จักรวรรดิเยอรมัน
รัฐชาติเยอรมันในภูมิภาคยุโรปตอนกลาง ดำรงอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1871 ถึง ค.ศ. 1918 / From Wikipedia, the free encyclopedia
จักรวรรดิเยอรมัน (เยอรมัน: Deutsches Kaiserreich)[lower-alpha 1] เป็นชื่ออย่างไม่เป็นทางการที่ใช้เรียกแผ่นดินของชาวเยอรมัน ตั้งแต่ที่พระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 แห่งปรัสเซีย ได้สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นจักรพรรดิเยอรมันในค.ศ. 1871 จนถึงการสละราชสมบัติของจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ในค.ศ. 1918 ซึ่งนำไปสู่การสิ้นสุดระบอบกษัตริย์ในเยอรมัน ชื่อจักรวรรดิเยอรมันในภาษาเยอรมันอย่างเป็นทางการคือ ไรช์เยอรมัน (เยอรมัน: Deutsches Reich) อย่างไรก็ตาม แม้จักรวรรดิจะล่มสลายไปในปี ค.ศ. 1918 แต่ชื่อ ดอยท์เชิสไรช์ ก็ยังถูกใช้เป็นชื่อทางการของสาธารณรัฐไวมาร์ต่อไป
จักรวรรดิเยอรมัน | |||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ค.ศ.1871 –1918 | |||||||||||||||||||||||||||||
แผนที่ของจักรวรรดิเยอรมนีในศึกสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในเดือนกันยายน พ.ศ. 2461 จักรวรรดิเยอรมันใน ค.ศ. 1914 | |||||||||||||||||||||||||||||
ที่ตั้งของจักรวรรดิ, อาณานิคม และรัฐในอารักขา ของเยอรมัน (สีดำ) | |||||||||||||||||||||||||||||
เมืองหลวง | เบอร์ลิน 52°31′N 13°24′E | ||||||||||||||||||||||||||||
ภาษาทั่วไป | ทางการ: เยอรมัน | ||||||||||||||||||||||||||||
ศาสนา | สำมะโน 1880 ส่วนใหญ่: 62.63% โปรเตสแตนต์ (ลูเทอแรน, ขนบปฏิรูป) ส่วนน้อย: 35.89% โรมันคาทอลิก 1.24% ยิว 0.17% ศาสนาคริสต์นิกายอื่น 0.07% อื่น ๆ | ||||||||||||||||||||||||||||
การปกครอง |
| ||||||||||||||||||||||||||||
จักรพรรดิ | |||||||||||||||||||||||||||||
• 1871–1888 | วิลเฮล์มที่ 1 | ||||||||||||||||||||||||||||
• 1888 | ฟรีดริชที่ 3 | ||||||||||||||||||||||||||||
• 1888–1918 | วิลเฮล์มที่ 2 | ||||||||||||||||||||||||||||
นายกรัฐมนตรี | |||||||||||||||||||||||||||||
• 1871–1890 | ออทโท ฟอน บิสมาร์ค (คนแรก) | ||||||||||||||||||||||||||||
• 1918 | เจ้าชายมัคซีมีลีอานแห่งบาเดิน (สุดท้าย) | ||||||||||||||||||||||||||||
สภานิติบัญญัติ | ไรชส์ทาค | ||||||||||||||||||||||||||||
ยุคประวัติศาสตร์ | จักรวรรดินิยมใหม่ • สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง | ||||||||||||||||||||||||||||
18 มกราคม 1871 | |||||||||||||||||||||||||||||
• รัฐธรรมนูญ | 16 เมษายน 1871 | ||||||||||||||||||||||||||||
• การประชุมเบอร์ลิน | 15 พฤศจิกายน 1884 | ||||||||||||||||||||||||||||
28 กรกฎาคม 1914 | |||||||||||||||||||||||||||||
3 พฤศจิกายน 1918 | |||||||||||||||||||||||||||||
• การสละราชสมบัติของวิลเฮ็ล์มที่ 2[3] | 9 พฤศจิกายน 1918 | ||||||||||||||||||||||||||||
11 พฤศจิกายน 1918 | |||||||||||||||||||||||||||||
• รัฐธรรมนูญไวมาร์ | 11 สิงหาคม 1919 | ||||||||||||||||||||||||||||
ประชากร | |||||||||||||||||||||||||||||
• 1871[4] | 41,058,792 | ||||||||||||||||||||||||||||
• 1900[4] | 56,367,178 | ||||||||||||||||||||||||||||
• 1910[4] | 64,925,993 | ||||||||||||||||||||||||||||
สกุลเงิน | มาร์ค | ||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ | เยอรมนี โปแลนด์ ฝรั่งเศส เดนมาร์ก รัสเซีย เบลเยียม ลิทัวเนีย เช็กเกีย | ||||||||||||||||||||||||||||
