Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เดกซ์โทรเมทอร์แฟน[6] (Dextromethorphan, DXM) ซึ่งจำหน่ายในชื่อการค้า โรบิทัสซิน และอื่น ๆ เป็นยาแก้ไอ โดยอาจพบในยาแก้หวัดด้วย[7] ในปี 2022 องค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ได้อนุมัติให้ใช้ยาผสม DXM/บูโพรพิออน เป็นยาแก้ซึมเศร้าที่ออกฤทธิ์เร็วสำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า[8]
ข้อมูลทางคลินิก | |
---|---|
การอ่านออกเสียง | /ˌdɛk.stroʊ.məˈθɔːrˌfæn/ DEK-stroh-məth-or-fan |
ชื่อทางการค้า | โรบิทัสซิน, Delsym เป็นต้น |
ชื่ออื่น | DXM, 3-methoxy-N-methylmorphinan |
AHFS/Drugs.com | โมโนกราฟ |
MedlinePlus | a682492 |
ข้อมูลทะเบียนยา |
|
ระดับความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ |
|
Addiction liability | น้อย – ปานกลาง |
ช่องทางการรับยา | รับประทาน |
ประเภทยา | ยาแก้ไอ[1][2], NMDA receptor antagonists, dissociative, สารหลอนประสาท, ยาระงับประสาท, สารกระตุ้น |
รหัส ATC | |
กฏหมาย | |
สถานะตามกฏหมาย |
|
ข้อมูลเภสัชจลนศาสตร์ | |
ชีวประสิทธิผล | 11%[4] |
การเปลี่ยนแปลงยา | เอนไซม์จากตับ—หลัก: CYP2D6, รอง: CYP3A4 และ CYP3A5 |
สารซึ่งได้หลังการเปลี่ยนแปลงยา |
|
ครึ่งชีวิตทางชีวภาพ | เมแทบอลิซึมดี: 2–4 ชม., เมแทบอลิซึมไม่ดี: 24 ชม. [5] |
การขับออก | ไต |
ตัวบ่งชี้ | |
| |
เลขทะเบียน CAS | |
PubChem CID | |
IUPHAR/BPS | |
DrugBank | |
ChemSpider | |
UNII | |
KEGG | |
ChEBI | |
ChEMBL | |
ECHA InfoCard | 100.004.321 |
ข้อมูลทางกายภาพและเคมี | |
สูตร | C18H25NO |
มวลต่อโมล | 271.404 g·mol−1 |
แบบจำลอง 3D (JSmol) | |
ไครัลลิตี | Dextrorotatory enantiomer |
จุดหลอมเหลว | 111 องศาเซลเซียส (232 องศาฟาเรนไฮต์) |
SMILES
| |
InChI
| |
7 (what is this?) (verify) | |
ยาอยู่ในกลุ่มมอร์ฟิแนน (morphinan) ที่มีฤทธิ์ระงับประสาท ทำให้รู้สึกว่าแยกจากตน/สิ่งแวดล้อม (dissociative) และกระตุ้นประสาท (เมื่อใช้ในขนาดต่ำ) ยาไม่มีสัมพรรคภาพ (affinity) อย่างมีนัยสำคัญกับตัวรับ μ-opioid receptor ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของสารประกอบมอร์ฟิแนน แต่มีฤทธิ์รักษาผ่านตัวรับอื่น ๆ หลายชนิด[9] ในรูปแบบบริสุทธิ์ ยาจะเป็นผงสีขาว[10]
เมื่อใช้เกินขนาดที่อนุมัติ ยาออกฤทธิ์เป็นสารหลอนประสาทที่ทำให้รู้สึกว่าแยกจากตน/สิ่งแวดล้อม (dissociative) ยามีกลไกการออกฤทธิ์หลายอย่าง รวมถึงการเป็นตัวยับยั้งการดูดซึมกลับของเซโรโทนินแบบไม่จำเพาะ (SRI)[11] และเป็นตัวเริ่มการทำงานของตัวรับซิกมา-1 (sigma-1 receptor agonist)[12][13] DXM และเมแทบอไลต์ของมันคือ เดกซ์โทรแฟน (dextrorphan) เมื่อใช้ในขนาดมากทั้งสองจะระงับการทำงานของตัวรับ NMDA receptor แล้วก่อผลเหมือนกับยาสลบที่ให้ความรู้สึกแยกจากตน/สิ่งแวดล้อมชนิดอื่น ๆ เช่น เคตามีน ไนตรัสออกไซด์ และเฟนไซคลิดีน
