Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มาตราธรณีกาล (อังกฤษ: geologic time scale หรือ geological time scale ย่อว่า GTS) เป็นการแสดงเวลาโดยอ้างอิงจากบันทึกทางธรณีวิทยาของโลก เป็นระบบการหาอายุตามลำดับเวลาที่ใช้การลำดับชั้นหินตามอายุกาล (กระบวนการหาความสัมพันธ์ระหว่างชั้นหินกับเวลา) และธรณีกาลวิทยา ซึ่งเป็นแขนงของธรณีวิทยาที่มีจุดมุ่งหมายในการกำหนดอายุหิน โดยมาตราธรณีกาลนี้ใช้เป็นหลักโดยนักวิทยาศาสตร์โลก (ได้แก่ นักธรณีวิทยา นักบรรพชีวินวิทยา นักธรณีฟิสิกส์ นักธรณีเคมี และนักภูมิอากาศบรรพกาลวิทยา) เพื่ออธิบายการวัดเวลาและความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ในทางธรณีประวัติ มาตราธรณีกาลได้ถูกพัฒนาผ่านการศึกษาชั้นหินและการสังเกตคุณสมบัติต่าง ๆ เช่น ลักษณะทางวิทยาหิน สมบัติทางแม่เหล็กบรรพกาล และซากดึกดำบรรพ์ การกำหนดมาตรฐานของหน่วยธรณีกาลสากลอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของคณะกรรมาธิการการลำดับชั้นหินสากล (ICS) ซึ่งเป็นองค์กรประกอบของสหพันธ์วิทยาศาสตร์ธรณีวิทยาสากล (IUGS) โดยมีวัตถุประสงค์หลัก[1] เพื่อกำหนดหน่วยลำดับชั้นหินตามอายุกาลโลกในแผนภูมิลำดับชั้นหินตามอายุกาลสากล (ICC)[2] ซึ่งใช้ในการแบ่งช่วงเวลาทางธรณีกาล หน่วยลำดับชั้นหินตามอายุกาลนี้จะถูกใช้เพื่อกำหนดหน่วยทางธรณีกาลวิทยา[2]
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
แม้ว่าบางคำศัพท์ระดับภูมิภาคยังคงมีการใช้อยู่[3] แต่ตารางธรณีกาลในบทความนี้จะสอดคล้องกับการตั้งชื่อ อายุ และรหัสสีที่ได้กำหนดไว้เป็นมาตรฐานโดยคณะกรรมาธิการการลำดับชั้นหินสากล[1][4]
มาตราธรณีกาลเป็นวิธีหนึ่งในการแสดงห้วงเวลาทางธรณีวิทยาที่ลึกซึ้ง โดยอ้างอิงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดประวัติศาสตร์ของโลก ซึ่งกินระยะเวลาประมาณ 4.54 ± 0.05 พันล้านปี[5] มาตราธรณีกาลจัดลำดับชั้นหินตามลำดับเวลา และลำดับเวลาตามการสังเกตการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในลำดับชั้นหินที่สอดคล้องกับเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาหรือบรรพชีวินวิทยาที่สำคัญ เช่น เหตุการณ์การสูญพันธุ์ยุคครีเทเชียส–พาลีโอจีน ที่กำหนดเป็นขอบล่างของหินยุค/ยุคพาลีโอจีน จึงถือเป็นขอบเขตระหว่างหินยุค/ยุคครีเทเชียสและพาลีโอจีน สำหรับการแบ่งก่อนยุคไครโอเจเนียน จะใช้ขอบเขตที่เป็นตัวเลขโดยไม่มีเกณฑ์ (การกำหนดอายุลำดับชั้นหินมาตรฐานโลก; GSSAs) อย่างไรก็ตาม มีข้อเสนอให้ปรับใช้การแบ่งโดยอ้างอิงกับหินมากขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับหลักฐานทางหินมากยิ่งขึ้น[6][3]
ในอดีต มีการใช้มาตราธรณีกาลระดับภูมิภาค[3] เนื่องจากความแตกต่างทางลำดับชั้นหินตามลักษณะหินและลำดับชั้นหินทางชีวภาพในหินเทียบเท่าต่าง ๆ ทั่วโลก คณะกรรมาธิการการลำดับชั้นหินสากล (ICS) ได้ทำงานอย่างยาวนานเพื่อประนีประนอมความขัดแย้งทางศัพท์วิทยา โดยการสร้างมาตรฐานที่มีนัยสำคัญทั่วโลก และกำหนดแนวชั้นของลำดับชั้นหินที่สามารถใช้เป็นขอบล่างของหน่วยลำดับชั้นหินตามอายุกาล การกำหนดหน่วยลำดับชั้นหินตามอายุกาลในลักษณะนี้ช่วยให้สามารถใช้ระบบการตั้งชื่อที่เป็นมาตรฐานสากลได้ โดย ICC เป็นตัวแทนของความพยายามนี้
ความสัมพันธ์เชิงสัมพัทธ์ของหินในการกำหนดตำแหน่งลำดับชั้นหินตามอายุกาล ใช้หลักการสำคัญดังนี้[7][8][9][10]
มาตราธรณีกาลแบ่งออกเป็นหน่วยลำดับชั้นหินตามอายุกาลและหน่วยธรณีกาลวิทยาที่สอดคล้องกัน ซึ่งปรากฏในแผนภูมิลำดับชั้นหินตามอายุกาลสากลที่เผยแพร่โดยคณะกรรมาธิการการลำดับชั้นหินสากล อย่างไรก็ตาม ยังมีการใช้ศัพท์ทางภูมิภาคในบางพื้นที่อยู่
การลำดับชั้นหินตามอายุกาล เป็นองค์ประกอบของการลำดับชั้นหินที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างหินและการวัดสัมพัทธ์ทางธรณีกาล[11] ซึ่งเป็นกระบวนการที่กำหนดชั้นที่แตกต่างระหว่างแนวชั้นที่ระบุไว้ เพื่อแสดงถึงช่วงเวลาสัมพัทธ์ของธรณีกาล
หน่วยลำดับชั้นหินตามอายุกาล เป็นตัวหินทั้งแบบเป็นชั้นหรือไม่เป็นชั้น ซึ่งถูกกำหนดไว้ระหว่างแนวชั้นที่ระบุไว้ ซึ่งแสดงถึงช่วงเวลาในธรณีกาล โดยรวมถึงหินทั้งหมดที่เป็นตัวแทนของช่วงเวลาทางธรณีกาลที่กำหนดไว้เท่านั้น[11] โดยมีหินบรมบุค (eonothem) หินมหายุค (erathem) หินยุค (system) หินสมัย (series) หินกึ่งสมัย (subseries) หินช่วงอายุ (stage) และ หินกึ่งช่วงอายุ (substage) เป็นหน่วยตามลำดับของหน่วยลำดับชั้นหินตามอายุกาล[11] ธรณีกาลวิทยา เป็นสาขาหนึ่งของธรณีวิทยาที่มุ่งเน้นในการกำหนดอายุของหิน ซากดึกดำบรรพ์ และตะกอน ไม่ว่าจะโดยวิธีสัมบูรณ์ (เช่น การหาอายุสัมบูรณ์) หรือวิธีสัมพัทธ์ (เช่น ตำแหน่งทางการลำดับชั้นหิน ภาวะแม่เหล็กบรรพกาล สัดส่วนไอโซโทปเสถียร)[12]
หน่วยธรณีกาลวิทยา เป็นการแบ่งย่อยของธรณีกาล ซึ่งเป็นการแสดงตัวเลขของสมบัติที่เป็นนามธรรม (เวลา)[12] โดยมี บรมยุค (eon) มหายุค (era) ยุค (period) สมัย (epoch) กึ่งสมัย (subepoch) ช่วงอายุ (age) และ กึ่งช่วงอายุ (subage) เป็นหน่วยตามลำดับทางธรณีกาลวิทยา[11] การลำดับเวลาธรณี เป็นสาขาหนึ่งของธรณีกาลวิทยาที่คำนวณเวลาทางธรณีกาลออกมาเป็นตัวเลข[12]
จุดและส่วนชั้นหินแบบฉบับขอบเขตทั่วโลก (GSSP) เป็นจุดอ้างอิงที่ตกลงกันไว้ในระดับสากลในส่วนการลำดับชั้นหิน ซึ่งกำหนดขอบล่างของหินช่วงอายุในมาตราธรณีกาล[13] (และล่าสุดใช้เพื่อกำหนดฐานของหินยุคด้วย)[14]
การกำหนดอายุลำดับชั้นหินมาตรฐานโลก (GSSA)[15] เป็นจุดอ้างอิงตามลำดับเวลาที่เป็นตัวเลขเท่านั้น ใช้ในการกำหนดฐานของหน่วยธรณีกาลวิทยาในช่วงก่อนยุคไครโอเจเนียน จุดเหล่านี้ถูกกำหนดขึ้นอย่างไม่มีเกณฑ์ตายตัว[11] ใช้ในกรณียังไม่มีการกำหนด GSSP ซึ่งการวิจัยกำลังดำเนินอยู่เพื่อระบุ GSSP สำหรับทุกหน่วยที่ยังใช้ GSSA เป็นฐานในปัจจุบัน
การแสดงตัวเลข (การวัดเวลาธรณี) ของหน่วยธรณีกาลวิทยาสามารถเปลี่ยนแปลงได้บ่อยครั้งเมื่อธรณีกาลวิทยาปรับแต่งการวัดเวลาธรณี ขณะที่หน่วยลำดับชั้นหินตามอายุกาลที่เทียบเท่ายังคงเดิมและมีการแก้ไขน้อยกว่า ตัวอย่างเช่น ในต้นปี พ.ศ. 2565 ขอบเขตระหว่างยุคอีดีแอคารันและยุคแคมเบรียน (หน่วยธรณีกาลวิทยา) ถูกแก้ไขจาก 541 ล้านปีก่อนเป็น 538.8 ล้านปีก่อน แต่หินจำกัดความของขอบเขต (GSSP) ที่ฐานของหินยุคแคมเบรียน และขอบเขตระหว่างหินยุคอีดีแอคารันและหินยุคแคมเบรียน (หน่วยลำดับชั้นหินตามอายุกาล) ยังคงเดิม มีเพียงการวัดเวลาธรณีที่ได้รับการปรับแก้
ค่าตัวเลขบนแผนภูมิ ICC ถูกแสดงในหน่วยล้านปีก่อน (megaannum หรือย่อว่า Ma) เช่น ขอบล่างของยุคจูแรสซิก อยู่ที่ 201.3 ± 0.2 ล้านปีก่อน หมายความว่า ยุคจูแรสซิกมีขอบล่างอยู่ที่ 201,400,000 ปี และมีค่าความไม่แน่นอนอยู่ที่ 200,000 ปี หน่วยเอสไออื่น ๆ ที่ใช้กันทั่วไปโดยนักธรณีวิทยา ได้แก่ พันล้านปี (gigaannum หรือย่อว่า Ga) และ พันปีก่อน (kiloannum หรือย่อว่า ka) ซึ่งมักแสดงเป็นหน่วยที่ปรับเทียบแล้ว (ก่อนปัจจุบัน)
ตอนต้น (Early) และ ตอนปลาย (Late) ใช้ในธรณีกาลวิทยา เทียบเท่ากับล่าง (Lower) และบน (Upper) ในการลำดับชั้นหินตามอายุกาล เช่น ยุคไทรแอสซิกตอนต้น (Early Triassic Period) ซึ่งเป็นหน่วยธรณีกาลจะเทียบเท่ากับหินยุคไทรแอสซิกล่าง (Lower Triassic Series) ซึ่งเป็นหน่วยการลำดับชั้นหินตามอายุกาล
กล่าวได้ว่า หินที่เป็นตัวแทนของหน่วยการลำดับชั้นหินตามอายุกาลที่เฉพาะเจาะจง คือหน่วยการลำดับชั้นหินนั้น ๆ และเวลาที่หินนั้นก่อตัวขึ้นอยู่ในหน่วยธรณีกาล เช่น หินที่เป็นตัวแทนของหินยุคไซลูเรียน คือ หินยุคไซลูเรียนที่ได้เกิดการทับถมตัวขึ้นในระหว่างยุคไซลูเรียน
หน่วยลำดับชั้นหินตามอายุกาล (ชั้นหิน) | หน่วยธรณีกาลวิทยา (เวลา) | ช่วงเวลา[note 2] |
---|---|---|
หินบรมยุค (Eonothem) | บรมยุค (Eon) | หลายร้อยล้านปี |
หินมหายุค (Erathem) | มหายุค (Era) | สิบถึงร้อยล้านปี |
หินยุค (System) | ยุค (Period) | ล้านถึงสิบล้านปี |
หินสมัย (Series) | สมัย (Epoch) | แสนถึงสิบล้านปี |
หินกึ่งสมัย (Subseries) | กึ่งสมัย (Subepoch) | พันถึงล้านปี |
หินช่วงอายุ (Stage) | ช่วงอายุ (Age) | พันถึงล้านปี |
ชื่อของหน่วยธรณีกาลได้รับการกำหนดเพื่อให้สอดคล้องกับหน่วยลำดับชั้นหินที่มีหน่วยอายุทางธรณีวิทยาที่มีชื่อเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนคำนำหน้า (เช่น หินบรมยุคฟาเนอโรโซอิก เป็น บรมยุคฟาเนอโรโซอิก) ชื่อของหินมหายุคในฟาเนอโรโซอิกถูกเลือกเพื่อสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตบนโลก ได้แก่ พาลีโอโซอิก (สิ่งมีชีวิตเก่า), มีโซโซอิก (สิ่งมีชีวิตกลาง), และ ซีโนโซอิก (สิ่งมีชีวิตใหม่) ชื่อของหินยุคมีที่มาหลายรูปแบบ บางส่วนระบุถึงตำแหน่งในลำดับเวลา (เช่น พาลีโอจีน) ขณะที่บางชื่อถูกตั้งตามลักษณะของวิทยาหิน (เช่น ครีเทเชียส), ภูมิศาสตร์ (เช่น เพอร์เมียน), หรือเป็นการตั้งชื่อตามชื่อชนเผ่า (เช่น ออร์โดวิเชียน) หินสมัยและหินกึ่งสมัยส่วนใหญ่ที่รู้จักในปัจจุบันจะถูกตั้งชื่อตามตำแหน่งในหินยุค/หินสมัย (ตอนต้น/กลาง/ปลาย) อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการการลำดับชั้นหินสากล (ICS) สนับสนุนให้หินสมัยและหินกึ่งสมัยใหม่ทั้งหมดได้รับการตั้งชื่อตามลักษณะภูมิศาสตร์ในบริเวณใกล้เคียงกับที่ตั้งแบบฉบับหรือชั้นหินประเภทที่ใช้เป็นมาตรฐาน นอกจากนี้ ชื่อของหินช่วงอายุต้องมีที่มาจากลักษณะภูมิศาสตร์ในบริเวณที่ตั้งแบบฉบับของชั้นหินนั้นด้วยเช่นกัน[11]
เวลาก่อนแคมเบรียนมักเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า พรีแคมเบรียน (Precambrian) ซึ่งจัดเป็นอภิมหาบรมยุค (Supereon)[6][note 3]
ชื่อ | ช่วงเวลา | ระยะเวลา (ล้านปี) | นิรุกติศาสตร์ของชื่อ |
---|---|---|---|
ฟาเนอโรโซอิก | 541 ถึง 0 ล้านปีก่อน | 541 | มาจากคำในภาษากรีกว่า φανερός (phanerós, ฟาเนโรส) หมายถึง 'ชัดเจน' หรือ 'มากมาย' และ ζωή (zoḯ, โซอี) หมายถึง 'สิ่งมีชีวิต' |
โพรเทอโรโซอิก | 2,500 ถึง 541 ล้านปีก่อน | 1959 | มาจากคำในภาษากรีกว่า πρότερος (próteros, โปรเตโรส) หมายถึง 'อดีต' หรือ 'ก่อนหน้า' และ ζωή (zoḯ, โซอี) หมายถึง 'สิ่งมีชีวิต' |
อาร์เคียน | 4,000 ถึง 2,500 ล้านปีก่อน | 1500 | มาจากคำในภาษากรีกว่า αρχή (arche, อาร์คี) หมายถึง 'จุดเริ่มต้น, ต้นกำเนิด' |
