Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เจคอบ เบนจามิน จิลเลินฮอล[1][ต้องการอ้างอิง] (อังกฤษ: Jacob Benjamin Gyllenhaal; เกิดวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2523 เป็นนักแสดงชาวอเมริกัน เกิดในตระกูลจิลเลินฮอล เขาเป็นบุตรชายของผู้กำกับ สตีเฟน จิลเลินฮอล และผู้เขียนบท เนโอมี โฟเนอร์ และน้องชายของนักแสดงหญิง แมกกี จิลเลินฮอล[2] ผู้ได้รับรางวัลแบฟตา สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ประจำปี พ.ศ. 2549[3] และเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม[4] จากภาพยนตร์เรื่องหุบเขาเร้นรัก (Brokeback Mountain)
เจก จิลเลินฮอล | |
---|---|
จิลเลินฮอลใน ค.ศ. 2019 | |
เกิด | เจคอบ เบนจามิน จิลเลินฮอล 19 ธันวาคม ค.ศ. 1980 ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ |
ศิษย์เก่า | มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย |
อาชีพ |
|
ปีปฏิบัติงาน | ค.ศ. 1991–ปัจจุบัน |
บิดามารดา | |
ครอบครัว | จิลเลินฮอล |
จิลเลินฮอลเป็นบุตรชายของผู้กำกับ สตีเฟน จิลเลินฮอล และนักเขียนบทภาพยนตร์ เนโอมี โฟเนอร์ โดยเขาเริ่มการแสดงตั้งแต่อายุ 11 ปี และเป็นที่รู้จักครั้งแรกในภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงเรื่อง Donnie Darko เขารับบทบาทเป็นวัยรุ่นผู้มีปัญหาทางจิต ในปี พ.ศ. 2547 ได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง The Day After Tomorrow จากนั้นในปี พ.ศ. 2548 เขารับบทบาทเป็นนาวิกโยธินผู้ท้อแท้และสับสนในภาพยนตร์เรื่อง Jarhead ในปีเดียวกันรับบทบาทเป็น "คาวบอยเกย์" ทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังจากภาพยนตร์เรื่องหุบเขาเร้นรัก
จิลเลินฮอลเป็นนักกิจกรรม มีบทบาทและร่วมสนับสนุนกิจกรรมการเมืองและทางสังคมหลายครั้ง ได้ร่วมโครงการประชาสัมพันธ์การรณรงค์เลือกตั้ง "ร็อก เดอะ โหวต" (Rock the Vote) และร่วมหาเสียงสนับสนุนให้พรรคเดโมแครต ในปี พ.ศ. 2547 และช่วยประชาสัมพันธ์ในงานเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของ อเมริกันซิวิลลิเบอร์ตีส์ยูเนียน (American Civil Liberties Union)
จิลเลินฮอลเกิดในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย เป็นบุตรชายของผู้กำกับ สตีเฟน จิลเลินฮอล และนักเขียนบทภาพยนตร์ นาโอมิ โฟเนอร์[5] บิดาของจิลเลินฮอลเติบโตมากับครอบครัวศาสนาสวีเดนบอร์เจียน (Swedenborgianism) ในครอบครัวตระกูลจิลเลินฮอล บรรพบุรุษชาวสวีเดนที่มีชื่อเสียงของตระกูลนี้คือ แอนเดอร์ส ลีโอนาร์ด จิลเลินฮอล นายทหารและผู้เชี่ยวชาญทางด้านแมลง[6] มารดาของจิลเลินฮอลเป็นครอบครัวยิว-อเมริกันที่มาจากนิวยอร์ก และเป็นภรรยาเก่าของอีริค โฟเนอร์ ศาสตราจารย์ทางด้านประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ส่วนแมกกี จิลเลินฮอล พี่สาวมีอาชีพเป็นนักแสดงเช่นกัน จิลเลินฮอลถูกเลี้ยงดูแลในความเชื่อแบบยิว[7] พิธีฉลองอายุ 13 ปี (B'nai Mitzvah) ของเขาเกิดขึ้นที่ศูนย์คนไร้ที่อยู่ เพราะพ่อและแม่ต้องการให้เขาได้สำนึกถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่พิเศษกว่าผู้อื่น โดยตัดสินใจที่จะฉลองพิธีกับคนเหล่านั้นด้วยความเรียบง่ายกว่าที่เขาเคยได้รับ[8]
