ยูฟ่ายูโรปาลีก (อังกฤษ: UEFA Europa League) เป็นการแข่งขันฟุตบอลประจำปีระหว่างสโมสรฟุตบอลจากประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรป จัดโดยสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรปหรือยูฟ่า ตั้งแต่ ค.ศ. 1971 รายการนี้เป็นการแข่งขันระดับที่สองของฟุตบอลสโมสรยุโรปรองจาก ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และเหนือกว่า ยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก
ผู้จัด | ยูฟ่า |
---|---|
ก่อตั้ง | ค.ศ. 1971 (เปลี่ยนชื่อในปี ค.ศ. 2009) |
ภูมิภาค | ยุโรป |
จำนวนทีม | 32 (รอบแบ่งกลุ่ม)[lower-alpha 1] 58 (ทั้งหมด) |
ผ่านเข้าไปเล่นใน | ยูฟ่าซูเปอร์คัพ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก |
การแข่งขันที่เกี่ยวข้อง | ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (ระดับที่ 1) ยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก (ระดับที่ 3) |
ทีมชนะเลิศปัจจุบัน | อาตาลันตา (สมัยที่ 1) |
ทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุด | เซบิยา (7 สมัย) |
ผู้แพร่ภาพโทรทัศน์ | รายชื่อผู้ถ่ายทอดสด |
เว็บไซต์ | เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ |
ยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2024–25 |
แต่เดิม การแข่งขันนี้เรียกว่า ยูฟ่าคัพ (อังกฤษ: UEFA Cup) โดยแทนที่อินเตอร์-ซิตีส์แฟส์คัพ ยูฟ่าคัพเป็นการแข่งขันระดับสามตั้งแต่ ค.ศ. 1971 ถึง 1999 ก่อน ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ จะถูกยกเลิก[1][2] สโมสรฟุตบอลมีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันในรายการนี้ จากผลงานของพวกเขาในลีกระดับประเทศและการแข่งขันฟุตบอลถ้วยในประเทศ
ใน ค.ศ. 1999 การแข่งขัน ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ ถูกยกเลิกและได้รวมเข้ากับยูฟ่าคัพ[3] ตั้งแต่ฤดูกาล 2004–05 มีการเพิ่มรอบแบ่งกลุ่ม ก่อนจะเข้าสู่รอบแพ้คัดออก ยูฟ่าคัพ เปลี่ยนชื่อเป็น ยูฟ่ายูโรปาลีก ตั้งแต่ ฤดูกาล 2009–10[4][5] หลังมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแข่งขัน[6] โดยได้รวมการแข่งขัน ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ ทำให้ ยูฟ่ายูโรปาลีก มีรูปแบบการแข่งขันที่ขยายใหญ่ขึ้น โดยมีกลุ่มในรอบแบ่งกลุ่มที่มากขึ้นและการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์ในการผ่านเข้ารอบ ผู้ชนะเลิศ ยูฟ่ายูโรปาลีก สามารถเข้าไปแข่งขันในรายการ ยูฟ่าซูเปอร์คัพ และ ตั้งแต่ฤดูกาล 2014–15 สามารถเข้าไปแข่งขันในรายการ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ในฤดูกาลถัดไป ยูฟ่า–คอนเมบอลคลับแชลลินจ์ การแข่งขันกระชับมิตรกับผู้ชนะเลิศคอนเมบอล โกปา ซูดาเมริกานา ตั้งแต่ ค.ศ. 2023
สโมสรจากสเปนเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด (14 สมัย) ตามมาด้วยสโมสรจากอังกฤษและอิตาลี (ประเทศละ 9 สมัย) มีสโมสรชนะเลิศรายการนี้ 29 สโมสร โดยมี 14 สโมสรชนะเลิศมากกว่าหนึ่งสมัย สโมสรที่ประสบความสำเร็จที่สุดคือ เซบิยา โดยชนะเลิศ 7 สมัย ในฤดูกาลล่าสุด (2023-24) สโมสรที่ชนะเลิศ คือ อาตาลันตา ซึ่งคว้าแชมป์รายการนี้เป็นสมัยแรก โดยเอาชนะไบเออร์เลเวอร์คูเซิน ในนัดชิงชนะเลิศ
