เดอะบีเทิลส์
From Wikipedia, the free encyclopedia
เดอะบีเทิลส์ (อังกฤษ: The Beatles) เป็นวงดนตรีร็อกสัญชาติอังกฤษจากเมืองลิเวอร์พูล ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1960 มีสมาชิกประกอบไปด้วย จอห์น เลนนอน, พอล แม็กคาร์ตนีย์, จอร์จ แฮร์ริสัน และริงโก สตาร์ พวกเขาได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นวงดนตรีที่ทรงอิทธิพลที่สุดตลอดกาล[1] อีกทั้งยังมีอิทธิพลสำคัญต่อวัฒนธรรมต่อต้านในคริสตทศวรรษที่ 1960 และการนำรูปแบบของเพลงสมัยนิยมไปสู่ความเป็นศิลปะ[2] แนวดนตรีของพวกเขามีรากฐานมาจากแนวเพลงสกิฟเฟิล, บีท และร็อกแอนด์โรลในยุค 1950 ซาวด์ดนตรีของพวกเขาได้รับการพัฒนา โดยมีองค์ประกอบที่ผสมผสานระหว่างแนวดนตรีคลาสสิกและเพลงป็อปท้องถิ่น ถึงอย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาเดอะบีเทิลส์ก็ได้แตกแขนงแนวดนตรีของพวกเขาออกไปหลากหลายแนวมากขึ้น ตั้งแต่ดนตรีโฟล์ก ดนตรีอินเดีย ไปจนถึงไซเคเดเลีย และฮาร์ดร็อก เดอะบีเทิลส์ได้ปฏิวัติวัฒนธรรมดนตรีในหลาย ๆ แง่มุม ทั้งในฐานะที่เป็นผู้บุกเบิกนวัตกรรมการบันทึกเสียงแบบใหม่ ๆ การแต่งเพลง และการนำเสนอแนวเพลงเชิงศิลปะ โดยสื่อมักนำเสนอภาพลักษณ์ของพวกเขาในฐานะตัวแทนของคนรุ่นใหม่ (era's youth) และในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมในยุคร่วมสมัยของพวกเขาเอง[3]
เดอะบีเทิลส์ | |
---|---|
เดอะบีเทิลส์ในปี ค.ศ. 1964; เรียงตามเข็มนาฬิกาจากมุมบนซ้าย: จอห์น เลนนอน พอล แม็กคาร์ตนีย์ ริงโก สตาร์ และ จอร์จ แฮร์ริสัน | |
ข้อมูลพื้นฐาน | |
ที่เกิด | ลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ |
แนวเพลง | |
ช่วงปี | 1960–1970 |
ค่ายเพลง | |
กลุ่มย่อย | พลาสติกโอโนะแบนด์ |
แยกตัวจาก | เดอะควอร์รีเมน |
อดีตสมาชิก |
(ดูที่ หัวข้อสมาชิก สำหรับ สมาชิกคนอื่น ๆ) |
เว็บไซต์ | thebeatles |
นักแต่งเพลงหลักของวงคือเลนนอนและแม็กคาร์ตนีย์ เดิมทีเดอะบีเทิลส์เป็นวงที่เปลี่ยนชื่อมาจาก เดอะควอร์รีเมน (the Quarrymen) ซึ่งเป็นวงเก่าของเลนนอน ในช่วงสามปีแรกที่เริ่มก่อตั้งวง พวกเขาเริ่มต้นสั่งสมชื่อเสียงผ่านการเล่นดนตรีในคลับต่าง ๆ ตามเมืองลิเวอร์พูลและฮัมบวร์ค โดยมีสมาชิกแรกเริ่ม ได้แก่ เลนนอน, แม็กคาร์ตนีย์ และ แฮร์ริสัน ที่ร่วมวงกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1958 สจวต ซัตคลิฟฟ์ ในฐานะมือเบส เสริมด้วย พีท เบสต์ ในฐานะมือกลอง ก่อนที่จะเปลี่ยนสมาชิกไปเป็น ริงโก สตาร์ ในปี ค.ศ. 1962 โดยได้ ไบรอัน เอปสไตน์ มาเป็นผู้จัดการวง อีกทั้งยังมีหัวหอกในการบันทึกเสียงอย่าง จอร์จ มาร์ติน ในฐานะโปรดิวเซอร์ประจำวง ซึ่งพวกเขาต่างก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้วงประสบความสำเร็จภายในประเทศได้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่พวกเขาเซ็นสัญญากับ อีเอ็มไอเรเคิดส์ (EMI Records) ก็มีเพลงฮิตประสบความสำเร็จโดยทันทีอย่างเพลง "เลิฟมีดู" (Love Me Do) ซึ่งวางจำหน่ายในช่วงปลายปี ค.ศ. 1962 กระแสความนิยมของพวกเขากลายเป็นปรากฎการณ์ที่เรียกว่า "บีเทิลเมเนีย" (Beatlemania) ทางวงเองก็ถูกตั้งชื่อเล่นว่า "เดอะแฟบโฟร์" (the Fab Four) และบางครั้งเอปสไตน์, มาร์ติน หรือบุคคลอื่นที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของวง ก็ได้รับการตั้งฉายาอย่างไม่เป็นทางการว่า "เต่าทองคนที่ห้า" (fifth Beatle)
