สหประชาชาติ
From Wikipedia, the free encyclopedia
สหประชาชาติ (อังกฤษ: United Nations; อาหรับ: الأمم المتحدة; ฝรั่งเศส: Nations Unies; จีน: 联合国; รัสเซีย: Организация Объединённых Наций; สเปน: Naciones Unidas) เป็นองค์การระหว่างรัฐบาลที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ การพัฒนาความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างประเทศ บรรลุความร่วมมือระหว่างประเทศ และเป็นศูนย์กลางสำหรับการประสานงานของการกระทำของชาติต่าง ๆ[3] เป็นองค์การระหว่างรัฐบาลที่มีขนาดใหญ่ ที่มีความรู้สึกคุ้นเคย เป็นตัวแทนในระดับสากลมากที่สุด และทรงอำนาจมากที่สุดในโลก สหประชาชาตินั้นมีสำงานใหญ่ในดินแดนระหว่างประเทศในนครนิวยอร์ก โดยมีสำนักงานหลักอื่น ๆ ในเจนีวา ไนโรบี เวียนนา และเดอะเฮก
| |
---|---|
แผนที่แสดงรัฐสมาชิกสหประชาชาติ ประเทศที่องค์การสหประชาชาติรับรองว่ามีเอกราช โดยไม่คำนึงถึงมุมมองของรัฐสมาชิกอื่น หรือต่อสถานภาพทางกฎหมายของประเทศใด ๆ[2] | |
สำนักงานใหญ่ | เขตนานาชาติตั้งอยู่ในแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา |
ภาษาทางการ | ภาษาอาหรับ ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษารัสเซีย และภาษาสเปน |
รัฐสมาชิก | 193 ประเทศ |
ผู้นำ | |
อังตอนียู กูแตรึช | |
การก่อตั้ง | |
26 มิถุนายน ค.ศ. 1945 | |
• การบังคับใช้กฎบัตร | 24 ตุลาคม ค.ศ. 1945 |
สหประชาชาติได้ถูกก่อตั้งขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันการเกิดสงครามขึ้นในอนาคตและประสบความสำเร็จในสิ่งที่สันนิบาตชาติไม่มีประสิทธิภาพ[4] เมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1945 รัฐบาล 50 ประเทศได้พบกันที่ซานฟรานซิสโกเพื่อเข้าประชุมและเริ่มร่างกฎบัตรสหประชาชาติซึ่งได้ประกาศใช้ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1945 และมีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1945 เมื่อสหประชาติชาติได้เริ่มออกปฏิบัติการ ได้ดำเนินตามกฎบัตร วัตถุประสงค์ขององค์กร รวมทั้งการรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ การปกป้องสิทธิมนุษยชน การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน และค้ำจุนกฎหมายระหว่างประเทศ[5] ในช่วงการก่อตั้ง สหประชาชาตินั้นมีสมาชิกรัฐถึง 51 รัฐ จำนวนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็น 193 รัฐ ในปี ค.ศ. 2011[6] ซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐอธิปไตยเกือบทั้งหมดของโลก
ภารกิจขององค์กรในการรักษาสันติภาพของโลกนั้นมีความซับซ้อนในช่วงต้นทศวรรษที่ผ่านมาโดยสงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตและประเทศพันธมิตรของพวกเขา ภารกิจส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยผู้สังเกตการณ์ทางทหารที่ปราศจากอาวุธและกองกำลังทหารที่ติดอาวุธเบา โดยมีบทบาทหลักในการตรวจสอบ การรายงานและการสร้างความเชื่อมั่น[7] การเป็นสมาชิกสหประชาชาติได้เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลังการแยกตัวออกจากการเป็นอาณานิคมอย่างกว้างขวางในช่วงปี ค.ศ. 1960 ตั้งแต่นั้นมา อดีตอาณานิคม 80 ประเทศต่างได้รับเอกราช รวมทั้งดินแดนในภาวะทรัสตี 11 แห่งที่ได้รับการตรวจสอบโดยคณะมนตรีภาวะทรัสตี[8] ในปี ค.ศ. 1970 งบประมาณของสหประชาชาติสำหรับโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่สูงกว่าการใช้จ่ายทางด้านการรักษาสันติภาพ ภายหลังสงครามเย็นสิ้นสุดลง สหประชาชาติได้เปลี่ยนและขยายตัวการปฏิบัติการภาคสนามโดยดำเนินงานที่มีความซับซ้อนมากมาย[9]
สหประชาชาตินั้นมีเสาหลัก 6 ประการ ได้แก่ สมัชชาใหญ่ คณะมนตรีความมั่นคง คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม (ECOSOC) คณะมนตรีภาวะทรัสตี ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และสำนักเลขาธิการสหประชาชาติ ระบบยูเอ็นประกอบไปด้วยหน่วยงานพิเศษเป็นจำนวนมากมาย เช่น กลุ่มธนาคารโลก องค์การอนามัยโลก โครงการอาหารโลก องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (หรือเรียกอีกอย่างว่า ยูเนสโก) และกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (หรือเรียกอีกอย่างว่า ยูนิเซฟ) นอกจากนี้องค์การนอกภาครัฐอาจได้รับสถานะที่ปรึกษากับคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อเข้าร่วมในงานของยูเอ็น หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของสหประชาชาติคือ เลขาธิการ ปัจจุบันเป็นนักการเมืองและนักการทูตชาวโปรตุเกสที่มีชื่อว่า อังตอนียู กูแตรึช ซึ่งดำรงตำแหน่งมา 5 ปีในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2017 องค์การได้รับเงินสนับสนุนจากการประเมินราคาและบริจาคโดยสมัครใจจากประเทศสมาชิก
สหประชาชาติ มีเจ้าหน้าที่และหน่วยงานต่าง ๆ ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจำนวนมากมาย แม้ว่าจะมีการผสมผสานการประเมินประสิทธิภาพอื่น ๆ นักวิจารณ์บางคนเชื่อว่า องค์การนี้ที่จะเป็นพลังสำคัญสำหรับการพัฒนาสันติภาพและมนุษย์ ในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างเรียกว่า ไร้ประสิทธิภาพ มีความลำเอียง และทุจริต