ยาได้จดสิทธิบัตรในปี 1949 และได้รับอนุมัติให้ใช้ทางการแพทย์ในปี 1953[14]
เดกซ์โทรเมทอร์แฟนใช้หลัก ๆ เป็นยาแก้ไอ เพื่อบรรเทาอาการไอชั่วคราวที่เกิดจากการระคายเคืองของคอและหลอดลมแบบเล็กน้อย (เช่นที่มักพบในไข้หวัดใหญ่และหวัดธรรมดา) หรือจากการสูดสิ่งระคายเคืองเข้าไป และบรรเทาอาการไอเรื้อรังเมื่อใช้ในขนาดที่สูงขึ้น[15][16] มีจำหน่ายเป็นยาน้ำแก้ไอ ยาเม็ด และยาผสม
ในปี 2010 องค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ได้อนุมัติยาผสม DMX กับควินิดีน ซึ่งมีชื่อทางการค้า Nuedexta เพื่อรักษาภาวะซูโดบัลบาร์ (อาการหัวเราะ/ร้องไห้ที่ควบคุมไม่ได้)[17] DMX เป็นยาออกฤทธิ์หลัก ส่วนควินิดีนใช้ยับยั้งการย่อยสลาย DMX ที่ใช้เอนไซม์ และดังนั้น จึงเพิ่มความเข้มข้นของ DMX ในเลือดโดยยับยั้งเอนไซม์ CYP2D6[18]
ยาผสม DMX กับบูโพรพิออนได้รับอนุมัติให้ใช้รักษาโรคซึมเศร้า โดยมีชื่อการค้า Auvelity[19][20]
เพราะยาสามารถกระตุ้นการหลั่งฮิสตามีน เด็กที่มีภาวะภูมิแพ้กรรมพันธุ์ซึ่งไวต่อปฏิกิริยาภูมิแพ้เป็นพิเศษ ควรได้รับยาเฉพาะเมื่อจำเป็นอย่างยิ่งเท่านั้น โดยมีแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด[21]
ผลข้างเคียงของยาในขนาดรักษาตามปกติอาจรวมถึง[5][16][21]
ผลข้างเคียงที่พบน้อยคือ การกดการหายใจ[16]
ยาเคยถูกเข้าใจว่าทำให้เกิดรอยโรค Olney's lesions เมื่อให้ทางหลอดเลือดดำ แต่ภายหลังพบว่ายังสรุปได้ไม่แน่ชัดเพราะขาดการวิจัยในมนุษย์ มีการทดสอบในหนูโดยให้ยาขนาด 50 มก. หรือมากกว่าทุกวันอาจจนถึงหนึ่งเดือน แม้จะพบการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่แสดงพิษต่อระบบประสาทรวมถึงการเกิดช่องว่างในเซลล์ (vacuolation) ในสมองส่วน posterior cingulate และ retrosplenial cortices ของหนูที่ได้รับสารต่อต้านตัวรับ NMDA อื่น ๆ เช่นเฟนไซคลิดีน แต่ก็ไม่พบในกรณีของ DMX[22][23]
ในกรณีที่ได้บันทึก ยาอาจทำให้ติดทางจิตใจสำหรับผู้ใช้เพื่อนันทนาการ ยามีฤทธิ์เสพติดน้อยกว่ายาแก้ไอสามัญอื่น ๆ เช่น โคดีอีนซึ่งเป็นยากลุ่มโอปิออยด์[5] เนื่องจากมีฤทธิ์ยับยั้งการดูดซึมกลับของเซโรโทนิน (serotonin reuptake inhibitor) ผู้ใช้รายงานว่าการใช้เพื่อนันทนาการเป็นประจำเป็นระยะเวลานาน สามารถก่ออาการขาดยาคล้ายกับกลุ่มอาการหยุดยาแก้ซึมเศร้า อนึ่ง ยังเกิดความผิดปกติในการนอนหลับ การรับรู้ การเคลื่อนไหว อารมณ์ และความคิด
