มาร์ก ฮิวส์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

มาร์ก ฮิวส์

เลสลี มาร์ก ฮิวส์ (อังกฤษ: Leslie Mark Hughes) มีชื่อเล่นในวงการฟุตบอลว่า สปาร์กี้ เป็นอดีตนักฟุตบอลทีมชาติเวลส์ โดยปัจจุบันเขาเป็นผู้จัดการทีมให้กับคาร์ไลล์ยูไนเต็ด ในอีเอฟแอลลีกทู

ข้อมูลเบื้องต้น ข้อมูลส่วนตัว, ชื่อเต็ม ...
มาร์ก ฮิวส์
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม เลสลี มาร์ก ฮิวส์
วันเกิด (1963-11-01) 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963 (61 ปี)
สถานที่เกิด รัวบอน, เร็กซ์แฮม  เวลส์
ส่วนสูง 1.78 m (5 ft 10 in)
ตำแหน่ง กองหน้า
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
1980–86 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 89 (37)
1986–88 บาร์เซโลนา 28 (4)
1987–88ไบเอิร์นมิวนิก (ยืมตัว) 18 (6)
1988–95 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 256 (83)
1995–98 เชลซี 95 (25)
1998–2000 เซาแทมป์ตัน 52 (2)
2000 เอฟเวอร์ตัน 18 (1)
2000–02 แบล็กเบิร์นโรเวอส์ 50 (6)
ทีมชาติ
1984–1999 เวลส์ 72 (16)
จัดการทีม
1999–2004 ทีมชาติเวลส์
2004–2008 แบล็กเบิร์นโรเวอส์
2008–2009 แมนเชสเตอร์ซิตี
2010–2011 ฟูลัม
2012 ควีนส์พาร์กเรนเจอส์
2013–2018 สโตกซิตี
2018 เซาแทมป์ตัน
2022–2023 แบรดฟอร์ดซิตี
2025– คาร์ไลล์ยูไนเต็ด
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น
ปิด

ฮิวส์เคยเป็นผู้จัดการทีมหลายสโมสร ได้แก่ แบล็กเบิร์นโรเวอส์, แมนเชสเตอร์ซิตี, ฟูลัม, ควีนส์พาร์กเรนเจอส์, สโตกซิตี และ เซาแทมป์ตัน ผลงานในการรับใช้ชาติของเขาคือการลงเล่นให้ทีมชาติเวลส์ 72 นัด และยิงประตูได้ 16 ประตู

ในช่วงชีวิตการเป็นนักฟุตบอลของเขานั้นผู้คนจดจำเขาได้เป็นอย่างดีจากการลงเล่นให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทั้ง 2 ช่วง แต่เขากลับไม่ประสบความสำเร็จนักเมื่อต้องออกไปค้าแข้งในต่างแดนกับบาร์เซโลนาในสเปนและไบเอิร์นมิวนิกในเยอรมนีตะวันตก นอกจากนี้ที่อังกฤษเขายังเคยเล่นให้สโมสรเชลซี, เซาแทมป์ตัน, เอฟเวอร์ตัน และสโมสรสุดท้ายที่เขาลงเล่นคือแบล็กเบิร์นโรเวอส์ ก่อนที่เขาจะเลิกเล่นอย่างเป็นทางการในปี 2002

เส้นทางค้าแข้ง

สรุป
มุมมอง

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

ฮิวส์ ได้เข้าร่วมทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด หลังออกจากโรงเรียนในปี 1980 แต่ยังไม่ได้ลงเล่นในทีมชุดแรกเหมือนผู้เล่นคนอื่น จากนั้นเมื่อเขาได้รับโอกาสให้ลงสนามนัดแรกเขาก็ยิงประตูได้ทันทีและก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่อย่างเต็มตัว และเขายังเป็นผู้เล่นคนสำคัญในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพปี 1985 ที่ทีมของเขาเอาชนะเอฟเวอร์ตันได้ 1-0 และคว้าแชมป์ในที่สุด