เมื่อถึงต้นปี ค.ศ. 1964 เดอะบีเทิลส์กลายเป็นศิลปินระดับนานาชาติ ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากทั้งในด้านคำวิจารณ์และในเชิงพาณิชย์ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน พวกเขากลายเป็นขุมกำลังสำคัญในการฟื้นคืนวัฒนธรรมอังกฤษไปสู่สากลโลก โดยนำปรากฏการณ์บริติชอินเวชัน (British Invasion) ไปไกลจนถึงตลาดเพลงป็อปของสหรัฐอเมริกา และในเวลาต่อมาไม่นานนักพวกเขาก็ได้เปิดตัวภาพยนตร์ของตนเองเรื่อง อะฮาร์ดเดส์ไนต์ (A Hard Day's Night; 1964) เมื่อสมาชิกภายในวงมองว่าการทัวร์คอนเสิร์ตเป็นอุปสรรคต่อการที่จะต้องใช้เวลาทำเพลงในสตูดิโอบันทึกเสียง ทำให้ในเวลาต่อมาทางวงก็ได้ตัดสินใจยุติการแสดงสดนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1966 เป็นต้นไป ในช่วงเวลานี้เองเดอะบีเทิลส์ก็ได้ผลิตงานดนตรีที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นกว่าที่เคยทำ อาทิเช่น อัลบั้ม Rubber Soul (1965) Revolver (1966) Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band (1967) รวมไปถึงอัลบั้มที่มีชื่อเดียวกับวง (หรือที่รู้จักกันในชื่อ "the White Album" จัดจำหน่ายในปี ค.ศ. 1968) และท้ายที่สุด Abbey Road (1969) ความสำเร็จของอัลบั้มเหล่านี้เป็นการประกาศศักดาถึงยุคของอัลบั้มที่การวางจำหน่ายแผ่นเสียงในรูปแบบอัลบั้มได้รับความนิยมมากกว่าการวางจำหน่ายในรูปแบบซิงเกิล นอกจากนั้นผลงานของพวกเขาก็ได้เผยแพร่ความสนใจในเรื่องของยาเสพติดหลอนประสาทและชุดความคิดแบบตะวันออกไปสู่สาธารณชน รวมถึงพัฒนาการของอุตสาหกรรมดนตรีที่เด่นชัดมากขึ้นในยุคดังกล่าว อาทิเช่น ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ การทำปกอัลบั้ม และการผลิตมิวสิกวิดีโอ เป็นต้น ต่อมาในปี ค.ศ. 1968 สมาชิกวงเดอะบีเทิลส์ก็ได้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิลคอปส์ (Apple Corps) ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนที่ครอบครองลิขสิทธิ์และควบคุมกิจการทั้งหมดที่เกี่ยวของกับทางวง หลังจากเหตุการณ์วงแตกในปี ค.ศ. 1970 อดีตสมาชิกทุกคนต่างก็ประสบความสำเร็จในเส้นทางของศิลปินเดี่ยวทั้งสิ้น โดยมีการพบปะไปมาหาสู่กันอยู่อย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งเลนนอนถูกฆาตกรรมในปี ค.ศ. 1980 ส่วนแฮร์ริสันเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดในปี ค.ศ. 2001 ขณะที่แม็กคาร์ตนีย์และสตาร์ยังคงใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับงานดนตรีอย่างต่อเนื่อง
เดอะบีเทิลส์เป็นวงดนตรีที่มียอดขายสูงที่สุดตลอดกาล โดยมียอดขายประมาณ 600 ล้านหน่วยทั่วโลก[4][5] พวกเขาเป็นกลุ่มศิลปินที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของบิลบอร์ดชาตส์ของสหรัฐอเมริกา (US Billboard charts)[6] โดยครองสถิติตรงที่มีอัลบั้มอันดับหนึ่งมากที่สุดในชาร์ตอัลบั้มแห่งสหราชอาณาจักร (UK Albums Chart) (15) และมีเพลงฮิตอันดับหนึ่งในบิลบอร์ดฮอต 100 ของสหรัฐอเมริกา (US Billboard Hot 100 chart) (20) อีกทั้งยังทำยอดขายซิงเกิลในสหราชอาณาจักรได้เป็นจำนวนมาก (21.9 ล้านหน่วย) เดอะบีเทิลส์ได้รับรางวัลมากมาย ทั้งแกรมมี (Grammy Awards) 7 รางวัล, บริตอะวอดส์ (Brit Awards) 4 รางวัล, รางวัลออสการ์ (Academy Award) 1 รางวัล (สำหรับสาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์สารคดีเรื่อง เล็ตอิตบี ในปี ค.ศ. 1970) และรางวัลอิวอร์โนเวลโล (Ivor Novello Awards) กว่า 15 รางวัล เดอะบีเทิลส์ได้รับการบรรจุเข้าสู่หอเกียรติยศร็อกแอนด์โรล (Rock and Roll Hall of Fame ) ในปี ค.ศ. 1988 ขณะที่สมาชิกหลักแต่ละคนก็ได้รับการบรรจุเข้าเป็นรายบุคคลแยกต่างหากในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1994 จนถึงปี ค.ศ. 2015 เดอะบีเทิลส์ติดอันดับศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ในนิตยสารโรลลิงสโตน (Rolling Stone) เมื่อปี ค.ศ. 2004 และปี ค.ศ. 2011 นอกจากนั้นนิตยสารไทม์ (Time) ได้ยกย่องให้พวกเขาเป็นหนึ่งใน 100 บุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 อีกเช่นกัน