Loading AI tools
สตูดิโออัลบั้มโดยเทย์เลอร์ สวิฟต์ ค.ศ. 2019 จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เลิฟเวอร์ (อังกฤษ: Lover) เป็นสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 7 ของนักร้องนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เทย์เลอร์ สวิฟต์ วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 2019 โดยค่ายรีพับลิกเรเคิดส์ ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกหลังจากที่เธอออกจากค่ายเดิมบิกมะชีนเร็กเคิดส์ และเป็นผลทำให้เกิดข้อพิพาทสิทธิ์ในการถือครองเพลง เลิฟวอร์เป็นอัลบั้มที่สวิฟต์ผลิตร่วมกับแจ็ก แอนโตนอฟฟ์, โจเอล ลิตเทิต, หลุยส์ เบลล์ และแฟรงก์ ดุกส์ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2018 ถึงกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 หลังจากเรพิวเทชันสเตเดียมทัวร์ในปี 2018 ด้วยแรงบันดาลใจจากแฟนคลับในการช่วยให้เธอฟื้นสภาพจิตใจตัวเองหลังจากความขัดแย้งที่นำไปสู่อัลบั้ม เรพิวเทชัน (2017)
เลิฟเวอร์ | ||||
---|---|---|---|---|
สตูดิโออัลบั้มโดย | ||||
วางตลาด | 23 สิงหาคม ค.ศ. 2019 | |||
บันทึกเสียง | พฤศจิกายน ค.ศ. 2018 – กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 | |||
สตูดิโอ |
| |||
แนวเพลง | ||||
ค่ายเพลง | รีพับลิก | |||
โปรดิวเซอร์ |
| |||
ลำดับอัลบั้มของเทย์เลอร์ สวิฟต์ | ||||
| ||||
ซิงเกิลจากเลิฟเวอร์ | ||||
|
สวิฟต์มองว่าอัลบั้ม เลิฟเวอร์ เป็น "จดหมายรักถึงคนรัก" โดยได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตส่วนตัวที่พบมุมมองใหม่และเสรีภาพทางศิลปะที่เพิ่งค้นพบ เมื่อเทียบกับโทนเสียงที่เข้ม และหนักแน่นของฮิปฮอป จากอัลบั้มก่อนหน้าอย่าง เรพิวเทชัน เสียงของเลิฟเวอร์ จะมีความสดใสกว่า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพลงแนวอิเล็กโทรป็อป ป็อปร็อก และซินท์ป็อป โดยมีท่วงทำนองที่โดดเด่นด้วยเครื่องสังเคราะห์เสียงในบรรยากาศจังหวะกลาง และเครื่องดนตรีอะคูสติก รวมเอารูปแบบที่ผสมผสานกันตั้งแต่แนวคันทรี โฟล์ก ฟังก์ และบับเบิลกัมป็อป ชวนให้ค้นหาอารมณ์ต่าง ๆ เช่น ความหลงใหล ความมุ่งมั่น ตัณหา และความโศกเศร้า รวมถึงประเด็นทางการเมืองร่วมสมัยของอเมริกา เช่น สิทธิแอลจีบีที คตินิยมสิทธิสตรี ซึ่งมีไม่กี่คนที่พูดคุยถึงเรื่องนี้
สวิฟต์แยกตัวเองจากความสนใจของสื่อหลังจากเรพิวเทชัน และเริ่มส่งเสริมประชาสัมพันธ์อัลบั้มเลิฟเวอร์ ผ่านรายการโทรทัศน์ บทสัมภาษณ์ และปกนิตยสาร ภาพหน้าปกของอัลบั้ม เลิฟเวอร์ ด้วยรูปลักษณ์สวยงามโดดเด่นด้วยสีพาสเทลสดใส สวิฟต์ยังขึ้นเล่นคอนเสิร์ต ซิตีออฟเลิฟเวอร์ ในปารีส เมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 2019 โดยอัลบั้มมีซิงเกิลคือ "มี!" ร้องรับเชิญโดยเบรนดอน อูรี จากวงแพนิกแอตเดอะดิสโก "ยูนีดทูคาล์มดาวน์" "เลิฟเวอร์" และ "เดอะแมน" ซึ่งติด 10 อันดับสูงสุดในชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 ของสหรัฐ ในขณะที่ "ครูเอลซัมเมอร์" ขึ้นอันดับหนึ่งบนชาร์ตในปี 2023 เป็นเพลงอันดับหนึ่งในลำดับดับที่ 10 ในอาชีพของสวิฟต์