เฮเดียน | ~4,600 ถึง 4,000 ล้านปีก่อน | 600 | มาจากเฮดีส เทพในปรำปรากรีก |
ชื่อ | ช่วงเวลา | ระยะเวลา (ล้านปี) | นิรุกติศาสตร์ของชื่อ |
---|---|---|---|
ซีโนโซอิก | 66 ถึง 0 ล้านปีก่อน | 66 | มาจากคำในภาษากรีกว่า καινός (kainós, เคโนส) หมายถึง 'ใหม่' และ ζωή (zoḯ, โซอี) หมายถึง 'สิ่งมีชีวิต' |
มีโซโซอิก | 251.9 ถึง 66 ล้านปีก่อน | 185.902 | มาจากคำในภาษากรีกว่า μέσο (méso, เมโซ) หมายถึง 'กลาง' และ ζωή (zoḯ, โซอี) หมายถึง 'สิ่งมีชีวิต' |
พาลีโอโซอิก | 541 ถึง 251.9 ล้านปีก่อน | 289.098 | มาจากคำในภาษากรีกว่า παλιός (palaiós, ปัลโลส) หมายถึง 'เก่า' และ ζωή (zoḯ, โซอี) หมายถึง 'สิ่งมีชีวิต' |
นีโอโพรเทอโรโซอิก | 1,000 ถึง 541 ล้านปีก่อน | 459 | มาจากคำในภาษากรีกว่า νέος (néos, เนโอส) หมายถึง 'ใหม่' หรือ 'เยาว์', πρότερος (próteros, โปรเตโรส) หมายถึง 'อดีต' หรือ 'ก่อนหน้า' และ ζωή (zoḯ, โซอี) หมายถึง 'สิ่งมีชีวิต' |
มีโซโพรเทอโรโซอิก | 1,600 ถึง 1,000 ล้านปีก่อน | 600 | มาจากคำในภาษากรีกว่า μέσο (méso, เมโซ) หมายถึง 'กลาง', πρότερος (próteros, โปรเตโรส) หมายถึง 'อดีต' หรือ 'ก่อนหน้า' และ ζωή (zoḯ, โซอี) หมายถึง 'สิ่งมีชีวิต' |
แพลีโอโพรเทอโรโซอิก | 2,500 ถึง 1,600 ล้านปีก่อน | 900 | มาจากคำในภาษากรีกว่า παλιός (palaiós, ปัลโลส) หมายถึง 'เก่า', πρότερος (próteros, โปรเตโรส) หมายถึง 'อดีต' หรือ 'ก่อนหน้า' และ ζωή (zoḯ, โซอี) หมายถึง 'สิ่งมีชีวิต' |
นีโออาร์เคียน | 2,800 ถึง 2,500 ล้านปีก่อน | 300 | มาจากคำในภาษากรีกว่า νέος (néos, เนโอส) หมายถึง 'ใหม่' หรือ 'เยาว์' และ ἀρχαῖος (arkhaîos, อาร์เคโอส) หมายถึง 'โบราณ' |
มีโซอาร์เคียน | 3,200 ถึง 2,800 ล้านปีก่อน | 400 | มาจากคำในภาษากรีกว่า μέσο (méso, เมโซ) หมายถึง 'กลาง' และ ἀρχαῖος (arkhaîos, อาร์เคโอส) หมายถึง 'โบราณ' |
พาลีโออาร์เคียน | 3,600 ถึง 3,200 ล้านปีก่อน | 400 | มาจากคำในภาษากรีกว่า παλιός (palaiós, ปัลโลส) หมายถึง 'เก่า' และ ἀρχαῖος (arkhaîos, อาร์เคโอส) หมายถึง 'โบราณ' |
อีโออาร์เคียน | 4,000 ถึง 3,600 ล้านปีก่อน | 400 | มาจากคำในภาษากรีกว่า Ηώς (Iós, อีโอส) หมายถึง 'รุ่งอรุณ' และ ἀρχαῖος (arkhaîos, อาร์เคโอส) หมายถึง 'โบราณ' |
ชื่อ | ช่วงเวลา | ระยะเวลา (ล้านปี) | นิรุกติศาสตร์ของชื่อ |
---|---|---|---|
ควอเทอร์นารี | 2.6 ถึง 0 ล้านปีก่อน | 2.58 | เสนอครั้งแรกโดยจูล เดนวยเยในปี พ.ศ. 2372 สำหรับตะกอนในแอ่งแซนของประเทศฝรั่งเศสที่ปรากฏใหม่กว่าหินเทอร์เทียรี[note 4][18] |
นีโอจีน | 23 ถึง 2.6 ล้านปีก่อน | 20.45 | มาจากคำในภาษากรีกว่า νέος (néos, เนโอส) หมายถึง 'ใหม่' หรือ 'เยาว์' และ γενεά (geneá, เยเนอา) หมายถึง 'การกำเนิด' หรือ 'การเกิด' |
พาลีโอจีน | 66 ถึง 23 ล้านปีก่อน | 42.97 | มาจากคำในภาษากรีกว่า παλιός (palaiós, ปัลโลส) หมายถึง 'เก่า' และ γενεά (geneá, เยเนอา) หมายถึง 'การกำเนิด' หรือ 'การเกิด' |
ครีเทเชียส | 145 ถึง 66 ล้านปีก่อน | ~79 | มาจาก Terrain Crétacé (เทอร็อง เครตาเซ) ถูกใช้เมื่อปี ค.ศ. 1822 โดยฌอง แบ็บทิสต์ ฌูเลียง โดมาลียูส ดาลัวในการอ้างอิงถึงชั้นกว้างของชอล์กภายในแอ่งปารีส[19] โดยมีรากมาจากภาษาละติน crēta (เครตา) หมายถึง "ชอล์ก" |
จูแรสซิก | 201.3 ถึง 145 ล้านปีก่อน | ~56.3 | ตั้งชื่อตามภูเขาจูลา ใช้เป็นครั้งแรกโดยอเล็คซันเดอร์ ฟ็อน ฮุมบ็อลท์ในวลีว่า 'Jura Kalkstein' (หินปูนจูลา) ในปี ค.ศ. 1799[20] ส่วนอเล็กซองเดรอะ บงนีอาต์เป็นบุคคลแรกที่ตีพิมพ์คำว่า Jurassic ในปี ค.ศ. 1829[21][22] |
ไทรแอสซิก | 251.9 ถึง 201.3 ล้านปีก่อน | 50.602 | จากคำว่า Trias (ทรีอัส) ของฟรีดริช เอากุสต์ ฟ็อน อัลแบร์ทีในการอ้างอิงถึงการก่อตัวสามชุดในตอนใต้ของประเทศเยอรมนี |
เพอร์เมียน | 298.9 ถึง 251.9 ล้านปีก่อน | 46.998 | ตั้งตามภูมิภาคในประวัติศาสตร์ นั่นคือ เขตปกครองเปียร์ม จักรวรรดิรัสเซีย[23] |
คาร์บอนิเฟอรัส | 358.9 ถึง 298.9 ล้านปีก่อน | 60 | หมายถึง 'การแบกถ่านหิน' มาจากภาษาละตินว่า carbō (คาร์โบ) หมายถึง ถ่าน และ ferō (เฟโร) หมายถึง การแบก, การอุ้ม[24] |
ดีโวเนียน | 419.2 ถึง 358.9 ล้านปีก่อน | 60.3 | ตั้งตามมณฑลเดวอน ประเทศอังกฤษ[25] |
ไซลูเรียน | 443.8 ถึง 419.2 ล้านปีก่อน | 24.6 | ตั้งตามเผ่าไซลูริสของชาวเคลต์[26] |
ออร์โดวิเชียน | 485.4 ถึง 443.8 ล้านปีก่อน | 41.6 | ตั้งตามเผ่าออร์โดวิซของชาวเคลต์[27][28] |
แคมเบรียน | 541 ถึง 485.4 ล้านปีก่อน | 55.6 | ตั้งตามแคมเบรีย ชื่อละตินของ Cymru หรือประเทศเวลส์[29] |
อีดีแอคารัน | 635 ถึง 541 ล้านปีก่อน | ~94 | ตั้งตามเขาอีดีแอคารา โดยคำว่าอีดีแอคาราอาจเพี้ยนมาจากคำว่า 'ยาตา ตาการ์รา' ในภาษาคูยานี หมายถึง พื้นแข็งหรือเป็นหิน[30][31] |
ไครโอเจเนียน | 720 ถึง 635 ล้านปีก่อน | ~85 | มาจากคำในภาษากรีกว่า κρύος (krýos, ครีโอส) หมายถึง 'หนาว' และ γενεά (geneá, เยเนอา) หมายถึง 'การกำเนิด' หรือ 'การเกิด'[3] |
โทเนียน | 1,000 ถึง 720 ล้านปีก่อน | ~280 | มาจากคำในภาษากรีกว่า τόνος (tónos, โตโนส) หมายถึง 'ยืด'[3] |
สเทเนียน | 1,200 ถึง 1,000 ล้านปีก่อน | 200 | มาจากคำในภาษากรีกว่า στενός (stenós, สเตโนส) หมายถึง 'แคบ'[3] |
เอกเทเซียน | 1,400 ถึง 1,200 ล้านปีก่อน | 200 | มาจากคำในภาษากรีกว่า ἔκτᾰσῐς (éktasis, เอ็กตาซิส) หมายถึง 'การขยาย'[3] |
คาลิมเมียน | 1,600 ถึง 1,400 ล้านปีก่อน | 200 | มาจากคำในภาษากรีกว่า κάλυμμᾰ (kálumma, กาลิมมา) หมายถึง 'บดบัง'[3] |
สตาทีเรียน | 1,800 ถึง 1,600 ล้านปีก่อน | 200 | มาจากคำในภาษากรีกว่า σταθερός (statherós, สตาเทโรส) หมายถึง 'มั่นคง'[3] |
ออโรซีเรียน | 2,050 ถึง 1,800 ล้านปีก่อน | 250 | มาจากคำในภาษากรีกว่า ὀροσειρά (oroseirá, โอโรเซรา) หมายถึง 'เทือกเขา'[3] |
ไรเอเซียน | 2,300 ถึง 2,050 ล้านปีก่อน | 250 | มาจากคำในภาษากรีกว่า ῥύαξ (rhýax, รีอากซ์) หมายถึง 'ธารลาวา'[3] |
ไซดีเรียน | 2,500 ถึง 2,300 ล้านปีก่อน | 200 | มาจากคำในภาษากรีกว่า σίδηρος (sídiros, ซีดีโรส) หมายถึง 'เหล็ก'[3] |
ชื่อ | ช่วงเวลา | ระยะเวลา (ล้านปี) | นิรุกติศาสตร์ของชื่อ |
---|---|---|---|
โฮโลซีน | 0.012 ถึง 0 ล้านปีก่อน | 0.0117 | มาจากคำในภาษากรีกว่า ὅλος (hólos, โอโรส) หมายถึง 'ทั้งหมด' และ καινός (kainós, เคนอส) หมายถึง 'ใหม่' |
ไพลสโตซีน | 2.58 ถึง 0.012 ล้านปีก่อน | 2.5683 | มาจากคำในภาษากรีกว่า πλεῖστος (pleîstos, พลีสโตส) หมายถึง 'ที่สุด' และ καινός (kainós, เคนอส) หมายถึง 'ใหม่' |
ไพลโอซีน | 5.33 ถึง 2.58 ล้านปีก่อน | 2.753 | มาจากคำในภาษากรีกว่า πλείων (pleíōn, พลีออน) หมายถึง 'มากกว่า' และ καινός (kainós, เคนอส) หมายถึง 'ใหม่' |
ไมโอซีน | 23.03 ถึง 5.33 ล้านปีก่อน | 17.697 | มาจากคำในภาษากรีกว่า μείων (meíōn, มีออน) หมายถึง 'น้อย' และ καινός (kainós, เคนอส) หมายถึง 'ใหม่' |
โอลิโกซีน | 33.9 ถึง 23.03 ล้านปีก่อน | 10.87 | มาจากคำในภาษากรีกว่า ὀλίγος (olígos, โอลีโกส) หมายถึง 'เล็กน้อย' และ καινός (kainós, เคนอส) หมายถึง 'ใหม่' |
อีโอซีน | 56 ถึง 33.9 ล้านปีก่อน | 22.1 | มาจากคำในภาษากรีกว่า ἠώς (ēōs, อีโอส) หมายถึง 'รุ่งอรุณ' และ καινός (kainós, เคนอส) หมายถึง 'ใหม่' ซึ่งหมายถึงการเริ่มต้นของชีวิตสมัยใหม่ในยุคนี้ |
พาลีโอซีน | 66 ถึง 56 ล้านปีก่อน | 10 | คิดค้นโดยวิลเฮล์ม ฟิลิปป์ สคีมเปอร์ในปี 2417 โดยเป็นคำผสมระหว่าง พาลีโอ- + อีโอซีน แต่โดยผิวเผินแล้วมาจากคำในภาษากรีกว่า παλαιός (palaios, ปาเลโอส) หมายถึง 'เก่า' และ καινός (kainós, เคนอส) หมายถึง 'ใหม่' |
ครีเทเชียสตอนปลาย | 100.5 ถึง 66 ล้านปีก่อน | 34.5 | ดูยุคครีเทเชียส |
ครีเทเชียสตอนต้น | 145 ถึง 100.5 ล้านปีก่อน | 44.5 | |
จูแรสซิกตอนปลาย |
163.5 ถึง 145 ล้านปีก่อน | 18.5 | ดูยุคจูแรสซิก |
จูแรสซิกตอนกลาง | 174.1 ถึง 163.5 ล้านปีก่อน | 10.6 | |
จูแรสซิกตอนต้น |
201.3 ถึง 174.1 ล้านปีก่อน | 27.2 | |
ไทรแอสซิกตอนปลาย | 237 ถึง 201.3 ล้านปีก่อน | 35.7 | ดูยุคไทรแอสซิก |
ไทรแอสซิกตอนกลาง |
247.2 ถึง 237 ล้านปีก่อน | 10.2 | |
ไทรแอสซิกตอนต้น | 251.9 ถึง 247.2 ล้านปีก่อน | 4.702 | |
โลพินเจียน | 259.1 ถึง 251.9 ล้านปีก่อน | 7.198 | ตั้งชื่อตามเมืองเล่อผิง ประเทศจีน (มีการแปลงเป็นอังกฤษเป็นโลผิง) มีความหมายว่า 'ดนตรีอันสงบสุข' |
กัวเดลูเปียน | 272.95 ถึง 259.1 ล้านปีก่อน | 13.85 | ตั้งชื่อตามเทือกเขากัวตาลูเปในอเมริกาตะวันตกเฉียงใต้ รากมาจากภาษาอาหรับ وَادِي ٱل (wādī al, วาดีอัล) หมายถึง 'หุบเขาแห่ง' และภาษาลาติน lupus (ลูปุส) หมายถึง 'หมาป่า' ซึ่งผ่านมาทางภาษาสเปน |
ซิซูราเลียน | 298.9 ถึง 272.95 ล้านปีก่อน | 25.95 | มาจากภาษาลาติน cis- (ชีส) หมายถึง ก่อน + ภาษารัสเซีย Урал (Ural, อูราล) ซึ่งหมายถึงที่ลาดชันฝั่งตะวันตกของเทือกเขายูรัล |
เพนซิลเวเนียนตอนบน | 307 ถึง 298.9 ล้านปีก่อน | 8.1 | ตั้งชื่อตามรัฐเพนซิลเวเนียของสหรัฐ มาจากชื่อของวิลเลียม เพน + ภาษาละติน silvanus (ซีลวานุส) หมายถึง ป่า + -ia |
เพนซิลเวเนียนตอนกลาง | 315.2 ถึง 307 ล้านปีก่อน | 8.2 | |
เพนซิลเวเนียนตอนล่าง | 323.2 ถึง 315.2 ล้านปีก่อน | 8 | |
มิสซิสซิปเปียนตอนบน | 330.9 ถึง 323.2 ล้านปีก่อน | 7.7 | ตั้งชื่อตามแม่น้ำมิสซิสซิปปี มาจากภาษาโอจิบวี ᒥᐦᓯᓰᐱ (misi-ziibi) 'แม่น้ำใหญ่' |
มิสซิสซิปเปียนตอนกลาง | 346.7 ถึง 330.9 ล้านปีก่อน | 15.8 | |
มิสซิสซิปเปียนตอนล่าง | 358.9 ถึง 346.7 ล้านปีก่อน | 12.2 | |
ดีโวเนียนตอนปลาย | 382.7 ถึง 358.9 ล้านปีก่อน | 23.8 | ดูยุคดีโวเนียน |
ดีโวเนียนตอนกลาง | 393.3 ถึง 382.7 ล้านปีก่อน | 10.6 | |
ดีโวเนียนตอนล่าง | 419.2 ถึง 393.3 ล้านปีก่อน | 25.9 | |
พริโดลี | 423 ถึง 419.2 ล้านปีก่อน | 3.8 | ตั้งชื่อตามเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ โฮโมลกา อะ พรีโดลี (Homolka a Přídolí) ใกล้ปราก เช็กเกีย |
ลัดโลว | 427.4 ถึง 423 ล้านปีก่อน | 4.4 | ตั้งชื่อตามลัดโลว อังกฤษ |
เวนล็อก | 433.4 ถึง 427.4 ล้านปีก่อน | 6 | ตั้งชื่อตามสันเวนล็อกในชรอปเชียร์ อังกฤษ |
ลานโดเวอรี | 443.8 ถึง 433.4 ล้านปีก่อน | 10.4 | ตั้งชื่อตามลานโดเวอรี เวลส์ |
