Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ลูทวิช ฟรีดริช วิลเฮ็ล์มที่ 2 (เยอรมัน: Ludwig Friedrich Wilhelm II) เป็นกษัตริย์แห่งบาวาเรียระหว่าง ค.ศ. 1864 จนกระทั่งเสด็จสวรรคตอย่างลึกลับในค.ศ. 1886 ซึ่งก่อนสวรรคตเพียงสามวัน ทรงได้รับแจ้งจากรัฐบาลบาวาเรียว่าพระองค์กำลังจะถูกถอดจากราชบัลลังก์
พระเจ้าลูทวิชที่ 2 | |||||
---|---|---|---|---|---|
พระมหากษัตริย์แห่งบาวาเรีย | |||||
ครองราชย์ | 10 มีนาคม 1864 – 13 มิถุนายน 1886 | ||||
ก่อนหน้า | พระเจ้ามัคซีมีลีอานที่ 2 | ||||
ถัดไป | พระเจ้าอ็อทโท | ||||
พระราชสมภพ | 25 สิงหาคม ค.ศ. 1845 พระราชวังนึมเฟินบวร์ค ราชอาณาจักรบาวาเรียในสมาพันธรัฐเยอรมัน | ||||
สวรรคต | 13 มิถุนายน ค.ศ. 1886 ปี) ทะเลสาบชตาร์นแบร์ค ราชอาณาจักรบาวาเรียในจักรวรรดิเยอรมัน | (40||||
| |||||
ราชวงศ์ | วิทเทลส์บัค | ||||
พระบิดา | พระเจ้ามัคซีมีลีอานที่ 2 | ||||
พระมารดา | มารีแห่งปรัสเซีย | ||||
ศาสนา | โรมันคาทอลิก | ||||
ลายพระอภิไธย |
พระเจ้าลูทวิชที่ 2 บางครั้งรู้จักกันในพระนามว่า กษัตริย์หงส์ (Swan King) ในภาษาอังกฤษ และ กษัตริย์เทพนิยาย (der Märchenkönig) ในภาษาเยอรมัน ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1845 ที่พระราชวังนึมเฟินบวร์ค ชานเมืองมิวนิก ราชอาณาจักรบาวาเรีย เป็นพระราชโอรสองค์แรกของพระเจ้ามัคซีมีลีอานที่ 2 แห่งบาวาเรีย และเจ้าหญิงมารีแห่งปรัสเซีย
พระเจ้าลูทวิชทรงเป็นบุคคลที่มีลักษณะนิสัยที่ลึกลับเป็นปริศนาและผู้ที่สวรรคตในสถานการณ์ที่ค่อนข้างมีเงื่อนงำ สุขภาพจิตของพระองค์ในบั้นปลายอาจจะไม่ปกติแต่ก็ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่เป็นที่ยืนยันได้แน่นอน[1] แต่สิ่งที่ทรงทิ้งไว้เป็นมรดกแก่ชนรุ่นหลังคืองานทางสถาปัตยกรรมที่ทรงก่อสร้างที่รวมทั้งวังและปราสาทใหญ่โตที่ทั้งหรูหราโอ่อ่าและเต็มไปด้วยจินตนาการราวเทพนิยายหลายแห่ง รวมทั้งปราสาทนอยชวานชไตน์ซึ่งเป็นปราสาทที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก และทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ริชชาร์ท วากเนอร์ คีตกวีและนักประพันธ์โอเปร่าคนสำคัญของเยอรมัน
ในยุคที่กษัตริย์มีความรับผิดชอบต่อการปกครองโดยทั่วยุโรป พระองค์มักจะทรงทำพระองค์แบบผู้ไม่โตเต็มที่มาตลอด พระเจ้ามัคซีมีลีอานพระพระชนกมีพระประสงค์ที่จะให้การศึกษาเกี่ยวกับหน้าที่และภาระของการเป็นกษัตริย์กับมงกุฏราชกุมารลูทวิชและเจ้าชายอ็อทโทพระอนุชาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์[2] ลูทวิชถูกตามใจกันมาตั้งแต่เด็กแต่มาถูกควบคุมอย่างเคร่งครัดโดยครูที่บังคับทั้งทางวินัยและการศึกษา กล่าวกันว่าการสาเหตุที่มีพระนิสัยที่ออกจะแปลกอาจจะเป็นผลมาจากความเครียดและความกดดันในการที่ทรงเติบโตขึ้นมาฐานะที่เป็นเจ้านาย