ประวัติ
ก่อนหน้าการแข่งขันยูฟ่าคัพ มีการแข่งขันชื่อว่า อินเตอร์-ซิตีส์แฟส์คัพ (อังกฤษ: Inter-Cities Fairs Cup) เป็นการแข่งขันฟุตบอลระหว่างสโมสรในยุโรป โดยแข่งขันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1955 ถึง 1971 การแข่งขันครั้งแรก (1955–58) นั้นมีสโมสรเข้าร่วม 11 สโมสร จนการแข่งขันครั้งสุดท้าย (1970–71) มีสโมสรเข้าร่วม 64 สโมสร การแข่งขันกลายสิ่งที่สำคัญมากในวงการฟุตบอลยุโรป จนในที่สุด ยูฟ่า ได้เข้ามาควบคุมดูแลและเปิดการแข่งขันใหม่ในชื่อ ยูฟ่าคัพ ในฤดูกาลถัดมา
ยูฟ่าคัพแข่งขันครั้งแรกในฤดูกาล 1971–72 โดยนัดชิงชนะเลิศ เป็นการพบกันระหว่างสองสโมสรจากอังกฤษ วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ กับ ทอตนัมฮอตสเปอร์ โดยสเปอร์เป็นผู้ชนะเลิศ ลิเวอร์พูล เป็นอีกหนึ่งสโมสรจากอังกฤษที่ชนะเลิศยูฟ่าคัพในปี ค.ศ. 1973 หลังเอาชนะ โบรุสซีอาเมินเชินกลัทบัค ในนัดชิงชนะเลิศ กลัทบัค ชนะเลิศรายการนี้ในปี ค.ศ. 1975 และ 1979 และเข้าสู่นัดชิงชนะเลิศอีกครั้งในปี ค.ศ. 1980 ไฟเยอโนร์ด ชนะเลิศยูฟ่าคัพในปี ค.ศ. 1974 หลังเอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ด้วยผลประตูรวม 4–2 (2–2 ในลอนดอน, 2–0 ในรอตเทอร์ดาม) ลิเวอร์พูล ชนะรายการนี้เป็นครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1976 หลังเอาชนะ กลึบบรึค ในนัดชิงชนะเลิศ
ในทศวรรษ 1980 อีเอฟโค เยอเตอบอร์ (1982 และ 1987) และ เรอัลมาดริด (1985 และ 1986) ชนะเลิศรายการนี้สโมสรละสองครั้ง อันเดอร์เลคต์ เข้าสู่นัดชิงชนะเลิศสองปีติดต่อกัน โดยชนะเลิศในปี ค.ศ. 1983 และ แพ้ให้กับ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ในปี ค.ศ. 1984 ต่อมาในปี ค.ศ. 1989 เริ่มมีสโมสรจากอิตาลีเข้ามาชนะเลิศในรายการนี้มากขึ้น หลัง นาโปลี ของ ดิเอโก มาราโดนา เอาชนะ ชตุทท์การ์ท
ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 มีนัดชิงชนะเลิศที่เป็นการพบกันเองของสโมสรจากอิตาลีสองครั้ง และในปี ค.ศ. 1992 โตรีโน แพ้ อายักซ์ ในนัดชิงชนะเลิศ ด้วย กฎประตูทีมเยือน ยูเวนตุส ชนะเลิศรายการนี้เป็นครั้งที่สามในปี ค.ศ. 1993 และ อินแตร์มิลาน ชนะเลิศรายการนี้ในปีถัดมา ในปี ค.ศ. 1995 มีนัดชิงชนะเลิศที่เป็นการพบกันเองของสโมสรจากอิตาลีเป็นครั้งที่สาม โดย ปาร์มา เป็นผู้ชนะเลิศรายการนี้ เพื่อพิสูจน์ความสม่ำเสมอของพวกเขา หลังชนะเลิศ ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ สองปีติดต่อกัน นัดชิงชนะเลิศนัดเดียวที่ไม่มีสโมสรจากอิตาลีคือในปี ค.ศ. 1996 อินแตร์มิลาน เข้าสู่นัดชิงชนะเลิศสองปีติดต่อกัน โดยแพ้ให้กับ ชัลเคอ 04 ในปี ค.ศ. 1997 ในการดวลจุดโทษ และชนะเลิศในนัดชิงชนะเลิศที่เป็นการพบกันเองของสโมสรจากอิตาลีเป็นครั้งที่สี่ ในปี ค.ศ. 1998 โดยเป็นการชนะเลิศสามครั้งของอินแตร์มิลานภายในแปดปี ปาร์มา ชนะเลิศในปี ค.ศ. 1999 เป็นการสิ้นสุดยุคที่อิตาลีครอบครองรายการนี้ และเป็นนัดชิงชนะเลิศสุดท้ายของ ยูฟ่าคัพ/ยูโรปาลีก ที่ไม่มีสโมสรจากอิตาลี จนกระทั่งอินแตร์มิลานเข้าสู่นัดชิงชนะเลิศ ในปี ค.ศ. 2020
