การก่อการกำเริบคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยเป็นสงครามกองโจรที่กินเวลาตั้งแต่ปี 2508 ถึง 2526 สู้รบกันระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) และรัฐบาลไทยเป็นหลัก สงครามเสื่อมลงในปี 2523 หลังรัฐบาลประกาศนิรโทษกรรม และในปี 2526 พคท. เลิกก่อการกำเริบ
ความขัดแย้งของคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ สงครามเย็น | |||||||
ถํ้าตะโคะบิ๊ หนึ่งในฐานที่มั่นของฝ่ายคอมมิวนิสต์ | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
สาธารณรัฐจีน (จนถึงกรกฎาคม 2510) สนับสนุนโดย:อินโดนีเซีย (ตั้งแต่ 2511)[5] |
| ||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
|
| ||||||
กำลัง | |||||||
กองทัพไทย: 127,700 นาย ตำรวจไทย: 45,800 นาย[4] |
ผู้ก่อการกำเริบ 1,000–12,000 คน ผู้ฝักใฝ่ 5,000–8,000 คน[7][11] | ||||||
ความสูญเสีย | |||||||
2509:[12] ทหารและตำรวจเสียชีวิต ~90 นาย 2510:[13] ทหารและตำรวจเสียชีวิต 33 นาย 2512–2514:[11][12] ทหาร ตำรวจและข้าราชการเสียชีวิต 1,450+ นาย บาดเจ็บ 100+ นาย 2515:[13] ทหารและตำรวจเสียชีวิต 418 นาย |
2509:[11] ผู้ก่อการกำเริบเสียชีวิต 133 คนและถูกจับกุม 49 คน[14] 2510:[13] ผู้ก่อการกำเริบเสียชีวิต 93 คน ไม่ทราบจำนวนผู้ถูกจับ 2512–2514:[11][12] ผู้ก่อการกำเริบเสียชีวิต 365+ คน บาดเจ็บ 30+ คน ถูกจับกุม 49+ คน 2515:[13] ผู้ก่อการกำเริบเสียชีวิต 1,172 คน[13] 1982:[13] ไม่ทราบจำนวนผู้เสียชีวิต ผู้ก่อการกำเริบยอมจำนน 3,000+ คน | ||||||
ไม่ทราบจำนวนพลเมืองที่เสียชีวิต (ฝ่ายรัฐบาลสังหารไป 3,008 คนใน พ.ศ. 2514–2517)[15] |
ภูมิหลัง
ใน พ.ศ. 2470 Han Minghuang นักคอมมิวนิสต์ชาวจีนพยายามจัดตั้งองค์การคอมมิวนิสต์ในกรุงเทพ ก่อนจะถูกจับกุมในเวลาต่อมา[12] ปีถัดมา โฮจิมินห์เดินทางไปยังภาคเหนือของไทย เพื่อพยายามจัดระเบียบโซเวียตในชุมชนเวียดนามท้องถิ่น[12] หลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 นายกรัฐมนตรี พระยามโนปกรณ์นิติธาดา กล่าวหาปรีดี พนมยงค์ ศัตรูทางการเมืองว่าเป็นคอมมิวนิสต์ โดยรัฐบาลของเขาผ่านพระราชบัญญัติว่าด้วยคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2476 ซึ่งกำหนดความผิดทางอาญาต่อลัทธิคอมมิวนิสต์[12]
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ฝ่ายคอมมิวนิสต์จัดตั้งพันธมิตรกับขบวนการเสรีไทย จากนั้นใน พ.ศ. 2489 ปรีดี พนมยงค์ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ยกเลิกพระราชบัญญัติต่อต้านคอมมิวนิสต์ และจัดตั้งความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหภาพโซเวียต[12]