ลูทวิชไม่ทรงมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับพระบิดาและมารดาเท่าใดนัก ครั้งหนึ่งเมื่อที่ปรึกษาประจำพระองค์ของพระเจ้ามัคซีมีลีอานถวายคำแนะนำระหว่างที่ทรงเดินทุกวันว่าบางครั้งน่าจะชวนลูทวิชผู้ที่จะมาเป็นกษัตริย์สืบต่อจากพระองค์ออกเดินเป็นเพื่อนด้วย พระเจ้ามัคซีมีลีอานทรงตอบว่า “แล้วจะให้ฉันพูดอะไรกับลูทวิชเล่า? ในเมื่อเจ้าลูกชายของฉันไม่เคยสนใจในสิ่งใดที่คนอื่นพูด”[3] ลูทวิชกล่าวเรียกพระมารดาว่า “พระชายาของกษัตริย์องค์ก่อน” (my predecessor's consort) [4] ผู้ที่ทรงมีความสนิทสนมด้วยมากกว่าคือพระเจ้าลูทวิชที่ 1 แห่งบาวาเรียพระอัยยิกา พระเจ้าลูทวิชที่ 1 เองก็ทรงผู้มีชื่อเสียงในทางที่ไม่ดี และมีพระนิสัยที่ออกไปทางลึกลับเป็นปริศนาเช่นกัน ในที่สุดพระเจ้าลูทวิชที่ 1 ก็ทรงถูกบังคับให้สละราชสมบัติเพราะเรื่องฉาวโฉ่
ชีวิตของลูทวิชเมื่อยังทรงพระเยาว์เป็นชีวิตที่มีความสุขบ้างเป็นครั้งคราว ในวัยเด็กจะทรงพำนักที่ปราสาทโฮเอินชวังเกาเป็นส่วนใหญ่ โฮเอินชวังเกาเป็นปราสาทแบบเทพนิยายที่พระบิดาเป็นผู้สร้างไม่ใกลจากสวอนเลคใกล้เมืองฟุสเซน การตกแต่งเป็นแบบสถาปัตยกรรมฟื้นฟูกอธิค รวมทั้งจิตรกรรมฝาผนังที่เป็นตำนานของวีรบุรุษเยอรมัน บางครั้งก็จะเสด็จไปทะเลสาบชตาร์นแบร์คกับครอบครัว เมื่อยังเป็นวัยรุ่นทรงเป็นเพื่อนกับเจ้าชายพอล มัคซีมีลีอาน ลาโมราล จากครอบครัวเทิร์นและแท็กซิสผู้มีฐานะดี ชายหนุ่มทั้สองคนมักจะทำอะไรต่างๆด้วยกันเสมอรวมทั้งขี่ม้า, อ่านโคลงกลอน และจัดเล่นโอเปร่าโรแมนติกที่เขียนโดยริชชาร์ท วากเนอร์ แต่มาห่างเหินกันไปเมื่อเจ้าชายพอลทรงหมั้น นอกจากพอลแล้วลูทวิชก็ยังสนิทกับดัชเชสเอลิซาเบธแห่งบาวาเรียผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องจนตลอดพระชนมายุ ดัชเชสเอลิซาเบธต่อมาเป็นพระราชินีแห่งออสเตรียเมื่อทรงเสกสมรสกับจักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟที่ 1 แห่งออสเตรีย ทั้งสองพระองค์โปรดธรรมชาติและโคลงกลอนและทรงตั้งพระนามเล่นให้แก่กันว่า “เหยี่ยว” สำหรับลูทวิช และ “นกนางนวล” สำหรับเอลิซาเบธ
พระเจ้าลูทวิชขึ้นครองราชบัลลังก์บาวาเรียเมื่อพระชันษาได้เพียง 18 ปึหลังจากที่พระบิดาสวรรคต เมื่อทรงขึ้นครองราชย์ลูทวิชยังไม่พร้อมที่จะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว การสวรรคตของพระเจ้ามัคซีมีลีอานที่ 2 เป็นไปอย่างกะทันหันหลังจากประชวรได้เพียงสามวัน[5] เพราะความที่ยังหนุ่มและมีพระโฉมงามทำให้ทรงเป็นที่นิยมทั้งในบาวาเรียและที่อื่นๆ ในบรรดาสิ่งแรกที่ทรงกระทำคือทรงเรียกตัววากเนอร์มายังราชสำนักมิวนิก [6] ลูทวิชทรงชื่นชมผลงานของวากเนอร์มาตั้งแต่ทรงได้ชมโอเปร่า