ประเทศเบลเยียม
ราชอาณาจักรในยุโรปตะวันตก / From Wikipedia, the free encyclopedia
เบลเยียม (อังกฤษ: Belgium) หรือชื่อทางการว่า ราชอาณาจักรเบลเยียม (อังกฤษ: Kingdom of Belgium) เป็นประเทศในยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือ มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี ลักเซมเบิร์ก ฝรั่งเศส และทะเลเหนือ มีพื้นที่ 30,689 ตารางกิโลเมตร (11,849 ตารางไมล์) และมีประชากรราว 11.5 ล้านคน[7] ทำให้เป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดอันดับที่ 22 ของโลก และเป็นอันดับที่ 6 ของยุโรป มีเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือกรุงบรัสเซลส์ ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของสหภาพยุโรป และมีเมืองสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ แอนต์เวิร์ป, เกนต์, ชาร์เลอรัว, ลีแยฌ, บรูช, นามูร์ และ เลอเฟิน
ราชอาณาจักรเบลเยียม Koninkrijk België (ดัตช์) Royaume de Belgique (ฝรั่งเศส) Königreich Belgien (เยอรมัน) | |
---|---|
เมืองหลวง และเมืองใหญ่สุด | บรัสเซลส์ 50°51′N 4°21′E |
ภาษาราชการ | ดัตช์ ฝรั่งเศส และเยอรมัน |
การปกครอง | สหพันธ์ ระบบรัฐสภา ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ[1] |
สมเด็จพระราชาธิบดีฟีลิป | |
อาเล็กซันเดอร์ เดอ โกร | |
สภานิติบัญญัติ | รัฐสภากลาง |
• สภาสูง | วุฒิสภา |
• สภาล่าง | สภาผู้แทนราษฎร |
ประกาศเอกราช จากเนเธอร์แลนด์ | |
• ประกาศ | 4 ตุลาคม พ.ศ. 2373 |
• รับรอง | 19 เมษายน พ.ศ. 2382 |
พื้นที่ | |
• รวม | 30,689[2] ตารางกิโลเมตร (11,849 ตารางไมล์) (136) |
6.4 | |
ประชากร | |
• 2566 ประมาณ | 11,697,557 คน[3] (อันดับที่ 82) |
376 ต่อตารางกิโลเมตร (973.8 ต่อตารางไมล์) (อันดับที่ 36) | |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | 2566 (ประมาณ) |
• รวม | $575.808 พันล้าน[4] (24) |
• ต่อหัว | $65,813[4] (อันดับที่ 19) |
จีดีพี (ราคาตลาด) | 2566 (ประมาณ) |
• รวม | $503.416 พันล้าน[4] (อันดับที่ 26) |
• ต่อหัว | $43,814[4] (อันดับที่ 16) |
จีนี (2566) | 24.9[5] ต่ำ |
เอชดีไอ (2562) | 0.931[6] สูงมาก · อันดับที่ 14 |
สกุลเงิน | ยูโร (€) 1 (EUR) |
เขตเวลา | UTC+1 (CET) |
UTC+2 (CEST) | |
รหัสโทรศัพท์ | 32 |
โดเมนบนสุด | .be2 |
เบลเยียมมีระบอบการปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญด้วยระบบรัฐสภา โดยแบ่งออกเป็นสามเขตการปกครองตนเองที่สำคัญ ได้แก่ แคว้นเฟลมิช (แฟลนเดอส์) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือซึ่งประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาดัตช์, วอลลูน (วอลโลเนีย) ทางทิศใต้ซึ่งประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาฝรั่งเศส และแคว้นนครหลวงบรัสเซลส์ ซึ่งถือเป็นภูมิภาคที่เล็กที่สุดและมีความหนาแน่นประชากรสูงที่สุด รวมทั้งเป็นภูมิภาคที่ร่ำรวยที่สุดในแง่ของอัตราจีดีพีเฉลี่ย เบลเยียมเป็นที่ตั้งของประชาคมผู้ใช้ภาษาหลักสองภาษา ได้แก่ ประชาคมเฟลมิชที่พูดภาษาดัตช์ซึ่งมีประชากรร้อยละ 60 และประชาคมฝรั่งเศสซึ่งมีประมาณร้อยละ 40 นอกจากนี้ยังมีประชาคมภาษาเยอรมันกระจายตัวอยู่ในภูมิภาคตะวันออก ในขณะที่แคว้นบรัสเซลส์ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงใช้ทั้งภาษาฝรั่งเศสและภาษาดัตซ์ แม้ภาษาฝรั่งเศสจะมีบทบาทเป็นภาษาหลัก[8] ความขัดแย้งทางภาษาและวัฒนธรรมยังสะท้อนให้เห็นจากระบอบการปกครองที่ซับซ้อน จากการมีรัฐบาลย่อยหลายระดับซึ่งมีอำนาจหน้าที่แตกต่างกันตามรัฐธรรมนูญ[9]
