Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พลตรี พระประศาสน์พิทยายุทธ นามเดิม วัน ชูถิ่น เป็นนายทหารชาวไทย และเป็นหนึ่งในสี่ทหารเสือที่ร่วมก่อการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475
พระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) | |
---|---|
รัฐมนตรี | |
ดำรงตำแหน่ง 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 – 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 | |
นายกรัฐมนตรี | พระยามโนปกรณนิติธาดา |
กรรมการราษฎร | |
ดำรงตำแหน่ง 28 มิถุนายน – 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 | |
ประธาน | พระยามโนปกรณนิติธาดา |
เอกอัครราชทูตสยามประจำไรช์เยอรมัน | |
ดำรงตำแหน่ง 7 ธันวาคม พ.ศ. 2481 – 30 เมษายน พ.ศ. 2488 | |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 9 มิถุนายน พ.ศ. 2437 เมืองพระนคร ประเทศสยาม |
เสียชีวิต | 4 ธันวาคม พ.ศ. 2492 (55 ปี) จังหวัดพระนคร ประเทศไทย |
ศาสนา | พุทธ |
พรรคการเมือง | คณะราษฎร |
คู่สมรส | เนาว์ ประศาสน์พิทยายุทธ |
บุตร | 2 คน |
พระประศาสน์พิทยายุทธ มีนามเดิมว่า วัน ชูถิ่น เกิดเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2437 ที่ข้างวัดรังษีสุทธาวาส (ต่อมารวมเป็นวัดเดียวกับวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร) เป็นบุตรชายของขุนสุภาไชย เข้าศึกษาในโรงเรียนนายร้อยทหารบกในปี พ.ศ. 2451 และสำเร็จการศึกษาในพ.ศ. 2454 ต่อมาสอบได้เป็นที่ห้าในจำนวนนักเรียนทำการนายร้อยทั้งหมด 185 นาย ที่ทางกระทรวงกลาโหมจัดสอบเพื่อคัดเลือกตัวไปเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยทหารบกที่เยอรมนี ซึ่งได้เดินทางไปเยอรมนีด้วยการโดยสารเรือพระที่นั่งจักรีตามเสด็จสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งเสด็จประพาสประเทศจีนและญี่ปุ่น แล้วเดินทางผ่านญี่ปุ่นไปต่อทางรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรีย ไปยังกรุงมอสโก จักรวรรดิรัสเซีย แล้วต่อรถไฟไปยังกรุงเบอร์ลิน จักรวรรดิเยอรมัน ใช้ระยะเวลาเดินทางหลายสัปดาห์[1]
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ร้อยตรีวันได้ลี้ภัยสงครามไปศึกษาวิชาทหารที่วิทยาลัยโปลิเทคนิคนครซือริช ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่ทหารเรียนร่วมกับพลเรือน เขาระบุถึงข้อดีถึงระบบดังกล่าวไว้ว่า "...ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้น นายทหารเขาเรียนในมหาวิทยาลัย ซึ่งทำให้นายทหารเป็นคนมีความรู้กว้างขวาง รู้เท่าทันความรู้สึกของนักศึกษาชั้นสูงๆทั่วไป เพราะมหาวิทยาลัยของยุโรปนั้นคือสถานศึกษาใหญ่โตปานเมืองๆหนึ่งทีเดียว มีคนที่มีความรู้สูงสุด สมาคมกันอยู่ทั่วทุกสาขาวิชา ไม่ใช่ใจแคบรู้แต่ในแนวของตนอย่างดื้อดึงจนรักษาไม่หาย"[2] การไปอยู่สวิสทำให้วันเกิดความสนใจและชื่นชอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เขาคิดว่าประเทศเล็กๆอย่างสยามควรจะเอาสวิสเป็นแบบอย่าง[2] ต่อมาเมื่อรัฐบาลสยามประกาศสงครามกับจักรวรรดิเยอรมัน ร้อยตรีวันสมัครเข้าร่วมคณะทูตทหารทันทีที่เรียกว่า "กองทูตศึกสัมพันธมิตร" นำโดยพลตรีพระยาพิไชยชาญฤทธิ[3] และปฏิบัติหน้าที่จนถึงวันที่ทหารอาสากลับประเทศ
ภายหลังเดินทางกลับสยามเมื่อพ.ศ. 2464 วันปฏิบัติงานในสายงานอาจารย์โรงเรียนนายร้อยทหารบกและกรมยุทธศึกษาจนถึงพ.ศ. 2469 และได้เป็นผู้บัญชาการโรงเรียนเสนาธิการทหารบกในปีพ.ศ. 2474 ในปีนั้นเอง พันโทพระประศาสน์พิทยายุทธถูกพันเอกพระยาทรงสุรเดช ชักชวนให้ร่วมก่อการปฏิวัติ พระประศาสน์พิทยายุทธเคารพนับถือในตัวพระยาทรงสุรเดชเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงตกปากเข้าร่วมในทันที[4]
ในเช้าวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง พันโทพระประศาสน์พิทยายุทธ มีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการแผนก โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ได้เขียนจดหมายสั่งเสียแก่ภรรยา ก่อนออกจากบ้านของตัวเองมา โดยได้ขับรถไปรับพระยาพหลพลพยุหเสนาถึงบ้านพักไปยังตำบลนัดหมายที่บริเวณทางรถไฟสายเหนือตัดกับถนนประดิพัทธ ห่างจากบ้านพระยาทรงสุรเดชราว 200 เมตร [5]พร้อมด้วยคีมตัดเหล็กที่พระประศาสน์พิทยายุทธเป็นผู้ซื้อมาเพื่อเตรียมการตัดโซ่ที่คล้องประตูคลังแสงภายในกรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ สี่แยกเกียกกาย พร้อมด้วยพระยาทรงสุรเดช และพระยาพหลพลหยุหเสนา เพื่อหลอกเอากำลังพลทหารและยุทโธปกรณ์เข้าร่วมในการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ลานพระราชวังดุสิต