ออร์โดวิเชียนตอนบน | 458.4 ถึง 443.8 ล้านปีก่อน | 14.6 | ดูยุคออร์โดวิเชียน |
ออร์โดวิเชียนตอนกลาง | 470 ถึง 458.4 ล้านปีก่อน | 11.6 | |
ออร์โดวิเชียนตอนล่าง | 485.4 ถึง 470 ล้านปีก่อน | 15.4 | |
ฝูหรงเจียน | 497 ถึง 485.4 ล้านปีก่อน | 11.6 | มาจากภาษาจีนกลาง 芙蓉 (fúróng, ฝูหรง) 'ดอกบัว' มาจากสัญลักษณ์ของมณฑลหูหนาน |
เมียวลิงเจียน | 509 ถึง 497 ล้านปีก่อน | 12 | ตั้งชื่อตามภูเขาเมี่ยวหลิง ภูเขาในมณฑลกุ้ยโจว ในภาษาจีนกลางหมายถึง ยอดอ่อนที่แทงออกมา |
หินสมัยแคมเบรียน 2 (ไม่เป็นทางการ) | 521 ถึง 509 ล้านปีก่อน | 12 | ดูยุคแคมเบรียน |
สมัยแตร์นูเวียน | 541 ถึง 521 ล้านปีก่อน | 20 | ตั้งชื่อตามเตร์-เนิร์ฟคำยืมของภาษาภาษาฝรั่งเศสของเกาะนิวฟันด์แลนด์ |
ในขณะที่มาตราธรณีกาลสมัยใหม่ยังไม่ได้ถูกกำหนดขึ้นจนกระทั่งปี 2454[32] โดยอาร์เธอร์ โฮล์มส์ แนวคิดที่ว่าหินและเวลาเกี่ยวข้องกันสามารถย้อนไปได้ถึงปรัชญาของกรีกโบราณ เซนอฟะนีสแห่งโคลอฟอน (ประมาณ 570–487 ปีก่อนคริสตกาล) ได้สังเกตชั้นหินที่มีซากดึกดำบรรพ์ของเปลือกหอยอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล เขามองว่าสิ่งเหล่านี้เคยเป็นสิ่งมีชีวิตและใช้ข้อสังเกตนี้เพื่ออธิบายถึงความสัมพันธ์ที่ไม่แน่นอนระหว่างทะเลและแผ่นดินซึ่งทะเลได้เคลื่อนตัวรุกล้ำเข้ามาและถอนตัวกลับในบางช่วงเวลา[33] แนวคิดนี้ได้รับการยอมรับจากนักปรัชญาร่วมสมัยของเซนอฟะนีสและผู้ที่ตามมารวมถึงอาริสโตเติล (384–322 ปีก่อนคริสตกาล) ผู้ซึ่งได้เหตุผลเพิ่มเติมว่าตำแหน่งของแผ่นดินและทะเลได้เปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลาที่ยาวนาน แนวคิดของ "ห้วงเวลาลึก" ยังได้รับการยอมรับจากนักธรรมชาติวิทยาชาวจีน เซิน กัว[34] (ค.ศ. 1031–1095) และนักปราชญ์ชาวอิสลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มภราดรภาพแห่งความบริสุทธิ์ที่เขียนถึงกระบวนการการเกิดชั้นหินตามกาลเวลาในตำราเรียนของพวกเขา[33] งานของพวกเขาน่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้นักปราชญ์ชาวเปอร์เซียในศตวรรษที่ 11 อิบน์ ซีนา (ค.ศ. 980–1037) ผู้ซึ่งเขียนใน The Book of Healing (ค.ศ. 1027) เกี่ยวกับแนวคิดของการเกิดชั้นหินและการวางซ้อน ซึ่งเป็นการเขียนล่วงหน้านิโคลัส สเตโน กว่าหกร้อยปี[33] อิบน์ ซีนายังรับรู้ว่าซากดึกดำบรรพ์เป็น "การกลายเป็นหินของร่างกายของพืชและสัตว์"[35] โดยในศตวรรษที่ 13 อัลแบร์ตุส มาญุส บาทหลวงคณะดอมินิกัน (ประมาณ ค.ศ. 1200–1280) ได้ขยายความคิดนี้เป็นทฤษฎีของเหลวที่ทำให้เกิดการกลายเป็นหิน[36][ต้องการตรวจสอบความถูกต้อง] งานเหล่านี้ดูเหมือนจะมีอิทธิพลน้อยต่อนักวิชาการในยุโรปยุคกลางที่หันไปหาคัมภีร์ไบเบิลเพื่ออธิบายกำเนิดของซากดึกดำบรรพ์และการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเล ซึ่งมักอ้างถึง 'น้ำท่วมใหญ่' รวมถึง ริสโตโร ดาเรซโซ ในปี ค.ศ. 1282[33] จนกระทั่งสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาในอิตาลีเมื่อเลโอนาร์โด ดา วินชี (ค.ศ. 1452–1519) ฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดชั้นหิน การเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเล และเวลา โดยปฏิเสธการอ้างซากดึกดำบรรพ์กับ 'น้ำท่วมใหญ่'[37][33]:
ถึงความโง่เขลาและความไม่รู้ของผู้ที่คิดว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ถูกพัดพามายังสถานที่ที่ห่างไกลจากทะเลโดยน้ำท่วม...ทำไมเราถึงพบเศษชิ้นและเปลือกหอยเต็มในระหว่างชั้นหินต่าง ๆ เว้นแต่พวกมันเคยอยู่ที่ชายฝั่งและถูกปกคลุมโดยดินที่เพิ่งถูกนำขึ้นมาจากทะเลซึ่งต่อมากลายเป็นหิน? และหากน้ำท่วมใหญ่ดังกล่าวได้พัดพาพวกมันมายังที่เหล่านี้จากทะเล คุณจะพบเปลือกหอยที่ขอบชั้นหินเพียงชั้นเดียว ไม่ใช่ที่ขอบของหลายชั้นที่สามารถนับฤดูหนาวของปีที่ทะเลเพิ่มชั้นทรายและโคลนที่ถูกแม่น้ำใกล้เคียงนำมาปกคลุมชายฝั่ง และหากคุณต้องการบอกว่าต้องมีน้ำท่วมหลายครั้งเพื่อผลิตชั้นเหล่านี้และเปลือกหอยในนั้น ก็จำเป็นที่คุณจะต้องยืนยันว่าน้ำท่วมดังกล่าวเกิดขึ้นทุกปี
มุมมองเหล่านี้ของดา วินชีไม่ได้รับการตีพิมพ์ และจึงไม่มีอิทธิพลในขณะนั้น อย่างไรก็ตาม คำถามเกี่ยวกับซากดึกดำบรรพ์และความสำคัญของพวกมันยังคงถูกค้นหา และในขณะที่มุมมองที่ขัดกับพระธรรมปฐมกาลไม่เป็นที่ยอมรับง่ายนักและการแสดงความเห็นต่างจากหลักศาสนาบางทีก็ไม่ปลอดภัย นักวิชาการ เช่น จิโรลาโม ฟราคาสโตโรเห็นด้วยกับดา วินชี และพบว่าการอ้างซากดึกดำบรรพ์กับ 'น้ำท่วมใหญ่' นั้นไร้เหตุผล[33]
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 นีลส์ สตีโน หรือที่รู้จักกันในชื่อ นิโคลัส สตีโน (ค.ศ. 1638–1686) ได้กล่าวถึงหลักการพื้นฐานของวิชาลำดับชั้นหิน[33] สตีโนกล่าวถึงหลักการสี่ข้อในผลงานของเขา De solido intra solidum naturaliter contento dissertationis prodromus ดังนี้[7][38]:
หลักการเหล่านี้คือ หลักการของการวางซ้อน (Principle of Superposition), ความเป็นแนวราบดั้งเดิม (Principle of Original Horizontality), การต่อเนื่องด้านข้าง (Principle of Lateral Continuity), และความสัมพันธ์ของการตัดขวาง (Principle of Cross-Cutting Relationships) จากหลักการเหล่านี้ สตีโนได้สรุปว่าชั้นหินถูกวางเรียงต่อ ๆ กันเป็นลำดับ และสามารถอนุมานเวลาได้ (ในความเชื่อของสตีโนคือเวลาเริ่มต้นจากการสร้างโลก) แม้ว่าหลักการของสตีโนจะได้รับความสนใจอย่างมาก แต่การประยุกต์ใช้ยังคงเป็นเรื่องท้าทาย[33] หลักการพื้นฐานเหล่านี้ แม้ว่าจะได้รับการปรับปรุงและมีการตีความที่ละเอียดมากขึ้น แต่ก็ยังคงเป็นหลักการสำคัญในการกำหนดความสัมพันธ์ของชั้นหินตามช่วงเวลาทางธรณีวิทยา
ตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 18 นักธรณีวิทยาตระหนักว่า:
การแบ่งแยกอย่างเป็นทางการที่ชัดเจนครั้งแรกของบันทึกทางธรณีวิทยาในเชิงเวลา ถูกนำเสนอโดยโทมัส เบอร์เน็ต ซึ่งได้ใช้คำศัพท์แบ่งออกเป็นสองประเภทสำหรับภูเขา โดยระบุว่า "montes primarii" สำหรับหินที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่ง 'น้ำท่วมใหญ่' และ "monticulos secundarios" ซึ่งเป็นภูเขาที่เกิดขึ้นจากเศษหินของ "primarii" ภายหลัง[39][33] การอ้างถึง 'น้ำท่วมใหญ่' นี้ แม้จะถูกตั้งคำถามโดยบุคคล เช่น เลโอนาร์โด ดา วินชี ในช่วงก่อนหน้านี้ แต่ก็เป็นพื้นฐานของทฤษฎีเนปจูนนิยมของอับราฮัม ก็อทท์ลบ เวร์เนร์ (ค.ศ. 1749–1817) ที่กล่าวว่าหินทั้งหมดตกตะกอนจากมหาอุทกภัยครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียว[40] ทฤษฎีคู่แข่งคือ ทฤษฎีพลูโตนิยม ซึ่งพัฒนาโดยอันตอน โมโร (ค.ศ. 1687–1784) และใช้การแบ่งแยกแบบหลักและรองสำหรับหน่วยหินเช่นกัน[41][33] ในทฤษฎีพลูโตนิยมแบบแรกนี้ ภายในของโลกถูกมองว่าร้อน และความร้อนนี้เป็นตัวขับเคลื่อนการสร้างหินอัคนีและหินแปรแบบหลัก และหินรองเกิดจากตะกอนที่บิดเบี้ยวและมีซากดึกดำบรรพ์ การแบ่งแยกแบบหลักและรองนี้ได้ถูกขยายเพิ่มเติมโดยโจวันนี ตาร์โจนี โตเซตติ (ค.ศ. 1712–1783) และโจวันนี อาร์ดูอิโน (ค.ศ. 1713–1795) เพื่อรวมถึงการแบ่งแยกระดับตติยภูมิและจตุรภูมิ[33] การแบ่งแยกเหล่านี้ถูกใช้เพื่ออธิบายทั้งเวลาที่หินถูกวางตัว และการสะสมของหินเอง (เช่น การกล่าวว่าหินตติยภูมิ (เทอร์เทียรี) และยุคตติยภูมิ (เทอร์เทียรี) ถูกต้อง) ปัจจุบันมีเพียงการแบ่งแยกจตุรภูมิ (ควอเทอนารี) เท่านั้นที่ยังคงอยู่ในมาตราธรณีกาลสมัยใหม่ ในขณะที่การแบ่งแยกตติยภูมิยังคงใช้อยู่จนถึงต้นศตวรรษที่ 21 ทฤษฎีเนปจูนนิยมและพลูโตนิยม มีการถกเถียงกันไปจนถึงต้นศตวรรษที่ 19 โดยงานของเจมส์ ฮัตตัน (ค.ศ. 1726–1797) โดยเฉพาะทฤษฎี Theory of the Earth ที่นำเสนอครั้งแรกต่อราชสมาคมแห่งเอดินบะระในปี ค.ศ. 1785[42][8][43] เป็นปัจจัยสำคัญในการแก้ไขข้อถกเถียงนี้ ทฤษฎีของฮัตตันต่อมากลายเป็นที่รู้จักในนาม ทฤษฎีภาวะเอกรูป (uniformitarianism) ซึ่งถูกเผยแพร่โดยจอห์น เพลย์แฟร์[44] (ค.ศ. 1748–1819) และต่อมาโดยชาร์ลส์ ไลเอล (ค.ศ. 1797–1875) ในหนังสือ Principles of Geology[9][45][46] ทฤษฎีเหล่านี้ได้โต้แย้งอายุ 6,000 ปีของโลกที่ถูกเสนอโดยเจมส์ อัชเชอร์ผ่านการลำดับเวลาด้วยคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเป็นที่ยอมรับในขณะนั้น โดยใช้หลักฐานทางธรณีวิทยา พวกเขาโต้แย้งว่าโลกมีอายุเก่าแก่กว่านั้นมาก สร้างแนวคิดเรื่องเวลาดึกดำบรรพ์
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 วิลเลียม สมิธ, ฌ็อฌ กูวีเย, ฌ็อง โดมาลียูส ดาลัว และอเล็กซองเดรอะ บงนีอาต์ ได้บุกเบิกการแบ่งแยกหินอย่างเป็นระบบตามชั้นหินและกลุ่มซากดึกดำบรรพ์ นักธรณีวิทยาเหล่านี้เริ่มใช้ชื่อตามท้องถิ่นที่กำหนดให้กับหน่วยหินในความหมายที่กว้างขึ้น โดยเชื่อมโยงชั้นหินข้ามพรมแดนระดับชาติและทวีปตามความคล้ายคลึงกัน หลายชื่อที่อยู่ต่ำกว่าระดับหินมหายุค/มหายุคในมาตราธรณีกาลสมัยใหม่ ถูกกำหนดในช่วงต้นถึงกลางศตวรรษที่ 19
ในช่วงศตวรรษที่ 19 การถกเถียงเกี่ยวกับอายุของโลกกลับมาอีกครั้ง โดยนักธรณีวิทยาประเมินอายุจากอัตราการเกลี่ยผิวแผ่นดินและความหนาของชั้นตะกอนหรือเคมีของมหาสมุทร ส่วนฟิสิกส์กำหนดอายุสำหรับการเย็นตัวของโลกหรือดวงอาทิตย์โดยใช้อุณหพลศาสตร์พื้นฐานหรือฟิสิกส์วงโคจร[5] การประมาณการเหล่านี้แตกต่างกันตั้งแต่ 15,000 ล้านปีถึง 0.075 ล้านปี ขึ้นอยู่กับวิธีการและผู้เขียน แต่การประมาณการของลอร์ดเคลวินและคลาเรนซ์ คิงถือว่าได้รับการยอมรับอย่างสูงในเวลานั้นเนื่องจากความเชี่ยวชาญของพวกเขาในสาขาฟิสิกส์และธรณีวิทยา นับธรณีกาลมาตรวิทยา (geochronometry) ในยุคแรกๆ เหล่านี้ต่อมาจะพิสูจน์ได้ว่าผิดทั้งหมด
การค้นพบการสลายตัวกัมมันตรังสีโดยอ็องตวน อ็องรี แบ็กแรล มารี กูว์รี และปีแยร์ กูว์รี ได้วางรากฐานสำหรับการหาอายุด้วยรังสี แต่ความรู้และเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการกำหนดอายุด้วยรังสีที่แม่นยำจะยังไม่มีให้ใช้งานได้จนถึงช่วงกลางคริสต์ทศวรรษที่ 1950[5] ความพยายามในยุคแรก ๆ ในการกำหนดอายุของแร่ยูเรเนียมและหินโดยเออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด เบอร์ทรัม โบลต์วูด โรเบิร์ต สตรัตต์ และอาเธอร์ โฮล์มส์ จะนำไปสู่สิ่งที่ถือเป็นมาตราธรณีกาลระหว่างประเทศครั้งแรกโดยโฮล์มส์ในปี 1911 และ 1913[32][47][48] การค้นพบไอโซโทปในปี 1913[49] โดยเฟรเดอริก ซอดดี และการพัฒนาในเครื่องแมสสเปกโตรเมทรีที่บุกเบิกโดยฟรานซิส วิลเลียม แอสตัน อาเธอร์ เจฟฟรีย์ เดมป์สเตอร์ และอัลเฟรด โอ. ซี. เนียร์ ในช่วงต้นถึงกลางศตวรรษที่ 20 จะทำให้สามารถกำหนดอายุด้วยรังสีได้อย่างแม่นยำ โดยโฮล์มส์ได้ตีพิมพ์การแก้ไขหลายครั้งในมาตราธรณีกาลของเขา โดยมีฉบับสุดท้ายในปี 1960[5][48][50][51]