ลิเวอร์พูลชนะเลิศรายการนี้เป็นครั้งที่สามในปี ค.ศ. 2001 ไฟเยอโนร์ดชนะเลิศรายการนี้เป็นครั้งที่สองในปี ค.ศ. 2002 หลังเอาชนะ โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ ด้วยผลประตูรวม 3–2 ในสนามกีฬาของพวกเขาเอง (เดอเกยป์ ใน รอตเทอร์ดาม) โปร์ตู ชนะเลิศรายการนี้ครั้งแรกในปี ค.ศ. 2003 และชนะเลิศอีกครั้งในปี ค.ศ. 2011 หลังเอาชนะ บรากา สโมสรจากโปรตุเกสด้วยกันเอง ในปี ค.ศ. 2004 เริ่มเห็นสโมสรจากสเปนกลับมาชนะเลิศในรายการนี้อีกครั้ง เริ่มต้นด้วย บาเลนเซีย ชนะเลิศในปี ค.ศ. 2004 และ เซบิยา ชนะเลิศติดต่อกันในปี ค.ศ. 2006 และ 2007 โดยในนัดชิงชนะเลิศในปี ค.ศ. 2007 เป็นการเอาชนะ อัสปัญญ็อล สโมสรจากสเปนด้วยกันเอง นอกจากนี้ ยังมีสโมสรจากรัสเซียสองสโมสร ซีเอสเคเอ มอสโก ชนะเลิศในปี ค.ศ. 2005 และ เซนิตเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ชนะเลิศในปี ค.ศ. 2008 ชัคตาร์ดอแนตสก์ ชนะเลิศในปี ค.ศ. 2009 โดยเป็นอดีตสโมสรฟุตบอลจากโซเวียตและจากยูเครนปัจจุบันที่ชนะเลิศในรายการนี้
ตั้งแต่ฤดูกาล 2009–10 การแข่งขันยูฟ่าคัพ ได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น ยูฟ่ายูโรปาลีก[4][5] ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ การแข่งขันระดับที่สามของยูฟ่า ยกเลิกการแข่งขันและรวมเข้ากับยูโรปาลีกใหม่
อัตเลติโกเดมาดริด ชนะเลิศในรายการนี้สองครั้งในสามฤดูกาล ในปี ค.ศ. 2010 และ 2012 โดยในนัดชิงชนะเลิศในปี ค.ศ. 2012 เป็นการเอาชนะ อัตเลติกเดบิลบาโอ สโมสรจากสเปนด้วยกันเอง เชลซี ชนะเลิศในรายการนี้ครั้งแรกในปี ค.ศ. 2013 กลายเป็นสโมสรแรกที่ชนะเลิศแชมเปียนลีกแล้วชนะเลิศยูฟ่าคัพ/ยูโรปาในปีถัดมา ในปี ค.ศ. 2014 เซบิยาชนะเลิศในรายการนี้เป็นครั้งที่สามในรอบแปดปี หลังเอาชนะ ไบฟีกา ในการดวลจุดโทษ เซบิยาชนะเลิศครั้งที่สี่ในปี ค.ศ. 2015, ครั้งที่ห้าในปี ค.ศ. 2016 หลังเอาชนะลิเวอร์พูลในนัดชิงชนะเลิศ และครั้งที่หกในปี ค.ศ. 2020 หลังเอาชนะอินแตร์มิลานในนัดชิงชนะเลิศ ทำให้เซบิยากลายเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในรายการนี้
ถ้วยรางวัล
ยูฟ่าคัพ หรือ รู้จักในชื่อ คูปยูฟ่า เป็นถ้วยรางวัลประจำปีโดยยูฟ่า ที่มอบให้กับสโมสรฟุตบอลที่ชนะเลิศในรายการยูฟ่ายูโรปาลีก ก่อนการแข่งขันในฤดูกาล 2009–10 การแข่งขันและถ้วยรางวัลมีชื่อว่า 'ยูฟ่าคัพ' เหมือนกัน
ก่อนการแข่งขันจะเปลี่ยนชื่อเป็น ยูฟ่ายูโรปาลีก ใน ฤดูกาล 2009–10 ข้อบังคับของยูฟ่าระบุว่า สโมสรสามารถเก็บถ้วยรางวัลไว้ได้หนึ่งปี ก่อนที่จะส่งคืนให้กับยูฟ่า หลังจากคืนถ้วยรางวัลแล้ว สโมสรสามารถเก็บแบบจำลองของถ้วยรางวัลที่มีขนาดสี่ในห้าไว้ได้ เมื่อสโมสรชนะเลิศติดต่อกันสามครั้งหรือชนะเลิศรวมกันห้าครั้ง สโมสรสามารถเก็บถ้วยรางวัลไว้ได้อย่างถาวร[7] อย่างไรก็ตาม ภายใต้กฎข้อบังคับใหม่ ถ้วยรางวัลยังคงอยู่ในการเก็บรักษาของยูฟ่าตลอดเวลา ถ้วยรางวัลจำลองขนาดเต็มจะมอบให้กับทุกสโมสรที่ชนะเลิศการแข่งขัน นอกจากนี้ สโมสรที่ชนะสามครั้งติดต่อกันหรือรวมกันห้าครั้ง จะได้รับตราที่บ่งบอกถึงจำนวนที่ชนะเลิศ[8] ในฤดูกาล 2016–17 เซบิยาเป็นสโมสรเดียวที่ใส่ตราที่บ่งบอกถึงจำนวนที่ชนะเลิศ หลังประสบความสำเร็จทั้งสองอย่างมาก่อนใน นัดชิงชนะเลิศ 2016[9]
ถ้วยรางวัลออกแบบและสร้างโดย เบอร์โตนี สำหรับ ยูฟ่าคัพ นัดชิงชนะเลิศ 1972 มีลักษณะเป็นถ้วยทรงสูงสีเงินบนฐานหินอ่อนสีเหลือง[10] มีความสูง 65 เซนติเมตร, กว้าง 33 เซนติเมตร, ลึกประมาณ 23 เซนติเมตรและมีน้ำหนัก 15 กิโลกรัม[11]