โลเอินกรีน ของวากเนอร์ วากเนอร์ผู้ซึ่งขณะนั้นอายุ 51 ปีก็ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าลูทวิชเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1864 เหตุที่โอเปร่าของวากเนอร์เป็นที่ต้องพระทัยลูทวิชก็เป็นเพราะเนื้อหาของโอเปร่าของวากเนอร์เต็มไปด้วยอุดมคติและจินตนาการแบบเทพนิยาย วากเนอร์มีชื่อเสียงไม่ค่อยดีเรื่องหนี้สินและมักจะมีเจ้าหนี้ไล่ตามอยู่เรื่อยๆ แต่วากเนอร์ก็มาได้พระเจ้าลูทวิชช่วยถ่ายถอนหนี้ให้ วากเนอร์กล่าวถึงลูทวิชว่า:
เป็นที่เชื่อกันว่าถ้าไม่ได้พระเจ้าลูทวิช วากเนอร์คงจะไม่ได้เขียนโอเปร่าชิ้นต่อมา ลูทวิชทรงเรียกวากเนอร์ว่า “เพื่อน” แต่ความที่วากเนอร์มีนิสัยอันโอ่อ่าฟุ่มเฟือยของ จึงทำให้วากเนอร์ไม่เป็นที่ต้องใจของชาวบาวาเรียผู้ยังออกจะหัวโบราณ ในที่สุดลูทวิชก็ต้องขอให้วากเนอร์ออกจากเมือง
สิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในระยะแรกที่ขึ้นครองราชย์คือความกดดันในการมีผู้สืบราชบัลลังก์ต่อจากพระองค์ และความสัมพันธ์กับปรัสเซีย ทั้งสองสถานการณ์กลายมาเป็นปัญหาใหญ่ในปี ค.ศ. 1867 เมื่อพระเจ้าลูทวิชทรงหมั้นกับดัชเชสโซฟี ชาร์ล็อทเทอ ในบาวาเรีย ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของลูทวิชเองและเป็นพระขนิษฐาของดัชเชสเอลิซาเบธ การหมั้นประกาศเป็นทางการเมื่อวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1867 แต่ทรงเลื่อนวันแต่งงานไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ทรงถอนหมั้นในเดือนตุลาคม หลังจากการประกาศการถอนหมั้น โซฟีก็ได้รับพระราชสาส์นจากลูทวิชถึง “เอลซา” กล่าวโทษพระบิดาของโซฟีว่าเป็นผู้ที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับโซฟีไม่สามารถดำเนินต่อไปได้และทรงลงพระนามว่า “ไฮน์ริช” (“เอลซา” และ “ไฮน์ริช” เป็นตัวละครจากโอเปร่าของวากเนอร์[8] ลูทวิชมิได้ทรงเสกสมรสจนตลอดพระชนมายุ โซฟีต่อมาทรงเสกสมรสกับเฟอร์ดินานด์ ฟิลลีป มารี, ดยุ้คแห่งอาลองชอง
เมื่อลูทวิชเป็นพันธมิตรออสเตรียในการต่อสู้กับปรัสเซียในสงครามเจ็ดปี ทรงพ่ายแพ้สงคราม สัญญาสงบศึกบังคับให้พระองค์ต้องยอมรับสนธิสัญญาการรักษาความสงบระหว่างปรัสเซียกับบาวาเรียในปี ค.ศ. 1867 สนธิสัญญาระบุว่าบาวาเรียต้องเข้าข้างปรัสเซียเพื่อต่อสู้กับฝรั่งเศสในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย นอกจากนั้นในปี ค.ศ. 1870 มุขมนตรีปรัสเซียอ็อทโท ฟ็อน บิสมาร์ค ก็ยังขอให้ลูทวิชเขียนจดหมายสนับสนุนเรียกร้องให้ประกาศพระเจ้าวิลเฮ็ล์มที่ 1 แห่งปรัสเซีย เป็นไคเซอร์ของจักรวรรดิเยอรมันที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น ลูทวิชได้รับเงินเป็นการตอบแทนในการสนับสนุนแต่เป็นการกระทำที่ลูทวิชต้องจำยอม การก่อตั้งจักรวรรดิเยอรมันทำให้บาวาเรียที่เคยเป็นแคว้นอิสระกลายมาเป็นแคว้นชั้นรอง เมื่อตั้งจักรวรรดิเยอรมันขึ้น ความเป็นอิสระแก่ตัวของแคว้นบาวาเรียก็สิ้นสุดลงตามไปด้วย ลูทวิชทรงประท้วงโดยการไม่ทรงเข้าร่วมพิธีการสถาปนาพระเจ้าวิลเฮ็ล์มที่ 1 แห่งปรัสเซียขึ้นเป็นจักรพรรดิเยอรมันที่พระราชวังแวร์ซายส์ในปารีส[9]