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
กลุ่มอาการเซโรโทนินเป็นพิษ อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาร่วมกับยาแก้ซึมเศร้าที่มีผลต่อเซโรโทนิน เช่น selective serotonin re-uptake inhibitors (SSRIs) หรือ monoamine oxidase inhibitor (MAOIs)[24] จะต้องวิจัยเพิ่มเติมเพื่อกำหนดว่าต้องใช้ DMX ในขนาดที่สูงกว่าขนาดการรักษาปกติหรือไม่จึงจะเกิดผลดังกล่าว[11] ในทุกกรณี DMX ไม่ควรใช้ร่วมกับยา MAOIs เพราะเหตุนี้[21] อาการนี้อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตและสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว โดยเกิดจากจากการสะสมเซโรโทนินในร่างกายมากเกิน
ผู้ที่รับประทานยา DMX ควรระมัดระวังเมื่อดื่มน้ำเกรปฟรูตหรือรับประทานเกรปฟรูต เนื่องจากสารประกอบของผลไม้มีผลต่อยาหลายชนิดรวมถึง DMX โดยยับยั้งระบบเอนไซม์ไซโตโครม P450 ในตับ จึงเกิดการสะสมยามากเกินไปซึ่งทำให้ฤทธิ์ของยาเพิ่มขึ้นและยาวนานขึ้น แนะนำให้หลีกเลี่ยงเกรปฟรูตและน้ำเกรปฟรูต (โดยเฉพาะน้ำเกรปฟรูตขาว แต่รวมถึงผลไม้สกุลส้มอื่น ๆ เช่น ส้มเบอร์กามอตและมะนาว รวมทั้งผลไม้ที่ไม่ใช่ตระกูลส้มบางชนิด) ในขณะที่ใช้ยา DMX และยาอื่น ๆ อีกหลายชนิด[25]
ตำแหน่ง | DXM | DXO | สปีชีส์ | อ้างอิง |
---|---|---|---|---|
NMDAR (MK-801) | 2,120–8,945 | 486–906 | หนู | [18] |
σ1 | 142–652 | 118–481 | หนู | [18] |
σ2 | 11,060–22,864 | 11,325–15,582 | หนู | [18] |
MOR | 1,280 ND | 420 >1,000 | หนู มนุษย์ | [18] [29] |
DOR | 11,500 | 34,700 | หนู | [18] |
KOR | 7,000 | 5,950 | หนู | [18] |
SERT | 23–40 | 401–484 | หนู | [18] |
NET | ≥240 | ≥340 | หนู | [18] |
DAT | >1,000 | >1,000 | หนู | [18] |
5-HT1A | >1,000 | >1,000 | หนู | [18] |
5-HT1B/1D | 61% ที่ 1 μM | 54% ที่ 1 μM | หนู | [18] |
5-HT2A | >1,000 | >1,000 | หนู | [18] |
α1 | >1,000 | >1,000 | หนู | [18] |
α2 | 60% ที่ 1 μM | >1,000 | หนู | [18] |
β | >1,000 | 35% ที่ 1 μM | หนู | [18] |
D2 | >1,000 | >1,000 | หนู | [18] |
H1 | >1,000 | 95% ที่ 1 μM | หนู | [18] |
mAChRs | >1,000 | 100% at 1 μM | หนู | [18] |
nAChRs | 700–8,900 (IC50) | 1,300–29,600 (IC50) | หนู | [18] |
VDSCs | >50,000 (IC50) | ND | หนู | [30][31] |
ค่าที่แสดงเป็นค่า Ki (nM) เว้นแต่จะระบุเป็นอย่างอื่น ยิ่งค่าน้อย ยายิ่งจับกับตำแหน่งได้ดียิ่งขึ้น |
เมื่อทดสอบในเนื้อเยื่อหนู พบว่า DMX (ความเข้มข้น <1 μM) มีฤทธิ์ดังต่อไปนี้[18][32]