เพลงสรรเสริญ
เพลงสรรเสริญเป็นดนตรีที่เล่นก่อนการแข่งขันในรายการยูโรปาลีกทุกนัด ณ สนามกีฬาที่แข่งขันในรายการดังกล่าว และก่อนการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ทุกนัดของยูโรปาลีก โดยเป็นองค์ประกอบดนตรีของการเปิดการแข่งขัน[12]
เพลงสรรเสริญแรกของการแข่งขัน แต่งโดย ยวน ซวิก และบันทึกเสียงโดย แพริสโอเปรา ในช่วงต้นปี ค.ศ. 2009 เพลงสำหรับยูโรปาลีกเปิดตัวครั้งแรกอย่างเป็นทางการที่ ไกรเมลดิฟอรัม เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 2009 ก่อนการจับสลากรอบแบ่งกลุ่ม ฤดูกาล 2009–10 เพลงสรรเสริญเพลงที่สอง แต่งโดย มิคาเอล คาเดิลบัก และบันทึกเสียงในเบอร์ลิน เป็นส่วนหนึ่งของการรีแบรนด์การแข่งขันใหม่ในฤดูกาล 2015–16[13] เพลงสรรเสริญเพลงที่สามสร้างโดย แมสซีฟมิวสิก สำหรับการแข่งขันในฤดูกาล 2018–19[14]
รูปแบบการแข่งขัน
การคัดเลือก
การคัดเลือกเข้ามาแข่งขันในรายการนี้ ใช้การอ้างอิงจากค่าสัมประสิทธิ์ยูฟ่า ประเทศที่ประสบความสำเร็จมากกว่าจะได้เข้าไปอยู่ในรอบที่ดีกว่า ในทางปฏิบัติ แต่ละสมาคมจะได้รับสิทธิ์ในการเข้ามาแข่งขันในรายการนี้จำนวนสามทีมเท่ากัน ยกเว้น:
- ประเทศที่อยู่ในอันดับที่ 51 ถึง 55 (ยิบรอลตาร์, ไอร์แลนด์เหนือ, คอซอวอ, อันดอร์ราและซานมารีโน ในฤดูกาล 2020–21) ได้รับสิทธิ์ในการเข้ามาแข่งขันในรายการนี้สมาคมละสองทีม
- ลิกเตนสไตน์ ได้รับสิทธิ์ในการเข้ามาแข่งขันในรายการนี้ เฉพาะทีมที่ชนะเลิศฟุตบอลถ้วย
ปกติแล้ว ทีมที่เข้าไปแข่งขันในยูฟ่ายูโรปาลีก มักจะเป็นทีมรองชนะเลิศจากลีกสูงสุดในแต่ละประเทศและผู้ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลถ้วยหลัก โดยทั่วไปแล้ว คือทีมที่อยู่ในอันดับสูงสุดที่ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก อย่างไรก็ตาม ใน เบลเยียมลีก การเข้าไปแข่งขันในรายการนี้ ต้องเพลย์ออฟระหว่างทีมจาก เฟิสต์ เอกับเฟิสต์ บี มีไม่กี่ประเทศที่มีการแข่งขันฟุตบอลถ้วยรอง แต่เฉพาะผู้ชนะเลิศฟุตบอลถ้วยรองของอังกฤษและของฝรั่งเศสเท่านั้น ที่ได้รับสิทธิ์เข้าไปแข่งขันในยูฟ่ายูโรปาลีก
การเข้ามาแข่งขันในรายการยุโรป สามารถเข้ามาได้มากกว่าหนึ่งเส้นทาง ในทุกกรณี ถ้าสโมสรมีสิทธิ์เข้าไปแข่งขันใน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก แล้ว จะไม่สามารถเข้าไปแข่งขันใน ยูฟ่ายูโรปาลีก ได้ เพราะสิทธิ์ของแชมเปียนส์ลีกมีความสำคัญมากกว่า สิทธิ์ของยูฟ่ายูโรปาลีกจะมอบให้กับสโมสรอื่นหรือปล่อยว่าง หากเกินขีดจำกัดสูงสุดของทีมที่มีสามารถเข้าไปแข่งขันในรายการยุโรป ถ้าทีมที่ผ่านเข้าไปแข่งขันในรายการยุโรป จากการชนะเลิศฟุตบอลถ้วยและตำแหน่งในลีก สิทธิ์ "สำรอง" ของยูฟ่ายูโรปาลีกจะย้ายไปที่อันดับสูงสุดในลีก ที่ยังไม่ได้ผ่านเข้าไปแข่งขันในรายการยุโรป ขึ้นอยู่กับกฎของสมาคมของแต่ละประเทศหรือปล่อยว่างหากถึงขีดจำกัดตามที่กล่าวไว้ข้างต้น
สมาคมฟุตบอลสามอันดับแรกอาจจะได้รับสิทธิ์ที่สี่ หากผู้ชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกและยูโรปาลีกมาจากสมาคมดังกล่าว และไม่สามารถเข้าไปแข่งขันในรายการยุโรปได้จากผลงานในประเทศ ในกรณีนี้ ทีมอันดับที่สี่ในสมาคมดังกล่าวจะเข้าไปแข่งขันในยูโรปาลีกแทนที่แชมเปียนส์ลีก เพิ่มเติมจากทีมอื่นที่ผ่านเข้ารอบ