ตลอดรัชสมัยลูทวิชทรงมีความสัมพันธ์กับผู้ชายต่อเนื่องกันมาตลอด โดยเฉพาะกับริชชาร์ท ฮอร์นิช อัศวินองค์รักษ์, โยเซฟ ไคนซ์ นักแสดงชาวฮังการี, อัลฟอนส์ เวบเบอร์ ข้าราชสำนัก ในปี ค.ศ. 1869 ทรงเริ่มทรงบันทึกประจำวันที่ทรงบรรยายความรู้สึกส่วนพระองค์ และการทรงพยายามหยุดยั้งหรือควบคุมความต้องการทางเพศ และการที่ยังทรงยึดมั่นในความเป็นโรมันคาทอลิกอย่างแท้จริง บันทึกประจำวันฉบับดั้งเดิมสูญหายไประหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 บันทึกที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นสำเนาที่เขียนก่อนสงคราม สำเนาบันทึกประจำวันและจดหมายส่วนพระองค์เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าลูทวิชต้องทรงต่อสู้กับพระองค์เองในความเป็นผู้รักเพศเดียวกันตลอดพระชนมายุ[10]
เมื่อบาวาเรียสิ้นเอกราช ลูทวิชก็ยิ่งกลายเป็นคนสันโดษมากขึ้นจากการออกท้องพระโรงและกับทำหน้าที่การปกครอง ในปี ค.ศ. 1880 ลูทวิชใช้เวลาเกือบทั้งหมดอย่างโดดเดี่ยวที่บริเวณเทือกเขาบาวาเรียแอลป์ซึ่งเป็นที่ทรงสร้างพระราชวังแบบเทพนิยายหลายแห่งโดยความช่วยเหลือของคริสทีอัน ยังค์ ผู้ออกแบบฉากละคร ทรงสร้างปราสาทนอยชวานชไตน์ทางเหนือซอกเขาโพลลัทไม่ไกลจากปราสาทโฮเอินชวังเกาที่เคยทรงพำนักเมื่อยังทรงพระเยาว์ ลินเดอร์โฮฟตั้งอยู่ที่หุบเขากรสแวงที่สร้างแบบหลุยส์ที่ 14 และเป็นปราสาทเดียวในสามปราสาทที่สร้างเสร็จ ปราสาทที่สามที่ทรงสร้างแต่ไม่เสร็จเช่นกันคือพระราชวังเฮเรินคีมเซ ที่ตั้งอยู่บนเกาะเฮเรินในทะเลสาบเคียมเซ บางส่วนสร้างแบบพระราชวังแวร์ซายส์ในฝรั่งเศส ลูทวิชทรงสร้างปราสาททั้งสามเพื่อเป็นเทิดทูนตำนานนอร์ดิคเรื่องโลเอินกรีน (Lohengrin), ทริสทันและอิโซลด์ (Tristan and Isolde) และ แหวนแห่งนีเบอลุง (Der Ring des Nibelungen)
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1886 รัฐบาลบาวาเรียแถลงข่าวอย่างเป็นทางการว่าพระเจ้าลูทวิชถูกปลดจากการเป็นกษัตริย์เพราะไม่ทรงมีความสามารถใช้อำนาจด้วยพระองค์เองได้ ตามคำรายงานของจิตแพทย์ 4 คนที่บรรยายพระอาการว่าเป็นโรคหวาดระแวงทางจิต[11] แต่ในประกาศมิได้กล่าวถึงการตรวจทางพระวรกาย และแต่งตั้งให้เจ้าชายลุทโพลด์แห่งบาวาเรียพระปิตุลาเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ศาสตราจารย์แบร์นฮาร์ท ฟ็อน กุทเทิน เป็นหัวหน้ากลุ่มจิตแพทย์ที่ให้คำบรรยายพระอาการทางจิต โดยใช้ “หลักฐาน” จากรายงานต่างๆ ที่รวบรวมมาจากข้าราชบริพารในพระราชสำนักและศัตรูทางการเมืองที่เกี่ยวกับพระจริยาวัตรที่ถือว่าแปลก หลักฐานที่กล่าวเป็นเพียงคำบอกเล่าซึ่งอาจจะได้มาจากการติดสินบนหรือการขู่เข็ญ ฉะนั้นความน่าเชื่อถือของหลักฐานเหล่านี้จึงยังเป็นที่เคลือบแคลง นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าพระเจ้าลูทวิชไม่มีอะไรผิดปกติแต่ทรงเป็นเหยื่อทางการเมือง[12] บางคนก็เชื่อว่าพระจริยาวัตรที่แปลกของพระเจ้าลูทวิชอาจจะเป็นผลมาจากการที่ทรงใช้คลอโรฟอร์มในการบำบัดการปวดพระทนต์ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ แทนที่จะเป็นอาการผิดปกติทางจิตวิทยาอย่างที่จิตแพทย์อ้าง ดัชเชสเอลิซาเบธแห่งบาวาเรียทรงออกความเห็นว่าพระเจ้าลูทวิชไม่ได้ทรงเป็นโรคจิตแต่เพียงแต่มีพระลักษณะนิสัยที่ออกไปทางลึกลับและเป็นปริศนา (eccentric) และทรงชอบอยู่ในโลกของความฝันและจินตนาการ และทรงกล่าวว่าถ้าพวกที่กล่าวหาจะปฏิบัติต่อพระเจ้าลูทวิชนุ่มนวลกว่านั้น เหตุการณ์ก็คงจะไม่ลงเอยด้วยความเศร้าอย่างที่เกิดขึ้น
หลังการประกาศพระเจ้าลูทวิชก็ถูกนำตัวไปจากนอยชวานชไตน์ที่เป็นที่ประทับในขณะนั้นไปยังปราสาทเบิร์กริมทะเลสาบชตาร์นแบร์คอย่างลับๆ หลังจากที่รัฐบาลพยายามที่จะจับกุมพระองค์หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ครั้งแรกที่พยายาม ลูทวิชก็สั่งจับผู้ที่จะมาจับพระองค์และทรงขู่ว่าจะลงโทษผู้ที่ทรงถือว่าเป็นกบฏต่างๆ นาๆ แต่ก็มิได้ทรงทำจริง นอกจากจะขังผู้ที่จะมาจับไว้ในปราสาทแต่ต่อมาก็ถูกปล่อย ต่อมาเมื่อพยายามอีกประชาชนจากหมู่บ้านใกล้ๆ นอยชวานชไตน์ก็ยกกำลังกันมาป้องกันพระองค์ และถวายคำเสนอว่าจะพาพระองค์หนีข้ามพรมแดนแต่ทรงปฏิเสธ และอีกครั้งหนึ่งกองทหารจากเค็มพตันถูกเรียกตัวมานอยชวานชไตน์แต่ก็มาถูกกักโดยรัฐบาล
ลูทวิชทรงพยายามเรียกร้องโดยตรงต่อประชาชนโดยเขียนบทความในหนังสือพิมพ์:
คำประกาศนี้ลงพิมพ์โดยหนังสือพิมพ์ที่เมืองบัมแบร์คเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ปี ค.ศ. 1886 แต่ถูกยึดโดยรัฐบาลเพราะความกลัวจากผลของการเผยแพร่ข้อเขียนนั้น โทรเลขถึงนักหนังสือพิมพ์และเพื่อนของลูทวิชเกือบทุกชิ้นถูกรัฐบาลสั่งสกัดกั้นทั้งสิ้น แต่ลูทวิชได้รับสาส์นจากมุขมนตรีปรัสเซียบิสมาร์ค ให้เดินทางไปมิวนิกเพื่อไปปรากฏพระองค์ต่อประชาชน แต่ลูทวิชทรงมีความรู้สึกว่าไม่สามารถจะทำได้ ซึ่งเป็นการตัดสินชะตาของพระองค์เอง รุ่งขึ้นวันที่ 12 มิถุนายนคณะกรรมการจากรัฐบาลกลุ่มที่สองก็มาถึงปราสาท พระเจ้าลูทวิชทรงถูกจับเมื่อเวลาตีสี่และถูกนำตัวขึ้นรถม้า ทรงถามด็อกเตอร์กุดเด็นผู้เป็นผู้นำคณะกรรมการว่าทำไมจึงประกาศว่าพระองค์วิกลจริตได้ในเมื่อด็อกเตอร์กุดเด็นก็ไม่เคยตรวจพระองค์[13] แต่อย่างไรก็ตามพระเจ้าลูทวิชก็ถูกนำตัวจากนอยชวานชไตน์ไปยังปราสาทเบิร์กบนฝั่งทะเลสาบชตาร์นแบร์คทางใต้ของมิวนิกในวันนั้น