ใน พ.ศ. 2492 ความพยายามในการกลับมามีอำนาจของปรีดี พนมยงค์หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2490 ถูกทำลายลง การปราบ "กบฎวังหลวง" ทำให้ผู้นำ พคท. เชื่อว่าต้องเตรียมการให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้การกบฏในอนาคตประสบผลสำเร็จ[16]
ความล้มเหลวของการก่อกบฏใน พ.ศ. 2495 นำไปสู่การใช้พระราชบัญญัติต่อต้านคอมมิวนิสต์ในวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495 โดยมีที่มาจากการมีส่วนร่วมของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จำนวนเล็กน้อยในการก่อกบฏ[16]
ในช่วงสงครามเกาหลี ทาง พคท. ยังคงสะสมอาวุธยุทโธปกรณ์ในพื้นที่ชนบทและเตรียมการสำหรับการต่อสู้ด้วยอาวุธ ขณะเดียวกัน พคท. ได้จัดตั้งคณะกรรมการสันติภาพแห่งประเทศไทยขึ้น ซึ่งเป็นขบวนการสันตินิยมที่ดำเนินการในพื้นที่เมือง คณะกรรมการสันติภาพนี้มีส่วนต่อการขยายตัวของ พคท. และเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อต้านอเมริกาในประเทศ[16]
ใน พ.ศ. 2503 ทางเวียดนามเหนือจัดตั้งค่ายฝึกอบรมสำหรับอาสาสมัครชาวไทยและลาวที่จังหวัดฮหว่าบิ่ญ ประเทศเวียดนาม โดยในช่วงปีแรกมีผู้เข้าร่วมค่ายรวม 400 คน[12]
พคท. มีอุดมการณ์เข้ากับลัทธิเหมา และในช่วงความแตกแยกระหว่างจีน–โซเวียต พรรคนี้เข้าเป็นฝ่ายเดียวกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2507 องค์กรประกาศจุดยืนในข้อความแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสครบรอบ 15 ปีการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน[7]
ความขัดแย้ง
ต้นคริสต์ทศวรรษ 1950 นักคอมมิวนิสต์ไทย 50 คนเดินทางไปกรุงปักกิ่ง ที่ซึ่งได้รับการฝึกด้านอุดมการณ์และการโฆษณาชวนเชื่อ ในปี 2504 กลุ่มผู้ก่อการกำเริบขบวนการปะเทดลาวขนาดเล็กแทรกซึมเข้าภาคเหนือของประเทศไทย มีการจัดระเบียบกลุ่มพรรคคอมมิวนิสต์ท้องถิ่นและมีการส่งอาสาสมัครไปยังค่ายฝึกในประเทศจีน ลาวและเวียดนามเหนือ โดยการฝึกมุ่งไปยังการต่อสู้ด้วยอาวุธและยุทธวิธีก่อการร้าย ระหว่างปี 2505 ถึง 2508 ชาวไทย 350 คนรับการฝึกนาน 8 เดือนในเวียดนามเหนือ เดิมทีกองโจรมีปืนคาบศิลาจำนวนจำกัด ตลอดจนอาวุธฝรั่งเศส จีนและญี่ปุ่น ในครึ่งแรกของปี 2508 ผู้ก่อการกำเริบลักลอบนำอาวุธที่ผลิตในสหรัฐ 3,000 ชิ้นและเครื่องกระสุน 90,000 นัดเข้าจากประเทศลาว สินค้าเหล่านี้เดิมจัดส่งให้กองทัพลาวที่สหรัฐหนุนหลัง แต่ถูกขายให้ผู้ลักลอบส่งออก แล้วแลกเปลี่ยนอาวุธให้แก่ พคท. แทน[4][11]
ระหว่างปี 2504 ถึง 2508 ผู้ก่อการกำเริบลอบฆ่าทางการเมือง 17 ครั้ง พคท. ยังไม่เปิดฉากสงครามกองโจรเต็มขั้นจนฤดูร้อนปี 2508 เมื่อ พคท. เริ่มปะทะกับฝ่ายความมั่นคง มีบันทึกรวม 13 ครั้งในช่วงนั้น ครึ่งหลังของปี 2508 มีเหตุการณ์ความรุนแรงอีก 25 ครั้ง และตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2508 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเริ่มปฏิบัติการที่ซับซ้อนมากขึ้น รวมทั้งการซุ่มโจมตีกองลาดตระเวนของตำรวจที่จังหวัดนครพนม[12]
