Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ลิงลม หรือ นางอาย หรือ ลิงจุ่น (อังกฤษ: Slow lorises, Lorises; อินโดนีเซีย: Kukang) เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสกุลหนึ่ง ในวงศ์ Lorisidae ในอันดับไพรเมต (Primates) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nycticebus (/นิค-ติ-ซี-บัส/)
ลิงลม ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: ต้นยุคอีโอซีน-ปัจจุบัน, 50.0–0Ma [1] | |
---|---|
ลิงลมเบงกอล หรือ ลิงลมเหนือ (Nycticebus bengalensis) | |
ใบหน้าของลิงลมแต่ละชนิดที่มีลายเส้นขีดไม่เหมือนกัน | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Animalia |
ไฟลัม: | Chordata |
ชั้น: | Mammalia |
อันดับ: | Primates |
วงศ์: | Lorisidae |
วงศ์ย่อย: | Lorisinae |
สกุล: | Nycticebus E. Geoffroy, 1812 |
ชนิดต้นแบบ | |
Tardigradus coucang Boddaert, 1785[3] | |
ชนิด | |
| |
แผนที่แสดงการกระจายพันธุ์ของลิงลมแต่ละชนิด (สีแดง: N. pygmaeus, สีน้ำเงิน: N. bengalensis, สีน้ำตาล: N. coucang, N. javanicus, N. menagensis) | |
ชื่อพ้อง[4][5] | |
|
ลิงลม โดยปกติแล้วที่เคลื่อนไหวได้เชื่องช้ามาก แต่จะว่องไวในเวลากลางคืน เมื่อหาอาหาร และเวลาที่โดนลมพัด อันเป็นที่มาของชื่อ เมื่อตกใจจะเอาแขนซุกใบหน้าไว้ อันเป็นที่มาของชื่อสามัญในภาษาไทยอีกเช่นกัน [6]
โดยคำว่า "Loris" (/ลอ-ริส/) ในภาษาอังกฤษนั้น มาจากภาษาดัตช์คำว่า "Loeris" อันหมายถึง "ตัวตลกในละครสัตว์"[7] ในขณะที่ภาษาจีนจะเรียกลิงลมว่า "懒猴" (พินอิน: Lǎn hóu) หมายถึง "ลิงขี้เกียจ" อันเนื่องจากการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้า[8]
ลิงลมมีรูปร่างโดยรวม คือ มีขนนุ่มสั้นเหมือนกำมะหยี่ ลำตัวป้อมกลมอ้วน รูปร่างหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตา มีตากลมโต มีจำนวนฟันและเขี้ยวที่เขียนเป็นสูตรได้ว่า [9] [10] สีขนมีความหลากหลายแตกต่างกันตามสภาพพื้นที่ที่อยู่อาศัย และแต่ละชนิด บางชนิดจะมีรอยขีดคาดตามใบหน้า, ส่วนหัว, ดวงตา และเส้นกลางหลัง อันเป็นลักษณะสำคัญในการแบ่งแยกชนิด มีส่วนหางที่สั้นมากจนดูเหมือนไม่มีหาง น้ำหนักเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 1 กิโลกรัม
นอกจากนี้แล้ว ลิงลมยังเป็นสัตว์ที่มีลิ้น 2 ลิ้น คือ ลิ้นสั้น กับ ลิ้นยาว ใช้ประโยชน์ในการกินอาหารแตกต่างกัน รวมถึงมีกระดูกสันหลังที่มีลักษณะพิเศษที่สามารถบิดตัวได้คล้ายงูอีกด้วย จึงใช้ในการปีนป่ายต้นไม้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งสภาพของขนและสียังสามารถแฝงตัวให้กลมกลืนกับธรรมชาติได้ด้วย
ซึ่งลิงลมเป็นสัตว์ที่มีวิวัฒนาการเช่นนี้มานานกว่า 50 ล้านปีมาแล้ว[1]
ปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 8 ชนิด[11][12] ได้แก่ (ในอดีตถูกแบ่งเพียง 2 หรือ 3 หรือเคยเชื่อว่ามีเพียงชนิดเดียว แต่จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์พบว่าอาจมีได้ถึง 12 ชนิด[1])[13] [14]