บาร์เซโลนาและไบเอิร์นมิวนิก

ปี 1986 ฮิวส์ย้ายทีมอย่างเป็นที่ตื่นตะลึงเมื่อเทอร์รี่ เวนาเบิลส์ผู้จัดการทีมของบาร์เซโลนาในเวลานั้น จ่ายเงินถึง 2 ล้านปอนด์ เพื่อคว้าตัวเขามาร่วมทีมพร้อมกับความหวังที่จะให้เขาเป็นคู่หูชั้นยอดของแกรี่ ลินิเกอร์กองหน้าของทีม แต่ฮิวส์ต้องพบกับความผิดหวังเมื่อไม่อาจงัดฟอร์มเก่งออกมาได้และอยู่กับทีมเพียงหนึ่งฤดูกาลจึงย้ายไปร่วมทีมไบเอิร์นมิวนิกในประเทศเยอรมันตะวันตกด้วยสัญญายืมตัว ในฤดูกาล 1987-1988

กลับมาแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอีกครั้ง

ในเดือนพฤษภาคม ปี 1988 ฮิวส์กลับมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอีกครั้งภายใต้การคุมทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันผู้จัดการทีมคนใหม่ ด้วยค่าตัว 1.8 ล้านปอนด์ และการกลับมายังโอลด์ แทรฟฟอร์ดหนนี้เขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม และกลายเป็นดาวยิงคนสำคัญของทีม

เขาได้รับเลือกให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ในฤดูกาล 1988-1989 ซึ่งเป็นปีแรกที่เขากลับมาอังกฤษอีกครั้ง แต่สโมสรยังมีผลงานไม่ดีนักเมื่อจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 11 ปีต่อมาเขายิงคนเดียว 2 ประตู ใส่คริสตัล พาเลซในเอฟเอคัพนัดชิงชนะเลิศซึ่งเสมอกันไป 3-3 ก่อนที่ลี มาร์ตินจะยิงประตูชัยในนัดแข่งใหม่ ส่งผลให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี และในฤดูกาล 1990-1991 เขายิงประตูใส่บาร์เซโลนาทีมเก่าของเขาส่งผลให้ทีมได้แชมป์ยูฟ่า คัพ วินเนอร์สคัพ และเขายังพาทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศลีกคัพ แต่ทีมกลับพลาดท่าแพ้ให้กับเชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ในนัดชิงชนะเลิศ 1-0

ฤดูกาล 1991-1992 ฮิวส์ต้องพลาดเหรียญแชมป์ลีกสูงสุดอย่างน่าเสียดายเมื่อลีดส์ ยูไนเต็ดเข้าป้ายอันดับที่ 1 เมื่อจบฤดูกาล แต่ทีมของเขาก็ยังคว้าแชมป์ลีกคัพมาครองได้สำเร็จเป็นรางวัลปลอบใจเมื่อสามารถเอาชนะน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ได้ในนัดชิงชนะเลิศ 1-0 จากประตูชัยของไบรอัน แม็คแคลร์

ในที่สุดฤดูกาล 1992-1993 เขาก็คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกกับสโมสรได้เป็นครั้งแรก และในปี 1993-1994 เขาก็ยังเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคว้าดับเบิ้ลแชมป์โดยทีมสามารถป้องกันแชมป์ลีกและยังคว้าแชมป์เอฟเอคัพ โดยในถ้วยเอฟเอคัพ ฮิวส์เป็นหนึ่งในนักเตะที่ยิงประตูในนัดชิงชนะเลิศที่ชนะเชลซี 4-0

