Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ทากูมิ มินามิโนะ (ญี่ปุ่น: 南野 拓実; โรมาจิ: Minamino Takumi) เป็นนักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรุกหรือปีกให้แก่มอนาโก สโมสรในลีกเอิง และทีมชาติญี่ปุ่น
ข้อมูลส่วนตัว | |||
---|---|---|---|
ชื่อเต็ม | ทากูมิ มินามิโนะ[1] | ||
วันเกิด | [2] | 16 มกราคม ค.ศ. 1995 }||
สถานที่เกิด | อิซูมิซาโนะ ญี่ปุ่น | ||
ส่วนสูง | 1.72 เมตร (5 ฟุต 8 นิ้ว)[3] | ||
ตำแหน่ง | ปีก | ||
ข้อมูลสโมสร | |||
สโมสรปัจจุบัน | มอนาโก | ||
หมายเลข | 18 | ||
สโมสรเยาวชน | |||
2007–2012 | เซเรซโซ โอซากะ | ||
สโมสรอาชีพ* | |||
ปี | ทีม | ลงเล่น | (ประตู) |
2012–2014 | เซเรซโซ โอซากะ | 62 | (7) |
2015–2019 | เร็ดบุลซัลทซ์บวร์ค | 129 | (41) |
2020–2022 | ลิเวอร์พูล | 55 | (14) |
2021 | → เซาแทมป์ตัน (ยืม) | 10 | (2) |
2022– | มอนาโก | 32 | (6) |
ทีมชาติ‡ | |||
2011 | ญี่ปุ่น อายุไม่เกิน 17 ปี | 4 | (1) |
2012 | ญี่ปุ่น อายุไม่เกิน 20 ปี | 8 | (5) |
2016 | ญี่ปุ่น อายุไม่เกิน 23 ปี | 3 | (1) |
2015– | ญี่ปุ่น | 54 | (20) |
เกียรติประวัติ | |||
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 2022 ‡ ข้อมูลการลงเล่นและประตูให้แก่ทีมชาติล่าสุด ณ วันที่ 1 มกราคม 2024 |
มินามิโนะเริ่มต้นอาชีพกับเซเรซโซ โอซากะ ในเจลีก ดิวิชัน 1 เมื่อ ค.ศ. 2012 โดยในฤดูกาลแรก เขาได้รับรางวัลผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยมแห่งปีของเจลีก ต่อมาใน ค.ศ. 2014 เขาย้ายไปเร็ดบุลซัลทซ์บวร์คในออสเตรีย ซึ่งเขาอยู่กับสโมสรถึง 4 ฤดูกาล ผลงานของเขากับเร็ดบุลทำให้เขาได้ย้ายไปลิเวอร์พูลเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2020 เขาช่วยให้สโมสรชนะเลิศพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลแรก และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในฤดูกาลที่สองของเขากับสโมสร ในปี ค.ศ. 2022 เขาถูกยืมตัวไปเซาแทมป์ตัน ก่อนย้ายร่วมทีม มอนาโก ในเดือนกรกฎาคม
เขาลงเล่นให้กับทีมชาติญี่ปุ่นชุดใหญ่มาตั้งแต่ ค.ศ. 2015 และเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติชุดที่เข้าสู่ชิงชนะเลิศในเอเชียนคัพ 2019
มินามิโนะเกิดที่อิซูมิซาโนะในจังหวัดโอซากะ[4] ขณะศึกษาในโรงเรียนประถมศึกษา เขาได้เล่นให้กับทีมฟุตบอลท้องถิ่นชื่อ เซสเซล คุมาโทริ[5][6] เมื่อเขาเติบโตขึ้น เขาได้รับแรงบันดาลใจด้านการจบสกอร์และการเลี้ยงลูกบอลจากโรนัลโด นักฟุตบอลชาวบราซิลในตำแหน่งกองหน้าที่เป็นผู้ทำประตูสูงสุดในฟุตบอลโลก 2002 โดยในตอนนั้น มินามิโนะมีอายุเพียง 7 ปี[5] เขาได้รับชมวิดีโอการเล่นของโรนัลโดและออกไปฝึกหัดข้างนอก เขายังได้รับแรงบัลดาลใจจากพี่ชายชื่อเคนตะ บิดาของเขาวางกรวยจราจรในลานจอดรถเพื่อทดสอบการเลี้ยงลูกบอลและความเร็วของเขา[5] มินามิโนะได้เข้าศึกษาระดับมัธยมที่โรงเรียนโอซากะ-โกโกกุ[7] เขาเรียกตัวเองว่าเป็น "เด็กที่กระฉับกระเฉง"[8]
มินามิโนะเข้าร่วมทีมเยาวชนของเซเรซโซ โอซากะ ในวัย 12 ปี[5] โดยในช่วงที่เล่นให้กับทีมเยาวชนนั้น เขาได้มีโอกาสฝึกซ้อมร่วมกับชินจิ คางาวะ ซึ่งเป็นผู้เล่นในทีมชุดใหญ่[5] มินามิโนะกล่าวถึงทีมเยาวชนเมื่อปี 2014 ว่า "ทีมเยาวชนเซเรซโซเปรียบเสมือนผู้ฝึกสอนทางกายของทีมชั้นนำ แต่ผมกลับเป็นผู้ฝึกสอนทางกายของผม มันฟังดูหนักแน่นแปลก ๆ จริงไหม"[9]
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2009 มินามิโนะเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลสโมสรเยาวชนญี่ปุ่นรุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี เขามีส่วนช่วยให้ทีมจบอันดับที่ 8 หลังจากตกรอบก่อนรองชนะเลิศ[10] อย่างไรก็ตาม เขากลับกลายเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในรายการนั้นที่ 8 ประตู[11] ปีถัดมา มินามิโนะช่วยให้ทีมรุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี ชนะเลิศปรินซ์ลีกคันไซ โดนเขาทำแฮตทริกช่วยให้ทีมเอาชนะทีมโรงเรียนมัธยมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนครโคเบะ 5–0 เมื่อวันที่ 11 เมษายน ค.