โดยที่ทุกชนิดนั้นกระจายพันธุ์อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศอินเดีย จนถึงหมู่เกาะต่าง ๆ ในอินโดนีเซีย มีพฤติกรรมอาศัยอยู่ตามลำพังตัวเดียว โดยปีนป่ายหากินตามต้นไม้ในเวลากลางคืน จับแมลง, สัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก และไข่นกกินเป็นอาหารหลัก และมีผลไม้บางชนิดเป็นอาหารรองลงไป แต่ก็สามารถกินสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น ค้างคาว หรือ นกที่หลับบนกิ่งไม้เป็นอาหารได้ด้วย ตัวผู้มักจะกินน้ำในปริมาณที่มาก และถ่ายปัสสาวะไว้ซึ่งมีกลิ่นรุนแรงมาก เพื่อประกาศอาณาเขต โดยลิงลมจะมีกระดูกสันหลังแบบพิเศษ และมีมือที่เก็บซ่อนนิ้วเพื่อให้จับเหยื่อและเคลื่อนที่ไปทั่วได้โดยไม่เป็นที่สังเกต นิ้วชี้ของขาหลังมีเล็บยาวปลายแหลมเห็นได้ชัด ขาหน้าและขาหลังสั้นแต่แข็งแรง นอกจากนี้ยังมีพิษที่มีสภาพคล้ายน้ำมันที่ซ่อนอยู่ในข้อศอก มีฤทธิ์ในการทำลายเนื้อเยื่อ ลิงลมจะใช้ผสมกับน้ำลายเมื่อกัด ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพียงจำพวกเดียวที่มีพิษ พิษนี้มีความร้ายแรงถึงขนาดมีมนุษย์เสียชีวิตมาแล้วจากการถูกกัดในประเทศพม่า และไทย [1]
ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของการมีพิษนี้ แต่พิษนี้ใช้ประโยชน์ได้ในการล่าเหยื่อ หรืออาจจะใช้ประโยชน์ในการกำจัดปรสิตตามตัว เพราะลิงลมจะไม่มีเห็บหรือหมัดตามตัวเหมือนสัตว์ในอันดับไพรเมตจำพวกอื่น เคยมีข้อสันนิษฐานว่าลิงลมอาจจะได้พิษนี้มาจากแมลงหรือแมงมีพิษจำพวกต่าง ๆ ที่กินเป็นอาหาร เช่น มด และกิ้งกือ ซึ่งเป็นอาหารโปรดของลิงลม เพราะพบพิษลักษณะเดียวกันนี้ในมดและกิ้งกือ อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้อีกว่า มีพิษไว้สำหรับสู้กับลิงลมเพศเดียวกันตัวอื่น โดยเฉพาะตัวผู้ เพื่อประกาศอาณาเขตและแย่งชิงคู่ครอง เพราะลิงลมจะต่อสู้กันเองด้วยการกัดและเหวี่ยงอย่างรุนแรง ซึ่งอาจบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นตายได้[1]
ลิงลมสถานะในปัจจุบัน อยู่ในสถานะที่ใกล้สูญพันธุ์แล้วในธรรมชาติ ด้วยความน่ารักจึงมักถูกจับไปเป็นสัตว์เลี้ยงบ่อย ๆ โดยผู้ขายหรือผู้เลี้ยงมักจะตัดเขี้ยวหรือฟันหน้าออกทั้งซี่บนและล่าง โดยที่เหลือรากฟันอยู่ เพื่อมิให้ถูกกัด ซึ่งลิงลมบางตัวอาจจะติดเชื้อจากขั้นตอนนี้ทำให้ตายได้ ซึ่งลิงลมถูกจัดเป็นสัตว์ป่าที่มีการลักลอบขายกันมากเป็นอันดับหนึ่ง[15] ขณะที่บางพื้นที่มีการจับนำไปทำเป็นยาบำรุงตามความเชื่อ[16]
นอกเหนือจากความเชื่อที่ว่าเมื่อรับประทานแล้วจะเป็นยาบำรุงของชาวจีนแล้ว[16] ชาวพื้นเมืองบนเกาะชวาตะวันออก มีคำสั่งสอนสืบต่อกันจากรุ่นสู่รุ่นว่า เมื่อเข้าไปในป่า จงหลีกเลี่ยงลิงลมเพราะเป็นสัตว์อันตราย เนื่องจากเป็นสัตว์ที่มีพิษร้ายและยังไม่มียาใดรักษา การครอบครองกระดูกลิงลมจะนำมาซึ่งโชคร้าย อีกทั้งยังมีการอาบใบมีดด้วยเลือดของลิงลมก่อนจะนำไปใช้เป็นอาวุธในการสงคราม เพราะจะทำให้ศัตรูเจ็บและไม่มียารักษา และมีนิทานพื้นบ้านเล่าว่า ภรรยาสามารถควบคุมผู้เป็นสามีได้ด้วยหัวกะโหลกของลิงลมที่แช่ไว้ในเหยือกน้ำอีกด้วย[1]
ในพื้นที่ภาคกลางตอนบนของไทย มีการละเล่นพื้นบ้านแบบทรงเจ้าเข้าผีเรียกว่า "ผีลิงลม" โดยการเป็นการอัญเชิญผีลิงลมเข้าสิงร่างผู้ทรง ผู้ที่เข้าทรงนั้นจะมีความว่องไว สมชื่อลิงลม เป็นการละเล่นที่นิยมเล่นกันในช่วงเทศกาลสงกรานต์[17] นายพรานบางคนมีความเชื่อผิด ๆ ว่าลิงลมเป็นตัวนำโชคร้าย ถ้าเข้าป่าล่าสัตว์แล้วเห็นลิงลมจะไม่เห็นสัตว์อื่นให้ล่า ลิงลมจึงถูกยิงทิ้งด้วยความชิงชังเสียมาก[ต้องการอ้างอิง]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.