การจัดตั้ง IUGS ในปี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961)[52] และการยอมรับของคณะกรรมการการลำดับชั้นหิน (Commission on Stratigraphy) (มีผลบังคับในปี พ.ศ. 2508 หรือ ค.ศ. 1965)[53] เพื่อเป็นคณะกรรมการสมาชิกของ IUGS นำไปสู่การก่อตั้ง ICS หนึ่งในวัตถุประสงค์หลักของ ICS คือ "การจัดตั้ง, การเผยแพร่ และการปรับปรุงแผนภูมิการลำดับชั้นหินตามอายุกาลสากลของ ICS (International Chronostratigraphic Chart; ICC) ซึ่งเป็นมาตรฐานอ้างอิงที่ทั่วโลกใช้กันสำหรับธรณีกาลเพื่อรวมการตัดสินใจที่ผ่านการรับรองของคณะกรรมการ"[1]
ต่อจากการทำงานของโฮล์มส์ มีการตีพิมพ์หนังสือมาตราธรณีกาล (Geological Time Scale; GTS) ในปี พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982)[54], พ.ศ. 2532 (1989)[55], พ.ศ. 2547 (2004)[56], พ.ศ. 2551 (2008)[57], พ.ศ. 2555 (2012)[58], พ.ศ. 2559 (2016)[59], และ พ.ศ. 2563 (2020)[60] อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 (2013) เป็นต้นมา ICS ได้เข้ามารับผิดชอบในการผลิตและจัดจำหน่ายแผนภูมิ ICC เนื่องจากธรรมชาติทางการค้า, การสร้างสรรค์อิสระ, และขาดการกำกับดูแลจาก ICS ของเวอร์ชัน GTS ที่ตีพิมพ์ก่อนปี พ.ศ. 2556 (2013) (แม้ว่าเวอร์ชันเหล่านี้จะตีพิมพ์ในความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ ICS)[2] หนังสือมาตราธรณีกาลหลังจากปี พ.ศ. 2556 (2013) (2559[59] และ 2563[60]) เป็นสิ่งพิมพ์เชิงพาณิชย์ที่ไม่มีการกำกับดูแลจาก ICS และไม่สอดคล้องกับแผนภูมิที่ผลิตโดย ICS โดยสมบูรณ์ แผนภูมิ GTS ที่ผลิตโดย ICS จะมีการกำหนดเวอร์ชัน (ปี/เดือน) โดยเริ่มที่ v2013/01 และมีการตีพิมพ์อย่างน้อยหนึ่งเวอร์ชันใหม่ในแต่ละปีซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านการรับรองจาก ICS ตั้งแต่เวอร์ชันก่อนหน้า
ได้รับการเสนอครั้งแรกในปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000)[61] แอนโทรโปซีนเป็นหินสมัย/สมัยที่เสนอขึ้นสำหรับช่วงเวลาล่าสุดในประวัติศาสตร์ของโลก แม้ว่ายังคงเป็นคำที่ไม่เป็นทางการ แต่ก็ถูกใช้อย่างแพร่หลายเพื่อบ่งบอกถึงช่วงเวลาทางธรณีวิทยาปัจจุบัน ซึ่งสภาพและกระบวนการต่าง ๆ บนโลกถูกเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งโดยผลกระทบจากมนุษย์[62] ณ เดือนเมษายน พ.ศ. 2565 (ค.ศ. 2022) แอนโทรโปซีนยังไม่ได้รับการให้สัตยาบันโดย ICS; อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) กลุ่มทำงานแอนโทรโปซีนได้ลงมติเห็นชอบในการยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการต่อ ICS เพื่อจัดตั้งหินสมัย/สมัยแอนโทรโปซีน[63] อย่างไรก็ตาม การนิยามแอนโทรโปซีนเป็นช่วงเวลาทางธรณีวิทยาแทนที่จะเป็นเหตุการณ์ทางธรณีวิทยายังคงเป็นที่ถกเถียงและยากลำบาก[64][65][66][67]
กลุ่มทำงานนานาชาติของคณะกรรมการการลำดับชั้นหินเกี่ยวกับการแบ่งย่อยลำดับชั้นหินตามอายุกาลช่วงก่อนยุคไครโอเจเนียน ได้วางแบบแผนเพื่อปรับปรุงมาตราธรณีกาลก่อนยุคไครโอเจเนียนให้สอดคล้องกับมาตราธรณีกาลหลังยุคโทเนียน[6] ผลงานนี้ได้ประเมินประวัติศาสตร์ทางธรณีวิทยาของบรมยุคและมหายุคที่กำหนดไว้ในปัจจุบันของอภิมหาบรมยุคพรีแคมเบรียน[note 3] และข้อเสนอในหนังสือ "Geological Time Scale" ปี 2004[68], 2012[3], และ 2020[69] การแนะนำการปรับปรุง[6] ของพวกเขาในมาตราธรณีกาลก่อนยุคไครโอเจเนียนเป็นดังนี้ (การเปลี่ยนแปลงจากมาตราปัจจุบัน [v2023/09] เน้นด้วยตัวเอียง):
หนังสือ Geologic Time Scale 2012 เป็นการตีพิมพ์เชิงพาณิชย์ครั้งสุดท้ายของแผนภูมิการลำดับชั้นหินตามอายุกาลสากลที่เกี่ยวข้องกับ ICS อย่างใกล้ชิด[2] มันได้รวมข้อเสนอในการแก้ไขลำดับเวลาก่อนยุคไครโอเจเนียนอย่างมากเพื่อสะท้อนถึงเหตุการณ์สำคัญ เช่น การก่อตัวของระบบสุริยะและเหตุการณ์การออกซิเดชันครั้งใหญ่ เป็นต้น ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาศัพท์ธรณีกาลที่ใช้มาก่อนหน้านี้สำหรับช่วงเวลาที่เกี่ยวข้อง[70] ณ เดือนเมษายน พ.ศ. 2565 ข้อเสนอเหล่านี้ยังไม่ได้รับการยอมรับจาก ICS การเปลี่ยนแปลงที่เสนอ (การเปลี่ยนแปลงจากมาตราปัจจุบัน [v2023/09]) แสดงเป็นตัวเอียง:
ตารางต่อไปนี้เป็นการสรุปเหตุการณ์สำคัญและลักษณะของการแบ่งช่วงเวลาที่ประกอบเป็นมาตราธรณีกาลของโลก ตารางนี้จัดเรียงช่วงเวลาทางธรณีวิทยาที่เกิดขึ้นล่าสุดไว้ด้านบนและช่วงเวลาที่เก่าแก่ที่สุดไว้ด้านล่าง ความสูงของแต่ละรายการในตารางนี้ไม่สอดคล้องกับระยะเวลาของการแบ่งช่วงเวลาแต่ละช่วง ดังนั้นตารางนี้จึงไม่สามารถแสดงสัดส่วนระยะเวลาของแต่ละหน่วยธรณีวิทยาได้อย่างแม่นยำ แม้ว่าบรมยุคฟาเนอโรโซอิกจะดูเหมือนยาวนานกว่ายุคอื่น ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วครอบคลุมเพียงประมาณ 539 ล้านปี (ประมาณ 12% ของประวัติศาสตร์โลก) ในขณะที่สามยุคก่อนหน้านี้[note 3] รวมกันครอบคลุมประมาณ 3,461 ล้านปี (ประมาณ 76% ของประวัติศาสตร์โลก) ความไม่สมดุลนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสามยุคแรกเมื่อเทียบกับยุคปัจจุบัน (บรมยุคฟาเนอโรโซอิก)[6][75] การใช้กึ่งสมัย/กึ่งหินสมัยได้รับการรับรองโดยคณะกรรมาธิการการลำดับชั้นหินสากล (ICS)[17]
เนื้อหาของตารางนี้อ้างอิงกับ ICC อย่างเป็นทางการที่จัดทำและดูแลโดยคณะกรรมาธิการการลำดับชั้นหินสากล (ICS) ซึ่งยังมีเวอร์ชันออนไลน์ที่เป็นแบบโต้ตอบได้ของตารางนี้อีกด้วย โดยเวอร์ชันโต้ตอบนี้อ้างอิงจากบริการที่ให้ทรัพยากรในรูปแบบอ่านได้โดยเครื่อง (machine-readable) ด้วยมาตรฐาน Resource Description Framework/Web Ontology Language ในการแสดงมาตราธรณีกาล ซึ่งพร้อมใช้งานผ่านโปรเจกต์ GeoSciML ของคณะกรรมาธิการการจัดการและประยุกต์ใช้ข้อมูลธรณีวิทยา (Commission for the Management and Application of Geoscience Information)[76] และสามารถเข้าถึงได้ที่เอนด์พอยท์ SPARQL[77][78]
หินบรมยุค /บรมยุค |
หินมหายุค /มหายุค |
หินยุค /ยุค |
หินสมัย /สมัย |
หินช่วงอายุ /ช่วงอายุ |
เหตุการณ์สำคัญ | เริ่มต้น (ล้านปีที่แล้ว) [note 6] |
---|---|---|---|---|---|---|
ฟาเนอโรโซอิก (Phanerozoic) |
ซีโนโซอิก[note 4] (Cenozoic) |
ควอเทอร์นารี (Quaternary) |
โฮโลซีน (Holocene) |
เมฆาลายัน (Meghalayan) |
เหตุการณ์ 4.2 พันปี, การขยายดินแดนของชาวออสโตรนีเซีย (ไปยังเกาะมาดากัสการ์และหมู่เกาะโอเชียเนียห่างไกล), การเพิ่มขึ้นของคาร์บอนไดออกไซด์จากกิจกรรมด้านอุตสาหกรรม | 0.0042* |
นอร์ทกริปเปียน (Northgrippian) |
เหตุการณ์ 8.2 พันปี, ภูมิอากาศเหมาะสมที่สุดในยุคโฮโลซีน, ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นทำให้ด็อกเกอร์แลนด์และซุนดาแลนด์ถูกน้ำท่วม, การแปรสภาพเป็นทะเลทรายของภูมิภาคสะฮาราและอาหรับ, สิ้นสุดยุคหินและเริ่มต้นยุคประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร, การขยายตัวของมนุษย์ไปยังกลุ่มเกาะอาร์กติกและกรีนแลนด์ | 0.0082* | ||||
กรีนแลนด์เดียน (Greenlandian) |
การเข้าสู่เสถียรภาพของภูมิอากาศ, ช่วงอายุย่อยธารน้ำแข็งปัจจุบันและการสูญพันธุ์สมัยโฮโลซีนเริ่มต้นขึ้น, การทำเกษตรกรรมเริ่มต้นขึ้น, มนุษย์แพร่กระจายไปทั่วพื้นที่สะฮาราเปียกและคาบสมุทรอาหรับ พื้นที่ตอนเหนือสุด และทวีปอเมริกา (แผ่นดินใหญ่และแคริบเบียน) | 0.0117* | ||||
ไพลสโตซีน (Pleistocene) |
บน/ตอนปลาย (ทารันเทียน) (Upper/Late (Tarantian)) |
ช่วงคั่นช่วงอายุย่อยธารน้ำแข็งอีเมียน, ยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุด, จุดสิ้นสุดของยังเกอร์ดรายแอส, การปะทุของภูเขาไฟโตบา, การสูญพันธุ์ของสัตว์ขนาดใหญ่ในสมัยไพลสโตซีน (รวมถึงนกเทอร์เรอร์เบิร์ดพวกสุดท้าย), การขยายตัวของมนุษย์เข้าสู่โอเชียเนียใกล้และทวีปอเมริกา | 0.129 | |||
ชิบาเนียน (Chibanian) |
เกิดการเปลี่ยนผ่านไพลสโตซีนกลาง, วัฏจักรน้ำแข็งหนึ่งแสนปีมีแอมพลิจูดสูง, และการกำเนิดของมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ | 0.774 | ||||
คาลาเบรียน (Calabrian) |
การเย็นลงต่อเนื่องของภูมิอากาศ, การสูญพันธุ์ของนกเทอร์เรอร์ยักษ์, การแพร่กระจายของมนุษย์โฮโมอิเร็กตัสทั่วทวีปแอฟโฟร-ยูเรเชีย | 1.8* | ||||
เจลาเซียน (Gelasian) |
จุดเริ่มต้นของยุคน้ำแข็งยุคควอเทอร์นารีและการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่ไม่เสถียร[79], การปรากฏของมหาสัตวชาติสมัยไพลสโตซีนและการเกิดขึ้นของมนุษย์โฮโมแฮบิลิส | 2.58* | ||||
นีโอจีน (Neogene) |
ไพลโอซีน (Pliocene) |
ปีอาเซนเซียน (Piacenzian) |
การพัฒนาขึ้นของพืดน้ำแข็งกรีนแลนด์เกิดขึ้น[80] ขณะที่ความหนาวเย็นค่อย ๆ ทวีความรุนแรงขึ้นจนถึงสมัยไพลสโตซีน, ปริมาณออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศถึงระดับปัจจุบัน ในขณะที่มวลแผ่นดินเคลื่อนมาถึงยังตำแหน่งปัจจุบัน (เช่น คอคอดปานามาเชื่อมต่อทวีปอเมริกาเหนือและใต้เข้าด้วยกัน ทำให้เกิดการการแลกเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตของทั้งสองทวีป), การสูญพันธ์ของเมทาเธอเรียไม่มีกระเป๋าหน้าท้องกลุ่มสุดท้าย, ออสตราโลพิเทคัสแพร่กระจายอยู่ทั่วด้านตะวันออกของทวีปแอฟริกา, และยุคหินเริ่มต้นขึ้น[81] | 3.6* | ||
ซานเคลียน (Zanclean) |
น้ำท่วมซานเคลียนในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน, การเย็นลงของภูมิอากาศที่สืบเนื่องมาจากสมัยไมโอซีน, การปรากฏตัวครั้งแรกของสัตว์คล้ายม้าและคล้ายช้าง, การมีอยู่ของวานรอาร์ดิพิเทคัสในทวีปแอฟริกา[81] | 5.333* | ||||
ไมโอซีน (Miocene) |
เมสซิเนียน (Messinian) |
เหตุการณ์ช่วงอายุเมสซิเนียนพร้อมด้วยทะเลสาบเกลือความเค็มสูงในแอ่งเมดิเตอร์เรเนียนที่ว่างเปล่า, การก่อตัวของทะเลทรายสะฮาราเริ่มขึ้น, ภูมิอากาศแบบภาวะเรือนน้ำแข็งปานกลางซึ่งถูกสลับด้วยยุคน้ำแข็ง และการกลับมาก่อตัวของพืดน้ำแข็งแอนตาร์กติกตะวันออก, คอริสตอเดรา ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานคล้ายจระเข้ที่ไม่ใช่จระเข้ และครีโอดอนต์สูญพันธุ์ไป, หลังจากการแยกตัวจากบรรพบุรุษร่วมของมนุษย์ กอริลลา และชิมแปนซีเริ่มแยกตัวออกจากกันอย่างช้า ๆ และมีวานรซาเฮลันโทรปัสและออร์โรรินอาศัยอยู่ในทวีปแอฟริกา | 7.246* | |||