DMX เป็น prodrug ของเดกซ์โทรแฟน ซึ่งเป็นตัวออกฤทธิ์จริงให้เกิดผลรู้สึกว่าแยกจากตน/สิ่งแวดล้อม (dissociative) เป็นตัวยับยั้งตัวรับ NMDA ที่แรงกว่า DMX เอง[33] ส่วนบทบาทของเมแทบอไลต์หลักอีกอย่างของ DMX คือ (+)-3-methoxymorphinan ยังไม่ชัดเจน[34]
เมื่อรับประทานเข้าไป ยาจะดูดซึมอย่างรวดเร็วจากทางเดินอาหารเข้าสู่กระแสเลือดแล้วผ่านตัวกั้นระหว่างเลือดกับสมองเข้าไปในสมอง[ต้องการอ้างอิง]
ในขนาดรักษา ยาจะออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง (ที่สมอง) ไม่ได้ออกฤทธิ์เฉพาะที่ ณ ระบบทางเดินหายใจ โดยเพิ่มระดับเกณฑ์การไอ และไม่ยับยั้งการทำงานของขนซิเลียในทางเดินหายใจ (ที่ขนเสมหะและสิ่งแปลกปลอมขึ้นมา) ยาจะดูดซึมอย่างรวดเร็วจากทางเดินอาหารแล้วเปลี่ยนเป็นเมแทบอไลต์ออกฤทธิ์คือเดกซ์โทรแฟนในตับด้วยเอนไซม์ไซโตโครม P450 CYP2D6 ขนาดยาเฉลี่ยที่รักษาอาการไอได้ผลอยู่ระหว่าง 10–45 มิลลิกรัม โดยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล สมาคมนานาชาติเพื่อการศึกษาเรื่องการไอแนะนำว่า "ผู้ป่วยควรได้รับยาครั้งแรกให้มีขนาดที่เพียงพอ คือ 60 มิลลิกรัมในผู้ใหญ่ โดยให้กินซ้ำไม่บ่อย แทนที่จะเป็นวันละ 4 ครั้งตามที่แนะนำ"[35]
ยามีค่าครึ่งชีวิตในการกำจัดประมาณ 4 ชั่วโมงในบุคคลที่มีฟีโนไทป์แบบมีเอนไซม์สลายยามาก (extensive metabolizer) ค่านี้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 13 ชั่วโมงเมื่อให้ DMX ร่วมกับควินิดีน[28] ระยะการออกฤทธิ์หลังการรับประทานอยู่ที่ประมาณ 3–8 ชม. สำหรับเดกซ์โทรเมทอร์แฟนไฮโดรโบรไมด์ และ 10–12 ชม. สำหรับเดกซ์โทรเมทอร์แฟนโพลิสไทเร็กซ์ (dextromethorphan polistirex)[ต้องการอ้างอิง] ประมาณ ⅒ ของประชากรผิวขาวมีเอนไซม์ CYP2D6 ที่ออกฤทธิ์น้อยมากหรือไม่มีเลย ส่งผลให้ยาคงระดับสูงในร่างกายเป็นเวลานาน[35]
เมื่อยาดำเนินผ่านหลอดเลือดดำพอร์ทัลตับเป็นครั้งแรก ก็จะย่อยสลายผ่านกระบวนการ O-demethylation (คือการแยกกกลุ่มเมทิล [CH3] ออกจากออกซิเจนของโมเลกุลยา) มีผลเป็นเมแทบอไลต์ออกฤทธิ์ของยาคือ เดกซ์โทรแฟน ซึ่งเป็นสารอนุพันธ์ชนิด 3-hydroxy ของ DMX เชื่อว่าฤทธิ์การรักษาของยาเกิดจากทั้งตัวยาและสารเมแทบอไลต์นี้ ยายังย่อยสลายผ่านกระบวนการ N-demethylation (คือการแยกกกลุ่มเมทิล [CH3] ออกจากไนโตรเจน) มีผลเป็นเมแทบอไลต์ 3-methoxymorphinan (MEM) แล้วผ่านกระบวนการ partial conjugation กับกรดกลูคิวโรนิก (glucuronic acid) และไอออนของซัลเฟต[37] หลายชั่วโมงหลังจากการรักษาด้วยยาในมนุษย์ ก็จะสามารถตรวจพบสารเมแทบอไลต์ (+)-3-hydroxy-N-methylmorphinan, (+)-3-morphinan และร่องรอยยาที่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงในปัสสาวะ[21]