นอกจากนั้นพ่อและแม่ยังให้จิลเลินฮอลหารายได้พิเศษช่วงฤดูร้อนให้กับตัวเอง โดยทำงานเป็นเจ้าหน้าที่คอยช่วยชีวิตคนบริเวณชายหาดและบริกรที่ภัตตาคารที่เพื่อนของพ่อเขาเป็นเจ้าของ[9]
ตั้งแต่เด็ก จิลเลินฮอลยังได้คลุกคลีกับวงการภาพยนตร์เนื่องจากอาชีพของครอบครัว ในวัย 11 ปี เขาได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่องแรกในปี พ.ศ. 2534 เรื่อง City Slicker รับบทเป็นลูกชายของบิลลี คริสตัล อย่างไรก็ตามพ่อแม่ไม่อนุญาตให้จิลเลินฮอลแสดงภาพยนตร์เรื่อง The Mighty Ducks (ภาพยนตร์ปี พ.ศ. 2535) เนื่องจากต้องออกจากบ้านร่วม 2 เดือน[5] ในปีถัดมาพ่อแม่ก็ได้อนุญาตให้เขาไปทดสอบบท แต่ก็มีข้อห้ามถ้าถูกคัดเลือก[9] แต่จิลเลินฮอลก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงในภาพยนตร์ของพ่อเขาอยู่หลายหน ในปี พ.ศ. 2536 ได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง Dangerous Woman (แมกกีพี่สาวก็ร่วมแสดง) ต่อมาปี พ.ศ. 2537 กับละครโทรทัศน์เรื่อง Homicide: Life on the Street ในปี พ.ศ. 2541 แมกกีและเจกได้ร่วมออกรายการกับแม่ในรายการทำอาหาร "Molto Mario" ทางช่องฟู้ด เน็ตเวิร์ค ก่อนที่จะจบการศึกษาระดับไฮสคูล ภาพยนตร์เรื่องเดียวที่พ่อของเขาไม่ได้กำกับและได้อนุญาตให้แสดงคือเรื่อง Josh and S.A.M.[10]
จิลเลินฮอลจบการศึกษาชั้นมัธยมจากโรงเรียนฮาวาร์ด-เวสต์เลกในลอสแอนเจลิสในปี พ.ศ. 2541 จากนั้นได้เข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในรัฐนิวยอร์ก (พี่สาวและแม่ของเขาก็เรียนที่นี่) จิลเลินฮอลได้ศึกษาด้านศาสนาตะวันออกและปรัชญา ถึงปีที่ 2 แล้วได้พักการเรียนไว้เพื่อมุ่งเข้าสู่วงการบันเทิง อย่างไรก็ดีจิลเลินฮอลก็ได้กลับมาศึกษาต่อจนจบในที่สุด[5]
จิลเลินฮอลได้รับบทนำครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง October Sky ในปี พ.ศ. 2542 กำกับโดยโจ จอห์นสตัน ดัดแปลงมาจากอัตชีวประวัติของโฮเมอร์ ฮิกแคม รับบทบาทเป็นนักเรียนมัธยมที่รับทุนด้านวิทยาศาสตร์เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นคนงานในเหมือง ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ 32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หนังสือพิมพ์ซาคราเมนโตนิวส์แอนด์รีวิว วิจารณ์ว่า "เป็นการแสดงที่แจ้งเกิด"ของเขา[10][11]