ทีมที่ตกรอบจากรอบคัดเลือกและรอบแบ่งกลุ่มในแชมเปียนส์ลีก สามารถเข้าแข่งขันในยูโรปาลีก ในรอบต่าง ๆ (ดูด้านล่าง) ในอดีต ทีมที่ชนะเลิศยูโรปาลีก สามารถเข้ามาแข่งขันในยูโรปาลีกเพื่อป้องกันแชมป์ แต่ตั้งแต่ ค.ศ. 2015 ทีมที่ชนะเลิศยูโรปาลีก จะเข้าไปแข่งขันในแชมเปียนส์ลีก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995 ถึง 2015 สามลีกแรกที่มีคะแนน การจัดอันดับแฟร์เพลย์ของยูฟ่า สูงสุด จะได้รับหนึ่งสิทธิ์พิเศษเข้าไปแข่งขันในยูโรปาลีก
รูปแบบในอดีต
ในอดีต การแข่งขันมีรูปแบบเป็นแบบแพ้คัดออกอย่างเดียว โดยแข่งขันสองนัดในระบบเหย้า-เยือน ตั้งแต่รอบแรกจนถึงรอบชิงชนะเลิศ จนกระทั่งใน ฤดูกาล 1997–98 ได้เปลี่ยนแปลงการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ให้แข่งขันแค่นัดเดียว ส่วนรอบอื่น ๆ ยังคงเป็นแบบแข่งขันสองนัด
ก่อน ฤดูกาล 2004–05 การแข่งขันประกอบด้วย หนึ่งรอบคัดเลือกแล้วตามมาด้วยรอบแพ้คัดออก 16 ทีมที่ตกรอบจากรอบคัดเลือกสุดท้ายของแชมเปียนส์ลีก เข้าสู่รอบแรกของยูฟ่าคัพ ต่อมา ทีมที่จบอันดับสามในรอบแบ่งกลุ่มแรกของแชมเปียนส์ลีก เข้าสู่รอบสุดท้ายของยูฟ่าคัพ
ตั้งแต่ฤดูกาล 2004–05 การแข่งขันเริ่มต้นด้วยรอบคัดเลือกสองรอบ แข่งขันในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม ทีมที่มาจากสมาคมอันดับที่ 18 และต่ำกว่า จะเข้าสู่รอบคัดเลือกรอบแรก ทีมที่มาจากสมาคมอันดับที่ 9–18 จะเข้าสู่รอบคัดเลือกรอบสอง ร่วมกับทีมที่ชนะจากรอบคัดเลือกรอบแรก นอกจากนี้ ยังมีสามสิทธิ์ในรอบคัดเลือกรอบแรกสำรองไว้ให้กับทีมที่มีคะแนนของ การจัดอันดับแฟร์เพลย์ของยูฟ่า สูงสุด (จนถึงฤดูกาล 2015–16) และสิบเอ็ดสิทธิ์ในรอบคัดเลือกรอบสอง สำหรับทีมที่ชนะเลิศ ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ
ทีมที่ชนะในรอบคัดเลือกจะเข้าร่วมในรอบแรก ร่วมกับทีมที่มาจากสมาคมอันดับที่ 1–13 นอกจากนี้ ยังมีทีมที่ตกรอบจากรอบคัดเลือกรอบสามในแชมเปียนส์ลีก เข้าร่วมในรอบนี้ ร่วมกับ ทีมที่ป้องกันแชมป์ (เว้นแต่พวกเขาจะผ่านเข้ารอบไปแข่งขันในแชมเปียนส์ลีกจากผลงานในลีกระดับประเทศ) รวมแล้วรอบแรกมีทีมทั้งหมด 80 ทีม
หลังผ่านรอบแพ้คัดออกรอบแรก 40 ทีมที่เหลือจะเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่ม โดยจับสลากแบ่งเป็น 8 กลุ่ม กลุ่มละ 5 ทีม รอบแบ่งกลุ่มของยูฟ่าคัพไม่เหมือนกับแชมเปียนส์ลีก ในยูฟ่าคัพ แต่ละทีมจะแข่งขันพบกันแค่ครั้งเดียว, โดยแข่งขันเกมเหย้าสองนัดและเยือนสองนัด สามทีมแรกของแต่ละกลุ่ม จะผ่านเข้าไปในรอบแพ้คัดออกหลัก ร่วมกับ 8 ทีมที่จบอันดับสามในรอบแบ่งกลุ่มของแชมเปียนส์ลีก หลังจากนั้น เป็นการแข่งขันแบบแพ้คัดออกสองนัด ก่อนจะเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศหนึ่งนัด ซึ่งตามธรรมเนียมแล้ว จะแข่งขันในวันพุธในเดือนพฤษภาคม หนึ่งสัปดาห์ก่อนการแข่งขันแชมเปียนส์ลีกรอบชิงชนะเลิศ
รูปแบบปัจจุบัน
ใน ฤดูกาล 2009–10 การแข่งขันได้รับการรีแบรนด์ใหม่เป็น ยูฟ่ายูโรปาลีก โดยยูฟ่าต้องการให้การแข่งขันดูน่าสนใจมากขึ้น[4] โดยมีทีมเพิ่มขึ้นอีก 8 ทีมที่ผ่านเข้าไปในรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งประกอบด้วย 12 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม (แข่งขันโดยพบกันหมดเหย้า-เยือน) โดยทีมที่จบ 2 อันดับแรกในแต่ละกลุ่ม จะเข้ารอบถัดไป จากนั้นการแข่งขันจะดำเนินไปในลักษณะเดียวกับรูปแบบก่อนหน้านี้ ประกอบด้วย รอบแพ้คัดออกแบบพบกันเหย้า-เยือน สี่รอบและหนึ่งนัดชิงชนะเลิศ ที่จะแข่งขันในสนามกลางที่ผ่านคุณสมบัติการแบ่งประเภทสนามฟุตบอลของยูฟ่า นัดชิงชนะเลิศแข่งขันในเดือนพฤษภาคม ในวันพุธ สิบวันก่อนนัดชิงชนะเลิศของแชมเปียนส์ลีก