ขบวนทหารที่เคลื่อนกำลังไปลานพระราชวังดุสิตนั้นมีพระประศาสน์พิทยายุทธเป็นผู้ปิดท้าย จากนั้นเป็นผู้นำกำลังแวะเข้าควบคุมตัวสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตและนายทหารคนสนิทจากวังบางขุนพรหม พร้อมด้วยครอบครัวบริพัตร ไปยังพระที่นั่งอนันตสมาคม[6] ซึ่งแผนการในการปฏิวัตินั้น นอกจากพระยาทรงสุรเดชจะเป็นผู้เดียวที่รับรู้แล้ว เนื่องจากเป็นผู้วางแผนทั้งหมด ก็มีเพียงพระประศาสน์พิทยายุทธ เท่านั้นที่พอทราบ เนื่องจากได้ร่วมวางแผนด้วยในบางส่วน[7] ซึ่งก่อนหน้านี้ พระประศาสน์พิทยายุทธ ก็ได้เดินทางมายังที่กรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ เพื่อดูสถานที่เพื่อเตรียมการไว้ก่อนแล้ว[8] [9]
หลังการปฏิวัติ พระประศาสน์พิทยายุทธได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการราษฎร ซึ่งจัดได้ว่าเป็นคณะรัฐมนตรีคณะแรกของไทย ที่มีพระยามโนปกรณนิติธาดา เป็นประธานคณะกรรมการราษฎร และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 [10]
ภายหลังเหตุการณ์เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 ที่พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ได้ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีประกาศปิดรัฐสภา และงดใช้รัฐธรรมนูญบางฉบับ ประกอบกับเกิดความแตกแยกกันเองในหมู่คณะราษฎร พระประศาสน์พิทยายุทธได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีที่ไม่ได้ประจำกระทรวง จนกระทั่งถึงวันที่ 18 มิถุนายน ปีเดียวกัน จึงได้ลาออกพร้อมกับอีกสองทหารเสือ คือ พระยาทรงสุรเดช และพระยาฤทธิอัคเนย์ ซึ่งเพียงไม่กี่วันหลังคณะทหารเสือลาออก ก็เกิดรัฐประหารในวันที่ 20 มิถุนายน ปีเดียวกัน [11]
หลังเหตุการณ์กบฏพระยาทรงสุรเดช ในปี พ.ศ. 2481 พระประศาสน์พิทยายุทธได้รับแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชทูตสยามประจำไรช์เยอรมัน เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2481[12] ในรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยการลงเสนอของนายปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นัยว่าเพื่อให้พ้นจากภัยการเมือง จึงย้ายไปอาศัยยังกรุงเบอร์ลิน พร้อมด้วยครอบครัว อันเป็นถิ่นเดิมที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดีในสมัยที่เป็นนักเรียนนายร้อย
ในช่วงท้ายสงครามโลกครั้งที่สอง เขาและครอบครัวความเป็นอยู่ลำบากอย่างยิ่งในเบอร์ลิน ละแวกของสถานทูตตกเป็นเป้าการทิ้งระเบิด บุตรสาวคนโตก็ป่วยและเสียชีวิตในสถานทูต จนต้องส่งภริยาและบุตรสาวที่เหลือกลับประเทศไทย พระประศาสน์พิทยายุทธในฐานะเอกอัครราชทูตไทยประจำไรช์เยอรมัน เป็นบุคคลต่างชาติผู้เข้าคำนับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เป็นบุคคลสุดท้ายในฟือเรอร์บุงเคอร์ เมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2488 ก่อนที่ฮิตเลอร์จะยิงตัวตายเพียงสิบวัน โดยได้ลงชื่อของตนในสมุดเยี่ยมของฮิตเลอร์ว่า "ประศาสน์ ชูถิ่น"[13] และเมื่อกองทัพแดงของสหภาพโซเวียตบุกเข้ากรุงเบอร์ลิน พระประศาสน์พิทยายุทธถูกทหารโซเวียตควบคุมตัวไว้ในค่ายกักกันใกล้กรุงมอสโก ที่มีอุณหภูมิหนาวเย็นถึง -40 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลานานถึง 225 วันจึงได้รับการปล่อยตัว[14]
เมื่อเดินทางกลับมาถึงไทยแล้ว พระประศาสน์พิทยายุทธจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลขในบั้นปลายชีวิตเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2490[15]ก่อนจะถึงแก่กรรมลงในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2492 ด้วยโรคตับ เนื่องจากเป็นผู้ติดสุราและดื่มสุราจัด ถึงขนาดหมักผลไม้ไว้ในถังไม้ที่บ้านเพื่อผลิตสุราไว้ดื่มเอง โดยมียศสุดท้ายเป็น พลตรี (พล.ต.) รับพระราชทานเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2486 [16]
ในส่วนชีวิตครอบครัว พระประศาสน์พิทยายุทธ สมรสกับ นางประศาสน์พิทยายุทธ (เนาว์ ชูถิ่น) มีบุตรสาว 2 คน[17]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.