป็นเพลงของกันดั้มภาคต่างๆที่แก๊กต์นำมาร้องใหม่ทั้งหมด ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่แก๊กตืได้นำเพลงของคนอื่นมาร้องใหม่อีกด้วย[16]
ในวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ในงาน J rock festival แก๊กต์มีโปรเจทต์ยักษ์ที่ชื่อว่า "S.K.I.N." ซึ่งนำทีมโดย โยชิกิ จาก X Japan และ สึกิโซะ จากวง Luna Sea และสมาชิกคนที่ 4 คือ มิยาบิ จากวง Dué le quartz ซึ่งประกาศเข้าวงอย่างเป็นทางการแล้ว โดยทั้ง 4 จะเริ่มการแสดงครั้งแรกที่งาน Anime Expo convention ใน ลอง บีช,แคลิฟอร์เนีย ใน 29 มิถุนายน 2007[17]
แก๊กต์เริ่มผลงานโซโล่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 ปัจจุบันมีซิงเกิลทั้งหมด 28 ซิงเกิล อัลบั้มทั้งหมด 11 อัลบั้ม โดยเป็นสตูดิโออัลบั้ม 7 อัลบั้ม มินิอัลบั้ม 1 อัลบั้ม อัลบั้มรีมิกซ์ 2 อัลบั้ม และอัลบั้มรวมเพลง 1 อัลบั้ม
ลำดับ | ปก | ชื่ออัลบั้ม | ชนิด | วันที่วางจำหน่าย/เปิดตัว | ค่าย | หมายเหตุ |
---|---|---|---|---|---|---|
1 | Mizerable์ | มินิอัลบั้ม | 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1999 | Nippon Crown | เป็นมินิอัลบั้ม หลังออกจากวง Malice Mizer บรรจุทั้งหมด 4 เพลง | |
2 | MARS | สตูดิโออัลบั้ม | 26 เมษายน ค.ศ. 2000 | Nippon Crown | เป็นอัลบั้มเปิดตัวอย่างเป็นทางการ | |
3 | Rebirth | สตูดิโออัลบั้ม | 25 เมษายน ค.ศ. 2001 | Nippon Crown | - | |
4 | MOON | สตูดิโออัลบั้ม | 19 มิถุนายน ค.ศ. 2002 | Nippon Crown | - | |
5 | Crescent | สตูดิโออัลบั้ม | 3 กันยายน ค.ศ. 2003 | Nippon Crown | บรรจุเพลง オレンジの太陽" (Orenji no Taiyou) ที่ได้ ไฮด์ จาก L'Arc~en~Ciel มาร่วมร้อง | |
6 | The Sixth Day: Single Collection | อัลบั้มรวมเพลง | 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 | Nippon Crown | เป็นการรวมซิงเกิลยอดฮิตเข้าด้วยกัน และทำการอัดเพลง Mizérable ใหม่ทั้งหมด | |
7 | The Seventh Night: Unplugged | อัลบั้มรีมิกซ์ | 26 พฤษภาคม ค.ศ. 2004 | Nippon Crown | เป็นการรวมเพลงโปรดของแก็กต์ไว้ทั้งหมด และทำการอาคูสติกเพลงใหม่ทุกเพลง | |
8 | Love Letter | สตูดิโออัลบั้ม | 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2005 | Nippon Crown | - | |
9 | Love Letter - For Korean Dears | อัลบั้มรีมิกซ์ | 16 มิถุนายน ค.ศ. 2005 | Nippon Crown | นำ 7 เพลงจากอัลบั้มหลักมาร้องใหม่เป็นภาษาเกาหลี | |
10 | DIABOLOS | สตูดิโออัลบั้ม | 21 กันยายน ค.ศ. 2005 | Nippon Crown| | ||
