ต้อกระจก
From Wikipedia, the free encyclopedia
ต้อกระจกเป็นโรคของตาอย่างหนึ่ง คือภาวะที่เกิดความขุ่นขึ้นที่เลนส์ตาหรือปลอกหุ้มเลนส์ตาซึ่งปกติจะมีความใส เมื่อขุ่นแล้วจะทำให้แสงผ่านได้แย่กว่าปกติ มีผลกระทบต่อการมองเห็น ต้อกระจกมักจะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ และอาจเกิดขึ้นในตาเพียงข้างเดียว หรือสองข้าง[1] โดยอาการอาจะประกอบไปด้วยสีภาพที่มองเห็นจางลง ภาพมัวขุ่นหรือมีภาพซ้อน มีปัญหากับแสงจ้า และมองเห็นในที่มืดได้ไม่ดี[1] ซึ่งอาการเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดปัญหาในการขับขี่ การอ่าน หรือการจดจำใบหน้า[7] การมองเห็นที่ไม่ดีที่เกิดจากต้อกระจกอาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงในการล้มเพิ่มขึ้น และความซึมเศร้า[2] ต้อกระจกเป็นสาเหตุของอาการตาบอดร้อยละ 50 และร้อยละ 33 เป็นสาเหตุของความบกพร่องทางสายตาของประชากรมนุษย์ทั่วโลก[3][8]
ต้อกระจก (Cataract) | |
---|---|
ภาพขยายของต้อกระจกในดวงตามนุษย์ ที่เห็นได้จากการตรวจตาด้วยแสงจากโคมร่องแสงโดยการใช้การส่องสว่างแบบกระจาย | |
สาขาวิชา | จักษุวิทยา, ทัศนมาตรศาสตร์ |
อาการ | Faded colors, blurry vision, halos around light, trouble with bright lights, trouble seeing at night[1] |
ภาวะแทรกซ้อน | การพลัดตกหกล้ม, ซึมเศร้า, ตาบอด[2][3] |
การตั้งต้น | ค่อยเป็นค่อยไป[1] |
สาเหตุ | ความชรา, การบาดเจ็บ, การรับรังสี, ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดตา, พันธุกรรม[1][4][5] |
ปัจจัยเสี่ยง | โรคเบาหวาน, การสูบบุหรี่, การได้รับแสงแดดต่อเนื่องยาวนาน, การดื่มสุรา[1] |
วิธีวินิจฉัย | Eye examination[1] |
การป้องกัน | Sunglasses, proper diet, not smoking[1] |
การรักษา | Glasses, cataract surgery[1] |
ความชุก | 60 ล้าน (2015)[6] |
ต้อกระจกสว่นมากนั้นมีเหตุมาจากอายุที่มากขึ้น แต่ยังอาจเกิดขึ้นได้จากการบาดเจ็บหรือการสัมผัสรับกัมมันตภาพรังสี ยังสามารถมีมาโดยกำเนิด หรือเกิดขึ้นหลังการผ่าตัดตา[1][4] โดยต้อกระจกนั้นมีปัจจัยเสี่ยงที่ประกอบไปด้วยโรคเบาหวาน การใช้ยาคอร์ติโคสเตอรอยด์เป็นระยะเวลานาน การสูบบุหรี่ การได้รัยแสงแดดเป็นเวลานาน และการดื่มแอลกอฮอล์[1] กลไกที่อยู่เบื้องหลังของการเกิดต้อกระจกคือการสะสมของกลุ่มโปรตีน หรือสารสีสีเหลืองน้ำตาลภายในชั้นเลนส์ตาที่มีผลให้ลดการผ่านของแสงไปยังจอประสาทตา ซึ่งอยู่ด้านหลังของดวงตา[1] การวินิฉัยนั้นทำได้ด้วยการตรวจตา[1]