ศ. 2010[12] ใน ค.ศ. 2011 เขาเลื่อนขึ้นไปเล่นให้กับทีมรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี โดยได้เข้าร่วมแข่งขันในซอกเกอร์พรีเมียร์ลีกทากามาโดมิยะคัพ เจเอฟเอ รุ่นอายุไม่เกิน U-18[13] เขาทำ 9 ประตู ซึ่งมากเป็นอันดับที่สี่ในรายการนั้น[14] มินามิโนะยังช่วยให้ทีมเข้าชิงชนะเลิศเจยูธคัพ ซึ่งสุดท้ายแล้วพวกเขาพ่ายแพ้ต่อนาโงยะแกรมปัส 3–1 อย่างไรก็ตาม เขาเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของรายการที่ 13 ประตู[15]
หลังจากสองปีกับทีมเยาวชน มินามิโนะได้ลงทะเบียนกับทีมชุดใหญ่ของเซเรซโซในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2012[16] ต่อมาในวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 เขาได้ลงเล่นนัดแรกให้กับทีมชุดใหญ่ โดยลงเล่นเป็นตัวสำรองแทนที่ทากูมะ เอดามูระ ในนัดที่พ่ายแพ้โอมิยะ อาร์ดิจา 3–1[17] มินามิโนะได้ลงเล่นเป็นตัวจริงนัดแรกและลงเล่นครบ 90 นาทีในนัดที่เสมอกับคาวาซากิ ฟรอนตาเล 2–2 ในนัดปิดฤดูกาล[18] วันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 2012 เขาทำประตูแรกให้กับสโมสร ช่วยให้เอาชนะชิมิซุ เอส-พัลส์ 4–0 ในฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระจักรพรรดิ รอบที่ 4[19] จบฤดูกาล 2012 มินามิโนะลงเล่น 5 นัดและยิงหนึ่งประตูจากทุกรายการ
เขากลายเป็นตัวผู้เล่นของทีมชุดใหญ่อย่างเต็มตัวใน ค.ศ. 2013 โดยได้รับเสื้อหมายเลข 13 สำหรับฤดูกาลนี้[20] มินามิโนะเป็นผู้เล่นคนแรกจากระบบเยาวชนของสโมสรที่ได้ลงเล่นในนัดเปิดฤดูกาล ซึ่งเซเรซโซเอาชนะอัลบิเร็กซ์ นีงาตะ ไปได้ 1–0[21] หลังจากนั้น สัญญาของเขากับสโมสรได้กลายเป็นสัญญาอาชีพ เพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนนัดที่เขาสามารถลงเล่นได้ต่อฤดูกาล[22] มินามิโนะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดเดือนมีนาคม เขาทำสองแอสซิสต์ในเกมลีกสองนัดและทำประตูแรกของฤดูกาลในฟุตบอลชิงถ้วยจักรพรรดินัดที่เอาชนะโออิตะทรินิตา 2–1[23] มินามิโนะทำเพิ่มอีกสองประตูในรายการถ้วยจักรพรรดิ ก่อนที่จะตกรอบก่อนรองชนะเลิศหลังพ่ายแพ้อูราวะ เรดไดมอนส์ ซึ่งเขาทำประตูในเลกที่สองของรอบนี้[24] หกวันหลังจากตกรอบ เขาทำประตูแรกในเจลีก ดิวิชัน 1 ในนัดที่เสมอกับ 2–2 จูบิโล อิวาตะ เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูให้กับสโมสร[25] สามสัปดาห์ถัดมา วันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 มินามิโนะทำประตูในนัดกระชับมิตรที่พบกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด โดยเขายิงไกลในระยะ 20 หลา จนอันเนอส์ ลินเนอกา ไม่มีโอกาสได้เซฟลูกยิงของเขา[26] หลังจบนัดนั้น ผลงานของเขาได้รับการชื่นชมจากทั้งผู้เล่นและเดวิด มอยส์ ผู้จัดการทีมของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด[27] อย่างไรก็ตาม ในนัดที่พบกับชิมิซุ เอส-พัลส์ วันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 2013 เอ็นเข่าซ้ายของเขาได้รับบาดเจ็บ ทำให้เขาต้องพักรักษาตัวถึงหกสัปดาห์[28] วันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 2013 มินามิโนะกลับมาลงเล่นอีกครั้งในฐานะตัวสำรอง ช่วยให้ทีมเอาชนะจูบิโล อิวาตะ 2–0[29] นัดถัดมา เขาทำประตูช่วยให้เอาชนะโออิตะทรินิตา 2–0[30] และเขาได้ทำเพิ่มอีกสามประตูก่อนจบฤดูกาล 2013 ซึ่งรวมถึงประตูที่เขายิงใส่อูราวะ เรดไดมอนส์ ในนัดปิดฤดูกาล[31] จบฤดูกาล 2013 เขาลงเล่น 38 นัดและทำ 8 ประตูจากทุกรายการ เขาได้รับรางวัลผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยมของเจลีกประจำปี 2013[32] และได้ขยายสัญญากับสโมสรออกไป[33]