อัลบั้มนี้ได้รับการวิจารณ์ในเชิงบวกจากนักวิจารณ์ดนตรี ซึ่งยกย่องว่ามีวุฒิภาวะทางอารมณ์และเสียงที่ร่าเริง แม้ว่าบางคนจะมีที่ความคิดทางรูปแบบดนตรีที่แตกต่างกันออกไป สื่อพิมพ์จำนวนมากรวมอัลบั้มไว้ในรายการของพวกเขาโดยจัดอันดับอัลบั้มที่ดีที่สุดของปี ค.ศ. 2019 ในงานประกาศรางวัลแกรมมี ครั้งที่ 62 ของปี ค.ศ. 2020 เลิฟเวอร์ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอัลบั้มเพลงป็อปยอดเยี่ยม เพลงไตเติลได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงเพลงแห่งปี "ยูนีดทูคาล์มดาวน์" ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลขับร้องเพลงป็อปเดี่ยวยอดเยี่ยม อัลบั้มนี้ได้รับรางวัลอัลบั้มป็อป/ร็อกที่ชื่นชอบ จากงานอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ ปี 2019 และซิงเกิลของอัลบั้มนี้ได้รับรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ จำนวน 4 รางวัล
ในระหว่างการทำประชาสัมพันธ์อัลบั้ม 1989[1][2] สวิฟต์ตกเป็นเป้าของการซุบซิบข่าวแท็บลอยด์ ในฐานะ "ที่รักของอเมริกา" อันเป็นผลมาจากภาพลักษณ์ที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสาของเธอ[3] ถูกทำให้มัวหมองด้วยการเผยแพร่ความสัมพันธ์ที่โรแมนติกของเธอและข้อพิพาทกับคนดังคนอื่น ๆ[4] ข้อพิพาทกลางปี 2016 ของสวิฟต์กับแร็ปเปอร์ คานเย เวสต์ ซึ่งออกซิงเกิล "เฟมัส" นำไปสู่การเคลื่อนไหววัฒนธรรมแคนเซิล ที่ต่อต้านสวิฟต์ ซึ่งเธอถูกตราหน้าว่าเป็น "อสรพิษ" สวิฟต์เก็บตัวเงียบจากความสนใจของสื่อมวลชนและออกสตูดิโออัลบั้มชุดที่หกของเธอในชื่อ เรพิวเทชัน ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2017 เพื่อเป็นการตอบสนองต่อความสนใจของสื่อที่รายล้อมความดังของเธอ[5][6]
สวิฟต์กล่าวว่าเธอประพันธ์เพลงในอัลบั้มเรพิวเทชันว่าเป็น "กลไกป้องกันตัวเอง" ที่ทำให้เธอสามารถรับมือกับประสบการณ์ดังกล่าวได้ เธอแยกตัวออกจากความสนใจของสื่อมวลชนเพราะเธอจำเป็นต้องปกป้องสุขภาพจิตของเธอและเลิกรู้สึกว่าจำเป็นต้อง "อธิบายตัวเอง" เธอได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับชื่อเสียง "ที่รักของอเมริกา" ที่เธอถูกลืมไป สวิฟต์กล่าวว่าเป็นการปลดปล่อยที่จะละทิ้งการตระหนักรู้ในตัวเองเกี่ยวกับตำแหน่งนี้และความพยายามของเธอที่จะ "ยิ้มอยู่เสมอ มีความสุขอยู่เสมอ"[7] ด้วยเหตุนี้เธอจึงคิดว่าสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 7 ของเธอเป็นบันทึกส่วนตัวที่เปราะบางซึ่งจะเชื่อมโยงเธอกับผู้ชม และแสดงจุดแข็งของเธอในฐานะนักร้องและนักแต่งเพลง: "คราวนี้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นที่กล้าพอที่จะเสี่ยง เพราะแฟนคลับของฉันกล้าพอที่จะใจอ่อนกับฉัน"[8]