พื้นที่และประชากรไม่รวมอาณานิคมในทวีปอื่นที่ยึดครอง |
จักรวรรดิเยอรมันประกอบด้วย 26 ดินแดนตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ดินแดนส่วนใหญ่ต่างถูกปกครองและมีราชวงศ์เป็นของตนเอง ดินแดนเหล่านี้ประกอบด้วย 4 ราชอาณาจักร, 6 แกรนด์ดัชชี, 5 ดัชชี (6 ก่อนปี 1876), 7 ราชรัฐ, 3 เสรีนครรัฐ และ 1 ดินแดนในพระองค์ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราชอาณาจักรปรัสเซียจะเป็นหนึ่งในดินแดนตามที่กล่าวมานี้ แต่ราชอาณาจักรปรัสเซียกลับเป็นดินแดนที่มีอาณาเขตและประชากรมากที่สุดและมากกว่าดินแดนอีก 25 แห่งที่เหลือรวมกัน ดังนั้นราชอาณาจักรปรัสเซียจึงเป็นดินแดนที่มีอำนาจครอบงำจักรวรรดิเยอรมัน
หลังปี 1850 ได้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมขึ้นอย่างรวดเร็วในรัฐเยอรมันต่าง ๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมถ่านหิน, เหล็ก (และเหล็กกล้าในกาลต่อมา), เคมีภัณฑ์ และกิจการรถไฟ เมื่อแรกสถาปนาจักรวรรดิในปี 1871 จักรวรรดิมีประชากร 41 ล้านคน และในปี 1913 ได้เพิ่มขึ้นไปเป็น 68 ล้านคน ตลอดเวลา 47 ปีที่จักรวรรดิเยอรมันคงอยู่ จักรวรรดิได้กลายเป็นมหาอำนาจด้านอุตสาหกรรม, เทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์ของโลก โดยได้รับรางวัลโนเบลมากกว่าชาติอื่น ๆ[6]
เยอรมันกลายเป็นมหาอำนาจจากการขยายเครือข่ายทางรถไฟอย่างรวดเร็ว, มีกองทัพบกที่ทรงแสนยานุภาพที่สุดในโลก, และเป็นฐานอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ในห้วงเวลาเพียงไม่ถึงทศวรรษ กองทัพเรือเยอรมันกลายเป็นกองทัพเรือที่ทรงแสนยานุภาพเป็นลำดับสองรองจากราชนาวีอังกฤษ ในคราวที่นายกรัฐมนตรี ออทโท ฟอน บิสมาร์ค ถูกปลดโดยจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ในปี ค.ศ. 1890 นั้น เป็นห้วงเวลาที่จักรวรรดิเยอรมันรุ่งเรืองและฮึกเหิมอย่างมาก ในวิกฤตการณ์ปี 1914 จักรวรรดิเยอรมันได้ให้การสนับสนุนแก่จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และยังตกลงเป็นพันธมิตรกับจักรวรรดิออตโตมัน เป็นจุดกำเนิดของฝ่ายมหาอำนาจกลางในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อแผนการเข้ายึดกรุงปารีสก่อนฤดูใบไม้ร่วงประสบความล้มเหลวและแนวรบด้านตะวันตกยังคงคุมเชิงกัน เยอรมันก็ถูกกองเรือของฝ่ายสัมพันธมิตรปิดล้อมทำให้เกิดภาวะขาดแคลนเสบียงอาหาร แม้แนวรบด้านตะวันตกจะไม่คืบหน้า แต่เยอรมันกลับประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในแนวรบด้านตะวันออก สนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์ในปี 1918 ทำให้เยอรมันได้ดินแดนทางตะวันออกมาอย่างมากมาย เยอรมันได้พยายามปิดล้อมเกาะอังกฤษด้วยกองเรือดำน้ำแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนักจากราชนาวีอังกฤษได้จัดเรือคุ้มกันเรือที่มาจากอาณานิคม เหตุโทรเลขซิมแมร์มันน์ในปี 1917 ได้นำพาสหรัฐอเมริกาเข้ามาสู่สงคราม ชาวเยอรมันเริ่มอ่อนล้าจากสงครามในห้วงเวลาที่ลัทธิสังคมนิยมจากการปฏิวัติรัสเซียไหลบ่าเข้ามาสู่ชาวเยอรมัน
แนวรบที่ถูกโต้กลับและสงครามตลอดสี่ปีทำให้เกิดยุคข้าวยากหมากแพงไปทั่วทำให้ประชาชนหมดศรัทธาในรัฐบาลจักรพรรดิเยอรมัน จนทำให้เกิดการลุกฮือขึ้นในปลายเดือนตุลาคม ค.ศ. 1918 รัฐบาลจักรพรรดิเยอรมันได้ประกาศสงบศึก ในวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 หลังจากนั้นสองสัปดาห์ จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ทรงประกาศสละราชสมบัติและลี้ภัยทางการเมืองไปยังเนเธอร์แลนด์ จักรวรรดิเยอรมันได้แปรเปลี่ยนสถานะเป็นสาธารณรัฐไวมาร์ภายใต้ระบอบประธานาธิบดี