ในช่วงเริ่มฤดูกาล 2014 มินามิโนะลงเล่นในเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีกครั้งแรกในการเสมอกับโปฮัง สตีลเลอร์ส 1–1[34] สามสัปดาห์ถัดมา วันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 2014 เขาทำประตูแรกในเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก ช่วยให้เอาชนะบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 4–0[35] อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 2014 เขาทำฟาล์วจนได้รับใบแดงโดยตรงและถูกไล่ออกจากสนามในนาทีที่ 41 ในนัดที่พ่ายแพ้โปฮัง สตีลเลอร์ส 2–0[36] วันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 2014 มินามิโนะกลับมาทำประตูในรอบสี่เดือน ช่วยให้เอาชนะเวอร์เตียนมิเอะ 4–2 ในรอบที่สองของถ้วยจักรพรรดิ[37] อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 2014 เขาได้รับใบแดงและถูกไล่ออกจากสนามอีกครั้งในนัดที่แพ้คาวาซากิ ฟรอนตาเล 3–1[38] หลังจบนัดนั้น เขาได้โพสต์คำขอโทษบนทวิตเตอร์ถึงการกระทำครั้งนั้น[39] ต่อมาในนัดที่เสมอกับเวนต์ฟอเร็ตโกฟุ 0–0 เขาถูกวิพากย์วิจารณ์ในกรณีที่เขาพยายามลงไปเล่นเกมรับ ทั้ง ๆ ที่ตำแหน่งจริงคือปีกซ้าย ทำให้เขาต้องออกมาขอโทษผ่านทางทวิตเตอร์อีกครั้ง[40] หนึ่งเดือนถัดมา วันที่ 16 สิงหาคม ค.ศ. 2014 เขาทำประตูแรกในลีกในนัดที่แพ้คาวาซากิ ฟรอนตาเล 5–4[41] และทำประตูที่สองในลีกในนัดที่แพ้วิสเซล โคเบะ 2–1 เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 2014[42] เขาทำประตูอย่างต่อเนื่องในช่วงระหว่างวันที่ 10 สิงหาคม ถึง 3 กันยายน ค.ศ. 2014 โดยเขาทำประตูใส่คาวาซากิ ฟรอนตาเล ทั้งสองเลกของเจลีกคัพ และทำประตูใส่จูบิโล อิวาตะ ในถ้วยจักรพรรดิ[43] อย่างไรก็ตาม ฤดูกาลที่สองและฤดูกาลสุดท้ายของเขากับสโมสรกลับกลายเป็นฤดูกาลที่ไม่ดีนัก เมื่อสุดท้ายแล้วสโมสรต้องตกชั้นจากลีกสูงสุดไป[44] หลังจบฤดูกาล 2014 เขาลงเล่น 42 นัดและทำ 8 ประตูจากทุกรายการ
เขาลงเล่นในเจลีก ดิวิชัน 1 ให้กับเซเรซโซ โอซากะ รวมทุกฤดูกาล 62 และยิงได้ 7 ประตู จากผลงาน ทำให้เขามีข่าวว่าจะย้ายออกจากสโมสรหลังจากที่ได้รับความสนใจจากสโมสรยุโรปหลายแห่ง[45]
เร็ดบุลซัลทซ์บวร์คได้ติดตามผลงานของมินามิโนะมาเป็นเวลาหนึ่งปีครึ่ง ก่อนที่จะเซ็นสัญญากับเขาในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 2015 โดยสัญญามีผลจนถึง ค.ศ. 2018 พร้อมตัวเลือกในการขยายเพิ่มอีกหนึ่งปี[46] เซเรซโซ โอซากะ ได้ประกาศยืนยันถึงการย้ายออกของเขาในเวลาต่อมา[47]
มินามิโนะลงเล่นให้กับเร็ดบุลซัลทซ์บวร์คนัดแรกด้วยการลงเล่นเป็นตัวจริงในตำแหน่งปีกซ้ายก่อนที่ถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 64 ในนัดที่เอาชนะ Wiener Neustadt 2–0 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015[48] หลังจากที่พลาดการลงเล่นสองนัดเนื่องจากกล้ามเนื้อฉีกขาด เขากลับมาลงเล่นอีกครั้งโดยเป็นการลงเล่นนัดแรกในระดับทวีปยุโรป เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 เขาลงเล่นในช่วงครึ่งแรกก่อนถูกเปลี่ยนตัวออกเพื่อสลับกับฟิลิปี ปิรึซ สุดท้าย เร็ดบุลพ่ายแพ้ในบ้านต่อบิยาร์เรอัล 1–3 (ผลรวม 2–5) ในเลกที่สองของรอบ 32 ทีมสุดท้ายในยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2014–15[49] มินามิโนะทำประตูแรกให้กับเร็ดบุลช่วยให้เอาชนะ Admira Wacker Mödling 4–1 เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 2015[50] ต่อมาเขาทำประตูช่วยให้ทีมเอาชนะ SV Grödig 3–0 เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม[51] มินามิโนะมีส่วนช่วยให้เร็ดบุลซัลทซ์บวร์คชนะเลิศออสเตรียนบุนเดิสลีกาในฤดูกาลแรกที่เขาได้เล่นให้กับสโมสร[52] เขาได้ลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศออสเตรียนคัพ ช่วยให้ทีมเอาชนะเอาส์ทรีอาวีน 2–0[53] จบฤดูกาล 2014–15 มินามิโนะลงเล่น 14 นัดและยิงได้ 3 ประตูจากทุกรายการ โดยในช่วงระหว่างฤดูกาล เขาได้กลายเป็นผู้เล่นตัวจริงของสโมสรในตำแหน่งกองกลาง[54]