ตอร์โตเนียน (Tortonian) |
11.63* | |||||
เซอร์ร่าวาเลียน (Serravallian) |
ช่วงภูมิอากาศที่เหมาะสมที่สุดในสมัยไมโอซีนกลางมีอากาศอบอุ่นขึ้นเป็นการชั่วคราว[82], การสูญพันธุ์ในช่วงการหยุดชะงักสมัยไมโอซีนกลางทำให้ความหลากหลายของสายพันธุ์ฉลามลดลง, ฮิปโปกลุ่มแรกปรากฏขึ้น และบรรพบุรุษของลิงใหญ่อยู่ในช่วงเวลานี้ | 13.82* | ||||
ลางเกียน (Langhian) |
15.97 | |||||
เบอร์ดิกาเลียน (Burdigalian) |
การเกิดการก่อเทือกเขาในซีกโลกเหนือ, การเริ่มต้นของการก่อเทือกเขาไคเคาราซึ่งนำไปสู่การก่อตัวของเทือกเขาเซาท์เทิร์นแอลป์ประเทศนิวซีแลนด์, การแพร่กระจายของผืนป่าที่ดึงเอาคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมหาศาลมาใช้ ทำให้ระดับของคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศลดลงจาก 650 ppmv เหลือประมาณ 100 ppmv ในสมัยไมโอซีน[83][note 7], สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและนกสมัยใหม่เริ่มมีลักษณะเป็นที่รู้จัก, วาฬดึกดำบรรพ์พวกสุดท้ายสูญพันธุ์, หญ้าแพร่กระจายอย่างแพร่หลาย, บรรพบุรุษของเอป รวมถึง มนุษย์ ปรากฏขึ้นในยุคนี้[84], ทวีปแอฟโฟร-อาหรับชนกับทวีปยูเรเซีย ทำให้เข็มขัดอัลพีดก่อตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์และทำให้มหาสมุทรเททิสหายไป พร้อมกับเกิดการแลกเปลี่ยนของสัตว์ระหว่างทั้งสองทวีป, ในเวลาเดียวกัน ทวีปแอฟโฟร-อาหรับแตกแยกออกเป็นทวีปแอฟริกาและเอเชียตะวันตก | 20.44 | ||||
อาคิเทเนียน (Aquitanian) |
23.03* | |||||
พาลีโอจีน (Paleogene) |
โอลิโกซีน (Oligocene) |
ชาเชียน (Chattian) |
เหตุการณ์สูญพันธุ์สมัยอีโอซีน–โอลิโกซีน, จุดเริ่มต้นของการแพร่กระจายอย่างกว้างขวางของการเกิดยุคน้ำแข็งแอนตาร์กติก[85] การวิวัฒนาการและความหลากหลายของสัตว์อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (เช่น มาโครพอดและพวกแมวน้ำ), การวิวัฒนาการและการแพร่กระจายของพืชดอกยุคใหม่อย่างมีนัยสำคัญ, ชีโมเลสตา มีอาคอยด์ และคอนดีลาร์ทสูญพันธุ์ไป, การปรากฏตัวครั้งแรกของพวกวาฬและโลมา (ที่เป็นสัตว์น้ำโดยสมบูรณ์) | 28.1 | ||
รูเพเลียน (Rupelian) |
33.9* | |||||
อีโอซีน (Eocene) |
ไพรอาโบเนียน (Priabonian) |
ภูมิอากาศเย็นลงปานกลาง, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมยุคโบราณ (เช่น ครีโอดอนตา, มีอาคอยด์, "คอนไดลาร์ท" เป็นต้น) เจริญรุ่งเรืองและพัฒนาต่อไปในสมัยนี้, วงศ์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม "สมัยใหม่" หลายวงศ์ปรากฏขึ้น, สายพันธุ์วาฬโบราณและพะยูนมีความหลากหลายมากขึ้นหลังจากกลับคืนสู่น้ำ, พันธุ์นกมีความหลากหลายมากขึ้น, การปรากฏตัวครั้งแรกของเคลป์ ไดโพรโตดอนเทีย หมี และ ซีเมียน, สัตว์พวกมัลติทูเบอร์คิวเลและเลปติกติดันสูญพันธุ์ในช่วงปลายของสมัยนี้, การกลับมาของธารน้ำแข็งแอนตาร์กติกาและการก่อตัวของครอบน้ำแข็ง, การสิ้นสุดของการก่อเทือกเขาลาราไมด์และการก่อเทือกเขาเซเวียร์ของเทือกเขาร็อกกีในทวีปอเมริกาเหนือ, การก่อเทือกเขาของเทือกเขาแอลป์ในทวีปยุโรปเริ่มต้นขึ้น, การก่อเทือกเขาเฮลเลนิกในประเทศกรีซและทะเลอีเจียนเริ่มต้นขึ้น | 37.8 | |||
บาร์โทเนียน (Bartonian) |
41.2 | |||||
ลูเทเลียน (Lutetian) |
47.8* | |||||
อิพรีเชียน (Ypresian) |
เหตุการณ์ชั่วคราวสองเหตุการณ์ของภาวะโลกร้อน (PETM และ ETM-2) และภูมิอากาศอบอุ่นจนถึงช่วงภูมิอากาศที่เหมาะสมที่สุดสมัยอีโอซีน, เหตุการณ์อาโซลลาทำให้ระดับของคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงจาก 3500 ppm เหลือ 650 ppm ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของช่วงเวลาที่ภูมิอากาศเย็นลงเป็นเวลานาน[83][note 7], อนุทวีปอินเดียชนเข้ากับทวีปเอเชียและเริ่มต้นการก่อเทือกเขาหิมาลัย (ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางชีวภาพ) ขณะที่ทวีปยูเรเซียแยกออกจากทวีปอเมริกาเหนืออย่างสมบูรณ์ ทำให้เกิดมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นสมุทรแยกตัวออกจากส่วนที่เหลือของทวีปยูเรเซีย, นกเกาะคอน สัตว์เคี้ยวเอื้อง ตัวนิ่ม ค้างคาว และ ไพรเมทที่แท้จริงปรากฏขึ้นในสมัยนี้ | 56* | ||||
พาลีโอซีน (Paleocene) |
ทาเนเชียน (Thanetian) |
เริ่มต้นจากการชนของอุกกาบาตชิกชูลุบและเหตุการณ์การสูญพันธุ์ยุคครีเทเชียส–พาลีโอจีน ซึ่งส่งผลให้ไดโนเสาร์ที่ไม่ใช่นกและเทอโรซอร์สูญพันธุ์ รวมถึงสัตว์ทะเลเลี้อยคลานส่วนใหญ่ สัตว์มีกระดูกสันหลังอื่น ๆ จำนวนมาก (เช่น เมทาเธอเรียในลอเรเซีย) เซฟาโลพอด (โดยมีเพียงหอยงวงช้างและหมึกเท่านั้นที่รอดชีวิต) และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจำนวนมากได้สูญพันธุ์ไปด้วย, ภูมิอากาศในขณะนั้นเป็นแบบเขตร้อน, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและนกได้แพร่กระจายไปยังวงศ์ต่าง ๆ อย่างรวดเร็วหลังเหตุการณ์การสูญพันธุ์ (ในขณะที่วิวัฒนาการทางทะเลได้หยุดชะงักลง), มัลติทูเบอร์คิวเลทและสัตว์ฟันแทะกลุ่มแรกได้แพร่กระจายไปทั่ว, นกขนาดใหญ่ (เช่น นกราไทท์และนกทอร์เรอร์) และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ (ขนาดเท่าหมีหรือน้อยกว่าฮิปโปโปเตมัสเล็กน้อย) ได้ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก, การก่อเทือกเขาอัลไพน์ในทวีปยุโรปและทวีปเอเชียได้เริ่มต้นขึ้น, พวกช้างและเพลเซียดาพิฟอร์เมส (บรรพบุรุษไพรเมท) ได้ปรากฏขึ้น, และสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องบางกลุ่มได้อพยพไปยังทวีปออสเตรเลีย | 59.2* | |||
เซอแลนเดียน (Selandian) |
61.6* | |||||
ดาเนียน (Danian) |
66* | |||||
มีโซโซอิก (Mesozoic) |
ครีเทเชียส (Cretaceous) |
บน/ตอนปลาย (Upper/Late) |
มาสทริเชียน (Maastrichtian) |
พืชดอกเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว (หลังจากการพัฒนาลักษณะหลายประการตั้งแต่ยุคคาร์บอนิเฟอรัส) พร้อมกับการปรากฏของแมลงชนิดใหม่ ขณะที่พืชเมล็ดเปลือยและเฟิร์นมีเมล็ดเสื่อมถอยลง, ปลาเทลีออสสมัยใหม่เริ่มปรากฏมากขึ้น, แอมโมไนต์ เบเลมไนต์ รูดิสต์ไบวาลเวีย เม่นทะเล และฟองน้ำพบได้ทั่วไป, ไดโนเสาร์ชนิดใหม่หลายชนิด (เช่น ไทแรนโนซอรัส, ลิโทสโตรเชีย, ฮาโดรซอร์ และเซราทอปซิเด) วิวัฒนาการขึ้นบนแผ่นดิน, ในขณะที่จระเข้ปรากฏในน้ำและอาจเป็นเหตุให้เทมโนสปอนดีลส์พวกสุดท้ายสูญพันธุ์ไป และโมซาซอร์กับปลาฉลามสมัยใหม่ปรากฏขึ้นในทะเล, การปฏิวัติที่เริ่มต้นโดยสัตว์เลี้อยคลานและฉลามในทะเลถึงจุดสูงสุด แม้ว่าอิกทีโอซอร์จะสูญพันธุ์ไปในไม่กี่ล้านปีหลังจากถูกลดจำนวนลงอย่างมากจากเหตุการณ์โบนาเรลลี, นกมีหยักซี่ฟันและไร้หยักซี่ฟันปรากฏขึ้นพร้อมกันกับเทอโรซอร์, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสมัยใหม่ในกลุ่มโมโนทรีม เมทาเธอเรีย (รวมถึงมาร์ซูเพียล ซึ่งอพยพไปยังทวีปอเมริกาใต้) และ ยูทีเรีย (รวมถึงพลาเซนตาเลีย เลปติกตีดา และ ชีโมเลสตา) ปรากฏขึ้น ขณะที่ไซโนดอนต์พวกสุดท้ายที่ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสูญพันธุ์ไป, ปูบกตัวแรกปรากฏขึ้น และหอยทากจำนวนมากขึ้นมาอาศัยอยู่บนบก, การแยกตัวของมหาทวีปกอนด์วานาทำให้เกิดทวีปอเมริกาใต้ ทวีปแอฟโฟร-อาหรับ ทวีปแอนตาร์กติกา โอเชียเนีย เกาะมาดากัสการ์ อินเดียใหญ่ และเกิดมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ มหาสมุทรอินเดีย และ มหาสมุทรแอนตาร์กติก รวมทั้งหมู่เกาะในมหาสมุทรอินเดียและบางส่วนในมหาสมุทรแอตแลนติก, การก่อเทือกเขาลาราไมด์และการก่อเทือกเขาเซเวียร์ของเทือกเขาร็อกกีเริ่มต้นขึ้น, ระดับออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศของโลกคล้ายกับในปัจจุบัน, อะครีทาร์ชสูญพันธุ์ไป, ภูมิอากาศเริ่มอุ่นขึ้นแต่เย็นลงในภายหลัง | 72.1 ± 0.2* | |
คัมปาเนียน (Campanian) |
83.6 ± 0.2 | |||||
ซานโตเนียน (Santonian) |
86.3 ± 0.5* | |||||
โคเนียเซียน (Coniacian) |
89.8 ± 0.3 | |||||
ทูโรเนียน (Turonian) |
93.9* | |||||
ซีโนมาเนียน (Cenomanian) |
100.5* | |||||
ล่าง/ตอนต้น (Lower/Early) |
อัลเบียน (Albian) |
~113 | ||||
อัปเทียน (Aptian) |
~125 | |||||
บาร์เรมเมียน (Barremian) |
~129.4 | |||||
เฮาเทริเวียน (Hauterivian) |
~132.9 | |||||
เวลังจิเนียน (Valanginian) |
~139.8 | |||||
เบอร์เรียเชียน (Berriasian) |
~145 | |||||
จูแรสซิก (Jurassic) |
บน/ตอนปลาย (Upper/Late) |
ทิโทเนียน (Tithonian) |
ภูมิอากาศกลับสู่สภาพชื้นอีกครั้ง, พืชเมล็ดเปลือย (โดยเฉพาะ โคนิเฟอร์ เบนเนททีเทลส์ และพืชพวกปรง) และเฟิร์นมีการแพร่หลายอย่างกว้างขวาง, ไดโนเสาร์หลากหลายชนิด เช่น ซอโรพอด คาร์โนซอเรีย สเตโกซอเรีย และโคเอลูโรซอเรีย กลายเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่ครองพื้นที่บนแผ่นดิน, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีการหลากหลายพันธุ์ไปเป็นพวกชัวเตรีเด ออสตราโลสฟีนีดา ยูทรีโคโนดอนต์ มันติทูเบอร์คูเลต ซิมเมโทรดอนต์ ดรายเลสทิเด และไทรโบสฟีนิดา แต่ยังคงมีขนาดเล็ก, นก กิ้งก่า งู และเต่าปรากฏขึ้นครั้งแรก, สาหร่ายสีน้ำตาล ปลากระเบน กุ้งฝอย ปู และล็อบสเตอร์ปรากฏเป็นครั้งแรกเช่นกัน, อิคทีโอซอร์และเพลสิโอซอร์มีการแตกออกเป็นหลากหลายสายพันธุ์, ไรนโคเซฟาเลียแพร่กระจายไปทั่วโลก, ไบวาลเวีย แอมโมไนต์ และเบเลมไนต์มีความอุดมสมบูรณ์อย่างมาก, เม่นทะเลพบได้ทั่วไปอย่างแพร่หลาย พร้อมกับไครนอยด์ ดาวทะเล ฟองน้ำ และแบรคิโอพอดกลุ่มเทราบราทิวไลดาและรินคอเนลลิดา, การแตกออกของมหาทวีปแพนเจียเป็นมหาทวีปกอนด์วานาและมหาทวีปลอเรเชีย ซึ่งต่อมามีการแตกออกอีกเป็นสองส่วนหลัก มหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอาร์กติกก่อตัวขึ้น, มหาสมุทรทีทิสก่อตัวขึ้น, การก่อเทือกเขาเนวาดาในทวีปอเมริกาเหนือ, การก่อเทือกเขารันกีตาตาและการก่อเทือกเขาซิมเมอเรียนลดความรุนแรงลง, ระดับของคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศสูงกว่าระดับปัจจุบัน 3–4 เท่า (1200–1500 ppmv เทียบกับปัจจุบันที่ 400 ppmv[83][note 7]), โครโคดีโลมอร์ฟา (กลุ่มที่เหลือของพีซโดซูเชียน) หันไปหาชีวิตในน้ำ, ช่วงการปฏิวัติเกี่ยวกับชีวิตทางทะเลมหายุคมีโซโซอิกดำเนินต่อเนื่องมาจากสมัยไทรแอสซิกตอนปลาย, เทนตะคูไลต์สูญพันธุ์ | 152.1 ± 0.9 | ||