การคัดเลือกเข้าไปแข่งขันในรายการนี้ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ สมาคมอันดับที่ 7–9 ตามค่าสัมประสิทธิ์ของยูฟ่า ส่งทีมที่ชนะเลิศฟุตบอลถ้วยและอีกสามทีม (สองทีม ตั้งแต่ฤดูกาล 2015–16) เข้าแข่งขันในยูฟ่ายูโรปาลีก ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ส่งทีมที่ชนะเลิศฟุตบอลถ้วยและอีกสองทีม ยกเว้น อันดอร์ราและซานมารีโน ที่ส่งเฉพาะทีมชนะเลิศฟุตบอลถ้วยและทีมรองชนะเลิศ และ ลิกเตนสไตน์ ที่ส่งเฉพาะทีมที่ชนะเลิศฟุตบอลถ้วยเท่านั้น ตั้งแต่ยิบรอลตาร์ได้รับการยอมรับให้เป็นสมาชิกยูฟ่าเต็มตัว ในการประชุมยูฟ่าคองเกรสซึ่งจัดขึ้นในลอนดอนเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 2013 ทีมที่ชนะเลิศฟุตบอลถ้วยของพวกเขา สามารถเข้าแข่งขันในรายการยูโรปาลีก โดยปกติแล้ว ทีมอื่น ๆ จะเป็นสโมสรที่มีอันดับสูงสุดถัดไปในแต่ละลีกในประเทศ ที่ไม่ได้เข้าไปแข่งขันในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก แต่ฝรั่งเศสและอังกฤษจะยังคงใช้หนึ่งสิทธิ์สำหรับทีมที่ชนะเลิศลีกคัพ หลังจากยกเลิกการแข่งขัน อินเตอร์โตโตคัพ ทีมที่จะเข้ามาแข่งขันในยูโรปาลีกต้องมาจากการแข่งขันภายในประเทศ โดยทั่วไปแล้ว สมาคมที่มีอันดับค่าสัมประสิทธิ์ของยูฟ่าที่สูงกว่า สโมสรจากสมาคมดังกล่าว จะได้แข่งขันในรอบคัดเลือกรอบหลัง ๆ อย่างไรก็ตามทุกทีม ยกเว้นทีมป้องกันแชมป์ (จนถึงฤดูกาล 2014–15) และทีมที่มีอันดับสูงสุด (โดยปกติจะเป็นทีมที่ชนะฟุตบอลถ้วย และ/หรือ ทีมที่ผ่านเข้ารอบยูโรปาลีกที่ดีที่สุด) จากสมาคมอันดับสูงสุด (6 ทีม ในฤดูกาล 2012–15, 12 ทีม ตั้งแต่ฤดูกาล 2015–16) ต้องเล่นรอบคัดเลือกอย่างน้อยหนึ่งรอบ
นอกเหนือจากทีมที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว ทุกทีมที่ตกรอบเบื้องต้นของแชมเปียนส์ลีก, รอบคัดเลือกและรอบเพลย์-ออฟ จะถูกโอนไปยังยูโรปาลีก ทีมที่ชนะเลิศ 12 ทีม และรองชนะเลิศ 12 ทีม ในรอบแบ่งกลุ่ม จะเข้าสู่รอบแพ้คัดออก ร่วมกับ 8 ทีมที่จบอันดับสามในแชมเปียนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่ม
ในปี ค.ศ. 2014 การจัดการแข่งขันได้มีการเปลี่ยนแปลง เพื่อความน่าสนใจของการแข่งขันให้มากขึ้น โดยให้ทีมที่ชนะเลิศยูโรปาลีก ได้รับสิทธิ์เข้าไปแข่งขันในแชมเปียนส์ลีก ทีมส่วนใหญ่จะผ่านเข้าไปในรอบแบ่งกลุ่มโดยอัตโนมัติ ถ้าทีมที่ชนะเลิศฟุตบอลถ้วย ได้สิทธิ์ไปแข่งขันในรายการยุโรปผ่านผลงานของพวกเขาในลีกแล้ว สิทธิ์ดังกล่าวจะตกไปยังในลีกและมอบให้กับทีมที่อยู่ในอันดับที่ดีที่สุด ที่ไม่ได้ไปแข่งขันในรายการยุโรป หมายความว่า ทีมที่เป็นรองชนะเลิศในการแข่งขันฟุตบอลถ้วย ไม่สามารถเข้าแข่งในรายการยูโรปาลีกได้อีกต่อไป จากสิทธิ์ของฟุตบอลถ้วย[15] กฎเหล่านี้มีผลบังคับใช้ในฤดูกาล 2015–16
การจัดสรร (ตั้งแต่ 2015–16 ถึง 2017–18)
ทีมที่เข้ามาในรอบนี้ | ทีมที่ผ่านเข้ามาจากรอบก่อนหน้านี้ | ทีมที่ย้ายมาจากแชมเปียนส์ลีก | |