ในนิตยสารโว้กฉบับเดือนกันยายน ค.ศ. 2019 สวิฟต์บรรยายถึงเลิฟเวอร์ว่าเป็น "จดหมายรักถึงคนรัก ที่เต็มไปด้วยความน่าพิศวง เร่าร้อน น่าตื่นเต้น น่าหลงใหล น่าสยดสยอง น่าสลดใจ และรุ่งโรจน์อย่างน่าอัศจรรย์" ชื่อเพลงประกอบด้วย 18 เพลง ซึ่งมากกว่าอัลบั้มอื่น ๆ ของเธอ บรรยายถึงความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดจากความรัก[9] ในขณะที่ตัวเอกของเพลงในเรพิวเทชันเป็นตัวละครที่พูดเกินจริงที่สวิฟต์สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความขัดแย้ง เพลงในเลิฟเวอร์ประพันธ์ขึ้นจากมุมมองที่จริงใจและเบิกบานใจ และได้รับแรงบันดาลใจจากการค้นพบ "รักที่เป็นจริงมาก" ครั้งแรกของเธอ[10] รูปแบบหลักของอัลบั้มคือความรัก สวิฟต์กล่าวว่าเธอมองว่ามันเป็นการบันทึกที่โรแมนติก นอกจากเพลงที่มีความสุขแล้ว ยังมีเพลงเกี่ยวกับความเศร้าและความเหงา ซึ่งเธอบอกว่าใคร ๆ ก็สามารถรับรู้ได้ "ผ่านการจ้องมองที่โรแมนติก"[11]
ในตอนแรกสวิฟต์พิจารณาเลือกเพลง "เดย์ไลต์" เป็นเพลงชื่อของอัลบั้ม แต่ยกเลิกแนวคิดนี้เพราะเธอคิดว่ามันซาบซึ้งเกินไป เธอได้เลือกชื่อเลิฟเวอร์เป็นชื่ออัลบั้มเพราะเธอรู้สึกว่ามันสื่อถึงรูปแบบโดยรวมได้ดีกว่าและ "เป็นแนวคิดที่ยืดหยุ่นมากกว่า"; อย่างเพลง "ยูนีดทูคาล์มดาวน์" ซึ่งเป็นเพลงเกี่ยวกับสิทธิของแอลจีบีที ก็อาจสอดคล้องกับแนวคิดนี้ได้[12] ช่างภาพและศิลปินภาพต่อกันชาวโคลอมเบีย วาเลเรีย โรชา ซึ่งทำงานร่วมกับสวิฟต์ในการกำกับศิลป์ของอัลบั้ม ถ่ายภาพและตัดต่อภาพหน้าปกของอัลบั้ม[13] หน้าปกเป็นรูปสวิฟต์ที่มีปลายผมสีแซฟไฟร์และมีรูปหัวใจสีชมพูระยิบระยับบนตาขวาของเธอ พร้อมด้วยพื้นหลังเมฆสีชมพู[14][15] สื่อบางแห่งวิจารณ์ว่าผลงานศิลปะชิ้นนี้ชวนให้นึกถึงบรรยากาศของฤดูร้อนและเทศกาลดนตรี[14][16]
สวิฟต์เลือกใช้สีพาสเทลที่สดใสของหน้าปกในการโพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์และเสื้อผ้าของเธอในระหว่างการประชาสัมพันธ์อัลบั้ม โดยแยกตัวออกจากงานศิลปะขาวดำที่มืดมนและสุนทรียภาพของอัลบั้มเรพิวเทชัน[17][18] ในบทความของเอนเตอร์เทนเมนต์วีกลี เอ็มมา แมดเดนกล่าวว่าภาพหน้าปกของอัลบั้ม เลิฟเวอร์ ดูเหมือน "โพสต์เกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ที่แฟนคลับสร้างขึ้นบนทัมเบลอร์" และเรียกมันว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระแสที่เกิดขึ้นใหม่ของ "งานศิลปะอัลบั้มที่ไร้ค่า" ด้วยการใช้หน้าปกที่จงใจดูเหมือนผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นโดยแฟน ๆ แทนที่จะเป็นงานศิลปะที่ได้รับการออกแบบจากนักออกแบบกราฟิกมืออาชีพ เลิฟเวอร์ได้นำ "ระดับของความเป็นสัญลักษณ์และความสัมพันธ์" มาสู่ผู้ชมของสวิฟต์ ตามคำกล่าวของโรชา พวกเขาสามารถสร้างงานศิลปะหน้าปกในเวอร์ชันของตัวเองได้[19]
