โรคจุดภาพชัดของจอตาเสื่อม
From Wikipedia, the free encyclopedia
โรคจุดภาพชัดของจอตาเสื่อม[3] (อังกฤษ: macular degeneration) หรือ โรคจุดภาพชัดของจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ[3] (อังกฤษ: age-related macular degeneration ตัวย่อ AMD, ARMD) เป็นโรคที่ทำให้มองไม่ชัดหรือมองไม่เห็นที่กลางลานสายตา[1] เริ่มแรกสุดบ่อยครั้งจะไม่มีอาการอะไร ๆ[1] แต่เมื่อเวลาผ่านไป บางคนจะมองเห็นแย่ลงเรื่อย ๆ ที่ตาข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง[1] แม้จะไม่ทำให้ตาบอดโดยสิ้นเชิง การมองไม่เห็นในส่วนกลางก็จะทำให้กิจกรรมในชีวิตต่าง ๆ ทำได้ยากรวมทั้งจำหน้าคน ขับรถ อ่านหนังสือเป็นต้น[1] การเห็นภาพหลอนอาจเกิดขึ้นโดยไม่ใช่เป็นส่วนของโรคจิต[1]
โรคจุดภาพชัดของจอตาเสื่อม (Macular degeneration) | |
---|---|
ชื่ออื่น | จุดภาพชัดเสื่อมเนื่องกับอายุ (Age-related macular degeneration) |
ภาพจอตาซึ่งแสดงจุดภาพชัดเสื่อมเนื่องกับอายุระยะกลาง | |
สาขาวิชา | จักษุวิทยา |
อาการ | มองไม่ชัดหรือมองไม่เห็นที่กลางลานสายตา[1] |
ภาวะแทรกซ้อน | การเห็นภาพหลอน[1] |
การตั้งต้น | ผู้มีอายุ[1] |
ประเภท | ระยะต้น ระยะกลาง ระยะปลาย[1] |
สาเหตุ | ความเสียหายที่จุดภาพชัด (macula) ในจอตา[1] |
ปัจจัยเสี่ยง | กรรมพันธุ์ การสูบบุหรี่[1] |
วิธีวินิจฉัย | การตรวจตา[1] |
การป้องกัน | ออกกำลังกาย ทานอาหารให้ถูกสุขภาพ ไม่สูบบุหรี่[1] |
การรักษา | ฉีดยา Anti-VEGF เข้าในตา, ยิงเลเซอร์ (laser coagulation), photodynamic therapy[1] |
ความชุก | 6.5 ล้านคน (2015)[2] |
จุดภาพชัดเสื่อมปกติจะเกิดกับคนสูงอายุ[1] ปัจจัยทางพันธุกรรมและการสูบบุหรี่ก็มีผลด้วย[1] เป็นอาการเนื่องกับความเสียหายต่อจุดภาพชัด (macula) ที่จอตา[1] การวินิจฉัยทำได้ด้วยการตรวจตา[1] ความรุนแรงของอาการจะแบ่งออกเป็นระยะต้น ระยะกลาง และระยะปลาย[1] ระยะปลายยังแบ่งออกเป็นแบบแห้ง (dry) และแบบเปียก (wet) โดยคนไข้ 90% จะเป็นแบบแห้ง[1][4]
การป้องกันรวมทั้งการออกกำลังกาย ทานอาหารให้ถูกสุขภาพ และไม่สูบบุหรี่[1] วิตามินต่อต้านอนุมูลอิสระและแร่ธาตุดูเหมือนจะไม่ช่วยป้องกัน[5] ไม่มีวิธีแก้หรือรักษาการเห็นที่สูญไปแล้ว[1] ในรูปแบบเปียก การฉีดยาแบบ anti-VEGF (Anti-vascular endothelial growth factor) เข้าที่ตา หรือการรักษาอื่น ๆ ที่สามัญน้อยกว่ารวมทั้งการยิงเลเซอร์ (laser coagulation) หรือ photodynamic therapy อาจช่วยให้ตาเสื่อมช้าลง[1] อาหารเสริมรวมทั้งวิตามินและแร่ธาตุสำหรับคนไข้ที่มีโรคอาจช่วยชะลอความเสื่อมด้วย[6]
ในปี 2015 โรคนี้มีผลต่อคนไข้ 6.2 ล้านคนทั่วโลก[2] ในปี 2013 มันเป็นเหตุให้ตาบอดเป็นอันดับสี่หลังต้อกระจก การเกิดก่อนกำหนด และต้อหิน[7] มันเกิดบ่อยที่สุดในผู้มีอายุเกิน 50 ปีในสหรัฐอเมริกา และเป็นเหตุเสียการเห็นซึ่งสามัญที่สุดในคนกลุ่มอายุนี้[1][4] คนประมาณ 0.4% ระหว่างอายุ 50-60 ปีมีโรคนี้ เทียบกับ 0.7% ของคนอายุ 60-70 ปี, 2.3% ของคนอายุ 70-80 ปี, และ 12% ของคนอายุเกิน 80 ปี[4]