Donnie Darko ภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ที่จิลเลินฮอลรับบทนำ ไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ในตารางบ็อกซ์ออฟฟิส ในครั้งแรกที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2544 แต่ในที่สุดก็เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ชื่นชอบ[12] ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยริชาร์ด เคลลี โดยจิลเลินฮอลรับบทเป็นวัยรุ่นมีปัญหาที่หนีความตาย และได้พบกับกระต่ายสูง 6 ฟุตที่ชื่อ แฟรงค์ที่บอกเขาว่าโลกกำลังใกล้สู่จุดจบ จิลเลินฮอลได้รับคำวิจารณ์ตอบรับที่ดี แดน คอยส์จาก เว็บซาลอน.คอม วิจารณ์ว่า "จิลเลินฮอลเล่นบทบาทที่ยากสองอย่าง ทั้งบทธรรมดาที่ไม่น่าสนใจและบทที่ลำบากได้ในเวลาเดียวกัน"[13][14] จิลเลินฮอลได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอินดีเพนเดนต์สปิริตอวอร์ด สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
ในปี พ.ศ. 2545 จิลเลินฮอลได้แสดงคู่กับเจนนิเฟอร์ อนิสตันในภาพยนตร์จากเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์เรื่อง The Good Girl และยังได้แสดงเรื่อง Lovely & Amazing ร่วมกับ แคเธอรีน คีเนอร์[15] ในภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องได้รับบทบาทเป็นชายหนุ่มที่ตกหลุมรัก และมีความสัมพันธ์ลึกกับหญิงที่แต่งงานแล้ว ภายหลังจิลเลินฮอลได้อธิบายว่า "นี่คือบทบาทของวัยรุ่นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ"[16]
ต่อมาจิลเลินฮอลได้แสดงในภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดี้ ของทัชสโตน พิคเจอร์ส เรื่อง Bubble Boy สร้างมาจากเรื่องราวของเดวิด เวตเตอร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับเสียงวิจารณ์ว่า "ยุ่งเหยิง ไม่มีแก่น เป็นความเลวร้ายที่ไร้รสนิยมอย่างที่สุด"[17]
หลังจากเรื่อง Bubble Boy ก็ได้แสดงประกบกับดัสติน ฮอฟแมน และซูซาน ซาแรนดอนในภาพยนตร์เรื่อง Moonlight Mile ได้รับบทบาทเป็นเด็กหนุ่มที่รับมือกับความตายของคู่หมั้นและความโศกเศร้าของครอบครัวคู่หมั้น เขียนบทและกำกับ โดยแบรด ซิเบอลิง จากประสบการณ์จริง[18] ได้รับความวิจารณ์ทั้งดีและไม่ดี[19]
จิลเลินฮอลเกือบได้รับเลือกให้แสดงเป็นสไปเดอร์แมนในภาพยนตร์เรื่องสไปเดอร์แมน 2 โดยผู้กำกับ แซม ไรมิ หลังจากที่โทบีย์ แมคไกวร์ได้รับบาดเจ็บที่หลัง[20] อย่างไรก็ตามจิลเลินฮอลไม่ได้แสดงในภาพยนตร์ภาคต่อเรื่องนี้ ต่อมาได้รับบทในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง The Day After Tomorrow ในปี พ.ศ. 2547 แสดงร่วมกับเดนนิส เควด[21]
ผลงานเรื่องแรกบนเวทีละครของจิลเลินฮอลคือการแสดงในบทนำของละครลอนดอนที่ถูกนำมาทำใหม่ โดยเคนเนธ โลเนอร์แกน เรื่อง This Is Our Youth ละครเรื่องนี้เปิดแสดงนานถึงแปดสัปดาห์ที่เวสต์เอ็นด์ในลอนดอน เขาได้รับบทบาทเศรษฐีเด็กที่ใช้เวลาช่วงสุดสัปดาห์ในการขโมย ซื้อขายและเสพยาเสพย์ติด ร่วมกับเฮย์เดน คริสเตนเซนและแอนนา พาควิน สำหรับบทนี้จิลเลินฮอลได้รับรางวัลอีฟนิงสแตนดาร์ดเธียรเตอร์อวอร์ด ในประเภทนักแสดงหน้าใหม่ผู้มีผลงานโดดเด่น[22][23]