เอนไซม์ตัวเร่งปฏิกิริยาเมแทบอลิซึมที่สำคัญคือ cytochrome P450 ที่รู้จักในชื่อ 2D6 หรือ CYP2D6 ในประชากรสัดส่วนสำคัญ เอนไซม์นี้ทำงานบกพร่อง จึงจัดว่า เป็นผู้แยกสลายยาด้วย CYP2D6 ได้ไม่ดี (poor CYP2D6 metabolizer) กระบวนการ O-demethylation ของยา มีผลเป็น 80% ของเดกซ์โทรแฟนที่สร้างขึ้นในกระบวนการเมแทบอลิซึมของยา[37] เนื่องจาก CYP2D6 เป็นวิถีเมแทบอลิซึมหลักในการระงับฤทธิ์ยา ระยะเวลาของการออกฤทธิ์และผลของยาจึงอาจเพิ่มถึง 3 เท่าสำหรับผู้แยกสลายยาได้ไม่ดี[38] การศึกษากับชาวอเมริกัน 252 คนพบว่า 84.3% เป็นผู้ที่แยกสลายยาได้เร็ว, 6.8% ได้ปานกลาง และ 8.8% ได้ช้า[39] มีอัลลีลจำนวนหนึ่งของ CYP2D6 ที่รู้ รวมถึงรูปแปรที่ไม่ทำงานเลยหลายตัว การกระจายของอัลลีลจะไม่แน่นอนในกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ
ยาจำนวนมากเป็นสารยับยั้ง CYP2D6 ที่มีประสิทธิภาพสูง ยาบางประเภทที่ทราบว่ายับยั้ง CYP2D6 ได้แก่ ยาแก้ซึมเศร้ากลุ่ม SSRI และ tricyclic บางชนิด, ยาระงับอาการทางจิตบางชนิด และไดเฟนไฮดรามีนซึ่งเป็นสารต้านฮิสตามีนที่มีขายทั่วไป ดังนั้น จึงมีโอกาสเกิดปฏิกิริยาระหว่าง DMX กับยาที่ยับยั้งเอนไซม์นี้ โดยเฉพาะผู้ที่แยกสลายยาได้ช้า
DMX ยังแยกสลายอาศัยเอนไซม์ CYP3A4 ด้วย การแยกกกลุ่มเมทิล (CH3) ออกจากไนโตรเจน (N-demethylation) โดยหลักเกิดอาศัย CYP3A4 และมีผลสร้าง MEM ถึง 90% ที่เป็นเมแทบอไลต์หลักของ DMX[37]
ยังมีเอนไซม์ชนิด CYP อื่น ๆ ที่ได้ระบุว่าเป็นวิถีเมแทบอลิซึมรองของ DMX แม้เอนไซม์ CYP2D6 จะมีประสิทธิภาพมากกว่า CYP3A4 ในกระบวนการ N-demethylation แต่เนื่องจากคนทั่วไปมีปริมาณ CYP2D6 ในตับน้อยกว่า CYP3A4 มาก กระบวนการ N-demethylation ของยาส่วนใหญ่จึงเกิดอาศัย CYP3A4[37]
ยาเป็น dextrorotatory enantiomer ของ levomethorphan ซึ่งก็เป็นอีเทอร์ชนิดเมทิลของ levorphanol ทั้งคู่เป็นยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ DMX มีชื่อตาม IUPAC ว่า (+)-3-methoxy-17-methyl-9α,13α,14α-morphinan ในรูปแบบบริสุทธิ์ ยาเป็นผงสีขาวเหลือบและไม่มีกลิ่น ละลายได้ดีในคลอโรฟอร์มแต่ไม่ละลายน้ำ รูปแบบที่เป็นเกลือไฮโดรโบรไมด์จะละลายน้ำได้ถึง 1.5 ก./100 มล. ที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส[40] DMX มักขายในรูปแบบเกลือไฮโดรโบรไมด์เป็นโมโนไฮเดรต โดยมีในรูปแบบที่ออกฤทธิ์นาน คือ dextromethorphan polistirex อันประกอบด้วย DMX ที่จับกับเรซินแลกเปลี่ยนไอออนที่ได้มาจาก polystyrene sulfonic acid[ต้องการอ้างอิง] การหมุนจำเพาะ (specific rotation) ของ DMX ในน้ำคือ +27.6° (20 °C, Sodium D-line)[ต้องการอ้างอิง]
