อวตาร: วิถีแห่งสายน้ำ
ภาพยนตร์อเมริกัน ค.ศ. 2022 กำกับโดยเจมส์ แคเมอรอน / From Wikipedia, the free encyclopedia
อวตาร: วิถีแห่งสายน้ำ (อังกฤษ: Avatar: The Way of Water) เป็นภาพยนตร์อเมริกันแนวมหากาพย์บันเทิงคดีวิทยาศาสตร์ ฉายในปี ค.ศ. 2022 กำกับโดย เจมส์ แคเมอรอน และสร้างโดย ทเวนตีท์เซนจูรีสตูดิโอส์[6] เป็นภาพยนตร์เรื่องที่สองในแฟรนไชส์ อวตาร ของแคเมอรอน ต่อจาก อวตาร (ค.ศ. 2009) แคเมอรอนร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์กับ จอน แลนเดา และร่วมเขียนบทภาพยนตร์กับริก จาฟฟาและอแมนดา ซิลเวอร์ จากเนื้อเรื่องโดยแคเมอรอน, จาฟฟา, ซิลเวอร์, จอร์ช ฟรายด์แมนและเชน ซาเลอร์โน นักแสดง แซม เวิร์ธธิงตัน, โซอี ซาลแดนา และสตีเฟน แลง กลับมารับบทเดิมจากภาพยนตร์เรื่องแรก รวมถึง ซิกัวร์นีย์ วีเวอร์ กลับมาแสดงในบทบาทใหม่[7] และ เคต วินสเล็ต เข้าร่วมแสดง
อวตาร: วิถีแห่งสายน้ำ | |
---|---|
ไฟล์:Avatar The Way of Water poster.jpg ใบปิดภาพยนตร์ | |
กำกับ | เจมส์ แคเมอรอน |
บทภาพยนตร์ |
|
เนื้อเรื่อง |
|
อำนวยการสร้าง |
|
นักแสดงนำ | |
กำกับภาพ | รัสเซลล์ คาร์เพรเทอร์ |
ตัดต่อ |
|
ดนตรีประกอบ | ไซมอน แฟรงเลน |
บริษัทผู้สร้าง | |
ผู้จัดจำหน่าย | ทเวนตีท์เซนจูรีสตูดิโอส์ |
วันฉาย |
|
ความยาว | 192 นาที[1] |
ประเทศ | สหรัฐ |
ภาษา | อังกฤษ |
ทุนสร้าง | 350–460 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[2][3] |
ทำเงิน | 2.320 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[4][5] |
แคเมอรอนเคยกล่าวไว้เมื่อปี ค.ศ. 2006 ว่าเขาอยากจะสร้างภาคต่อของ อวตาร ถ้าภาพยนตร์ประสบความสำเร็จ หลังภาพยนตร์ประสบความสำเร็จ เขาได้ประกาศภาคต่อสองเรื่องเมื่อปี ค.ศ. 2010 โดยกำหนดให้ อวตาร 2 ฉายในปี ค.ศ. 2014[8][9][10] อย่างไรก็ตาม มีการประกาศสร้างภาคต่ออีกสามเรื่อง และความจำเป็นในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เพื่อถ่ายทำการจับการเคลื่อนไหวในฉากใต้น้ำ ซึ่งความสำเร็จที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้เกิดความล่าช้าอย่างมากเพื่อให้ทีมงานมีเวลามากขึ้นในการทำงานเขียนบท, ก่อนการสร้างและวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ ภาพยนตร์เลื่อนฉายถึงแปดครั้ง โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2020[11]
ภาพยนตร์ถ่ายทำเบื้องต้นที่ หาดแมนฮัตตัน, แคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 2017 ภาพยนตร์ถ่ายทำพร้อมกันกับ อวตาร 3 ใน นิวซีแลนด์ เมื่อวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 2017 และสิ้นสุดเมื่อปลายเดือนกันยายน ค.ศ. 2020 อวตาร: วิถีแห่งสายน้ำ ออกฉายในสหรัฐวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 2022 ภาคต่ออีกสามเรื่องจะออกฉายในปี ค.ศ. 2024, 2026 และ 2028 ตามลำดับ[12][13]