ปี พ.ศ. 2548 ถือเป็นปีของจิลเลินฮอล ได้แสดงภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมอย่าง Proof, Jarhead, และ หุบเขาเร้นรัก ในภาพยนตร์เรื่อง Proof ได้แสดงร่วมกับกวินเน็ธ พัลโทรว์และแอนโธนี ฮ็อพกินส์ ผู้กำกับจอห์น แมดเดน ภาพยนตร์ซึ่งมีบทดัดแปลงมาจากละครที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ จิลเลินฮอลได้รับบทบาทเป็นลูกศิษย์นักคณิตศาสตร์อัจฉริยะ ผู้จากไปด้วยโรคบกพร่องทางจิต ที่เข้ามาช่วยแก้สมการคณิตศาสตร์ ที่ยังแก้ไม่ได้[24]
ในภาพยนตร์เรื่อง Jarhead ได้รับบทเป็นนาวิกโยธินที่ถูกส่งตัวไปยังทะเลทรายในซาอุดีอาระเบีย เพื่อร่วมรบในสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก[25] กระแสของภาพยนตร์เรื่องนี้ตอนเปิดตัวค่อนข้างเงียบเนื่องจากออกมาพร้อมกับภาพยนตร์เรื่องหุบเขาเร้นรัก แซม เม็นเดสผู้กำกับเรื่อง Jarhead พูดถึงจิลเลินฮอลว่า "เขาเข้าวงการตั้งแต่ยังเด็ก เป็นเด็กหน้าตาดี อยู่ในครอบครัวบันเทิง เขามักจะมีความคิดที่จะไปให้ถึงที่เขาจะไป แต่ในบางระดับเขาก็ยังไปไม่ถึง และเขาต้องการที่จะทำงานในส่วนนี้ ต้องการที่จะค้นพบตัวเอง และผมไม่สามารถจะตื่นเต้นกว่านี้เกี่ยวกับการแสดงของเขา" [5]
ในภาพยนตร์เรื่องหุบเขาเร้นรัก จิลเลินฮอลได้แสดงร่วมกับฮีธ เลดเจอร์ ในบทคนงานในฟาร์มเลี้ยงแกะที่เกิดมีความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศ ท้องเรื่องเกิดในทศวรรษที่ 60 บนภูเขาโบรคแบ็กในรัฐไวโอมิง ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดด้วยการคว้ารางวัลสิงโตทองคำสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากเทศกาลภาพยนตร์เวนิซ (กันยายน พ.ศ. 2548) [26] และยังได้รับรางวัลลูกโลกทองคำถึง 4 สาขา และอีก 4 สาขาจากรางวัลบาฟต้า และ 3 สาขาจากรางวัลออสการ์ จิลเลินฮอลถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม แต่พ่ายให้กับจอร์จ คลูนีย์ไป ในส่วนรางวัลบาฟต้าได้รับรางวัลดาราสมทบชายยอดเยี่ยม นอกจากนั้นจิลเลินฮอลยังได้รับรางวัลยังอาร์ทิสต์อวอร์ดจาก ดิอเมริกันส์ฟอร์ดิอาร์ทสเนชันนัลอาร์ทสอวอร์ดส สำหรับความสำเร็จในอาชีพ
เมื่อภาพยนตร์ออกฉายมักมีข่าวลือเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของจิลเลินฮอล เขาให้คำตอบว่า
"คุณรู้ไหมว่านั่นคือคำชม เมื่อมีข่าวลือพูดว่าผมเป็นไบเซ็กชวล มันหมายถึงผมสามารถเล่นได้ทุกบทบาท ผมเป็นคนเปิดกว้างกับทุกคนที่ต้องการเรียกผมอย่างนั้น ผมไม่เคยรู้สึกสนใจผู้ชาย แต่ก็ไม่คิดว่าจะกลัวถ้ามันเกิดขึ้นจริง[27]"
ในปี พ.ศ. 2548 จิลเลินฮอลได้ให้เสียงพากย์กับภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องสั้นเรื่อง The Man Who Walked Between the Towers[28] เค้าโครงมาจากหนังสือเขียนโดย มอร์ดิไซ เกอร์สไตน์[29]
เดือนมีนาคม พ.ศ. 2550 ภาพยนตร์เรื่องล่าสุด Zodiac ได้ออกฉายที่สหรัฐอเมริกา โดยผู้กำกับ เดวิด ฟินเชอร์ ได้เค้าโครงเรื่องจากเรื่องจริง[30] ได้รับบทเป็น โรเบิร์ต เกรย์สมิธ ผู้เขียนหนังสือทั้ง 2 เล่มของ โซดิแอก คิลเลอร์ นักฆ่าจักรราศี