วิธีนี้ง่ายกว่าในแง่ของสารเคมีที่ใช้ ให้ผลผลิตที่สูงกว่า และได้ผลิตภัณฑ์ที่บริสุทธิ์กว่า[41]
บริษัท ฮอฟฟ์แมน-ลา โรช ได้ระบุสารตั้งต้นของยาที่เป็นสารประกอบ racemic คือ ราซีมอร์แฟน (racemorphan) เป็นครั้งแรกเมื่อยื่นขอสิทธิบัตรในสวิตเซอร์แลนด์ปี 1946 และในสหรัฐอเมริกาปี 1947 ต่อมาจึงได้สิทธิบัตรในปี 1950 การแยกไอโซเมอร์ทั้งสองของราซีมอร์แฟนด้วย กรดทาร์ทาริก ได้ตีพิมพ์ในปี 1952[42] ต่อมาในปี 1954 DMX จึงผ่านการทดสอบเป็นสารทดแทนโคดีอีนที่ไม่ก่อการเสพติดโดยอาศัยทุนวิจัยจากกองทัพเรือสหรัฐและซีไอเอ[43] ต่อมาในปี 1958 องค์การอาหารและยาสหรัฐจึงอนุมัติให้ใช้เป็นยาแก้ไอที่แพทย์ไม่ต้องสั่ง[42]
ยาประสบความสำเร็จตามที่หวัง เพราะแก้ปัญหาบางอย่างที่เกิดเมื่อใช้ โคดีอีนฟอสเฟต เป็นยาแก้ไอ ปัญหาเช่นทำให้ง่วงซึม และทำให้ติดเหมือนยาอื่น ๆ ในกลุ่มโอปิออยด์ แต่ก็เหมือนกับยาระงับความรู้สึกที่ทำให้รู้สึกแยกจากตน/สิ่งแวดล้อม (dissociative) เช่น เฟนไซคลิดีนและเคตามีน เพราะต่อมา DMX ก็ถูกนำไปใช้เพื่อนันทนาการ[42][44]
ในช่วงปี 1960–1970 DMX มีจำหน่ายในรูปแบบยาเม็ดที่ไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ในชื่อการค้า โรมิลาร์ ในปี 1973 โรมิลาร์ก็เลิกขายหลังจากยอดขายพุ่งสูงขึ้นเพราะการใช้ผิด ๆ ในไม่กี่ปีต่อมาก็มีการวางขายผลิตภัณฑ์ที่รสไม่ดี (เช่น โรบิทัสซิน และวิคส์-44) แต่ต่อมาผู้ผลิตเดียวกันก็เริ่มผลิตสินค้าที่มีรสชาติดีขึ้น[44] การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อย่างแพร่หลายในทศวรรษ 1990 ทำให้มีข้อมูลเกี่ยวกับยาเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว มีกลุ่มสนทนาออนไลน์เกี่ยวกับการใช้และการซื้อหายา อาจเริ่มตั้งแต่ปี 1996 ผงเดกซ์โทรเมทอร์แฟนไฮโดรโบรไมด์ สามารถซื้อได้มาก ๆ จากร้านค้าออนไลน์ ทำให้ผู้ใช้สามารถหลีกเลี่ยงการบริโภคยาในรูปแบบน้ำเชื่อม[42]
คณะกรรมการ FDA ได้พิจารณาเปลี่ยน DMX ให้เป็นยาที่ต้องมีใบสั่งแพทย์เพราะเสี่ยงถูกนำไปใช้ผิด ๆ แต่ได้ลงมติคัดค้านข้อเสนอแนะนี้ในเดือนกันยายน 2010 โดยอ้างว่าไม่มีหลักฐานว่าการเปลี่ยนสถานะจะช่วยลดการใช้ในทางที่ผิด[45] รัฐบางรัฐได้จำกัดการขายยาให้แก่ผู้ใหญ่เท่านั้นหรือมีข้อจำกัดอื่น ๆ ในการซื้อคล้ายกับยาซูโดอีเฟดรีน ยาห้ามจำหน่ายให้แก่ผู้เยาว์ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ณ วันที่ 1 มกราคม 2012 และรัฐโอเรกอน ณ วันที่ 1 มกราคม 2018 ยกเว้นเมื่อมีใบสั่งแพทย์[46] รัฐอื่น ๆ อีกหลายรัฐก็ได้เริ่มออกกฎควบคุมการขายยาให้แก่ผู้เยาว์เช่นกัน