คิมเมอริดเจียน (Kimmeridgian) |
157.3 ± 1.0 | |||||
อ็อกฟอร์เดียน (Oxfordian) |
163.5 ± 1.0 | |||||
ตอนกลาง (Middle) |
คัลโลเวียน (Callovian) |
166.1 ± 1.2 | ||||
บาโธเนียน (Bathonian) |
168.3 ± 1.3* | |||||
บาจอเชียน (Bajocian) |
170.3 ± 1.4* | |||||
อาเลเนียน (Aalenian) |
174.1 ± 1.0* | |||||
ล่าง/ตอนต้น (Lower/Early) |
โทอาร์เชียน (Toarcian) |
182.7 ± 0.7* | ||||
ไพเลนส์เบเชียน (Pliensbachian) |
190.8 ± 1.0* | |||||
ไซเนมูเรียน (Sinemurian) |
199.3 ± 0.3* | |||||
เฮทเทนเจียน (Hettangian) |
201.3 ± 0.2* | |||||
ไทรแอสซิก (Triassic) |
บน/ตอนปลาย (Upper/Late) |
เรเทียน (Rhaetian) |
อาร์โคซอร์ครองแผ่นดินในฐานะไดโนเสาร์ และเทอโรซอร์ครองท้องฟ้า, ขณะเดียวกันไดโนเสาร์ได้วิวัฒนาการมาจากอาร์โคซอร์สองเท้า อิคทีโอซอร์และโนโทซอร์ (ซึ่งเป็นกลุ่มของซอโรพอเทอรีเจียน) เป็นผู้ครองสัตว์ทะเลขนาดใหญ่, ไซโนดอนต์มีขนาดเล็กลงและกลายเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่แท้จริงในที่สุด ขณะที่สัตว์เลี้อยคลานคล้ายสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ ที่เหลือสูญพันธุ์ไป, ไรนโคซอร์เป็นที่แพร่หลายอย่างกว้างขวาง, เฟิร์นเมล็ดชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ดิโครเดียม ยังคงมีความชุกชุมในมหาทวีปกอนด์วานา ก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยพืชเมล็ดเปลือยที่มีวิวัฒนาการสูง, เทมโนสปอนไดล์ในทะเลสะเทินน้ำสะเทินบกขนาดใหญ่มีความหลากหลายอย่างมาก, เซราไทติกแอมโมนอยด์เป็นที่แพร่หลายอย่างยิ่ง, ปะการังสมัยใหม่และปลาเทลีออส รวมถึงหลายกลุ่มแมลงที่มีวิวัฒนาการใหม่เริ่มปรากฏขึ้น, การก่อเทือกเขาแอนดีสในทวีปอเมริกาใต้เริ่มต้นขึ้น, การก่อเทือกเขาซิมเมอเรียนในทวีปเอเชียเริ่มต้นขึ้น, การก่อเทือกเขารันกีตาตาในประเทศนิวซีแลนด์เริ่มต้นขึ้น, การก่อเทือกเขาฮันเตอร์-โบเวนในออสเตรเลียเหนือ ควีนส์แลนด์ และรัฐนิวเซาท์เวลส์สิ้นสุดลง (ประมาณ 260–225 ล้านปีก่อน), เหตุการณ์ฝนตกชุกช่วงอายุคาร์เนียนเกิดขึ้นประมาณ 234-232 ล้านปีก่อน ซึ่งเอื้ออำนวยให้ไดโนเสาร์และเลพิโดซอร์ (รวมถึงไรนโคเซฟาเลียน) มีการกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวาง, เหตุการณ์การสูญพันธุ์ยุคไทรแอสซิก–ยุคจูแรสซิกเกิดขึ้นเมื่อ 201 ล้านปีก่อน ทำให้โคโนดอนต์และโพรโคโลโฟนีเดพวกสุดท้าย สัตว์เลี้อยคลานทะเลหลายชนิด (เช่น ซอโรปเทอรีเจียนทั้งหมดยกเว้นเพลสิโอซอร์และอิกทีโอซอร์ทั้งหมดยกเว้นพาร์วิเพลเวีย) โครโคโพดันทั้งหมดยกเว้นโครโคไดโลมอร์ฟ เทอโรซอร์ ไดโนเสาร์ แอมโมนอยด์จำนวนมาก (รวมถึงเซราทิทิดาทั้งหมด) ไบวาลเวีย แบรคิโอพอด ปะการัง และ ฟองน้ำได้สูญพันธุ์ไป, รวมถึงการปรากฏตัวของไดอะตอมเป็นครั้งแรก | ~208.5 | ||
นอเรียน (Norian) |
~227 | |||||
คาร์เนียน (Carnian) |
~237* | |||||
ตอนกลาง (Middle) |
เลเดียน (Ladinian) |
~242* | ||||
อานิเชียน (Anisian) |
247.2 | |||||
ล่าง/ตอนต้น (Lower/Early) |
โอเลเนเคียน (Olenekian) |
251.2 | ||||
อินดูอัน (Induan) |
251.902 ± 0.06* | |||||
พาลีโอโซอิก (Paleozoic) |
เพอร์เมียน (Permian) |
โลพินเจียน (Lopingian) |
ชางซิงเจียน (Changhsingian) |
มวลแผ่นดินรวมเข้าด้วยกันเป็นมหาทวีปแพนเจียและได้ก่อกำเนิดเทือกเขาแอปพาเลเชียน ยูรัล และอูชีตา รวมถึงเทือกเขาอื่น ๆ (มหาสมุทรยักษ์แพนทาลัสซาหรือมหาสมุทรแปซิฟิกดั้งเดิมก็เกิดขึ้นเช่นกัน), สิ้นสุดยุคน้ำแข็งเพอร์โม-คาร์บอนิเฟอรัส, ภูมิอากาศแบบร้อนและแห้ง, อาจมีการลดลงอย่างรวดเร็วของระดับออกซิเจน, ซีแนปซิด (ซึ่งประกอบด้วยเพไลโคซอร์และเทอแรปซิด) กลายเป็นกลุ่มที่แพร่หลายและโดดเด่น ขณะที่พาราเรปทิเลียและเทมโนสปอนไดล์สะเทินน้ำสะเทินบกยังคงพบเห็นได้ทั่วไป โดยพวกมันอาจเป็นบรรพบุรุษของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกสมัยใหม่, ในยุคเพอร์เมียนกลาง พฤกษชาตยุคถ่านหินถูกแทนที่ด้วยพืชเมล็ดเปลือยและมอสส์แท้กลุ่มแรก, ด้วงและแมลงวันวิวัฒนาการขึ้น, สัตว์ขาปล้องขนาดใหญ่มากและเตตระพอโดมอร์ฟาที่ไม่ใช่เตตระพอดสูญพันธุ์, สิ่งมีชีวิตในทะเลเจริญเติบโตอย่างรุ่งเรืองในแนวปะการังน้ำตื้นที่อบอุ่น โดยพรอดักทิดาและแบรคิโอพอดสปิริเฟริดา ไบวาลเวีย ฟอรามินิเฟอรา และออร์โทเซริดามีความอุดมสมบูรณ์, เซาเรียเจริญขึ้นจากไดแอปซิด และแยกออกไปเป็นบรรพบุรุษของเลพิโดซอร์ คูเอนีโอซอร์ คอริสโตเดเรส อาร์โคซอร์ เทสตูดีนาทัน อิกคิโอซอรัส ทาลัตโตซอร์ และซอโรเทรีเจียน, ไซโนดอนต์วิวัฒนาการขึ้นจากเทอแรปซิดขนาดใหญ่, การสูญพันธุ์ออลสัน (273 ล้านปีก่อน) เหตุการณ์สูญพันธ์ครั้งใหญ่คาปิตาเนียน (260 ล้านปีก่อน) และเหตุการณ์การสูญพันธุ์ยุคเพอร์เมียน–ไทรแอสซิก (252 ล้านปีก่อน) เกิดขึ้นติดต่อกัน ทำให้สิ่งมีชีวิตบนโลกมากกว่าร้อยละ 80 สูญพันธุ์ไป ซึ่งรวมถึงแพลงก์ตอนเรตาเรียส่วนมาก ปะการัง (ทาบูลาตาและรูโกซาสูญพันธ์ไปทั้งหมด) แบรคิโอพอด ไบรโอโซอัน แกสโทรพอด (โกเนียทิทิสสูญพันธุ์ไปทั้งหมด) แมลง พาราเรปไทล์ ไซแนปซิด แอมฟีเบียน และ ไครนอยด์ (มีเพียงอาร์ติคูเลตที่รอด) และยูริปเทอริด ไทรโลไบต์ แกรพโตไลต์ ไฮโอลิท เอดรีโอแอสเทอรอยด์ บลัสตอยด์ และ อาคันโทดีทั้งหมด, การก่อเทือกเขาวาชิตาและการก่อเทือกเขาอินนูอิเชียนในทวีปอเมริกาเหนือ, การก่อเทือกเขายูเรเลียนในทวีปยุโรปและทวีปเอเชีย]]ลดลง, การก่อเทือกเขาอัลไตในทวีปเอเชีย, การก่อเทือกเขาฮันเตอร์-โบเวนในทวีปออสเตรเลียเริ่มต้นขึ้น (ประมาณ 260–225 ล้านปีก่อน) ก่อให้เกิดเทือกเขาแม็กดอนเนล | 254.14 ± 0.07* | |
วูเชียพิงเจียน (Wuchiapingian) |
259.1 ± 0.4* | |||||
กัวเดลูเปียน (Guadalupian) |
คาฟิเทเนียน (Capitanian) |
265.1 ± 0.4* | ||||
วอร์เดียน (Wordian) |
268.8 ± 0.5* | |||||
โรเดียน (Roadian) |
272.95 ± 0.5* | |||||
ซิซูราเลียน (Cisuralian) |
คุนกูเรียน (Kungurian) |
283.5 ± 0.6 | ||||
อาร์ทินส์เคียน (Artinskian) |
290.1 ± 0.26 | |||||
ซัคมาเรียน (Sakmarian) |
295 ± 0.18 | |||||
อัสเซเลียน (Asselian) |
298.9 ± 0.15* | |||||
คาร์บอนิเฟอรัส[note 8] (Carboniferous) |
เพนซิลเวเนียน (Pennsylvanian) [note 9] |
เจเลียน (Gzhelian) |
แมลงมีปีกแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โดยบางชนิด (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมกาไนซอปเทรา และแพลีออดิกทีออปเทรา) รวมถึงบางกลุ่มของกิ้งก่าและแมงป่องที่มีขนาดใหญ่, ป่าพืชถ่านหินยุคแรก ([เช่น [เลปิโดเดนดรอน|ไม้สเกล]] เฟิร์น ไม้คลับ หางม้ายักษ์ และคอร์ไดท์ ฯลฯ), ระดับออกซิเจนในชั้นบรรยากาศโลกสูงขึ้นอย่างมาก, ยุคน้ำแข็งดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงตอนต้นของยุคเพอร์เมียน, สัตว์ทะเล เช่น กอเนียไทต์ แบรคิโอพอด ไบรโอซัว ไบวาลเวีย และปะการังมีความหลากหลายและแพร่หลายอย่างมากในทะเลและมหาสมุทร, วูดเลาส์ตัวแรกปรากฏขึ้น, ฟอรามินิเฟอราเทสเตตแพร่หลาย, ทวีปยูราเมริกาชนกับมหาทวีปกอนด์วานาและไซบีเรีย-คาซัคสถาเนีย ซึ่งกลายเป็นมหาทวีปลอเรเชียและเกิดการก่อเทือกเขายูเรเลียน, การก่อเทือกเขาวาริสแคนยังคงดำเนินต่อไป (การชนกันของทวีปต่าง ๆ เหล่านี้นำไปสู่การก่อเทือกเขาขึ้นและในที่สุดแล้วจะกลายเป็นมหาทวีปแพนเจีย), สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก (เช่น เทมโนสปอนดิล) แพร่กระจายไปยังทวีปยูราเมริกา และบางกลุ่มกลายเป็นแอมนิโอตพวกแรก, การพังทลายของป่าฝนยุคคาร์บอนิเฟอรัสทำให้เกิดสภาพอากาศแห้งแล้ง ซึ่งเป็นผลดีต่อแอมนิโอตมากกว่าสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก, แอมนิโอตขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วไปเป็นซีแนปซิด พาราเรปทีเลีย คอติโลซอร์ โปรโตรอทรีดีเด และไดแอปซิด, ไรโซดอนต์ยังคงพบได้ทั่วไปก่อนที่จะสูญพันธุ์ไปในช่วงสิ้นสุดของยุค, ปลาฉลามชนิดแรกปรากฏขึ้น | 303.7 ± 0.1 | ||
แคสซิโมเวียน (Kasimovian) |
307 ± 0.1 | |||||
มอสโกเวียน (Moscovian) |
315.2 ± 0.2 | |||||
บาชคิเรียน (Bashkirian) |
323.2 ± 0.4* | |||||
มิสซิสซิปเปียน (Mississippian) [note 9] |
เซอร์ปูโคเวียน (Serpukhovian) |
ต้นไม้โบราณขนาดใหญ่ที่โบราณรุ่งเรืองและยูริปเทอริดที่สะเทินน้ำสะเทินบกอาศัยอยู่ในน้ำกร่อยที่ก่อตัวเป็นถ่านหิน โดยมีการแพร่พันธุ์อย่างมีนัยสำคัญเป็นครั้งสุดท้าย, พืชเมล็ดเปลือยชนิดแรก, แมลงเอ็นดอปเทริโกตา พารานีออปเทรา พอลินีออปเทรา ออโดเนทอปเทรา และเอเฟเมรอปเทรากลุ่มแรก รวมถึงเพรียงชนิดแรก, เทเทรอพอดสะเทินน้ำสะเทินบกห้านิ้วและหอยทากบกชนิดแรก, ในมหาสมุทร ปลากระดูกแข็งและกระดูกอ่อนมีความหลากหลายและเป็นกลุ่มที่โดดเด่น เอไคโนเดอร์มาตา (โดยเฉพาะอย่างยิ่งไครนอยด์และแบลสตอยด์) พบได้มากมาย, ปะการัง ไบรโอซัว กอเนียไทต์ และแบรคิโอพอด (พรอดักทิดา และ สปิริเฟอริดา ฯลฯ) ฟื้นตัวและเริ่มมีความแพร่หลายอีกครั้ง แต่ไทรโลไบต์และนอติลอยด์เริ่มจำนวนลดลง, การเปลี่ยนสภาพโดยธารน้ำแข็งในฝั่งตะวันออกของมหาทวีปกอนด์วานาต่อเนื่องมาจากสมัยดีโวเนียนตอนปลาย, การก่อเทือกเขาตูฮูอาในประเทศนิวซีแลนด์ลดลง, ปลาที่มีครีบเป็นพู่ชื่อไรโซดอนต์เริ่มมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและเป็นกลุ่มที่โดดเด่นในน้ำจืด, ทวีปไซบีเรียชนกับทวีปขนาดเล็กที่เรียกว่าคาซัคสถาเนีย | 330.9 ± 0.2 | |||
ไวชอน (Viséan) |
346.7 ± 0.4* | |||||
ทัวร์เนเซียน (Tournaisian) |
358.9 ± 0.4* | |||||
ดีโวเนียน (Devonian) |
บน/ตอนปลาย (Upper/Late) |
ฟาเมนเนียน (Famennian) |