จิลเลินฮอลแสดงภาพยนตร์เรื่อง Rendition ออกฉายเดือนตุลาคม พ.ศ. 2550 มีฉากหลังเป็นตะวันออกกลาง กำกับโดยเกวิน ฮูด ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงกับรีส วิเธอร์สปูน[31] บทถัดไปของจิลเลินฮอลคือ หนังนำมาสร้างใหม่ในปี พ.ศ. 2547 เรื่อง Brothers กำกับโดย จิม เชอริแดน[32]
สมาชิกในครอบครัวจิลเลินฮอลได้ทำงานฮอลลีวูดร่วมกับจิลเลินฮอลหลายเรื่อง แม็กกีพี่สาวของจิลเลินฮอลเคยแสดงภาพยนตร์ร่วมกับจิลเลินฮอล ในเรื่อง Donnie Darko และยังร่วมแสดงกับเขาในเรื่อง A Dangerous Woman ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยสตีเฟน จิลเลินฮอล พ่อของพวกเขา
แมกกีหมั้นกับนักแสดง ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด ซึ่งจิลเลินฮอลได้แสดงร่วมกับหลานสาว ราโมนา ซาร์สการ์ดในภาพยนตร์เรื่อง Jarhead (ราโมนา ซาร์สการ์ดเกิดเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2549)
จิลเลินฮอลมีแม่ทูนหัวชื่อ เจมี ลี เคอร์ติส นักแสดงชื่อดัง[5] ส่วนตัวเขาเองเป็นพ่อทูนหัวของ มาทิลดา โรส เลดเจอร์ (เกิด 28 ตุลาคม พ.ศ. 2548) เป็นลูกสาวนักแสดง ฮีธ เลดเจอร์ และ มิเชล วิลเลียมส์ ทั้งคู่เป็นนักแสดงจากเรื่องหุบเขาเร้นรัก[33] นอกจากนั้นลุงของจิลเลินฮอล ชื่อแอนเดอร์ส จิลเลินฮอล ยังเป็นบรรณาธิการให้กับหนังสือพิมพ์ เดอะ ไมอามี เฮอร์รอลด์[34]
จิลเลินฮอลได้ออกเดทกับเจนนี เลวิส นักร้องวงไรโล ไคลีย์ในปี พ.ศ. 2544[35] ต่อมาได้เดทกับเคิร์สเตน ดันส์ ทั้งคู่รู้จักกันผ่านพี่สาวของจิลเลินฮอล แมกกี (ดันส์และแมกกี ได้ร่วมแสดงภาพยนตร์ในเรื่อง Mona Lisa Smile) หลังจากนั้นก็เริ่มออกเดทกันในเดือนกันยายน พ.ศ. 2545 ต่อจากนั้นก็มีการรายงานว่าทั้งคู่เลิกกันเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2547 แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็จบลงในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2548[36]
ดันส์และจิลเลินฮอลมีสุนัขพันธุ์เยอรมันเชฟเฟิร์ด ชื่อว่า แอตติคัส ที่ทั้งคู่ได้ช่วยเหลือออกจากศูนย์คุ้มครองสุนัขในลอสแอนเจลิส จิลเลินฮอลยังมีสุนัขพันธุ์ปัคเคิล ชื่อ บู แรดลีย์ สุนัขทั้ง 2 ตัวตั้งตามชื่อตัวละครในบทประพันธ์ของฮาร์เปอร์ ลี เรื่อง To Kill a Mockingbird หนึ่งในบทประพันธ์เรื่องโปรดของจิลเลินฮอล[37]
จิลเลินฮอลมีข่าวกับ รีส วิเธอร์สปูนที่เพิ่งหย่ากับสามีไรอัน ฟิลิปเป้[38] ทั้งคู่เริ่มคบหากันหลังจากเจอกันในกองถ่าย Rendition ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยุติลงเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2550 จากรายงานของนิตยสารพีเพิล[39]