การสวรรคตของลูทวิชที่ทะเลสาบชตาร์นแบร์คเป็นเรื่องที่ยังที่น่าสงสัยกันอยู่ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ปี ค.ศ. 1886 เวลาหกโมงเย็นลูทวิชทรงขอออกไปเดินกับด็อกเตอร์กุดเด็น ด็อกเตอร์กุดเด็นตกลงและสั่งไม่ให้ยามเดินตามไปด้วย ทั้งลูทวิชและด็อกเตอร์กุดเด็นไม่ได้กลับมาจากการเดิน คืนเดียวกันร่างของทั้งสองคนก็พบลอยน้ำใกล้ฝั่งทะเลสาบชตาร์นแบร์คเมื่อเวลาห้าทุ่ม หลังจากที่สวรรคตก็มีการสร้างชาเปลเพื่อเป็นอนุสรณ์ตรงที่พบพระศพ ทุกวันที่ 13 มิถุนายนของทุกปีจะมีพิธีรำลึกถึงพระองค์
รัฐบาลประกาศว่าการสวรรคตของลูทวิชเป็นการฆ่าตัวตายโดยการจมน้ำตาย ซึ่งไม่เป็นความจริง[14] [15] สาเหตุการสวรรคตของลูทวิชไม่เคยมีการอธิบายอย่างเป็นจริง เป็นที่ทราบกันว่าพระเจ้าลูทวิชทรงว่ายน้ำแข็งและที่บริเวณที่พบพระศพน้ำก็ลึกเพียงแค่เอว รายงานการชันสูตรพระศพก็บ่งว่าไม่มีน้ำในปอด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสวรรคตโดยการจมน้ำตาย[16] สาเหตุการสวรรคตยังคงเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้เพราะราชวงศ์วิทเทลส์บัคยังไม่ยอมให้แก้ปัญหา[17] สาเหตุการสวรรคตจึงมีด้วยกันหลายทฤษฏี ทฤษฏีเชื่อกันว่าลูทวิชถูกลอบปลงพระชนม์โดยศัตรูขณะที่ทรงพยายามหนีจากเบิร์ก และอ้างกันว่าทรงถูกยิงตาย[18] แต่เจคอป ลิเดิลนักตกปลาประจำพระองค์กล่าวว่าสามปีหลังจากที่สวรรคต ลิเดิลถูกบังคับให้สาบานว่าจะไม่เอ่ยปากกับใครถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ลิเดิลก็ไม่ได้กล่าวอะไรกับใครแต่ทิ้งบันทึกที่มาพบเอาหลังจากที่ลิเดิลเสียชีวิตไปแล้ว ในบันทึกกล่าวว่าตัวลิเดิลเองซุ่มรอลูทวิชอยู่ในเรือที่จะพาพระองค์ไปกลางทะเลสาบเพื่อจะไปสมทบกับผู้ที่จะช่วยหลบหนีคนอื่นๆ แต่เมื่อทรงก้าวมาทางเรือ ลิเดิลก็ได้ยินเสียงปืนจากฝั่ง ลูทวิชล้มลงมาในเรือและสวรรคตทันที[19] [20] อีกทฤษฏีหนึ่งสันนิษฐานว่าลูทวิชสวรรคตตามธรรมชาติอาจจะจากหัวใจวายหรือเส้นโลหิตในสมองแตก ระหว่างที่ทรงพยายามหลบหนีเพราะอากาศที่ทะเลสาบเย็น[21] บางคนก็เชื่อว่าสิ่งที่ง่ายที่สุดในการเฉลยปัญหานี้คือการชันสูตรพระศพใหม่ เพื่อจะได้รู้กันเป็นที่แน่นอน เพราะถ้าทรงถูกยิงจริงก็เป็นสิ่งที่ง่ายที่จะพบแม้ว่าจะเกิดขึ้นนานมาแล้วก็ตาม
ร่างของลูทวิชทรงเครื่องแบบเต็มยศของ Order of the Knights of St. Hubert และตั้งที่ชาเปลหลวงที่วังหลวงที่มิวนิก ในมือขวาทรงถือช่อดอกมะลิที่ดัชเชสเอลิซาเบธทรงเก็บให้[22] หลังจากพิธีที่จัดอย่างสมพระเกียรติร่างของลูทวิชยกเว้นหัวใจก็ถูกนำไปไว้ในคริพต์ที่วัดเซนต์ไมเคิลที่มิวนิก ตามประเพณีของบาวาเรียหัวใจของกษัตริย์จะใส่ในผอบเงินและส่งไปที่ชาเปลกนาเด็น (Gnadenkapelle) ที่ Chapel of the Miraculous Image ที่อาลเทิททิง ผอบของลูทวิชตั้งอยู่ข้างพระบิดาและพระอัยยิกาภายในชาเปล