มินามิโนะเริ่มต้นฤดูกาล 2015–16 ได้อย่างดี เขาทำประตูแรกของฤดูกาลในนัดที่เอาชนะ Deutschlandsberger SC 7–0 ในรอบแรกของออสเตรียนคัพ[55] ต่อมาเขาทำเพิ่มอีก 5 ประตูตลอดเดือนสิงหาคม โดยเขายิงประตูใส่ SV Ried, ดีนาโมมินสค์ในยูฟ่ายูโรปาลีก และสตวร์มกราซ[56] ต่อมาในวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 2015 เขาทำประตูและมีส่วนช่วยในการทำประตูที่สี่ ช่วยให้ทีมเอาชนะ SV Grödig 4–2[57] เขาทำสองประตูจากสองนัดระหว่างวันที่ 4 ถึง 17 ตุลาคม ค.ศ. 2015 ในนัดที่พบกับราปิดวีนและ Admira Wacker Mödling[58] อย่างไรก็ตาม มินามิโนะประสบปัญหาในการไม่สามารถทำประตูได้ในช่วงสี่เดือนถัดมา จนกระทั่งในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 เขาทำประตูช่วยให้เอาชนะเอาส์ทรีอาวีน 4–1[59] และทำเพิ่มอีกสองประตูในช่วงที่เหลือของฤดูกาล 2015–16[60] มินามิโนะมีส่วนช่วยให้เร็ดบุลชนะเลิศลีกเป็นปีที่สองติดต่อกันนับตั้งแต่ที่ย้ายมาเล่นให้กับสโมสร[61] 12 วันถัดมาหลังชนะเลิศลีก เขาลงเล่นเป็นตัวจริงในช่วงครึ่งหลังของนัดชิงชนะเลิศออสเตรียนคัพ[62] จบฤดูกาล 2015–16 มินามิโนะลงเล่น 40 นัดและยิงได้ 13 ประตูจากทุกรายการ
ในช่วงต้นฤดูกาล 2016–17 มินามิโนะทำประตูแรกของฤดูกาลช่วยให้เอาชนะ Vorwärts Steyr 3–1 ในรอบแรกของออสเตรียนคัพ[63] เขาเว้นจากการลงเล่นให้กับสโมสรระยะหนึ่งเนื่องจากไปลงเล่นให้กับทีมชาติ เขากลับมาเล่นให้กับสโมสรอีกครั้งในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 2016 ช่วยให้เอาชนะ Mattersburg 3–1[64] สองสัปดาห์ถัดมา วันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2016 มินามิโนะทำประตูช่วยให้เอาชนะ Admira Wacker Mödling 4–0[65] ต่อมาเขาทำเพิ่มอีกสามประตู ซึ่งรวมถึงประตูที่เขายิงใส่ Wolfsberger AC เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2016[66] สองเดือนถัดมา วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2017 มินามิโนะทำแฮตทริกแรกในนามสโมสร ช่วยให้เอาชนะ SV Ried 6–1[67] เขามีบทบาทสำคัญในรอบรองชนะเลิศของออสเตรียนคัพ ด้วยการทำสองประตูช่วยให้เอาชนะ Admira Wacker Mödling 5–0 พาทีมเข้าชิงชนะเลิศได้สำเร็จ[68] ตลอดฤดูกาล 2016–17 มินามิโนะลงเล่นในฐานะตัวจริงและตัวสำรองสลับกันบ่อยครั้ง[69] อย่างไรก็ตาม เขามีส่วยช่วยให้สโมสรชนะเลิศออสเตรียนคัพและชนะเลิศลีกเป็นสมัยที่สามติดต่อกัน[70] จบฤดูกาล 2016–17 มินามิโนะลงเล่น 31 นัดและยิง 14 ประตูจากทุกรายการ โดยเขามีโอกาสได้เริ่มเล่นในตำแหน่งกองหน้าด้วย[71]
มินามิโนะเริ่มต้นฤดูกาล 2017–18 ได้อย่างดีเมื่อเขาทำสามประตูในสามรายการ โดยยิงประตูใส่ไฮเบอร์เนียนส์, Deutschlandsberger SC และ Wolfsberger AC[72] อย่างไรก็ตาม ในนัดที่เร็ดบุลซัลทซ์บวร์คเอาชนะ St. Pölten 5–1 ในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 2017 มินามิโนะได้รับบาดเจ็บที่เอ็น ทำให้เขาถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 40 และต้องพลาดการลงเล่นถึงหกสัปดาห์[73] วันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 2017 เขากลับมาลงเล่นในฐานะตัวสำรอง ช่วยให้เอาชนะลัสค์ 3–1[74] และทำประตูแรกในรอบสามเดือน ช่วยให้เอาชนะ St. Pölten 3–1 เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 2017 สามสัปดาห์ถัดมา วันที่ 29 พฤศจิกายน เขาทำประตูช่วยให้เอาชนะ SV Mattersburg 2–0[75] ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ มินามิโนะขยายสัญญากับสโมสรจนถึงปี 2021[76] เขาทำเพิ่มอีกสามประตูในลีก ซึ่งรวมถึงประตูที่เขายิงใส่เอาส์ทรีอาวีนเมื่อวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 2018[77] มินามิโนะมีส่วนช่วยให้สโมสรชนะเลิศลีกเป็นสมัยที่ 4 ติดต่อกัน[78] นอกจากนี้ เขายังช่วยให้สโมสรทำผลงานในระดับทวีปได้เป็นอย่างดี โดยเขาพาซัลทซ์บวร์คจบอันดับที่หนึ่งของกลุ่มในยูโรปาลีก ก่อนที่จะเอาชนะเรอัลโซซิเอดัด โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ และลาซีโอ (ซึ่งเขาทำสองประตูในรอบแพ้คัดออกที่พบกับเรอัลโซซิเอดัดและลาซีโอ)[79] ทำให้สโมสรเข้าถึงรอบรองชนะเลิศยูฟ่ายูโรปาลีกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์[80] วันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 2018 เขาลงเล่นในยูฟ่ายูโรปาลีก รอบรองชนะเลิศ ช่วยให้ซัลทซ์บวร์คเปิดบ้านเอาชนะออแล็งปิกเดอมาร์แซย์ อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องตกรอบเนื่องจากแพ้ผลประตูรวม 3–2[81] จบฤดูกาล 2017–18 มินามิโนะลงเล่น 44 นัดและทำ 11 ประตูจากทุกรายการ