เช่นเดียวกับภาคแรก ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นและทำลายสถิติจากการฉายมากมาย โดยทำรายได้ 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในอันดับที่ 1 ของปี 2022 เป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาลเป็นอันดับที่ 3 และเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้ถึงหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐไวเป็นอันดับ 6 ตลอดกาลด้วยเวลาเพียง 14 วัน แทนที่ภาพยนตร์ภาคแรกที่ใช้เวลา 19 วัน เป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงการระบาดทั่วของโควิด-19 เป็นอันดับ 4 (ตามหลัง สไปเดอร์แมน: โน เวย์ โฮม, ท็อปกัน: มาเวอริค และ จูราสสิค เวิลด์ ทวงคืนอาณาจักร) เป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินมากกว่า 2 พันล้านเหรียญเป็นอันดับที่ 6 ของโลก เป็นเรื่องที่สองที่ทำเงินถึงภายในเวลาไม่ถึง 40 วัน
ภาพยนตร์ใช้งบประมาณ 350-460 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เจมส์ แคเมรอนกล่าวว่า ภาพยนตร์จะประสบความสำเร็จได้ต้องเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในสิบอันดับแรก จุดคุ้มทุนของหนังจึงอยู่ที่ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นไปตามเป้า และเดินหน้าไปอย่างมั่นคง ภาพยนตร์ได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกล้นหลามจากนักวิจารณ์ นักวิจารณ์ชื่นชมในงานสร้าง การสร้างเทคนิคพิเศษทางภาพ เทคนิคพิเศษที่ก้าวล้ำ งานเรียบเรียงภาพ การกำกับ และดนตรีประกอบ แต่วิจารณ์ในบทภาพยนตร์ที่บางเบา การเล่าเรื่อง และความยาวของหนัง[14] ภาพยนตร์ได้รับการส่งชื่อเข้าชิงรางวัลมากมายจากหลายสถาบันภาพยนตร์ รวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี 2022 ของสำนักรีวิว เช่นเดียวกับภาคแรก ภาพยนตร์ได้รับ รางวัลออสการ์ สาขาเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม ทำให้ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องในแฟรนไชน์ได้รับรางวัลดังกล่าว
ภาพยนตร์ทำรายได้ในประเทศไทย 700 ล้านบาท เป็นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดในประเทศไทยประจำปี 2022 และทำรายได้สูงสุดตลอดกาลในประเทศไทยเป็นอันดับ 5
ภาพยนตร์ภาคต่อ อวตาร: ผู้ถือครองเมล็ดพันธุ์ กำหนดฉายในสหรัฐวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2025 แคเมรอนเผย เขากำลังจะต้องทำภาคต่อตามที่สัญญาไว้ เมื่ออวตารภาคที่สองประสบความสำเร็จ ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์เรื่องที่ 4 และ 5 ด้วย ภาพยนตร์ภาคต่ออีกทั้งสองเรื่องกำลังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนา
ในปี ค.ศ.2023 จากความสำเร็จของภาพยนตร์ ทำให้บ็อบ ไอเกอร์ ผู้บริหารของเดอะวอลต์ดิสนีย์ ได้เผยว่ากำลังจะลงทุนกับแฟรนไชส์อย่างเต็มสูบ โดยแผนการดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับการเพิ่มยอดผู้สมัครสมาชิกของ ดิสนีย์+ โดยวางแผนจะสร้างสื่อต่าง ๆ ออกมานอกเหนือจากภาพยนตร์ภาคต่อสามเรื่อง และอาจจะทำการสร้างเรื่อง 6 และ 7 เพิ่มหากผลตอบรับดี
ภาพยนตร์ยังขึ้นแท่นเป็นภาพยนตร์ที่มีผู้ชมสูงสุดในดิสนีย์+ อเมริกาเหนือ รวมถึงเป็นภาพยนตร์ที่มียอดขายแผ่นสูงสุดของดิสนีย์อเมริกาเหนือ