---|---|---|---|
รอบคัดเลือกรอบแรก (104 ทีม) |
|
||
รอบคัดเลือกรอบสอง (66 ทีม) |
|
|
|
รอบคัดเลือกรอบสาม (58 ทีม) |
|
|
|
รอบเพลย์-ออฟ (44 ทีม) |
|
| |
รอบแบ่งกลุ่ม (48 ทีม) |
|
|
|
รอบแพ้คัดออก (32 ทีม) |
|
|
ตารางข้างต้นคือแบบชั่วคราว เนื่องจากอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในกรณีต่อไปนี้:
- ถ้าทีมที่ชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกหรือยูโรปาลีก ผ่านเข้าไปแข่งขันในยูโรปาลีกจากผลงานของพวกเขาในลีกระดับประเทศ จะทำให้สิทธิ์ของยูโรปาลีกนั้นปล่อยว่าง (ไม่ได้ถูกแทนที่โดยทีมอื่นจากสมาคมเดียวกัน) และทีมที่ชนะเลิศฟุตบอลถ้วยในสมาคมที่มีอันดับสูงสุด จะถูกย้ายเข้าไปในรอบถัด ๆ ไป[16]
- ในบางกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงรายชื่อทีมที่เข้าไปแข่งขันในแชมเปียนส์ลีก จำนวนทีมที่ตกรอบจากแชมเปียนส์ลีกรอบคัดเลือกรอบสาม ที่ย้ายไปยูโรปาลีกจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงจากจำนวนเริ่มต้นที่ 15 ซึ่งหมายถึง จะต้องเปลี่ยนแปลงรายชื่อทีมที่เข้าไปแข่งขันในยูโรปาลีกด้วย[17]
- เนื่องจากแต่ละสมาคมสามารถส่งทีมเข้าร่วมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้สูงสุดห้าทีม หากทั้งทีมที่ชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกและทีมที่ชนะเลิศยูโรป้าลีกมาจากสมาคมเดียวกันที่อยู่ในสามอันดับแรก และจบนอกสี่อันดับแรกของลีกในประเทศของพวกเขา ทีมที่จบอันดับสี่ในสมาคมของพวกเขา จะถูกแทนที่ด้วยการย้ายไปแข่งขันในยูโรป้าลีกและเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งหมายความว่าอาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงรายชื่อทีมที่เข้าไปแข่งขันในยูโรปาลีกด้วย[18]
การจัดสรร (ตั้งแต่ 2018–19 ถึง 2020–21)
เริ่มตั้งแต่การแข่งขันในฤดูกาล 2018–19 ทีมที่ชนะเลิศจากการแข่งขันภายในประเทศ ที่ตกรอบจากรอบคัดเลือกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก จะถูกย้ายเข้ามาแข่งขันในยูโรปาลีก นอกเหนือจากทีมที่ตกรอบจากรอบคัดเลือกรอบสามและรอบเพลย์ออฟ ยูโรปาลีกรอบคัดเลือกจะมีเส้นทางแชมเปียนแยกต่างหาก ทำให้ทีมที่เป็นแชมป์ลีกของแต่ละประเทศ มีโอกาสที่จะแข่งขันกันเองมากขึ้น[19]
ทีมที่เข้ามาในรอบนี้ | ทีมที่ผ่านเข้ามาจากรอบก่อนหน้านี้ | ทีมที่ย้ายมาจากแชมเปียนส์ลีก | ||
---|---|---|---|---|
รอบเบื้องต้น (16 ทีม) |
|
|||
รอบคัดเลือกรอบแรก (94 ทีม) |
|
|
||
รอบคัดเลือกรอบสอง | แชมป์เปียน (20 ทีม) |
| ||
ไม่ใช่แชมป์เปียน (74 ทีม) |
|
|
||
รอบคัดเลือกรอบสาม | แชมป์เปียน (20 ทีม) |
|
| |
ไม่ใช่แชมป์เปียน (52 ทีม) |
|
|
| |
รอบเพลย์-ออฟ | แชมป์เปียน (16 ทีม) |
|
| |
ไม่ใช่แชมป์เปียน (26 ทีม) |
|
|||
รอบแบ่งกลุ่ม (48 ทีม) |
|
|
| |
รอบแพ้คัดออก (32 ทีม) |
|
|
การแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ
รอบชิงชนะเลิศ (นัดเดียว)
รอบชิงชนะเลิศ (สองนัด)
ทำเนียบผู้ชนะเลิศ
ผลงานจำแนกตามสโมสร
สโมสร | ชนะเลิศ | รองชนะเลิศ | ปีที่ชนะเลิศ | ปีที่ได้รองชนะเลิศ |
---|---|---|---|---|
เซบิยา | 7 | 0 | 2006, 2007, 2014, 2015, 2016, 2020, 2023 | — |
อินเตอร์มิลาน | 3 | 2 | 1991, 1994, 1998 | 1997, 2020 |