มินามิโนะพลาดการลงเล่นในช่วงต้นฤดูกาล 2018–19 เนื่องจากแฮมสตริงได้รับบาดเจ็บ เขาลงเล่นนัดแรกของฤดูกาลในฐานะตัวสำรอง ช่วยให้เอาชนะลัสค์ 3–1[82] ต่อมาในวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 2018 เขาทำประตูแรกของฤดูกาล ซึ่งเป็นประตูชัยช่วยให้ทีมเอาชนะ KF Shkëndija 1–0 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบคัดเลือก และพาทีมผ่านเข้าสู่รอบถัดไปได้สำเร็จ[83] มินามิโนะทำเพิ่มอีกสามประตูก่อนจบเดือนกันยายน[84] วันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2018 เขาทำประตูช่วยให้ทีมเอาชนะเซลติก 3–1 ในรอบแบ่งกลุ่มของยูฟ่ายูโรปาลีก[85] ต่อมาในวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 2018 เขาทำแฮตทริกในช่วงครึ่งแรก ช่วยให้ทีมเอาชนะโรเซนเบิร์ก 5–2 ในรอบแบ่งกลุ่มของยูฟ่ายูโรปาลีก[86] หลังจบนัดนั้น เขามีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์ของยูโรปาลีก[87] สามวันถัดมา วันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 2018 เขาทำประตูขึ้นนำช่วยให้เอาชนะเอาส์ทรีอาวีน 2–0[88] มินามิโนะทำเพิ่มอีก 11 ประตูก่อนจบปี 2018[89] สามเดือนถัดมา เขาทำประตูช่วยให้ทีมเอาชนะเอาส์ทรีอาวีน 5–1 เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 2019[90] เดือนถัดมา มินามิโนะทำเพิ่มอีกสองประตู หนึ่งในนั้นเป็นประตูที่ยิงใส่กราเซอร์ ซึ่งช่วยให้เร็ดบุลซัลทซ์บวร์คเข้าชิงชนะเลิศออสเตรียนคัพ[91] เขาช่วยให้สโมสรชนะเลิศลีกเป็นสมัยที่ห้าติดต่อกัน[92] ส่วนในนัดชิงชนะเลิศออสเตรียนคัพที่ทีมเอาชนะราปิดวีน 2–0 เขามีชื่อเป็นเพียงตัวสำรอง[93] จบฤดูกาล 2018–19 มินามิโนะลงเล่น 45 นัดและทำ 14 ประตูจากทุกรายการ โดยเขาสามารถลงเล่นได้หลายตำแหน่งในแนวรุก[71][94]
มินามิโนะทำสี่ประตูในช่วงต้นฤดูกาล 2019–20[95] ต่อมาในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม นัดที่พบกับเคงก์ เขามีบทบาทสำคัญด้วยการทำสองประตูช่วยให้ทีมเอาชนะไปได้ 6–2[96] สองสัปดาห์ถัดมา มินามิโนะทำสองประตูในออสเตรียนคัพและยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกนัดที่พบกับราปิดวีนและลิเวอร์พูลตามลำดับ[97] เขาทำเพิ่มอีกสองประตูในสองนัดระหว่างวันที่ 23 ถึง 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 2019 นัดที่พบกับ St. Pölten และเคงก์[98] มินามิโนะทำประตูที่ 9 ของฤดูกาล ช่วยให้ทีมเอาชนะ WSG Swarovski Tirol 5–1 เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 2019 นัดนั้นเป็นนัดสุดท้ายที่เขาได้ลงเล่นให้กับสโมสร[99]
ในเดือนธันวาคม มินามิโนะ ได้ตกลงร่วมทีมลิเวอร์พูลในช่วงเปิดตลาดหน้าหนาววันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2020[100]
ในวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 2020 เอฟเอคัพ รอบสาม มินามิโนะลงสนามเป็นตัวจริงนัดแรกในสีเสื้อของลิเวอร์พูล ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน คู่ปรับร่วมเมือง 1-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 4 เอฟเอคัพ ได้สำเร็จ[101] จบฤดูกาล มินามิโนะช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบ 30 ปีได้สำเร็จ[102]
ในวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 2020 เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 2020 ลิเวอร์พูล เจอกับ อาร์เซนอล ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ มินามิโนะทำประตูแรกในสีเสื้อของลิเวอร์พูล โดยมินามิโนะทำประตูตีเสมอ 1-1 ในช่วง 90 นาที ทำให้ต้องตัดสินในการยิงจุดโทษ สุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็เป็นฝ่ายแพ้ในการยิงจุดโทษ 4-5 ทำให้ ลิเวอร์พูลพลาดโอกาสคว้าแชมป์คอมมิวนิตีชีลด์ อย่างน่าเสียดาย ต่อมา ในวันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 2020 ฟุตบอลลีกคัพ รอบ 3 มินามิโนะยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ลิงคอล์นซิตี 7-2 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 4 ฟุตบอลลีกคัพ ได้สำเร็จ[103] ต่อมา ในวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 2020 มินามิโนะทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2020–21 นัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ คริสตัลพาเลซ ที่เซลเฮิสต์พาร์ก 7-0[104]
ในวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 2021 ฟุตบอลลีกคัพ รอบ 3 มินามิโนะยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ นอริชซิตี ที่แคร์โรว์โรด 3-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 4 ฟุตบอลลีกคัพ ได้สำเร็จ[105] ต่อมา ในวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 2021 ฟุตบอลลีกคัพ รอบ 4 มินามิโนะยิงประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เพรสตันนอร์ทเอนด์ 2-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 5 ฟุตบอลลีกคัพ ได้สำเร็จ[106] ต่อมา ในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 2021 มินามิโนะทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2021–22 นัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ อาร์เซนอล 4-0[107] ต่อมา ในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2021 ฟุตบอลลีกคัพ รอบ 5 มินามิโนะยิงประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับ เลสเตอร์ซิตี 3-3 สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะในการดวลจุดโทษ 5-4 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลลีกคัพ ได้สำเร็จ[108]
ในวันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 2022 มินามิโนะทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เบรนต์ฟอร์ด 3-0[109] ต่อมา ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 เอฟเอคัพ รอบ 4 มินามิโนะยิงประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี 3-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 5 เอฟเอคัพ ได้สำเร็จ[110] ต่อมา ในวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 2022 เอฟเอคัพ รอบ 5 มินามิโนะยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ นอริชซิตี 2-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเอฟเอคัพ ได้สำเร็จ[111] ต่อมา ในวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 2022 มินามิโนะทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะทีมเก่าของเขา เซาแทมป์ตัน ที่เซนต์แมรีส์สเตเดียม 2-1[112]
ก่อนหน้านี้ มินามิโนะเคยเป็นตัวแทนของทีมชาติญี่ปุ่นรุ่นอายุไม่เกิน 15 และ 16 ปี[113] โดยขณะที่เล่นให้กับทีมชาติรุ่นอายุไม่เกิน 16 ปีนั้น เขาได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลเอเชียเยาวชนอายุไม่เกิน 16 ปี[114] เขาช่วยให้ทีมผ่านเข้าสู่รอบแพ้คัดออก โดยทำสามประตูในรอบแบ่งกลุ่ม หนึ่งในนั้นคือการยิงใส่ทีมชาติเวียดนาม[115] และในรอบก่อนรองชนะเลิศ เขาทำประตูช่วยให้ญี่ปุ่นเอาชนะอิหร่าน 3–1[116] ญี่ปุ่นตกรอบด้วยการพ่ายแพ้ต่อเกาหลีเหนือ 2–1 ในรอบรองชนะเลิศ โดยมินามิโนะทำประตูเดียวให้กับญี่ปุ่นในนัดนั้น[117] อย่างไรก็ตาม เขาเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในรายการนั้น เทียบเท่ากับติมูร์ คาร์คีมอฟ[118]
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2011 มินามิโนะถูกเลือกติดทีมชาติรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปีในการแข่งขันฟุตบอลโลกเยาวชนอายุไม่เกิน 17 ปี[119] เขาได้ลงเล่นสี่นัดและทำประตูในนัดที่พบกับนิวซีแลนด์[120]