ผลคะแนน | |
---|---|
ที่มา | ค่าประเมิน |
เมทาคริติก | 79/100[20] |
เอนีดีเซ็นต์มิวสิก? | 7.2/10[21] |
คะแนนคำวิจารณ์ | |
ที่มา | ค่าประเมิน |
ออลมิวสิก | [22] |
ดิเอวีคลับ | A− |
เดอะเดลีเทลิกราฟ | [23] |
เอนเตอร์เทนเมนต์วีกลี | B+[24] |
เดอะการ์เดียน | [25] |
ดิอินดีเพ็นเดนต์ | [26] |
เอ็นเอ็มอี | |
พิตช์ฟอร์ก | 7.1/10[27] |
โรลลิงสโตน | |
เดอะไทมส์ | [28] |
ในสื่อสิ่งพิมพ์ทั่วไปได้วิจารณ์อัลบั้มเลิฟเวอร์ไปในทิศทางเชิงบวกจากนักวิจารณ์เพลง[29][30] โดยเว็บไซต์รวบรวมบทวิจารณ์เมทาคริติกให้ คะแนนเฉลี่ยที่ 79 จาก 100 คะแนนเต็มซึ่งอิงจากบทวิจารณ์ 26 บท[20]
ผู้วิจารณ์ส่วนใหญ่ยกย่องรูปแบบของอัลบั้มในแง่บวกและความใกล้ชิดทางอารมณ์[31][29] นักวิจารณ์หลายคนรวมทั้งจอน คารามานิกา จากสื่อเดอะนิวยอร์กไทมส์[32] นีล แมคคอร์มิค จากเดอะเดลีเทลิกราฟ[23] และโรเบิร์ต คริสเกาในคอลัมน์ซับสแตก - คู่มือผู้บริโภคที่ตีพิมพ์ของเขา[33] ยินดีกับเลิฟเวอร์กับการคืนฟอร์มของสวิฟต์, ยกย่องความสามารถในการประพันธ์เพลงที่เข้าถึงอารมณ์ และกล่าวเปรียบเทียบกับประเด็นที่เป็นปรปักษ์กันของเรพิวเทชัน ซึ่งมีรูปแบบเกี่ยวกับการมีชื่อเสียง เลิฟเวอร์เป็นสัญญาณของการยอมรับภาพที่มองไปข้างหน้าของสวิฟต์[34][22]
นักวิจารณ์บางคนมองว่าอัลบั้มนี้เป็นสุดยอดจุดแข็งของสวิฟต์ ในฐานะนักร้องและนักแต่งเพลงในอัลบั้มที่ผ่านมาของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอัลบั้ม เรด (2012);[35][36] สชวอร์ตซ์ และแอนนา กากา จากสื่อพิตช์ฟอร์กยังเน้นถึงบทประพันธ์เพลงส่วนตัวที่ทำให้นึกถึงอัลบั้ม สปีกนาว (2010)[37][27] ในบทความ เดอะการ์เดียน อเล็กซิส เปตริดิสมองว่าเลิฟเวอร์เป็นข้อพิสูจน์ถึงความสามารถในการประพันธ์เพลงของสวิฟต์ แต่แสดงความคิดเห็นว่ารูปแบบการเล่นเพลงที่ขยายออกไปนั้นให้ความรู้สึกเหมือน "การทำให้มั่นคงขึ้น ไม่ใช่ความก้าวหน้า" และเป็นความพยายามที่จะอนุรักษ์เพื่อรักษาความสำเร็จในด้านพาณิชย์ของเธอ[25] คาร์ล วิลสัน จากสื่อสเลต อธิบายไว้ว่าเลิฟเวอร์เป็นอัลบั้มที่มีความซับซ้อน[35]
สื่อสิ่งพิมพ์จำนวนมากจัดอันดับให้อัลบั้มเลิฟเวอร์อยู่ในรายชื่ออัลบั้มที่ดีที่สุดของปี 2019[38] ปรากฏในรายการ 10 อันดับแรกของบิลบอร์ด[39] พีเพิล[40] และยูเอสเอทูเดย์[41] รวมไปถึงสื่อสิ่งพิมพ์บางฉบับอย่างอเมริกันซองไรเตอร์ และเอ็มทีวีก็รวมไว้ในรายการที่ไม่มีการจัดอันดับ[42][43] ในรายชื่อนักวิจารณ์แต่ละคน อัลบั้มนี้อยู่ใน 10 อันดับแรกโดยซาเลสกี[44] วูด[45] เชฟฟิลด์[46] และวิลแมน[47] โดยสองคนสุดท้ายระบุว่าเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดในปี 2019