ในปี 2509 การก่อการกำเริบลามไปส่วนอื่นของประเทศไทย แต่เหตุการณ์การก่อการกำเริบร้อยละ 90 เกิดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ[4] ในวันที่ 14 มกราคม 2509 โฆษกกลุ่มแนวร่วมรักชาติไทยเรียกร้อง "สงครามประชาชน" ในประเทศไทย แถลงการณ์นั้นเป็นเครื่องหมายการยกระดับความรุนแรงในความขัดแย้งนี้ และต้นเดือนเมษายน 2509 ผู้ก่อการกำเริบฆ่าทหาร 16 นายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 13 คนระหว่างการปะทะในจังหวัดเชียงราย[12] มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงรวม 45 นายและพลเรือน 65 คนเสียชีวิตจากการโจมตีของผู้ก่อการกำเริบในครึ่งแรกของปี 2509[12]
ขณะที่ลี้ภัยอยู่ในประเทศจีน เล่าว่าปรีดี พนมยงค์ได้รับข้อเสนอว่าทางการจีนพร้อมเปิดสงครามกลางเมืองคอมมิวนิสต์ในไทยเพื่อให้ปรีดีกลับไปมีอำนาจในประเทศไทย โดยขอแลกกับการเพิ่มสิทธิให้แก่ชาวจีนในประเทศไทย แต่เขาปฏิเสธ[17]: 797–801
แม้จะมีผุ้ก่อการกำเริบโจมตีฐานทัพที่กองทัพอากาศสหรัฐตั้งทัพในไทยถึง 5 ครั้ง การมีส่วนในความขัดแย้งของสหรัฐมีอยู่ในวงจำกัด[4][18]
หลังกองทัพปฏิวัติชาติพ่ายในสงครามกลางเมืองจีน กองพลที่ 49 ข้ามพรมแดนเข้าสู่ประเทศไทยจากมณฑลยูนนาน ทหารจีนบูรณาการเข้ากับสังคมไทยอย่างรวดเร็ว และเข้าร่วมการค้าฝิ่นที่ได้กำไรงามภายใต้การคุ้มครองของข้าราชการฉ้อฉล การค้ายาเสพติดเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประชากรท้องถิ่น ขณะเดียวกัน ทหารคณะชาติยังให้ความร่วมมือกับรัฐบาลระหว่างปฏิบัติการต่อต้านการก่อการกำเริบ ในเดือนกรกฎาคม 2510 เกิดสงครามฝิ่นเมื่อผู้ปลุกฝิ่นไม่ยอมจ่ายภาษีให้พรรคก๊กมินตั๋ง กำลังรัฐบาลเข้าร่วมความขัดแย้งนี้ด้วย โดยทำลายหมู่บ้านจำนวนหนึ่งแล้วย้ายถิ่นฐานผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ประชากรที่ถูกย้ายใหม่นี้เป็นทหารเกณฑ์ใหม่สำหรับ พคท.[1]
ในเดือนกุมภาพันธ์และสิงหาคม 2510 รัฐบาลดำเนินการตีโฉบฉวยต่อต้านการก่อการกำเริบจำนวนหนึ่งในกรุงเทพมหานครและธนบุรี จับกุมสมาชิก พคท. ได้ 30 คนรวมทั้งเลขาธิการพรรค ธง แจ่มศรี มีการจับกุมตามมาในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2511[12]
รัฐบาลวางกำลังกว่า 12,000 นายในจังหวัดภาคเหนือของประเทศในเดือนมกราคม 2515 ดำเนินปฏิบัติการนานหกสัปดาห์ซึ่งทำให้ผู้ก่อการกำเริบเสียชีวิตกว่า 200 คน ฝ่ายรัฐบาลมีทหารเสียชีวิต 30 นายและได้รับบาดเจ็บ 100 นาย[12]
ปลายปี 2515 กองทัพ ตำรวจและอาสารักษาดินแดนทำการ "เผาลงถังแดง" พลเรือนกว่า 200 คน[15] (บันทึกไม่เป็นทางการกล่าวว่าสูงถึง 3,000 คน)[19][20] ซึ่งถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนคอมมิวนิสต์ในตำบลแหลมทราย จังหวัดพัทลุง คาดว่ากองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเป็นผู้สั่งการ[15][21]
ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของ "รูปแบบการละเมิดอำนาจของกองทัพและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย"[22] ระหว่างปฏิบัติการต่อต้านการก่อการกำเริบที่ป่าเถื่อนในปี 2514–2516 ซึ่งทำให้มียอดพลเรือนเสียชีวิต 3,008 คนทั่วประเทศ[15] (ส่วนประมาณการอย่างไม่เป็นทางการว่ามีระหว่าง 1,000 ถึง 3,000 ในจังหวัดพัทลุงที่เดียว)[20] ผู้ที่ถูกฆ่าทั้งหมดถูกกล่าวหาว่าทำงานร่วมกับ พคท. จนถึงเวลานั้นผู้ต้องสงสัยคอมมิวนิสต์ที่ถูกทหารจับกุมปกติถูกยิงข้างถนน มีการริเริ่มเทคนิค "ถังแดง" ภายหลังเพื่อกำจัดหลักฐานใด ๆ ผู้ต้องสงสัยจะถูกทุบตีจนเกือบหมดสติก่อนถูกทิ้งลงในถังน้ำมันแล้วเผาทั้งเป็น[23][24] ถังแดง 200 ลิตรมีตะแกรงกั้นเหล็ก โดยมีไฟด้านล่าง และผู้ต้องสงสัยอยู่ด้านบน[25]
วันที่ 6 ตุลาคม 2519 ท่ามกลางความหวาดกลัวคอมมิวนิสต์ยึดประเทศเช่นเดียวกับที่เกิดในเวียดนาม ตำรวจและกำลังกึ่งทหารโจมตีการเดินขบวนของนักศึกษาฝ่ายซ้ายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประมาณการอย่างเป็นทางการระบุว่ามีนักศึกษาถูกฆ่า 46 คน และได้รับบาดเจ็บ 167 คน[26]
ตั้งแต่ปี 2522 ท่ามกลางความเจริญของลัทธิชาตินิยมไทยและความเสื่อมของความสัมพันธ์จีน–เวียดนาม ภายใน พคท. เกิดการต่อสู้อย่างรุนแรง สุดท้ายฝ่ายนิยมเวียดนามแยกตัวออกไปตั้งกลุ่มแยกต่างหาก ชื่อ "พรรคใหม่"[7]
ความพยายามยุติการก่อการกำเริบนำสู่นิรโทษกรรมซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2523 นายกรัฐมนตรี เปรม ติณสูลานนท์ ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 คำสั่งนี้มีผลสำคัญต่อความเสื่อมของการก่อการกำเริบ ในปี 2526 การก่อการกำเริบก็ถึงคราวยุติ[27]
ดูเพิ่ม
หมายเหตุ
- ในฐานะจอมทัพของกองทัพไทย
- ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพไทย (2506-2516) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (2500-2516)
- ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี (2506-2516) ผู้บัญชาการทหารบกไทย และอธิบดีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (2507-2516)
- ในฐานะนายกรัฐมนตรี (2519-2520)
- ในฐานะนายกรัฐมนตรี (2520-2523) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (2519-2523) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (2520-2522) และผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพไทย (2520-2521)
- ในฐานะนายกรัฐมนตรี (2523-2531) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (2522-2529) ผู้บัญชาการทหารบกไทย (2521-2525) และแม่ทัพภาคที่ 2 (2517-2520)
อ้างอิง
Wikiwand in your browser!
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.