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2014 มินามิโนะถูกเรียกติดทีมชาติรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปีในการแข่งขันฟุตบอลเอเชียเยาวชนอายุไม่เกิน 19 ปี ทำให้เขาพลาดการลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของเซเรซโซทั้งหมดสามนัด[121] เขาทำประตูแรกในนัดแรกของรอบแบ่งกลุ่มที่พ่ายแพ้ต่อจีน 2–1[122] ต่อมาเขาทำสองประตูในนัดที่สามของรอบแบ่งกลุ่ม ช่วยให้ญี่ปุ่นเอาชนะเกาหลีใต้ 2–1 และผ่านเข้าสู่รอบแพ้คัดออกได้สำเร็จ[123] ในรอบก่อนรองชนะเลิศที่พบกับเกาหลีเหนือ มินามิโนะทำประตูตามตีเสมอให้กับญี่ปุ่นจากลูกโทษ ทำให้ต้องตัดสินด้วยการยิงลูกโทษหลังจากเสมอกันในช่วงต่อเวลาพิเศษ เขายิงลูกโทษพลาด ทำให้ญี่ปุ่นตกรอบนี้ไป[124] ตลอดทั้งรายการ มินามิโนะทำประตูได้ทั้งสิ้น 4 ลูก[125]
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2016 มินามิโนะถูกเรียกติดทีมชาติรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีในการแข่งขันฟุตบอลเอเชียเยาวชนอายุไม่เกิน 23 ปีที่กาตาร์[126] เขาลงเล่นครบทุกนัดในรายการนี้และช่วยให้ญี่ปุ่นเข้าชิงชนะเลิศหลังจากที่เอาชนะอิรักในรอบรองชนะเลิศ 2–1[127] อย่างไรก็ตาม มินามิโนะไม่ได้ลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศเนื่องจากถูกเร็ดบุลซัลทซ์บวร์คเรียกตัวกลับ สุดท้าย ญี่ปุ่นชนะเลิศรายการนี้เป็นสมัยแรกหลังจากที่เอาชนะเกาหลีใต้ 3–2[128]
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2016 มินามิโนะมีชื่อติดทีมชาติรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2016[129] เขาได้ลงเล่นครบ 3 นัดในรอบแบ่งกลุ่ม และทำประตูในนัดที่พบกับไนจีเรีย[130]
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2014 มินามิโนะมีชื่อติดทีมชาติญี่ปุ่นชุดใหญ่ในชุดเบื้องต้น 30 คนสำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล[131] อย่างไรก็ตาม เขาถูกคัดชื่อออก[132]
มินามิโนะลงเล่นนัดแรกให้กับทีมชาติญี่ปุ่นในนัดกระชับมิตรที่พบกับอิหร่านเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ค.ศ. 2015 โดยลงเล่นเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 87 ช่วยให้ทีมเสมอ 1–1[133] หนึ่งเดือนถัดมา วันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 เขาลงเล่นนัดที่สองให้กับญี่ปุ่นในฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โดยลงเล่นเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 86 ช่วยให้เอาชนะกัมพูชา 2–0[134] ใน ค.ศ. 2018 เขาถูกเรียกติดทีมชาติชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในรอบสามปี[135] เขาทำประตูแรกในนามทีมชาติช่วยให้เอาชนะคอสตาริกา 3–0 เมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2018[136] ต่อมา เขาทำประตูในนัดที่พบกับปานามาและอุรุกวัย[137]
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2018 มินามิโนะมีชื่อเป็น 1 ใน 23 ผู้เล่นทีมชาติญี่ปุ่นชุดลุยศึกเอเชียนคัพ 2019[138] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2019 เขาลงเล่นนัดแรกในเอเชียนคัพ โดยทำแอสซิสต์ในการพบกับเติร์กเมนิสถาน[139] ในรอบรองชนะเลิศ มินามิโนะทำสองแอสซิสต์และมีส่วนช่วยให้ทีมชนะการยิงลูกโทษจนเข้าชิงชนะเลิศได้สำเร็จ[140] เขาทำประตูแรกในเอเชียนคัพในนัดชิงชนะเลิศที่พ่ายแพ่ต่อกาตาร์ 3–1[141] จบรายการ มินามิโนะได้ลงเล่นทั้งหมด 6 นัด[142] เขาทำเพิ่มอีกห้าประตูจากการลงเล่นในช่วงที่เหลือของ ค.ศ. 2019[143]
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2013 มินามิโนะเซ็นสัญญากับอาดิดาส[144] ต่อมาในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 2014 มินามิโนะทำลายสถิติโลกกินเนสส์ด้วยการวิ่งแปะมือกับผู้คนเป็นจำนวนครั้งมากที่สุดในโลกที่ 187 ครั้งขณะที่วิ่งในถนนคนเดินโคมางาวะ[145] นอกจากภาษาญี่ปุ่นแล้ว เขายังสามารถพูดภาษาเยอรมันได้ตั้งแต่ตอนที่ย้ายไปเร็ดบุลซัลทซ์บวร์ค[146][71] มินามิโนะชื่นชอบกลุ่มไอดอลญี่ปุ่น เอเคบีโฟร์ตีเอต[147][148]
