![cover image](https://wikiwandv2-19431.kxcdn.com/_next/image?url=https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/6/65/Bronchiectasis_NHLBI.jpg/640px-Bronchiectasis_NHLBI.jpg&w=640&q=50)
หลอดลมโป่งพอง
From Wikipedia, the free encyclopedia
หลอดลมโป่งพอง (อังกฤษ: bronchiectasis) คือภาวะที่บางส่วนของทางหายใจในปอดขยายขนาดขึ้นอย่างถาวร[5] ผู้ป่วยมักมีอาการไอเรื้อรังแบบมีเสมหะ[3] อาการอื่นๆ เช่น หายใจลำบาก ไอเป็นเลือด และเจ็บหน้าอก[2] อาจมีอาการหายใจมีเสียงหวีดหรือนิ้วปุ้มร่วมด้วยก็ได้ ผู้ป่วยโรคนี้อาจมีการติดเชื้อในปอดซ้ำได้บ่อยๆ[8]
หลอดลมโป่งพอง (Bronchiectasis) | |
---|---|
![]() | |
ภาพ A แสดงให้เห็นภาพตัดขวางของปอดที่มีทางหายปกติและปอดที่มีทางหายใจโป่งพอง ภาพ B แสดงให้เห็นภาพตัดขวางของทางหายใจปกติ ภาพ C แสดงให้เห็นภาพตัดขวางของทางหายใจที่เป็นหลอดลมโป่งพอง | |
การออกเสียง | |
สาขาวิชา | วิทยาปอด |
อาการ | ไอมีเสมหะ, หายใจลำบาก, เจ็บหน้าอก[2][3] |
การตั้งต้น | ค่อยเป็นค่อยไป[4] |
ระยะดำเนินโรค | ระยะยาว[5] |
สาเหตุ | การติดเชื้อ, ซิสติกไฟโบรซิส, โรคพันธุกรรม, ไม่ทราบสาเหตุ[3][6] |
วิธีวินิจฉัย | วินิจฉัยจากอาการ, ซีทีสแกน[7] |
โรคอื่นที่คล้ายกัน | โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง, โรคปอดจากแร่ใยหิน, ท่อลมและหลอดลมอ่อน |
การรักษา | ยาปฏิชีวนะ, ยาขยายหลอดลม, การปลูกถ่ายปอด[3][8][9] |
ความชุก | 1–250 ต่อ 250,000 ประชากร (ผู้ใหญ่)[10] |
หลอดลมโป่งพองอาจเป็นผลจากโรคติดเชื้อหรือโรคที่ไม่ได้เป็นมาตั้งแต่กำเนิดได้หลายอย่าง เช่น ปอดอักเสบ วัณโรค ภูมิคุ้มกันผิดปกติ และอาจเป็นจากโรคทางพันธุกรรมตั้งแต่กำเนิด เช่น ซิสติกไฟโบรซิส[11][3][12] ซึ่งผู้ป่วยซิสติกไฟโบรซิสแทบทุกคนในที่สุดแล้วจะมีภาวะหลอดลมโป่งพองรุนแรงตามมาได้[13] หากไม่นับรายที่เกิดจากซิสติกไฟโบรซิสแล้วผู้ป่วยหลอดลมโป่งพองร้อยละ 10-50 เกิดขึ้นโดยที่ไม่พบสาเหตุ[3] กลไกของโรคนี้คือเกิดการอักเสบมากเกินไปจนทางหายใจถูกทำลาย[3] หลอดลมที่ได้รับผลกระทบจะขยายใหญ่และสูญเสียความสามารถในการระบายสารคัดหลั่ง[3] สารคัดหลั่งเหล่านี้จะทำให้มีเชื้อแบคทีเรียในเนื้อปอดมากขึ้น ทำให้เกิดการอุดตันทางหายใจ และทำลายทางหายใจให้แย่ลงไปอีก[3] โรคนี้ถือเป็นโรคปอดอุดกั้นชนิดหนึ่ง โรคอื่นๆ ในกลุ่มนี้ เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) และโรคหืด[14] การวินิจฉัยเริ่มจากการสงสัยจากอาการ และยืนยันการวินิจฉัยด้วยการทำซีทีสแกน[7] การเพาะเชื้อจากเสมหะอาจมีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยรายที่มีอาการแย่ลงโดยเฉียบพลัน และควรทำอย่างน้อยปีละครั้ง[7]