ในประเทศอินโดนีเซีย สำนักงานควบคุมยาและอาหารแห่งชาติ (BPOM-RI) ห้ามขายยา DMX แบบมียาออกฤทธิ์เดี่ยว ไม่ว่าจะมีใบสั่งยาหรือไม่ก็ตาม เป็นประเทศเดียวที่ยาเช่นนี้ผิดกฎหมาย[47] และผู้ฝ่าฝืนอาจถูกดำเนินคดี ส่วนสำนักงานปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (BNN RI) ได้ขู่ว่าจะเพิกถอนใบอนุญาตร้านขายยาที่ยังขาย DMX และจะแจ้งตำรวจเพื่อดำเนินคดีอาญา[48] ด้วยเหตุนี้ มียา 130 รายการถูกถอนออกจากตลาด แต่ยา DMX ที่เป็นส่วนประกอบร่วมกับยาออกฤทธิ์อื่น ๆ ก็ยังขายได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์[49][50]
ยาที่มี DMX และขายโดยไม่มีใบสั่งแพทย์ได้นำไปใช้อย่างไม่ตรงกับฉลากยา โดยมักใช้เป็นยาเสพติดเพื่อความบันเทิง[44] เมื่อใช้ในขนาดซึ่งสูงกว่าที่แนะนำทางการแพทย์เป็นอย่างมาก ยาและเมแทบอไลต์หลักคือเดกซ์โทรแฟน จะออกฤทธิ์เป็นตัวต้านตัวรับ NMDA (NMDA receptor antagonist) ซึ่งทำให้ประสาทหลอนแบบแยกออกจากตน/สิ่งแวดล้อมคล้ายกับยาเคตามีนและเฟนไซคลิดีน[51]
ยาอาจทำให้เห็นผิดปกติ รู้สึกแยกจากตน/สิ่งแวดล้อม รู้สึกทางกายที่ผิดเพี้ยน ตื่นเต้น และไม่รู้เวลา ผู้ใช้บางรายรายงานความเคลิบเคลิ้มคล้ายกับเมื่อใช้ยากระตุ้นประสาท โดยเฉพาะเมื่อฟังเพลง ยามักให้ผลทางความบันเทิงแบบเป็นขั้น ๆ / ระยะ ๆ มีตั้งแต่ระยะ 1–4 ระยะแรกจะเบาสุด ระยะสุดท้ายจะแรงสุด แต่ละขั้นจะก่อประสบการณ์ต่าง ๆ กันไป[52]
ระยะแรกกล่าวกันว่าทำให้เคลิบเคลิ้มกับเสียงดนตรีและสิ่งเร้าเบา ๆ คล้ายกับฤทธิ์ของ MDMA/เอ็กส์ทาซี ระยะสองคล้ายกับภาวะทีเกิดเมื่อดื่มแอลกอฮอล์และใช้กัญชาในขนาดพอสมควรในเวลาเดียวกัน มีอาการเคลิบเคลิ้ม ง่วงซึม และประสาทหลอนเล็กน้อย ระยะที่สามทำให้รู้สึกแยกจากตนเอง/สิ่งแวดล้อม ซึ่งมักก่อความวิตกกังวล เมื่อถึงระยะที่สี่ กล่าวกันว่าจะทำให้เกิดอาการง่วงซึมอย่างรุนแรงและประสาทหลอนอย่างสำคัญ รวมถึงการแยกตัวออกจากความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง วัยรุ่นมีแนวโน้มที่จะใช้ยาที่มี DMX เพราะหาได้ง่ายกว่า โดยเยาวชนที่มีปัญหาทางจิตเวชมีโอกาสเสี่ยงใช้ยาผิด ๆ มากกว่า[53]
ยาผสม DXM/ควินิดีน (AVP-923)[54][55] ซึ่งเดิมใช้รักษาอาการซูโดบัลบาร์ (การควบคุมการหัวเราะหรือร้องไห้ไม่ได้) กำลังวิจัยเพื่อรักษาภาวะทางระบบประสาทและทางประสาทจิตเวชหลากหลายชนิด เช่น ภาวะกายใจไม่สงบในโรคอัลไซเมอร์[18][56] การทดลองทางคลินิกแบบสุ่มปี 2013 พบว่า DMX อาจลดความไม่สบายโดยรวมและระยะเวลาของอาการขาดยาเมื่อรักษาการติดสารกลุ่มโอปิออยด์ เมื่อใช้ร่วมกับคลอนิดีน (clonidine) ยาลดระยะเวลาที่อาการขาดยาจะถึงจุดรุนแรงสุดลงได้ 24 ชั่วโมง ในขณะที่ลดความรุนแรงของอาการเมื่อเทียบกับการใช้คลอนิดีนเพียงอย่างเดียว[57]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.