ฤดูกาล 1994-1995 ทีมทำท่าว่าจะสร้างผลงานอันสุดยอดเมื่อมีลุ้นคว้าดับเบิ้ลแชมป์อีกสมัย โดยในลีก ทีมต้องแย่งแชมป์กับแบล็กเบิร์นโรเวอส์และยังสามารถเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในถ้วยเอฟเอคัพได้สำเร็จ แต่ทีมกลับต้องพบกับความผิดหวังเมื่อในนัดสุดท้ายของพรีเมียร์ลีกทำได้เพียงแค่เสมอกับเวสต์แฮม ยูไนเต็ด 1-1 ทำให้แบล็กเบิร์นโรเวอส์คว้าแชมป์ลีกไปครองโดยมีคะแนนมากกว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเพียงแค่แต้มเดียวเท่านั้น ส่วนในเอฟเอคัพทีมต้องชิงแชมป์กับเอฟเวอร์ตัน แต่ก็ต้องผิดหวังซ้ำสองเมื่อ พอล ไรด์เอาท์นักเตะทีมเอฟเวอร์ตันยิงประตูชัยพาเอฟเวอร์ตันคว้าแชมป์ในที่สุด และฤดูกาลนั้นเป็นปีสุดท้ายของเขาในโอลด์ แทรฟฟอร์ด

เชลซี

การมาถึงของแอนดี โคลทำให้เขาต้องพบกับความยากลำบากในการเป็นผู้เล่นตัวจริง เขาจึงตัดสินใจย้ายทีมไปเล่นให้กับเชลซีด้วยค่าตัว 1.8 ล้านปอนด์ โดยเขาย้ายออกจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในเวลาเดียวกับพอล อินซ์และอังเดร แคนเชสกี้ซึ่งย้ายออกไปร่วมทีมอินเตอร์ มิลานและเอฟเวอร์ตัน อย่างไรก็ดีการขายผู้เล่นคนสำคัญในทีมออกถึง 3 ราย กลับไม่ส่งผลต่อกระทบแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมากนักเมื่อทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้อีกสมัยในฤดูกาล 1995-1996

มาร์ก ฮิวส์เป็นหนึ่งในผู้เล่นตัวหลักของเชลซีโดยคู่หูในแดนหน้าของเขาคือจิอันฟรังโก้ โซล่า ในฤดูกาล 1996-1997 เขาสามารถคว้าแชมป์เอฟเอคัพร่วมกับทีมได้สำเร็จเมื่อเอาชนะมิดเดิลสโบรช์ 2-0 ในนัดชิงชนะเลิศ

ฤดูกาล1997-1998เป็นปีสุดท้ายของเขาและเชลซี ซึ่งเขาสามารถคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ วินเนอร์สคัพได้อีกสมัยโดยเอาชนะสตุ๊ทการ์ทได้ 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ

เซาแทมป์ตัน

ฤดูกาล 1998-1999 มาร์ก ฮิวส์ย้ายมาร่วมทีมเซาแทมป์ตันด้วยค่าตัว 6.5 แสนปอนด์ภายใต้การคุมทีมของเดฟ โจนส์ ด้วยวัยที่มากขึ้นทำให้เขายิงประตูไม่มากเหมือนเมื่อก่อน จึงปรับเปลี่ยนไปเล่นตำแหน่งกองกลาง ประสบการณ์ของเขายังช่วยทีมได้มากสำหรับการต่อสู้ในพรีเมียร์ลีก 2 ประตูที่เขาทำได้เกิดขึ้นในเกมพบแบล็กเบิร์นโรเวอส์ซึ่งเป็นทีมที่เขาย้ายไปเล่นให้ในเวลาต่อมา และเกมพบนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ดในวันที่ 15 สิงหาคม 1999 ซึ่งเป็นลูกวอลเล่ย์สุดสวยที่อยู่ในความทรงจำของแฟนบอลหลายคน โดยในฤดูกาล 1998-1999 ฤดูกาลแรกของเขากับทีม เขาได้รับใบเหลืองถึง 14 ใบ ซึ่งมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก ในเดือนสิงหาคม ปี 1999 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมชาติเวลส์ในขณะที่ยังไม่ได้แขวนสตั๊ด