ลิเวอร์พูล | 3 | 1 | 1973, 1976, 2001 | 2016 |
ยูเวนตุส | 3 | 1 | 1977, 1990, 1993 | 1995 |
อัตเลติโกเดมาดริด | 3 | 0 | 2010, 2012, 2018 | — |
โบรุสซีอาเมินเชินกลัทบัค | 2 | 2 | 1975, 1979 | 1973, 1980 |
ทอตนัมฮอตสเปอร์ | 2 | 1 | 1972, 1984 | 1974 |
ไฟเยอโนร์ด | 2 | 0 | 1974, 2002 | — |
ไอน์ทรัคท์ฟรังค์ฟวร์ท | 2 | 0 | 1980, 2022 | — |
อีเอฟโค เยอเตอบอร์ | 2 | 0 | 1982, 1987 | — |
เรอัลมาดริด | 2 | 0 | 1985, 1986 | — |
ปาร์มา | 2 | 0 | 1995, 1999 | — |
โปร์ตู | 2 | 0 | 2003, 2011 | — |
เชลซี | 2 | 0 | 2013, 2019 | — |
อันเดอร์เลคต์ | 1 | 1 | 1983 | 1984 |
ไบเออร์เลเวอร์คูเซิน | 1 | 1 | 1988 | 2024 |
อายักซ์ | 1 | 1 | 1992 | 2017 |
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | 1 | 1 | 2017 | 2021 |
ไอนด์โฮเฟิน | 1 | 0 | 1978 | — |
อิปสวิชทาวน์ | 1 | 0 | 1981 | — |
นาโปลี | 1 | 0 | 1989 | — |
ไบเอิร์นมิวนิก | 1 | 0 | 1996 | — |
ชัลเคอ 04 | 1 | 0 | 1997 | — |
กาลาทาซาไร | 1 | 0 | 2000 | — |
บาเลนเซีย | 1 | 0 | 2004 | — |
ซีเอสเคเอ มอสโก | 1 | 0 | 2005 | — |
เซนิตเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก | 1 | 0 | 2008 | — |
ชัคตาร์โดเนตสค์ | 1 | 0 | 2009 | — |
บิยาร์เรอัล | 1 | 0 | 2021 | — |
อาตาลันตา | 1 | 0 | 2024 | — |
ไบฟีกา | 0 | 3 | — | 1983, 2013, 2014 |
มาร์แซย์ | 0 | 3 | — | 1999, 2004, 2018 |
อัตเลติกเดบิลบาโอ | 0 | 2 | — | 1977, 2012 |
อัสปัญญ็อล | 0 | 2 | — | 1988, 2007 |
โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ | 0 | 2 | — | 1993, 2002 |
อาร์เซนอล | 0 | 2 | — | 2000, 2019 |
เรนเจอส์ | 0 | 2 | — | 2008, 2022 |
วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ | 0 | 1 | — | 1972 |
ตแว็นเตอ | 0 | 1 | — | 1975 |
คลับ บรูกก์ | 0 | 1 | — | 1976 |
บัสตียา | 0 | 1 | — | 1978 |
เรดสตาร์ เบลเกรด | 0 | 1 | — | 1979 |
อาแซด อัลค์มาร์ | 0 | 1 | — | 1981 |
ฮัมบวร์ค | 0 | 1 | — | 1982 |
โมล วิดี | 0 | 1 | — | 1985 |
เอฟเซ โคโลญจน์ | 0 | 1 | — | 1986 |
ดันดี ยูไนเต็ด | 0 | 1 | — | 1987 |
ชตุทท์การ์ท | 0 | 1 | — | 1989 |
ฟีออเรนตีนา | 0 | 1 | — | 1990 |
โรมา | 0 | 2 | — | 1991
2023 |
โตริโน | 0 | 1 | — | 1992 |
เร็ดบุลซัลทซ์บวร์ค | 0 | 1 | — | 1994 |
บอร์โด | 0 | 1 | — | 1996 |
ลาซีโอ | 0 | 1 | — | 1998 |
อาลาเบส | 0 | 1 | — | 2001 |
เซลติก | 0 | 1 | — | 2003 |
สปอร์ติงลิสบอน | 0 | 1 | — | 2005 |
มิดเดิลส์เบรอ | 0 | 1 | — | 2006 |
แวร์เดอร์เบรเมิน | 0 | 1 | — | 2009 |
ฟูลัม | 0 | 1 | — | 2010 |
บรากา | 0 | 1 | — | 2011 |
ดนีโปรดนีโปรเปตรอฟสค์ | 0 | 1 | — | 2015 |
ผลงานจำแนกตามประเทศ
- หมายเหตุ
- A. ^ รวมสโมสรจาก เยอรมนีตะวันตก ไม่มีสโมสรจากเยอรมนีตะวันออก เข้าสู่นัดชิงชนะเลิศ
- B ^ รวมสโมสรที่เป็นตัวแทนจาก อดีตสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย (ตั้งแต่ ค.ศ. 1945 จนมีการแบ่งแยกประเทศในปี ค.ศ. 1992)
ดูเพิ่ม
หมายเหตุ
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand in your browser!
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.