11 | 0079-0088 | สตูดิโออัลบั้ม | 19 ธันวาคม ค.ศ. 2007 | Nippon Crown | อัลบั้มที่นำเพลงที่เกี่ยวกับ กันดั้ม มาร้องใหม่ |
แก๊กต์มีงานโฆษณาเข้ามาอย่างมากมาย โดยแก๊กต์ได้แสดงหนังครั้งแรกในเรื่อง bel air ซึ่งเป็นผลงานสมัยที่เขายังอยู่วง Malice Mizer และต่อมาเขายังได้แสดงเป็นตัวเองในหนังเรื่อง Hero's hero[18][19] และเขายังได้แสดงหนังเรื่อง Moon Child[20][19] ร่วมกับ ไฮด์ นักร้องนำวง L'Arc~en~Ciel และนักร้องไต้หวันอย่าง หวังลี่หง อีกด้วย
ในปี พ.ศ. 2550 แก๊กต์มีผลงานละครเรื่อง"ฟูริน คะซัง" (Fūrin Kazan) ทางช่อง NHK โดยรับบทเป็น "อุเอสึงิ เคนชิน"[21] และได้รับผลตอบรับอย่างล้นหลาม ทำให้มีกิจกรรมที่เกี่ยวกับ อุเอสึงิ เคนชิน มากมาย
ในปี พ.ศ. 2552 แก๊กต์จะมีผลงานหนัง ฮอลลีวู้ด เป็นครั้งแรกในเรื่อง "Bunraku" ซึ่งเขาได้รับบทเป็น Yoshi เพื่อนซามูไรของตัวเอกซึ่งแสดงโดย จอช ฮารเน๊ต [22] และล่าสุดมีผลงานซีรีส์ มาสค์ไรเดอร์ดีเคด ในภาคเดอะมูฟวี่ All Rider VS Dai Shocker โดยรับบทเป็น ยูกิ โจจิ นักวิทยาศาสตร์ของ ไดช็อกเกอร์ หรือ ไรเดอร์แมน นั่นเอง พร้อมๆกับซิงเกิลเพลงในเรื่อง Journey Through the Decade และ The Next Decade
หลังจากที่แก๊กต์กลายมาเป็นศิลปินเดี่ยว เค้าได้รับงานโฆษณาต่างๆมากมาย
Doomsday (2002) Vanilla (2003) Saikai ~Story~ (2005) Love Letter (2006)
แก๊กต์ได้เขียนนิยายออกมาหนึ่งเล่มคือ Moonchild: Requiem (ซึ่งต่อมาก็ถูกสร้างเป็หนังดังที่กล่าวข้างบน) [23] และหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเองที่ชื่อว่า Jihaku[2]
แก๊กต์ไปเป็นนายแบบให้สินค้าดังๆมากมาย และยังออกแบบงานให้กับ h-DARTS[24] และเป็นเจ้าของ Tamaly Bar (เป็นบาร์ที่ไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้า มีเพียงสมาชิกแฟนคลับและเพื่อนๆ ของแก๊กต์เท่านั้นที่มีสิทธ์เข้า ปัจจุบันได้เลิกกิจการไปแล้ว [25]) ตัวแก๊กต์ทำการออกแบบ กีตาร์ ให้กับ caparison บริษัทกีตาร์ชื่อดังสองตัวชื่อ "Marcury" และ "Venus" อีกด้วย[26][27]
ใบหน้าของแก๊กต์ถูกใช้เป็นใบหน้าพระเอกในเกมเพลย์สเตชัน 2 "บุจินไก" [28][19] โดยเขาเป็นคนให้เสียงและทำโมชั่นแคปเจอร์เองทั้งหมด นอกจากนี้ชื่อของเค้ายังไปปรากฏใน dog tag ในเกม Metal Gear Solid 2: Sons of Liberty อีกด้วย
ยังว่ากันว่าเขาคือต้นแบบของ สควอลล์ เลออนฮาร์ต พระเอกจากเกมยอดฮิต ไฟนอลแฟนตาซี VIII เพราะ เท็ตสึยะ โนมูระ ผู้ออกแบบตัวละครของเกมชุดนี้เองก็เป็นแฟนเพลงของแก๊กต์ และแก๊กต์ก็ได้มีส่วนร่วมกับเกมนี้อย่างเป็นทางการเมื่อเขาไปปรากฏตัวในเกม Dirge of Cerberus: Final Fantasy VII[29][19] ในบท Genesis ซึ่งมีบทบาทสำคัญในเกม Crisis Core:Final Fantasy VII[30][19] โดยเขายังเป็นคนให้เสียงด้วยตัวเองอีกด้วย