เอฟเวอร์ตันและแบล็กเบิร์นโรเวอส์

เมื่อเกล็น ฮ็อดเดิ้ลกลายเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของเซาแทมป์ตัน มาร์ก ฮิวส์ในวัย 36 ปี ก็กลายเป็นนักเตะที่ไม่ได้อยู่ในแผนการทำทีม เขาจึงย้ายไปร่วมทีมเอฟเวอร์ตันและมีบทบาทในฐานะผู้เล่นน้อยลงตามวัย แต่ยังคงทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมชาติเวลส์ต่อไป และเขาตัดสินใจย้ายมาเล่นในลีกระดับล่างเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2000-2001

เขากลายมาเป็นผู้เล่นคนสำคัญของแบล็กเบิร์นโรเวอส์และสามารถพาทีมคว้ารองแชมป์ดิวิชั่น 1 (ปัจจุบันคือลีกแชมเปียนชิพ) พร้อมกับเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จหลังจบฤดูกาล 2000-2001

ฤดูกาล 2001-2002 แบล็กเบิร์นโรเวอส์สามารถคว้าแชมป์ลีกคัพได้สำเร็จและนั่นเป็นการชูถ้วยแชมป์ครั้งสุดท้ายของเขาก่อนที่จะประกาศเลิกเล่นในเดือนกรกฎาคม ปี 2002ก่อนอายุครบ 39 ปีเพียงไม่กี่เดือน

อาชีพผู้จัดการทีม

สรุป
มุมมอง

ทีมชาติเวลส์

มาร์ก ฮิวส์รับตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติเวลส์ในปี 1999 ในขณะเป็นผู้เล่นของเซาแทมป์ตัน โดยเขารับงานต่อจากบ็อบบี้ กูลด์ และทำผลงานได้อย่างดีจนได้รับสัญญาระยะยาว ในช่วงเวลา 5 ปีของเขาในตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติ เขาเกือบพาทีมผ่านเข้าไปเล่นในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปปี 2004 แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อทีมแพ้ต่อทีมชาติรัสเซียในรอบเพลย์ออฟ

แบล็กเบิร์นโรเวอส์

แม้จะทำผลงานได้ดีกับทีมชาติเวลส์ แต่ฮิวส์ก็ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติในเดือนกันยายน ปี 2004 เพื่อไปรับงานคุมทีมแบล็กเบิร์นโรเวอส์ทีมเก่าของเขาในพรีเมียร์ลีกอย่างเต็มตัวหลังจากเขานั่งควบ 2 ตำแหน่งทั้งผู้จัดการทีมชาติเวลส์และผู้จัดการชั่วคราวของแบล็คเบิร์นโรเวอร์สในปลายฤดูกาล 2003-2004 ผลงานของเขาในปีนั้นคือการพาทีมรอดจากการตกชั้น และนำสโมสรเข้าถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายในเอฟเอคัพได้เป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี

ฤดูกาล 2004-2005 ปีที่ 2 ของเขากับทีม ฮิวส์นำแบล็กเบิร์นจบฤดูกาลด้วยอันดับ 6 อย่างเหลือเชื่อ และได้ไปเล่นยูฟ่า คัพเมื่อจบฤดูกาล โดยในลีกทีมของเขาสามารถเอาชนะเชลซี, และชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทั้งนัดเหย้าและนัดเยือน รวมทั้งยังสามารถเอาชนะอาร์เซนอลได้สำเร็จ และทีมของเขายังเข้าไปชิงชนะเลิศถ้วยลีกคัพก่อนจะแพ้เชลซีไป 1-0 ทำให้ได้แค่รองแชมป์

วันที่ 4 พฤษภาคม ปี 2006 จากผลงานอันยอดเยี่ยม ฮิวส์และผู้ช่วยของเขามาร์ก โบเวน ได้รับการต่อสัญญาต่อไปอีก 3 ปี สัญญาฉบับนี้จะทำให้เขาอยู่กับทีมจนถึงช่วงฤดูร้อนของปี 2009