จิลเลินฮอลมีส่วนร่วมกิจกรรมทางการเมือง โดยได้ถ่ายโฆษณารณรงค์การเลือกตั้งในโครงการร็อก เดอะ โหวต (Rock the Vote) ในช่วงการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาปี พ.ศ. 2547 เขาได้ไปมหาวิทยาลัยเซาเธิร์นแคลิฟอร์เนีย กับพี่สาวเพื่อรณรงค์นักเรียนนักศึกษาให้ไปเลือกตั้ง[40] จิลเลินฮอลได้ร่วมหาเสียงสนับสนุนให้ ผู้สมัครจอห์น เคอร์รี ของพรรคเดโมแครต[41][ลิงก์เสีย]
จิลเลินฮอลกล่าวว่า "มันทำให้ผมหมดความอดทนเมื่อนักแสดงพูดถึงเรื่องการเมือง ผมเป็นพลเมืองคนหนึ่งและผมเลือกเล่นภาพยนตร์ ที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมือง ผมพยายามและพูดในสิ่งที่ผมทำ ผิดหรือถูก นักแสดงหนุ่มนั้นล้วนมีอิทธิพล"[5]
จิลเลินฮอลเติบโตมาในครอบครัวที่ตระหนักถึงเรื่องสังคม เขาร่วมการรณรงค์กับ อเมริกันซิวิลลิเบอร์ตีส์ยูเนียน (เอซีแอลยู) เป็นองค์กรที่ทั้งครอบครัวของจิลเลินฮอลให้การสนับสนุน[42][43] จิลเลินฮอลตระหนักในเรื่องสิ่งแวดล้อม และนิยมการนำของเก่ามาใช้ใหม่ และเคยให้สัมภาษณ์ว่า ได้ออกเงิน 400 เหรียญต่อปีเพื่อปลูกต้นไม้ให้ป่าในประเทศโมซัมบิก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งประชาสัมพันธ์รายการฟิวเจอร์ฟอร์เรส[44][45] หลังจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Day After Tomorrow เขาได้บินไปแถบอาร์กติกเพื่อรณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อน[46][47]
ในเวลาว่าง จิลเลินฮอลนิยมทำงานฝีมือจากไม้ ทำอาหาร[48] ส่วนกิจกรรมอื่นเขาเคยกล่าวว่า "ผมไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่ก็พยายามฝึกสติ" และพยายามฝึกสมาธิทุกวัน[49]
เจก จิลเลินฮอลมีผลงานแสดงภาพยนตร์มาแล้ว 17 เรื่อง (ข้อมูลเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2550) โดยเริ่มอาชีพการแสดงตั้งแต่อายุ 11 ปีในเรื่อง City Slickers ส่วนผลงานล่าสุดคือเรื่อง Rendition แสดงร่วมกับ รีส วิธเธอร์สปูน ออกฉายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2550 นอกจากนั้นจิลเลินฮอลยังเคยพากย์เสียงให้กับภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องสั้นเรื่อง The Man Who Walked Between the Towers
ปี พ.ศ. | ภาพยนตร์ | บทบาท |
---|---|---|
2534 | City Slickers | แดนนี ร็อบบินส์ |
2536 | A Dangerous Woman | เอ็ดเวิร์ด |
Josh and S.A.M. | ลีออน | |
2541 | Homegrown | เจมส์ / บลู คาฮาน |
2542 | October Sky | โฮเมอร์ ฮิคแมน จูเนียร์ |
2544 | Donnie Darko | ดอนนี ดาร์โค |
Bubble Boy | จิมมี ลิฟวิงสตัน | |
Lovely & Amazing | จอร์แดน | |
2545 | Highway | ไพล็อท เคลสัน |
Moonlight Mile | โจ แนสต์ | |
The Good Girl | โธมัส 'โฮลเดน' เวิร์ธเธอร์ | |
2547 | วิกฤติวันสิ้นโลก (The Day After Tomorrow) | แซม ฮอลล์ |
2548 | หุบเขาเร้นรัก (Brokeback Mountain) | แจ็ค ทวิสต์ |
พลระห่ำสงครามนรก (Jarhead) | แอนโธนี สว็อฟฟอร์ด | |
Proof | ฮาโรลด์ 'ฮาล' ด็อบ์ส | |
2550 | Zodiac | โรเบิร์ต เกรย์สมิธ |
Rendition | ดักกลาส ฟรีแมน | |
2552 | บราเธอร์ส (Brothers) | ทอมมี คาฮิลล์ |