พระเจ้าลูทวิชที่ 2 แห่งบาวาเรียทรงเป็นกษัตริย์ที่เป็นที่รักของประชาชนและไม่ทรงเหมือนกษัตริย์องค์ใดในประวัติศาสตร์ของบาวาเรีย สาเหตุที่ทรงเป็นที่ชื่นชมของประสกนิกรมีด้วยกันสามประการ ประการแรกทรงเลี่ยงสงครามซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้บาวาเรียมีความสงบร่มเย็นอยู่ระยะหนึ่ง แต่การเลี่ยงสงครามของลูทวิชจะเป็นเพราะทรงเป็นผู้เชื่อในลัทธิสันตินิยมหรือจะเป็นเพราะความไม่ทรงสนพระทัยกับเรื่องการเมืองเป็นที่ถกเถียงกันได้ แต่ลูทวิชทรงมีความเชื่อเสมอว่าบาวาเรียควรที่จะมีความใกล้ชิดกับออสเตรียมากกว่าปรัสเซีย ประการที่สองลูทวิชทรงสร้างปราสาทต่างๆ ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์โดยไม่ใช้งบประมาณของรัฐ ซึ่งทำให้ประชาชนมีงานทำและทำให้มีเงินเข้ามาหมุนเวียนในบริเวณที่มีการก่อสร้าง ประการที่สามพระลักษณะนิสัยที่ไม่เหมือนกันใครและที่เห็นกันว่าแปลกอาจจะเป็นลักษณะที่เป็นดึงดูกความจงรักภักดีของประชากร ลูทวิชไม่โปรดชุมชนและงานที่เป็นทางการ แต่ไม่ได้ทำพระองค์อยู่เหนือการใกล้ชิดกับไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน โปรดการเดินทางไปตามชนบทในบาวาเรียและเมื่อทรงพบชาวนาและกรรมกรระหว่างทางก็จะทรงสนทนาด้วย นอกจากนั้นก็โปรดการให้ของขวัญมีค่าผู้ที่มีความเอื้ออารีต่อพระองค์ในระหว่างการเสด็จประพาสตามชนบท ลูทวิชไม่ค่อยประทับในราชสำนักและมักจะออกประพาสไปตามชนบท ชาวบาวาเรียเรียกพระองค์ด้วยความเอ็นดูว่า “Unser Kini” (our darling king) ในภาษาเยอรมันแบบบาวาเรีย
ลูทวิชทรงมีความสนใจและความเชื่อในเทคโนโลยีและความก้าวหน้า[ต้องการอ้างอิง] สิ่งหนึ่งที่ทรงมีความสนพระทัยมากคือการรถไฟ ทรงสนับสนุนการขยายเส้นทางรถไฟไปทั่วบาวาเรียจนกรมรถไฟหลวงแห่งบาวาเรียเป็นกรมรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและในที่สุดก็รวมกับกรมรถไฟเยอรมัน นอกจากนั้นก็ทรงมีรถไฟส่วนพระองค์ที่เรียกกันว่ารถไฟหลวงซึ่งทรงใช้ในการประพาสส่วนพระองค์หรือบางครั้งก็จะทรงเดินทางโดยไม่เปิดเผยว่าพระองค์เป็นใคร และบางครั้งก็จะไปขับรถไฟกับวิศวกร[ต้องการอ้างอิง]
แม้ว่าการสร้างปราสาทของลูทวิชเกือบจะทำให้ราชวงศ์วิทเทลส์บัคหมดตัวแต่ลูทวิชไม่ได้ใช้เงินจากคลังของบาวาเรียมาสร้าง [23] และสิ่งที่น่าคิดก็คือแม้ว่าการสร้างปราสาทของลูทวิชเป็นการทำลายเศรษฐกิจส่วนพระองค์ ซึ่งเป็นการนำมาของการสูญเสียราชบัลลังก์และความหายนะต่อพระองค์เอง แต่ในปัจจุบันปราสาทที่ทรงสร้างทุกปราสาทกลับกลายมาเป็นสิ่งที่รู้จักกันและเป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวไม่เฉพาะจากเยอรมนีเองเท่านั้นแต่จากทั่วโลกและแป็นสิ่งหนึ่งทำเงินให้บาวาเรียมากที่สุด