สื่อสิ่งพิมพ์ | รายการ | อันดับ | อ้างอิง |
---|---|---|---|
บิลบอร์ด | 50 อัลบั้มที่ดีที่สุดของปี 2019 | 3 |
|
เดอะการ์เดียน | 50 อัลบั้มที่ดีที่สุดของปี 2019 | 29 |
|
ดิอินดีเพ็นเดนต์ | 50 อัลบั้มที่ดีที่สุดของปี 2019 | 19 |
|
เดอะมิวสิก | อัลบั้มที่ดีที่สุดของปี 2019 | 7 |
|
เดอะนิวยอร์กไทมส์ | อัลบั้มที่ดีที่สุดของปี 2019 | 14 |
|
เอ็นเอ็มอี | 50 อัลบั้มที่ดีที่สุดของปี 2019 | 41 |
|
พีเพิล | 10 อัลบั้มที่ดีที่สุดของปี 2019 | 3 |
|
คิว | 50 อัลบั้มยอดนิยมประจำปี 2019 | 35 |
|
โรลลิงสโตน | 50 อัลบั้มที่ดีที่สุดของปี 2019 | 4 |
|
ยูเอสเอทูเดย์ | 10 อัลบั้มที่ดีที่สุดของปี 2019 | 3 |
เครดิตดัดแปลงมาจากบันทึกย่อของอัลบั้ม[55]
ลำดับ | ชื่อเพลง | ประพันธ์ | ผู้ผลิต | ยาว |
---|---|---|---|---|
1. | "I Forgot That You Existed" |
|
| 2:51 |
2. | "Cruel Summer" |
|
| 2:58 |
3. | "Lover" | Swift |
| 3:41 |
4. | "The Man" |
|
| 3:10 |
5. | "The Archer" |
|
| 3:31 |
6. | "I Think He Knows" |
|
| 2:53 |
7. | "Miss Americana & the Heartbreak Prince" |
|
| 3:54 |
8. | "Paper Rings" |
|
| 3:42 |
9. | "Cornelia Street" | Swift |
| 4:47 |
10. | "Death by a Thousand Cuts" |
|
| 3:19 |
11. | "London Boy" |
|
| 3:10 |
12. | "Soon You'll Get Better" (featuring the Dixie Chicks) |
|
| 3:22 |
13. | "False God" |
|
| 3:20 |
14. | "You Need to Calm Down" |
|
| 2:51 |
15. | "Afterglow" |
|
| 3:43 |
16. | "Me!" (featuring Brendon Urie of Panic! at the Disco) |
|
| 3:13 |
17. | "It's Nice to Have a Friend" |
|
| 2:30 |
18. | "Daylight" | Swift |
| 4:53 |
ความยาวทั้งหมด: | 61:48 |
หมายเหตุ
ชาร์ตรายสัปดาห์
|
ชาร์ตสิ้นปี
|
ประเทศ | การรับรอง | จำนวนหน่วยที่รับรอง/ยอดขาย |
---|---|---|
Australia (ARIA)[135] | 3× Platinum | 210,000 |
Austria (IFPI Austria)[136] | Platinum | 15,000 |
Belgium (BEA)[137] | Platinum | 20,000 |
Denmark (IFPI Danmark)[138] | Platinum | 20,000 |
France (SNEP)[139] | Gold | 50,000 |
Germany (BVMI)[140] | Gold | 100,000 |
Italy (FIMI)[141] | Gold | 25,000 |
New Zealand (RMNZ)[142] | 4× Platinum | 60,000 |
Norway (IFPI Norway)[143] | Platinum | 20,000* |
Poland (ZPAV)[144] | Platinum | 20,000 |
Portugal (AFP)[145] | Gold | 7,500^ |
Singapore (RIAS)[146] | Platinum | 10,000* |
Spain (PROMUSICAE)[147] | Gold | 20,000 |
United Kingdom (BPI)[148] | 2× Platinum | 600,000 |
United States (RIAA)[149] | 3× Platinum | 3,000,000 |
*ตัวเลขยอดขายขึ้นกับการรับรองอย่างเดียว |
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.