ต้นสามร้อยยอด เฟิร์น และพืชมีเมล็ด (เฟิร์นเมล็ดที่วิวัฒนาการจากโพรจิมโนสเปิร์มก่อนหน้า) ต้นไม้ต้นแรก (โพรจิมโนสเปิร์มอาร์เคออปเทอริส) และแมลงมีปีก (พาลีออปเทราและนีออปเทรา) ปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรก, โดยมีสโตรโฟเมนิดาและแบรคิโอพอดอาทรีปิด รูโกซา และปะการังทาบิวลาทา รวมถึงไครนอยด์ที่มีความอุดมสมบูรณ์ในมหาสมุทรอย่างมาก, การปรากฏตัวของเซฟาโลพอดที่มีลักษณะขด (แอมโมนอยด์และนอติลิดา) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มโกเนียทิทิสมีจำนวนมาก, ในขณะที่ไทรโลไบต์และออสตราโคเดิร์มมีจำนวนลดลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ปลามีขากรรไกร (ปลามีเกราะ, ปลาที่มีครีบเป็นพู่ และปลากระดูกแข็ง และปลาฉลามยุคแรก) ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว, โดยเฉพาะปลาที่มีครีบเป็นพู่เทเทรอพอโดมอร์ฟาค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นฟิชาพอดที่มีนิ้ว และเริ่มกลายเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกอย่างช้า ๆ, อาร์ทิโอพอดที่ไม่ใช่ไทรโลไบต์พวกสุดท้ายสูญพันธุ์, เดคาพอด (เช่น กุ้งใหญ่) และไอโซพอดปรากฏตัวเป็นครั้งแรก, ความกดดันจากปลามีขากรรไกรทำให้ยูริปเทอริดลดจำนวนลง และเซฟาโลพอดบางชนิดสูญเสียเปลือกของตนไป ขณะที่อะโนมาโลคาริดสูญพันธุ์ไป, "ทวีปแดงเก่า" ของยูราเมริกายังคงมีอยู่หลังจากการก่อเทือกเขาแคลิโดเนีย, การก่อเทือกเขาอะเคเดียนของเทือกเขาแอนไทแอตลาสของแอฟริกาเหนือ และเทือกเขาแอปพาเลเชียนของอเมริกาเหนือเริ่มต้นขึ้น นอกจากนี้ยังมีการก่อเทือกเขาแอนท์เลอร์ การก่อเทือกเขาวาริสแคน และ การก่อเทือกเขาตูฮูอาในประเทศนิวซีแลนด์ด้วย, เกิดชุดของเหตุการณ์สูญพันธุ์ เช่น เหตุการณ์เคลวัสเซอร์ และ เหตุการณ์ฮันเกนเบิร์ก ทำให้แอคริทาก ปะการัง ฟองน้ำ มอลลัสกา ไทรโลไบต์ ยูริปเทอริด กราฟโตไลต์ แบรคิโอพอด ไครโนซัว (เช่น พวกคริสตอยด์ทั้งหมด) และ ปลา รวมไปถึงพลาโคเดิร์มและออสตราโคเดิร์มสูญพันธุ์ไปเป็นจำนวนมาก | 372.2 ± 1.6* | ||
ฟราสเนียน (Frasnian) |
382.7 ± 1.6* | |||||
ตอนกลาง (Middle) |
จิเวเทียน (Givetian) |
387.7 ± 0.8* | ||||
ไอเฟเลียน (Eifelian) |
393.3 ± 1.2* | |||||
ล่าง/ตอนต้น (Lower/Early) |
เอมเชียน (Emsian) |
407.6 ± 2.6* | ||||
ปราเกียน (Pragian) |
410.8 ± 2.8* | |||||
ลอชโคเวียน (Lochkovian) |
419.2 ± 3.2* | |||||
ไซลูเรียน (Silurian) |
พริโดลี (Pridoli) |
ชั้นโอโซนหนาขึ้น, พืชมีท่อลำเลียงชนิดแรกและสัตว์ขาปล้องที่อาศัยอยู่บนบกอย่างเต็มที่ ได้แก่ ตะขาบ แมลงหกขา (ประกอบด้วย แมลง) และ แมงขึ้นมาอยู่บนบกอย่างสมบูรณ์, ยูริปเทอริดมีการขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วจนแพร่หลายและมีความโดดเด่น, เซฟาโลพอดหรือพวกหมึกยังคงเฟื่องฟู, ปลามีขากรรไกรรวมถึงออสตราโคเดิร์มแท้ยังแพร่หลายอยู่ในทะเล, ปะการังประเภททาบูเลตและรูโกซา แบรคิโอพอด (เช่น เพนตะเมริดา, รินโคเนลลิดา ฯลฯ) คริสตอยด์ และไครนอยด์มีความหลากหลายและแพร่หลาย, ไทรโลไบต์และมอลลัสกามีอยู่อย่างหลากหลายสายพันธุ์ ในขณะที่แกรพโตไลต์มีความหลากหลายลดลง, เกิดเหตุการณ์การสูญพันธุ์ครั้งย่อยสามครั้ง, สัตว์ที่มีผิวหนามบางกลุ่มสูญพันธุ์, การก่อเทือกเขาแคลีโดเนีย (จากการชนกันระหว่างลอเรนเชียและบัลติกาและหนึ่งในแผ่นดินกอนด์วานาที่มีขนาดเล็ก) สำหรับเทือกเขาในประเทศอังกฤษ ไอร์แลนด์ เวลส์ สก็อตแลนด์ และเทือกเขาแถบสแกนดิเนเวียเริ่มต้นขึ้น, นอกจากนี้ยังมีการก่อเทือกเขาอะเคเดียนด้านบนที่ต่อเนื่องเข้าสู่ยุคดีโวเนียน (ซึ่งส่งผลให้เกิดการก่อตัวของทวีปยูราเมริกาขึ้น), การก่อเทือกเขาทาโคนิกลดลง, ยุคบ้านน้ำแข็งสิ้นสุดลงในปลายยุคนี้หลังจากเริ่มต้นขึ้นในสมัยออร์โดวิเชียนตอนปลาย, การก่อเทือกเขาล็อกแลนในทวีปออสเตรเลียลดลง | 423 ± 2.3* | |||
ลัดโลว (Ludlow) |
ลุดฟอร์เดียน (Ludfordian) |
425.6 ± 0.9* | ||||
กอร์สเทียน (Gorstian) |
427.4 ± 0.5* | |||||
เวนล็อก (Wenlock) |
โฮเมอเรียน (Homerian) |
430.5 ± 0.7* | ||||
เชียนวูดเดียน (Sheinwoodian) |
433.4 ± 0.8* | |||||
ลานโดเวอรี (Llandovery) |
เทลีเคียน (Telychian) |
438.5 ± 1.1* | ||||
แอโรเนียน (Aeronian) |
440.8 ± 1.2* | |||||
รุดดาเนียน (Rhuddanian) |
443.8 ± 1.5* | |||||
ออร์โดวิเชียน (Ordovician) |
บน/ตอนปลาย (Upper/Late) |
เฮอร์แนนเชียน (Hirnantian) |
เหตุการณ์การแพร่กระจายทางชีวภาพครั้งใหญ่ยุคออร์โดวิเชียนเกิดขึ้นเนื่องจากการเพิ่มจำนวนของแพลงก์ตอน สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังมีการวิวัฒนาการไปเป็นชนิดต่าง ๆ จำนวนมาก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบรคิโอพอดและมอลัสกา เช่น สัตว์พวกหมึกเปลือกตรง และพวกออร์โทเซริดาที่มีอายุยืนยาวและมีความหลากหลายทางชีวภาพ) แบรคิโอพอดที่ต่อกัน (เช่น ออร์ทิดา, สโตรโฟเมนิดา ฯลฯ) ไบวาลเวีย เซฟาโลพอด (นอติลอยด์) ไทรโลไบต์ ออสตราคอด ไบรโอซัว เอไคโนเดอร์มาตาหลายชนิด (แบลสตอยด์ คริสตอยด์ ไครนอยด์ เม่นทะเล ปลิงทะเล และ สัตว์คล้ายดาว เป็นต้น) และลำดับขั้นอื่น ๆ ที่พบได้ทั่วไป, อาคริทาร์ชยังคงมีอยู่ทั่วไป, เซฟาโลพอดมีความโดดเด่นและพบได้ทั่วไป โดยมีแนวโน้มไปสู่เปลือกแบบขด, อะโนมาโลคาริดลดจำนวนลง, เทนตะคูไลต์ที่ยังไม่สามารถอธิบายได้ปรากฏขึ้น, ปลายูริปเทอริดและออสตราโคเดิร์มปรากฏขึ้นซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาไปเป็นปลามีขากรรไกรในช่วงสิ้นสุดยุค, เห็ดราบกกลุ่มแรกและพืชที่มีการพัฒนาไปสู่การอาศัยอยู่บนบกอย่างสมบูรณ์, ในตอนท้ายของสมัยมีการเกิดยุคน้ำแข็ง รวมถึงชุดของเหตุการณ์สูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่ทำให้เซฟาโลพอดบางชนิดและแบรคิโอพอด ไบรโอซัว เอไคโนเดิร์ม แกรพโตไลต์ ไทรโลไบต์ ไบวาลเวีย ปะการัง และโคโนดอนต์จำนวนมากสูญพันธุ์ | 445.2 ± 1.4* | ||
เคเทียน (Katian) |
453 ± 0.7* | |||||
แซนด์เบียน (Sandbian) |
458.4 ± 0.9* | |||||
ตอนกลาง (Middle) |
แดริวิเลียน (Darriwilian) |
467.3 ± 1.1* | ||||
ตาพิงเจียน (Dapingian) |
470 ± 1.4* | |||||
ล่าง/ตอนต้น (Lower/Early) |
โฟลเอียน (Floian) |
477.7 ± 1.4* | ||||
เทรมาโดเชียน (Tremadocian) |
485.4 ± 1.9* | |||||
แคมเบรียน (Cambrian) |
ฝูหรงเจียน (Furongian) |
หินช่วงอายุ 10 (Stage 10) |
เกิดความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตครั้งใหญ่ในเหตุการณ์การระเบิดยุคแคมเบรียนจากการเพิ่มขึ้นของระดับออกซิเจน, โดยพบซากดึกดำบรรพ์จำนวนมาก ไฟลัมของสัตว์ยุคใหม่ที่ปรากฏขึ้น ได้แก่ สัตว์ขาปล้อง มอลลัสกา สัตว์พวกหนอนปล้อง เอไคโนเดอร์มาตา เฮมิโนเดิร์ม และ คอร์เดต), ในช่วงนี้อาร์คีโอไซทาซึ่งเป็นฟองน้ำที่สร้างแนวปะการังมีความอุดมสมบูรณ์ในช่วงต้น แต่ต่อมาได้สูญพันธุ์ไป สโตรมาไลต์เข้ามาแทนที่ แต่ในเวลาต่อมาก็ถูกกระทบจากการปฏิวัติทางการเกษตร ซึ่งสัตว์บางชนิดเริ่มขุดเจาะลงไปในแผ่นจุลินทรีย์ และส่งผลกระทบต่อสัตว์อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน, ในช่วงเวลานี้ สัตว์ต่าง ๆ เช่น อาร์ติโอพอด รวมถึง ไทรโลไบต์) หนอนไพรอะพูลา แบรคิโอพอดแบบไม่ประกบกัน (เปลือกแบบไม่มีบานพับ) ไฮโอไลต์ ไบรโอซัว แกรพโตไลต์ เอไคโนเดิร์มห้าแฉก เช่น แบลสโตซัว ไครโนซัว และ เอลูเทอโรซัว และสัตว์อื่น ๆ มีการกระจายอย่างกว้างขวาง, แอนอมาโลคารีดาเป็นนักล่าขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพล ขณะที่สัตวชาติยุคอีดีแอคารันหลายชนิดสูญพันธุ์ไป, สัตว์พวกกุ้งกั้งปูและมอลลัสกาขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว, โพรแคริโอต โพรทิสต์ เช่น ฟอรามินิเฟอรา เห็ดรา และสาหร่ายยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน, สัตว์มีแกนสันหลังตัวแรกปรากฏจากกลุ่มคอร์เดตก่อนหน้านี้, การก่อเทือกเขาปีเตอร์แมนน์ในทวีปออสเตรเลียลดลง (550–535 ล้านปีก่อน), การก่อเทือกเขารอสส์ในทวีปแอนตาร์กติกา, การก่อเทือกเขาเดลาเมเรียน (ประมาณ 514–490 ล้านปีก่อน) และการก่อเทือกเขาล็อกแลน (ประมาณ 540–440 ล้านปี) ในทวีปออสเตรเลีย, บางดินแดนขนาดเล็กแยกออกจากมหาทวีปกอนด์วานา, ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศอยู่ที่ประมาณ 6000 ppm ซึ่งสูงกว่าปัจจุบัน (สมัยโฮโลซีน) ประมาณ 15 เท่า (ปัจจุบัน 400 ppm)[83][note 7], สัตว์ขาปล้องและพืชบกเริ่มเข้ายึดครองแผ่นดิน, เหตุการณ์สูญพันธุ์สามครั้งเกิดขึ้นเมื่อ 517, 502 และ 488 ล้านปีก่อน โดยครั้งแรกและครั้งสุดท้ายทำให้กลุ่มอะโนมาโลคาริด สัตว์ขาปล้อง ไฮโอไลต์ แบรคิโอพอด มอลลัสกา และโคโนดอนต์ (สัตว์มีแกนสันหลังไร้ขากรรไกรยุคแรก) สูญพันธุ์ไปเป็นจำนวนมาก | ~489.5 | ||
เจียงชานเนียน (Jiangshanian) |
~494* | |||||
ไผเบียน (Paibian) |
~497* | |||||
เมียวลิงเจียน (Miaolingian) |
กูจางเจียน (Guzhangian) |
~500.5* | ||||
ดรูเมียน (Drumian) |
~504.5* | |||||
อูลิวอัน (Wuliuan) |
~509 | |||||
หินสมัย 2 (Series 2) |
หินช่วงอายุ 4 (Stage 4) |
~514 | ||||
หินช่วงอายุ 3 (Stage 3) |
~521 | |||||
แตร์นูเวียน (Terreneuvian) |
หินช่วงอายุ 2 (Stage 2) |
~529 | ||||
ฟอร์จูเนียน (Fortunian) |
~541 ± 1.0* | |||||
โพรเทอโรโซอิก (Proterozoic) |
นีโอโพรเทอโรโซอิก (Neoproterozoic) |
อีดีแอคารัน (Ediacaran) |
พบซากดึกดำบรรพ์ในสภาพดีของสัตว์หลายเซลล์พวกแรก, ชีวชาติยุคอีดีแอคารันอุดมสมบูรณ์ไปในทะเลทั่วโลก ซึ่งอาจเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์การระเบิดของสายพันธุ์ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากเหตุการณ์ออกซิเดชันครั้งใหญ่[86], สัตว์แรกเริ่มที่มีความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนในกลุ่มเวนโดซัว ไนดาเรีย และ ไบลาทีเรียปรากฏตัวขึ้น, โดยเวนโดซัวที่มีลักษณะปริศนา รวมถึงสิ่งมีชีวิตอ่อนนุ่มหลายชนิดที่มีลักษณะเป็นแผ่น กระเป๋า หรือ ฟูก (เช่น ดิกคินโซเนีย), นอกจากนี้ยังมีซากดึกดำบรรพ์ร่องรอยทั่วไปของสิ่งมีชีวิตคล้ายหนอน เช่น เทรปทิคนัส เป็นต้น, การก่อเทือกเขาทาโคนิกในทวีปอเมริกาเหนือ, การก่อเทือกเขาของเทือกเขาอราวลีในอนุทวีปอินเดีย, การก่อเทือกเขาแพน-แอฟริกาเริ่มต้นขึ้น นำไปสู่การก่อตัวของมหาทวีปแพนโนเชียในยุคอีดีแอคารันซึ่งเป็นมหาทวีปที่มีอายุสั้น โดยแตกตัวไปในช่วงปลายของยุคเป็นทวีปลอเรนเชีย บอลติกา ไซบีเรีย และ กอนด์วานา, การก่อเทือกเขาปีเตอร์แมนน์ในทวีปออสเตรเลีย, การก่อเทือกเขาเบียร์ดมอร์ในทวีปแอนตาร์กติกา (633–620 ล้านปีก่อน), การก่อตัวของชั้นโอโซนเริ่มเกิดขึ้น, ระดับของแร่ในมหาสมุทรเพิ่มขึ้น | ~635* | ||
ไครโอเจเนียน (Cryogenian) |
อาจเกิดยุค "โลกบอลหิมะ" ขึ้น, ซากดึกดำบรรพ์ยังคงพบได้ยาก, การก่อเทือกเขาเลกรูเกอร์/นิมรอดในทวีปแอนตาร์กติกาลดลง, ซากดึกดำบรรพ์แรกของสัตว์ที่ไม่มีข้อโต้แย้งเริ่มปรากฏ, การปรากฏของสิ่งที่สงสัยว่าเป็นพวกเห็ดราบกและสเตรปโตไฟตาครั้งแรก[87] และ สเตรปโตไฟตา[88] แรก, | ~720 | ||||