Nailed | ฮาวเวิร์ด เบิร์ดเวลล์ | |
2553 | Prince of Persia: The Sands of Time | เจ้าชายดัสแทน |
Damn Yankees[50] | บอยด์ | |
Love & Other Drugs[51] | เจมี ลีดี | |
2554 | Source Code | โคลเตอร์ |
2555 | End of Watch | ไบรอัน เทย์เลอร์ |
2556 | Prisoners | นักสืบ โลกิ |
Enemy | อดัม เบลล์ / แอนโธนี แคลร์ | |
2557 | เหยี่ยวข่าวคลั่ง ล่าข่าวโหด (Nightcrawler) | หลุยส์ "ลู" บลูม |
2558 | Accidental Love | ฮาวเวิร์ด |
สังเวียนเดือด (Southpaw) | บิลลี่ โฮป | |
เอเวอเรสต์ ไต่ฟ้าท้านรก (Everest) | สก็อตต์ ฟิชเชอร์ | |
2559 | Demolition | เดวิส มิทเชลล์ |
จิลเลินฮอลมีผลงานโดดเด่นที่สุดจากภาพยนตร์เรื่องหุบเขาเร้นรัก (Brokeback Mountain) จากบทบาทคาวบอยเกย์ "แจ็ค ทวิสต์" ได้รับรางวัลจาก 5 สถาบันใหญ่ นอกจากนั้นจิลเลินฮอลยังเคยได้รับรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง Donnie Darko จากโคลทรูดิส อวอร์ดส
ปี พ.ศ. | รางวัล | สาขา | ผล | ภาพยนตร์ |
---|---|---|---|---|
2544 | อินดีเพนเดนต์สปิริตอวอร์ด | นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม | เสนอชื่อเข้าชิง | Donnie Darko |
โคลทรูดิสอวอร์ดส | นักแสดงยอดเยี่ยม | ได้รับรางวัล | ||
2545 | ดีวีดีเอกซ์คลูซีฟอวอร์ดส | นักแสดงยอดเยี่ยม | เสนอชื่อเข้าชิง | Highway |
ทีนชอยส์อวอร์ดส | ชอยส์มูวีเบรกเอาท์สตาร์ - นักแสดงชาย | เสนอชื่อเข้าชิง | The Good Girl | |
ยังฮอลลีวูดอวอร์ดส | เบรกทรูเพอร์ฟอร์แมนซ์ - นักแสดงชาย | ได้รับรางวัล | ||
2549 | เอ็มทีวี มูวี่ อวอร์ดส | นักแสดงยอดเยี่ยม | ได้รับรางวัล | Brokeback Mountain (หุบเขาเร้นรัก) |
จูบยอดเยี่ยม | ได้รับรางวัล | |||
รางวัลของสมาคมนักแสดงอาชีพแห่งอเมริกา | นักแสดงสมทบยอดเยี่ยม | เสนอชื่อเข้าชิง | ||
กลุ่มนักแสดงยอดเยี่ยม | เสนอชื่อเข้าชิง | |||
เนชันนัลบอร์ดออฟรีวีว | นักแสดงสมทบยอดเยี่ยม | ได้รับรางวัล | ||
คริติคส์ชอยส์อวอร์ด | นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม | เสนอชื่อเข้าชิง | ||
รางวัลบาฟต้า | นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม | ได้รับรางวัล | ||
รางวัลออสการ์ | นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม | เสนอชื่อเข้าชิง | ||
แซทเทลไลต์อวอร์ดส | เอาท์สแตนดิง ซัพพอร์ติง แอคเตอร์ | เสนอชื่อเข้าชิง | ||
อเมริกันส์ฟอร์ดิอาร์ทสเนชันนัลอาร์ทสอวอร์ดส | ค.ศ. 2006 ยังอาร์ทิสต์อวอร์ดฟอร์อาร์ทิสติคเอ็กเซลเลนซ์ | ได้รับรางวัล | ||
แซทเทลไลต์อวอร์ดส | เอาท์สแตนดิงลีดแอคเตอร์ | เสนอชื่อเข้าชิง | Jarhead | |
2551 | ปาล์มสปริงส์ฟิล์มเฟสติวัล | รางวัลนักแสดงประสบความสำเร็จ | ได้รับรางวัล [52] | |
ทีนชอยส์อวอร์ดส | ชอยซ์มูวีแอกเตอร์ ประเภทดรามา | เสนอชื่อเข้าชิง | Rendition |
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.