แก๊กต์ยังมีงานร้องเพลงประกอบการ์ตูนดังๆมากมายอย่าง Shin Hokuto no Ken (หมัดดาวเหนือ) นอกจากนี้เขายังได้ให้เสียงเป็น "เซย์จิ" ตัวละครใหม่ที่ปรากฏในภาคนี้ด้วย [31][19],Texhnolyze[32][19] และหนังการ์ตูนไตรภาคอย่าง โมบิลสูทเซต้ากันดั้ม[19] และ หนังแอนิเมชันเรื่อง "อาร์เธอร์ ทูตจิ๋วเจาะขุมทรัพย์มหัศจรรย์" ให้เสียงในบท Maltazard [33]
สมุดรวมภาพหลังจากที่แยกออกมาเป็นศิลปินเดี่ยว[34]
ชื่อชุด | วันที่วางจำหน่าย | หมายเหตุ |
---|---|---|
Mizerable ~hisou~ | 8 ก.ค. 42 | ผลงานชิ้นแรก ถ่ายทำที่ต่างประเทศทั้งหมด |
Mizerable ~unmei~ | 8 ก.ย. 42 | ผลงานชิ้นถัดมาที่ออกมาเป็นเล่มต่อของเล่มแรก |
Requiem et Reminiscence ~Chinkon to saisei~ | 28 ก.ย. 44 | รวมภาพจากทัวร์คอนเสิร์ต |
Subarashikikana Jinsei | 8 ธ.ค. 44 | ผลงานรวมภาพจากนิตยสาร Weekly Oricon |
Just bring it! live tour 2002 | 25 ต.ค. 45 | รวมภาพจากทัวร์คอนเสิร์ต |
Hyde & แก๊กต์-Moon Child- | 3 มี.ค. 46 | ผลงานรวมภาพจากภาพยนตร์เรื่อง Moon Child ที่แสดงร่วมกับ ไฮด์ |
Kimi ga oikaketa yume | 28 มี.ค. 46 | ผลงานร่วมกับ Vivian Hsu ที่ร่วมแสดงในวิดีโอโปรโมตเพลงชื่อเดียวกับหนังสือ |
Kagen no Tsuki | 18 ก.ค. 46 | รวมภาพจากทัวร์คอนเสิร์ต |
Jougen no Tsuki | 18 ก.ค. 46 | รวมภาพจากทัวร์คอนเสิร์ต |
Crescent | 28 พ.ย. 46 | ผลงานรวมภาพ |
Subarashikikana Jinsei 2 | 8 ก.ค. 42 | ผลงานรวมภาพจากนิตยสาร Weekly Oricon |
Bujingai Visual Fanbook | มิ.ย. 47 | ผลงานจากเกม บุจินไก |
Gackt File 2004 | 30 ก.ค. 47 | ผลงานรวมภาพที่ลงในนิตยสาร UV (Ultra Veat) ตั้งแต่ปี 42 ถึงปี 47 |
The Gift The Sixth Day & Seventh Night | 20 ต.ค. 47 | รวมภาพจากทัวร์คอนเสิร์ต |
Subarashikikana Jinsei 3 | 22 ก.ย. 48 | ผลงานรวมภาพจากนิตยสาร Weekly Oricon |
Tour 2005 -DIABOLOS- book | 31 มี.ค. 49 | รวมภาพจากทัวร์คอนเสิร์ต |
龍の化身 (Ryu no Keshin) | 30 พ.ย. 50 | ผลงานจากละครเรื่อง ฟูริน คะซัง ในบทบาทของ อุเอสึงิ เคนชิน |
Gackt JOB (อ่านว่า แก๊กต์-จ้อบ) เป็นกลุ่มนักดนตรีที่เล่นซัพพอร์ตให้แก๊กต์ ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2542 มีหัวหน้าวงคือชาช่ามารุ [35]และมีการเปลี่ยนสมาชิกเข้าออกมากมาย
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.