คำว่าเบลเยียม (Belgium ในภาษาอังกฤษ België และ Belgique ในภาษาดัตช์และฝรั่งเศส) มีที่มาจาก Gallia Belgica ซึ่งเป็นจังหวัดในยุคโรมัน มีกลุ่มชาว Belgae อยู่อาศัย และยังมีรากศัพท์มาจากภาษาละติน โดยมีที่มาจากเหตุการณ์ สงครามกอล ซึ่งนำโดย จูเลียส ซีซาร์ เพื่อใช้เรียกพื้นที่ในละแวกนี้ในช่วง ค.ศ. 55[10] แผ่นดินของเบลเยียมที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันก่อตั้งขึ้นหลังการปฏิวัติเบลเยียม ใน ค.ศ. 1830 ภายหลังได้รับเอกราชจากเนเธอร์แลนด์ตั้งแต่ ค.ศ. 1815 เบลเยียมจัดอยู่ในกลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำเช่นเดียวกับเนเํธอร์แลนด์และลักเซมเบิร์ก เนื่องจากที่ตั้งของประเทศอยู่ในพื้นที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ซึ่งในอดีตกาล บริเวณนี้เป็นภูมิภาคที่มีขนาดใหญ่เนื่องจากรวมพื้นที่ทางตอนเหนือของฝรั่งเศสเอาไว้ด้วย ตั้งแต่ยุคกลาง จุดศูนย์กลางในบริเวณนี้ตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำสายสำคัญหลายสายทำให้ประเทศเบลเยียมในยุคโบราณมีความเจริญรุ่งเรือง และสภาพที่ตั้งยังเป็นประโยชน์ในด้านการค้า และการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศเพื่อนบ้าน พื้นที่ของเบลเยียมยังถือเป็นสมรภูมิหลักของชาติต่าง ๆ ในการทำสงครามของยุโรป และได้รับสมญานามว่า "สนามรบแห่งยุโรป"[11] โดยมีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 20 จากเหตุการณ์สงครามโลกทั้งสองครั้ง
เบลเยียมเข้าร่วมในการปฏิวัติอุตสาหกรรม[12][13] และในช่วงศตวรรษที่ 20 ได้ครอบครองอาณานิคมจำนวนมากในทวีปแอฟริกา[14] ระหว่าง ค.ศ. 1888 ถึง ค.ศ. 1908 สมเด็จพระเจ้าเลออปอลที่ 2 ได้ใช้กำลังทหารเข้ายึดครองรัฐอิสระคองโก (ปัจจุบันคือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก) โดยมีจุดประสงค์เพื่อครอบครองทรัพยากรสำคัญได้แก่ งาช้าง และ ยางพารา และได้ปกครองผู้คนด้วยความทารุณ ทรงใช้กำลังทหารรับจ้างเพื่อประโยชน์ส่วนพระองค์ สังหารแรงงานทาสไปมากมาย และนำไปสู่การเสียชีวิตครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ประมาณการจำนวนผู้เสียชีวิตไม่เป็นที่แน่ชัด แต่เป็นที่คาดการณ์กันว่า ตลอดการปกครองของพระองค์ ได้คร่าชีวิตผู้คนนับล้านคน[15] ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 เบลเยียมต้องเผชิญความขัดแย้งที่สำคัญระหว่างประชากรที่พูดภาษาดัตซ์ และกลุ่มที่พูดภาษาฝรั่งเศส ก่อให้เกิดความแตกแยกทางภาษาและวัฒนธรรม มูลเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งคือความไม่เท่าเทียมกันในการพัฒนาเศรษฐกิจของแคว้นเฟลมิชและวอลลูน ความขัดแย้งก่อให้เกิดการปฏิรูปสำคัญหลายครั้ง นำไปสู่การกลายสภาพจากรัฐเดี่ยวเป็นระบอบสหพันธรัฐในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1970–1993 กระนั้น ความขัดแย้งดังกล่าวยังคงอยู่โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ภาษาเฟลมิช การจัดตั้งรัฐบาลผสมซึ่งใช้เวลากว่า 18 เดือนนับจากการเลือกตั้งในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2010 ถือเป็นสถิติโลก อัตราการว่างงานในแคว้นวอลลูนมากเป็นสองเท่าของเฟลมิชซึ่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง[16]
เบลเยียมเป็นหนึ่งในหกประเทศผู้ก่อตั้งสหภาพยุโรป และกรุงบรัสเซลส์ถูกใช้เป็นสถานที่จัดการประชุมสำคัญระดับทวีปที่สำคัญหลายครั้ง เช่น การประชุมของคณะกรรมาธิการยุโรป สภาสหภาพยุโรป และสภายุโรป รวมทั้งเป็นหนึ่งในสองเมืองหลักที่ใช้สำหรับการประชุมรัฐสภายุโรป (อีกแห่งคือสตราสบูร์ก) เบลเยียมยังเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของยูโรโซน เนโท องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ และ องค์การการค้าโลก และเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพเบเนลักซ์ไตรภาคีและพื้นที่เชงเกน กรุงบรัสเซลส์ยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ขององค์กรระหว่างประเทศที่สำคัญ เช่น เนโท เบลเยียมเป็นประเทศพัฒนาแล้ว และมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจสูง โดยประชากรมีรายได้ที่มั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีจากระบบสวัสดิการที่ทันสมัย[17] เช่น การสาธารณสุข[18] การศึกษา สาธารณูปโภค และมีดัชนีการพัฒนามนุษย์ในระดับสูง[19] รวมทั้งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความปลอดภัยมากที่สุด โดยมีอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำ[20][21]