โทเนียน (Tonian) |
มหาทวีปโรดิเนียก่อรูปเสร็จสิ้นในช่วงต้นยุคโทเนียน โดยการแยกตัวเริ่มขึ้นประมาณ 800 ล้านปีก่อน, การก่อเทือกเขาสวีโคนอร์วีเจียนสิ้นสุดลง, การก่อเทือกเขาเกรนวิลล์ในทวีปอเมริกาเหนือลดลง, การก่อเทือกเขาเลกรูเกอร์/นิมรอดในทวีปแอนตาร์กติกา (1,000 ± 150 ล้านปีก่อน), การก่อเทือกเขาเอ็ดมันเดียน (ประมาณ 920–850 ล้านปีก่อน) แกสคอยน์คอมเพล็กซ์ เวสเทิร์นออสเตรเลีย, การทับถมกันของมหาบริเวณแอดิเลดและมหาบริเวณเซนทราเลียนเริ่มต้นขึ้นในทวีปออสเตรเลีย, สิ่งมีชีวิตที่อาจเป็นสัตว์ในช่วงเริ่มต้น (จากโฮโลซัว) และผืดสาหร่ายบกชนิดแรกเริ่มปรากฏขึ้น, เหตุการณ์เอนโดซืมไบโอติกหลายครั้งเกี่ยวกับสาหร่ายสีแดงและเขียวเกิดขึ้น โดยมีการถ่ายโอนพลาสทิดไปยังออโครไฟตา (เช่น ไดอะตอม สาหร่ายสีน้ำตาล) ไดโนแฟลกเจลเลต คริปโตไฟซีเอ แฮปโตไฟต์ และ ยูกลีนิด (เหตุการณ์อาจเริ่มต้นขึ้นในมหายุคมีโซโพรเทอโรโซอิก)[89] ในขณะเดียวกัน รีทาเรียชนิดแรก (เช่น ฟอรามินิเฟอรา) เริ่มปรากฏขึ้น และพวกยูแคริโอตในรูปแบบต่าง ๆ เช่น สาหร่าย ยูแคริโอโวริก และรูปแบบสิ่งมีชีวิตผลิตแร่แพร่หลายอย่างรวดเร็ว, รวมถึงซากดึกดำบรรพ์ร่องรอยของยูแคริโอตหลายเซลล์ที่มีความเรียบง่าย | 1000[note 10] | ||||
มีโซโพรเทอโรโซอิก (Mesoproterozoic) |
สเทเนียน (Stenian) |
แถบหินแปรมีความแคบลงอย่างมากเนื่องจากการก่อเทือกเขาของมหาทวีปโรดิเนียที่เริ่มต้นขึ้น ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยมหาสมุทรแพน-แอฟริกา, การก่อเทือกเขาสวีโคนอร์วีเจียนเริ่มขึ้น, การก่อเทือกเขาเลกรูเกอร์/นิมรอดในทวีปแอนตาร์กติกาอาจเริ่มต้นขึ้น, การก่อเทือกเขามัสเกรฟ (ประมาณ 1,080 ล้านปีก่อน) ในบล็อกรอยเลื่อนมัสเกรฟ เซนทรัลออสเตรเลีย, การลดลงของสโตรมาโตไลต์พร้อมกับการเจริญเติบโตของสาหร่ายที่เพิ่มจำนวนขึ้น | 1200[note 10] | |||
เอกเทเซียน (Ectasian) |
สิ่งปกคลุมลานยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง, อาณานิคมของสาหร่ายสีเขียวในทะเล, การก่อเทือกเขาเกรนวิลล์ในทวีปอเมริกาเหนือ, และการแตกตัวของมหาทวีปโคลัมเบีย | 1400[note 10] | ||||
คาลิมเมียน (Calymmian) |
สิ่งปกคลุมลานขยายตัวออก, การก่อเทือกเขาบาร์รามันดีในแอ่งแม็คอาเทอร์ นอร์ทเทิร์นออสเตรเลีย และการก่อเทือกเขาอีซา (ประมาณ 1,600 ล้านปีก่อน) ในกลุ่มรอยเลื่อนเขาอีซา รัฐควีนส์แลนด์, อาร์คีพลาสติดา (ยูแคริโอตชนิดแรกที่มีพลาสติดจากไซยาโนแบคทีเรีย เช่น สาหร่ายสีแดงและสาหร่ายสีเขียว) และโอพิสโธคอนตา (ซึ่งก่อกำเนิดเป็นเห็ดราและโฮโลซัวชนิดแรก) เริ่มปรากฏให้เห็นในบันทึกซากดึกดำบรรพ์, ส่วนอาคริทาร์ช (ซากของสาหร่ายทะเลที่อาจจะเป็นไปได้) เริ่มปรากฏในบันทึกซากดึกดำบรรพ์ | 1600[note 10] | ||||
แพลีโอโพรเทอโรโซอิก (Paleoproterozoic) |
สตาทีเรียน (Statherian) |
สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวซับซ้อนที่สุดในยุคแรก ได้แก่ โพรทิสต์ที่มีหลายนิวเคลียสและระบบเอนโดเมมเบรน, ระบบมหาทวีปโคลอมเบียก่อตัวขึ้นเป็นมหาทวีปที่ไม่มีข้อโต้แย้งเป็นลำดับที่สอง, การก่อเทือกเขาคิมบันในทวีปออสเตรเลียสิ้นสุดลง, มหาทวีปยาปุงกูในหินฐานธรณียิลการ์นในเวสเทิร์นออสเตรเลีย, การก่อเทือกเขาแมงการูนเมื่อ 1,680–1,620 ล้านปีก่อนในแกสคอยน์คอมเพล็กซ์ เวสเทิร์นออสเตรเลีย, การก่อเทือกเขาคารารัน (1,650 ล้านปีก่อน) ในหินฐานธรณีกอว์เลอร์ ออสเตรเลียใต้, และระดับออกซิเจนลดลงอีกครั้ง | 1800[note 10] | |||
ออโรซีเรียน (Orosirian) |
ชั้นบรรยากาศเริ่มอุดมไปด้วยออกซิเจน ในขณะที่สโตรมาโตไลต์ของไซยาโนแบคทีเรียปรากฏขึ้น, แอ่งเฟรเดอฟอร์ตและแอ่งซัดเบอรีถูกดาวเคราะห์น้อยชน, เกิดการก่อเทือกเขาอย่างแพร่หลาย, รวมถึงการก่อเทือกเขาเพโนเคียนและการก่อเทือกเขาทรานส์-ฮัดสันในทวีปอเมริกาเหนือ, การก่อเทือกเขารูเกอร์ตอนต้นในทวีปแอนตาร์กติกา (2,000–1,700 ล้านปีก่อน), การก่อเทือกเขาเกลนเบิร์กในเกลนเบิร์กเทอร์เรน ทวีปออสเตรเลีย (ประมาณ 2,005–1,920 ล้านปีก่อน), และการเริ่มต้นของการก่อเทือกเขาคิมบันในหินฐานธรณีกอว์เลอร์บนทวีปออสเตรเลีย | 2050[note 10] | ||||
ไรเอเซียน (Rhyacian) |
รูปแบบการแทรกชันอัคนีซับซ้อนบุชวีลด์, การเปลี่ยนสภาพโดยธารน้ำแข็งฮูโรเนียน, ยูแคริโอตชนิดแรกที่เป็นไปได้, ชีวชาติฟรานเซวิลเลียนแบบหลายเซลล์, การแยกตัวของเคนอร์แลนด์ | 2300[note 10] | ||||
ไซดีเรียน (Siderian) |
วิกฤตการณ์ออกซิเจน (เนื่องจากไซยาโนแบคทีเรีย) ทำให้ปริมาณออกซิเจนในบรรยากาศเพิ่มขึ้น, และการก่อเทือกเขาสลีเฟิร์ดในหินฐานธรณีกอว์เลอร์บนทวีปออสเตรเลียเมื่อ 2,440–2,420 ล้านปีก่อน | 2500[note 10] | ||||
อาร์เคียน (Archean) |
นีโออาร์เคียน (Neoarchean) |
การเสถียรภาพของหินฐานธรณียุคใหม่ส่วนใหญ่ อาจเกิดเหตุการณ์การพลิกกลับของเนื้อโลก, การก่อเทือกเขาอินเซลล์เมื่อ 2,650 ± 150 ล้านปีก่อน, แถบกรีนสโตนอาบิทีบีในปัจจุบันที่ตั้งอยู่ในรัฐออนแทรีโอและรัฐเกแบ็กเริ่มก่อตัวและเข้าสู่ภาวะเสถียรภาพเมื่อประมาณ 2,600 ล้านปีก่อน, มหาทวีปเคนอร์แลนด์เป็นมหาทวีปที่ไม่มีข้อโต้แย้งและเป็นที่อยู่อาศัยของโพรแคริโอตบกชนิดแรก | 2800[note 10] | |||
มีโซอาร์เคียน (Mesoarchean) |
สโตรมาโตไลต์ (ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มของแบคทีเรียที่ใช้พลังงานจากแสง เช่น ไซยาโนแบคทีเรีย) ชนิดแรก, มาโครฟอสซิลที่เก่าแก่ที่สุด, การก่อเทือกเขาฮัมโบล์ดในทวีปแอนตาร์กติกา, และการเริ่มก่อตัวของเบล็กริเวอร์เมกะคัลเดราคอมเพล็กซ์ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ปัจจุบันของรัฐออนแทรีโอและรัฐเกแบ็ก โดยสิ้นสุดการก่อตัวประมาณ 2,696 ล้านปีก่อน | 3200[note 10] | ||||
พาลีโออาร์เคียน (Paleoarchean) |
อาร์เคียโพรแคริโอต (เช่น เมทาโนเจน) และแบคทีเรีย (เช่น ไซยาโนแบคทีเรีย) มีการขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วพร้อมกับไวรัสยุคแรกที่รู้จัก, แบคทีเรียสร้างออกซิเจนที่รู้จักพวกแรก, ไมโครฟอสซิลที่สามารถยืนยันอายุได้ที่เก่าแก่ที่สุด, ผืดจุลชีพกลุ่มแรก, และหินฐานธรณีที่เก่าที่สุดบนโลก (เช่น หินฐานทวีปแคนาดาและหินฐานธรณีพิลบารา) ซึ่งอาจจะก่อตัวขึ้นในช่วงยุคนี้[note 11], การก่อเทือกเขาเรย์เนอร์ในทวีปแอนตาร์กติกา | 3600[note 10] | ||||
อีโออาร์เคียน (Eoarchean) |
สิ่งมีชีวิตที่ไม่มีข้อโต้แย้งที่เป็นที่รู้จักก่อนคือโปรโตเซลล์ที่มียีนเป็นอาร์เอ็นเอ ซึ่งปรากฏเมื่อประมาณ 4,000 ล้านปีก่อน ต่อมามีการวิวัฒนาการของเซลล์แท้ (โพรแคริโอต) พร้อมกับการมีโปรตีนและยีนที่เป็นดีเอ็นเอเมื่อประมาณ 3,800 ล้านปีก่อน, ซึ่งเป็นช่วงสิ้นสุดของการระดมชนหนักครั้งหลัง, นอกจากนี้ยังมีการก่อเทือกเขาเนเปียร์ในทวีปแอนตาร์กติกาเมื่อ 4,000 ± 200 ล้านปีก่อน | ~4000[note 10] | ||||
เฮเดียน (Hadean) |
การก่อตัวขึ้นของหินต้นกำเนิด (protolith) ของหินที่เก่าแก่ที่สุดที่เป็นที่รู้จัก (หินไนส์อะคัสตา) ซึ่งมีอายุประมาณ 4,031 ถึง 3,580 ล้านปีก่อน[90][91], การปรากฏขึ้นครั้งแรกของการแปรสัณฐานแผ่นธรณีภาคที่เป็นไปได้, สมมติฐานรูปแบบของสิ่งมีชีวิตแรก, การสิ้นสุดของช่วงการระดมชนหนักครั้งต้น, การค้นพบแร่ที่เก่าแก่ที่สุด (เพทาย อายุ 4,408 ± 8 ล้านปีก่อน)[92], ดาวเคราะห์น้อยและดาวหางนำมาซึ่งน้ำมาสู่โลก เกิดเป็นมหาสมุทรแรกขึ้น, การก่อตัวของดวงจันทร์ (4,533 ถึง 4,527 ล้านปีก่อน) ซึ่งน่าจะเกิดจากสมมติฐานการชนครั้งใหญ่, การก่อตัวของโลก (4,570 ถึง 4,567.17 ล้านปีก่อน) | ~4600 [note 10] |
ดาวเคราะห์และดาวบริวารบางดวงในระบบสุริยะมีโครงสร้างที่แข็งแกร่งพอที่จะบันทึกประวัติศาสตร์ของตนเองได้ ตัวอย่างเช่น ดาวศุกร์ ดาวอังคาร และดวงจันทร์ของโลก ในขณะที่ดาวเคราะห์ที่มีองค์ประกอบเป็นของเหลวเป็นหลัก เช่น ดาวเคราะห์ยักษ์ ไม่สามารถรักษาบันทึกประวัติศาสตร์ในลักษณะเดียวกันได้ นอกเหนือจากเหตุการณ์การระดมชนหนักครั้งหลัง เหตุการณ์บนดาวเคราะห์อื่น ๆ น่าจะมีอิทธิพลโดยตรงต่อโลกน้อยมาก และเหตุการณ์บนโลกก็มีผลกระทบต่อดาวเคราะห์เหล่านั้นน้อยเช่นกัน การสร้างมาตราเวลาที่เชื่อมโยงดาวเคราะห์จึงมีความสำคัญจำกัดต่อมาตราเวลาของโลก ยกเว้นในบริบทของระบบสุริยะ การดำรงอยู่ การกำหนดเวลา และผลกระทบต่อโลกของเหตุการณ์การระดมชนหนักครั้งหลังยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่[note 12]
ประวัติทางธรณีวิทยาของดวงจันทร์ของโลกได้ถูกแบ่งออกเป็นมาตราเวลาโดยอิงตามเครื่องหมายทางธรณีสัณฐานวิทยา ได้แก่ การกระแทกจากอุกกาบาต ภูเขาไฟ และการกร่อน กระบวนการแบ่งประวัติศาสตร์ของดวงจันทร์ในลักษณะนี้หมายความว่าขอบเขตของมาตราเวลาไม่ได้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในกระบวนการทางธรณีวิทยา ซึ่งแตกต่างจากมาตราธรณีกาลของโลก บนดวงจันทร์ระบบธรณีวิทยาแบ่งออกเป็นห้าหินยุค/ยุค ได้แก่ ยุคพรีเนคทาเรียน (Pre-Nectarian), ยุคเนคทาเรียน (Nectarian), ยุคอิมเบรียน (Imbrian), ยุคอีราโตสเทเนียน (Eratosthenian) และยุคโคเปอร์นิคัน (Copernican)) โดยที่ยุคอิมเบรียนถูกแบ่งออกเป็นสองหินสมัย/สมัย (ตอนต้นและ ตอนปลาย) ดวงจันทร์มีความพิเศษในระบบสุริยะเนื่องจากเป็นวัตถุอื่นเพียงชิ้นเดียวที่มนุษย์มีตัวอย่างหินที่มีบริบททางธรณีวิทยาที่ทราบ
ธรณีประวัติของดาวอังคารได้ถูกแบ่งออกเป็นสองช่วงเวลาต่างกัน ช่วงเวลาแรกพัฒนาขึ้นโดยการศึกษาความหนาแน่นของปล่องภูเขาไฟบนพื้นผิวของดาวอังคาร โดยวิธีนี้ได้กำหนดยุคขึ้นสี่ยุคคือ ยุคพรีโนอาเคียน (Pre-Noachian) (~4,500–4,100 ล้านปีก่อน), ยุคโนอาเคียน (Noachian) (~4,100–3,700 ล้านปีก่อน), ยุคเฮสเปอเรียน (Hesperian) (~3,700–3,000 ล้านปีก่อน), ยุคช่วงอเมโซเนียน (Amazonian) (~3,000 ล้านปีก่อนจนถึงปัจจุบัน)[93][94]
มาตราเวลาช่วงที่สองอ้างอิงจากการเปลี่ยนแปลงของแร่ที่สังเกตได้จากสเปกโทรมิเตอร์ OMEGA บนยานมาร์สเอ็กเพรส โดยวิธีนี้ได้กำหนดยุคขึ้นสามยุคคือ ยุคฟิลโลเชียน (Phyllocian) (~4,500–4,000 ล้านปีก่อน), ยุคทีอิเชียน (Theiikian) (~4,000–3,500 ล้านปีก่อน), และยุคซิเดริเคียน (Siderikian) (~3,500 ล้านปีก่อนจนถึงปัจจุบัน)[95]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.