พระเจ้าลูทวิชทรงเป็นผู้อุปถัมภ์คีตกวีริชชาร์ท วากเนอร์ และทรงสละพระราชทรัพย์เพื่อช่วยในการสร้างโรงอุปรากรบายรอยท์ เป็นที่เชื่อกันว่าถ้าวากเนอร์ไม่ได้รับการอุปถัมภ์จากลูทวิชก็คงไม่ได้เขียน แดร์ริงเด็สนีเบอลุงเงิน จนจบสมบูรณ์ ซึ่งเป็นโอเปร่าชิ้นสำคัญที่สุดของวากเนอร์ หรือพาร์ซิฟาล (Parsifal) ซึ่งเป็นโอเปร่าชิ้นสุดท้าย
พระเจ้าลูทวิชทรงมีความสนพระทัยในการสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ ซึ่งอาจจะทรงได้มาจากพระเจ้าลูทวิชที่ 1 พระอัยยิกาผู้เป็นผู้สร้างมิวนิกใหม่เกือบทั้งหมดจนเป็นที่รู้จักกันในนาม “เอเธนส์บนฝั่งแม่น้ำอิซาร์” พระเจ้ามัคซีมีลีอานที่ 2 พระบิดาทรงดำเนินการสร้างมิวนิกต่อและทรงก่อสร้างปราสาทโฮเอินชวังเกา ซึ่งเป็นปราสาทที่ลูทวิชใช้เวลาส่วนใหญ่เมื่อยังทรงพระเยาว์ ที่อยู่ไม่ใกลจากนอยชวานชไตน์ของลูทวิชที่ 2 ที่มาสร้างทีหลัง ลูทวิชทรงวางแผนที่จะสร้างโรงละครโอเปร่าใหญ่บนฝั่งแม่น้ำอิซาร์ที่มิวนิก แต่แผนถูกยับยั้งโดยรัฐบาลบาวาเรีย[24] ลูทวิชจึงทรงนำผังเดียวกันนั้นไปสร้างโรงละครที่เบย์รึทด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์
หลังจากสวรรคตลูทวิชทรงทิ้งผังการออกแบบสำหรับปราสาทอื่นๆ ที่ยังไม่ได้สร้างไว้มาก รวมทั้งผังสำหรับห้องต่างๆ ในปราสาทที่สร้างเสร็จแล้ว ผังเหล่านี้ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูทวิชที่ 2 ที่พระราชวังเฮเรินคีมเซ ผังเหล่านี้ออกแบบในปลายรัชสมัยของลูทวิชราวปี ค.ศ. 1883 และออกแบบในขณะที่พระราชทรัพย์เริ่มร่อยหลอลง สถาปนิกทราบว่าในเมื่อไม่มีทางที่จะสร้างปราสาทเหล่านี้ได้จึงได้ออกแบบกันอย่างหรูหราพิสดารโดยไม่ต้องคำนึงถึงงบประมาณ
สิ่งก่อสร้างโดยพระเจ้าลูทวิช:
8. มัคซีมีลีอาน โจเซฟที่ 1 แห่งบาวาเรีย | |||||||||
4. ลูทวิชที่ 1 แห่งบาวาเรีย | |||||||||
9. วิลเฮ็ล์มีนแห่งเฮสส์-ดาร์มชตัท | |||||||||
2. มัคซีมีลีอานที่ 2 แห่งบาวาเรีย | |||||||||
10. ฟรีดริชแห่งซัคเซิน-อัลเต็นเบิร์ก | |||||||||
5. เทอรีสแห่งซัคเซิน-ฮิลด์เบิร์กเฮาเซิน | |||||||||
11. ชาร์ล็อทเทอ จอร์เจียนแห่งเมคเลินบวร์ค-ชเตรลิทซ์ | |||||||||
1.พระเจ้าลูทวิชที่ 2 แห่งบาวาเรีย | |||||||||
12. ฟรีดริชที่ 2 แห่งปรัสเซีย | |||||||||
6. วิลเลียมแห่งปรัสเซีย | |||||||||
13. ฟรีดริคาแห่งเฮสส์-ดาร์มชตัท | |||||||||
3. มารีแห่งปรัสเซีย | |||||||||
14. ฟรีดริชที่ 5 แห่งเฮสส์-ฮอมเบิร์ก | |||||||||
7. มารี แอนนาแห่งเฮสส์-ฮอมเบิร์ก | |||||||||
15. คาร์โรไลน์แห่งเฮสส์-ฮอมเบิร์ก | |||||||||
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.