สโมสร | ฤดูกาล | ลีก | ถ้วย[lower-alpha 1] | ลีกคัพ[lower-alpha 2] | ทวีป | อื่น ๆ | รวม | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ระดับ | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ||
เซเรซโซ โอซากะ | 2012 | เจลีก 1 | 3 | 0 | 1 | 0 | — | — | — | 4 | 0 | |||
2013 | เจลีก 1 | 29 | 5 | 1 | 0 | 8 | 3 | — | — | 38 | 8 | |||
2014 | เจลีก 1 | 30 | 2 | 1 | 1 | 2 | 2 | 7[lower-alpha 3] | 2 | — | 40 | 7 | ||
รวม | 62 | 7 | 3 | 1 | 10 | 5 | 7 | 2 | — | 82 | 15 | |||
เรดบูลล์ซัลซ์บวร์ก | 2014–15 | อ. บุนเดสลีกา | 14 | 3 | 2 | 0 | — | 1[lower-alpha 4] | 0 | — | 17 | 3 | ||
2015–16 | อ. บุนเดสลีกา | 32 | 10 | 6 | 2 | — | 2[lower-alpha 4] | 1 | — | 40 | 13 | |||
2016–17 | อ. บุนเดสลีกา | 21 | 11 | 5 | 3 | — | 5[lower-alpha 5] | 0 | — | 31 | 14 | |||
2017–18 | อ. บุนเดสลีกา | 28 | 7 | 4 | 1 | — | 12[lower-alpha 5] | 3 | — | 34 | 11 | |||
2018–19 | อ. บุนเดสลีกา | 27 | 6 | 5 | 3 | — | 13[lower-alpha 5] | 5 | — | 45 | 14 | |||
2019–20 | อ. บุนเดสลีกา | 14 | 5 | 2 | 2 | — | 6[lower-alpha 6] | 2 | — | 22 | 9 | |||
รวม | 136 | 42 | 24 | 11 | — | 39 | 11 | — | 189 | 64 | ||||
ลิเวอร์พูล | 2019–20[150] | พรีเมียร์ลีก | 10 | 0 | 3 | 0 | — | 1[lower-alpha 6] | 0 | — | 14 | 0 | ||
2020–21[151] | พรีเมียร์ลีก | 9 | 1 | 1 | 0 | 2 | 2 | 4[lower-alpha 6] | 0 | 1[lower-alpha 7] | 1 | 17 | 4 | |
2021–22[152] | พรีเมียร์ลีก | 11 | 3 | 4 | 3 | 5 | 4 | 4[lower-alpha 6] | 0 | 0 | 0 | 24 | 10 | |
รวม | 30 | 4 | 8 | 3 | 7 | 6 | 9 | 0 | 1 | 1 | 55 | 14 | ||
Southampton (loan) | 2020–21[151] | พรีเมียร์ลีก | 10 | 2 | 0 | 0 | 0 | 0 | — | — | 10 | 2 | ||
รวมทั้งหมด | 238 | 55 | 35 | 15 | 17 | 11 | 55 | 13 | 1 | 1 | 336 | 95 |
ญี่ปุ่น | ||
---|---|---|
ปี | ลงเล่น | ประตู |
2015 | 2 | 0 |
2016 | 0 | 0 |
2017 | 0 | 0 |
2018 | 5 | 4 |
2019 | 15 | 7 |
2020 | 4 | 1 |
2021 | 9 | 4 |
2022 | 4 | 1 |
ทั้งหมด | 39 | 17 |
ลำดับ | วันที่ | สนาม | คู่แข่ง | ประตู | ผล | รายการแข่งขัน |
---|---|---|---|---|---|---|
1. | 11 กันยายน 2018 | Panasonic Stadium Suita, Suita, Japan | คอสตาริกา | 2–0 | 3–0 | 2018 Kirin Challenge Cup |
2. | 12 ตุลาคม 2018 | Denka Big Swan Stadium, Niigata, Japan | ปานามา | 1–0 | 3–0 | |
3. | 16 ตุลาคม 2018 | Saitama Stadium 2002, Saitama, Japan | อุรุกวัย | 1–0 | 4–3 | |
4. | 4–2 | |||||
5. | 1 กุมภาพันธ์ 2019 | Zayed Sports City Stadium, Abu Dhabi, United Arab Emirates | กาตาร์ | 1–2 | 1–3 | เอเชียนคัพ 2019 รอบชิงชนะเลิศ |
6. | 5 กันยายน 2019 | Kashima Soccer Stadium, Kashima, Japan | ปารากวัย | 2–0 | 2–0 | 2019 Kirin Challenge Cup |
7. | 10 กันยายน 2019 | Thuwunna Stadium, Yangon, Myanmar | พม่า | 2–0 | 2–0 | ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก |
8. | 10 ตุลาคม 2019 | Saitama Stadium 2002, Saitama, Japan | มองโกเลีย | 1–0 | 6–0 | |
9. | 15 ตุลาคม 2019 | Central Republican Stadium, Dushanbe, Tajikistan | ทาจิกิสถาน | 1–0 | 3–0 | |
10. | 2–0 | |||||
11. | 14 พฤศจิกายน 2019 | Dolen Omurzakov Stadium, Bishkek, Kyrgyzstan | คีร์กีซสถาน | 1–0 | 2–0 | |
12 | 13 November 2020 | Merkur-Arena, Graz, Austria | ปานามา | 1–0 | 1–0 | Friendly |
13 | 30 March 2021 | Fukuda Denshi Arena, Chiba, Japan | มองโกเลีย | 1–0 | 14–0 | 2022 FIFA World Cup qualification |
14 | 28 May 2021 | พม่า | 1–0 | 10–0 | ||
15 | 7–0 | |||||
16 | 7 June 2021 | Panasonic Stadium Suita, Suita, Japan | ทาจิกิสถาน | 2–1 | 4–1 | |
17 | 1 February 2022 | Saitama Stadium 2002, Saitama, Japan | ซาอุดีอาระเบีย | 1–0 | 2–0 | 2022 FIFA World Cup qualification |
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.