การสร้างทีมของเขาในอีวู้ด ปาร์คนั้นเขาได้ซื้อผู้เล่นคนสำคัญของทีมเช่น เบนนี่ แม็คคาร์ธี่ย์ (2 ล้านปอนด์),เดวิด เบนท์ลี่ย์ (5 แสนปอนด์),ไรอัน เนลเซ่น (ฟรี) รวมถึงการได้ยอดกองหน้าอย่างโรเก้ ซาน ตา ครูซ (3.5 ล้านปอนด์) และกองหลังจอมโหดอย่าง คริสโตเฟอร์ แซมบ้า (4 แสนปอนด์) แบล็กเบิร์นจบฤดูกาลด้วยอันดับ 10 ในฤดูกาล 2006-2007 และผ่านเข้าถึงรอบน็อคเอาท์ในศึกยูฟ่าคัพ ก่อนจะแพ้ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่นด้วยประตูรวม 3-2 ส่วนในเอฟเอคัพเขาพาทีมเข้าถึงรอบรองชนะเลิศได้อีกครั้งและเป็นครั้งที่ 3 ของทีม นับแต่ฮิวส์เข้ารับตำแหน่ง และฤดูกาลนั้นเขาได้รับเลือกให้เป็นผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนตุลาคม

ฤดูกาล 2007-2008 ฮิวส์พาทีมเก็บชัยชนะได้ถึง 15 นัด และจบฤดูกาลด้วยอันดับ 7 โดยโรเก้ ซาน ตา ครูซ กองหน้าที่เขาซื้อมายิงประตูในลีกได้ถึง 19 ประตูในฤดูกาลแรกที่มาร่วมทีม

แมนเชสเตอร์ซิตี

หลังจบฤดูกาล 2007-2008 พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรประธานสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตีในขณะนั้นสั่งปลด สเวน โกรัน อิริคสัน ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมและแต่งตั้งมาร์ก ฮิวส์เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ในเดือนมิถุนายน ปี 2008 ด้วยสัญญา 3 ปี

เดือนกันยายน ปี 2008 เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสโมสรเมื่อ แมนเชสเตอร์ซิตีถูกเทคโอเวอร์โดยกลุ่ม ADUG (Abu Dhabi United investment group) ซึ่งเป็นกลุ่มมหาเศรษฐีอาหรับ โดยมีการประเมินว่ามีทรัพย์สินมากกว่าโรมัน อับราโมวิชเจ้าของสโมสรเชลซีอยู่หลายเท่า และนั่นทำให้มาร์ก ฮิวส์มีเงินมหาศาลในการซื้อตัวนักเตะระดับโลกเข้าสู่สโมสร โดยการซื้อตัวผู้เล่นที่สั่นสะเทือนเกาะอังกฤษครั้งใหญ่ที่สุดคือการที่เขาซื้อตัวโรบินโญ่ ดาวเตะบราซิลมาจากรีล มาดริดด้วยค่าตัวมากที่สุดในประเทศที่ 32.4 ล้านปอนด์

ฟูแลม แชมป์ ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก

ควีนส์พาร์กเรนเจอร์ส

สโตกซิตี

มาร์ก ฮิวส์ โดนสโมสร สโตกซิตี ประกาศปลดหลังจากทำทีมตกรอบในศึกเอฟเอคัพ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2561 หลังจากแพ้โคเวนทรี ซิตี้ 1-2 [1] ในขณะที่อันดับในพรีเมียร์ลีกก็อยู่ในเกณฑ์ตกชั้นเช่นกัน

ผลงาน

สมัยเป็นผู้เล่น

  • ได้รับเลือกให้เข้าสู่หอเกียรติยศของนักฟุตบอลอังกฤษ ปี2007
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
เชลซี
แบล็กเบิร์นโรเวอส์
  • ดิวิชั่น 1 (ปัจจุบันคือ ลีกแชมเปียนชิพ) รองแชมป์: ฤดูกาล 2000-2001
  • ลีกคัพ แชมป์: ฤดูกาล 2001-2002

อ้างอิง

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.