Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สโมสรฟุตบอลยูเวนตุส (อิตาลี: Juventus Football Club) หรือที่เรียกอย่างย่อว่า "ยูเว (Juve)" เป็นทีมฟุตบอลอาชีพของประเทศอิตาลี ปัจจุบันเล่นอยู่ในเซเรียอาลีกสูงสุดของประเทศ ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1897 โดยกลุ่มนักเรียนในเมืองตูริน และสโมสรใช้ชุดแข่งสีขาวและสีดำเป็นหลักมาตั้งแต่ ค.ศ. 1903 ยูเวนตุสเคยใช้สนามเหย้ามาหลายแห่งตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร โดยสนามปัจจุบันคือสนามกีฬายูเวนตุส มีความจุ 41,507 ที่นั่ง สโมสรมีชื่อเรียกในภาษาอิตาลีว่า "la Vecchia Signora" หมายถึง "หญิงชรา" ถือเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอิตาลี โดยชนะเลิศลีกลีกสูงสุด 36 สมัย, โกปปาอีตาเลีย 15 สมัย, ซูแปร์โกปปาอีตาเลียนา 9 สมัยซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในทุกรายการ และสำหรับการแข่งขันระดับทวีป ยูเวนตุสชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปและอเมริกาใต้ 2 สมัย, ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2 สมัย, ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 1 สมัย, ยูฟ่ายูโรปาลีก 3 สมัย, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2 สมัย และเป็นหนึ่งในสองสโมสรของอิตาลีที่ชนะเลิศยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ (1 สมัย)[1] ยูเวนตุสจึงถือเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาลตามการจัดอันดับของสหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี รวมทั้งอยู่ในอันดับที่ 6 ในทวีปยุโรป และอันดับ 12 ของโลกในแง่ของการชนะเลิศถ้วยรางวัลระดับทวีป และอยู่ในอันดับ 4 จากการจัดอันดับโดยสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป ยูเวนตุสเป็นสโมสรยุโรปที่มีค่าสัมประสิทธิ์สูงที่สุดในช่วง 7 ฤดูกาลแรก นับตั้งแต่เริ่มมีการนำระบบดังกล่าวมาคำนวณครั้งแรกใน ค.ศ. 1979
ชื่อเต็ม | Juventus Football Club | |||
---|---|---|---|---|
ฉายา | La Vecchia Signora (หญิงชรา) La Fidanzata d'Italia (แฟนสาวแห่งอิตาลี) Bianconeri (ขาว-ดำ) Juve Le Zebre (ม้าลาย) | |||
ก่อตั้ง | 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1897 | |||
สนาม | สนามกีฬายูเวนตุส | |||
ความจุ | 42,000 | |||
ประธาน | อันเดรอา อันเจลนี | |||
ผู้จัดการ | ตีอาโก มอตตา | |||
ลีก | เซเรียอา | |||
2023–24 | อันดับที่ 3 | |||
เว็บไซต์ | เว็บไซต์สโมสร | |||
| ||||
สโมสรก่อตั้งในชื่อ สปอร์ต คลับ ยูเวนตุส พวกเขาเป็นสโมสรอาชีพที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับสองของอิตาลี โดยเป็นรองเพียงสโมสรคริกเกตและฟุตบอลเจนัว (ค.ศ. 1893) และลงแข่งขันในอิตาเลียนฟุตบอลแชมเปียนส์ชิพ (ปัจจุบันคือเซเรียอา) ทุกฤดูกาลนับตั้งแต่ก่อตั้งฟุตบอลลีกใน ค.ศ. 1900 ยกเว้นในฤดูกาล 2006–07 ซึ่งสโมสรต้องตกชั้น นับตั้งแต่ ค.ศ. 1923 ยูเวนตุสอยู่ภายใต้การบริหารโดยตระกูลอันเญลลี หนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก สโมสรยังมีความสัมพันธ์อันดีกับราชวงศ์อิตาลี ส่งผลให้พวกเขากลายเป็นสโมสรกีฬาอาชีพสโมสรแรก ๆ ของอิตาลี โดยสถาปนาตนเองขึ้นมาเป็นสโมสรชั้นนำของประเทศตั้งแต่ทศวรรษ 1930 และกลายเป็นหนึ่งในทีมชั้นนำของฟุตบอลยุโรปตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ก่อนจะกลายเป็นหนึ่งในสิบสโมสรที่มีมูลค่าทีมและผลกำไรสูงสุดของโลกตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990 สโมสรได้จดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์อิตาลีตั้งแต่ ค.ศ. 2001[2]
สโมสรชนะเลิศถ้วยรางวัล 13 รายการภายใต้การคุมทีมของโจวันนี ตราปัตโตนีในช่วงปลายทศวรรษ 1970 จนถึงกลางทศวรรษ 1980 ซึ่งรวมถึงการชนะเลิศเซเรียอาหกสมัย และรายการระดับทวีปอีกห้ารายการ และกลายเป็นสโมสรแรกของทวีปที่ชนะการแข่งขันสามรายการหลักของยูฟ่าครบทั้งสามรายการ ได้แก่: ยูฟ่าคัพ ฤดูกาล 1976–77 (เป็นสโมสรแรกที่มาจากทวีปยุโรปตอนใต้ที่ชนะเลิศ), ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ ฤดูกาล 1983–84 และฟุตบอลยูโรเปียนคัพ (ปัจจุบันคือยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก) ฤดูกาล 1984–85 และยังชนะเลิศยูโรเปียนคัพซูเปอร์คัพใน ค.ศ. 1984 และ อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ ค.ศ. 1985 ส่งผลให้ยูเวนตุสเป็นสโมสรเดียวในประวัติศาสตร์ที่ชนะเลิศถ้วยรางวัลสำคัญทั้งห้ารายการดังกล่าว[3] ต่อมาใน ค.ศ. 1999 ภายใต้การคุมทีมโดยมาร์เชลโล ลิปปี ยูเวนตุสชนะเลิศรายการยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ ส่งผลให้พวกเขาเป็นสโมสรเดียวในอิตาลี ที่ชนะเลิศการแข่งขันทุกรายการที่จัดแข่งขันโดยคณะกรรมการสมาคมฟุตบอลระหว่างประเทศในนามทีมชุดใหญ่ ยูเวนตุสได้รับการจัดอันดับโดยสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2000 ให้อยู่ในอันดับเจ็ดของสโมสรฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งศตวรรษ อีกเก้าปีต่อมา พวกเขาได้รับการจัดอันดับโดยสหพันธ์ประวัติศาสตร์และสถิติฟุตบอลนานาชาติ ให้เป็นสโมสรฟุตบอลที่ดีที่สุดเป็นอันดับสองในยุโรป ซึ่งถือเป็นอันดับที่ดีที่สุดของสโมสรอิตาลีในการจัดอันดับทั้งสองประเภท
ยูเวนตุสเป็นสโมสรที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในประเทศ รวมทั้งเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีจำนวนผู้ติดตามมากที่สุดในโลก[4] และสิ่งที่แตกต่างจากสโมสรกีฬาอื่น ๆ ในยุโรปคือ กลุ่มผู้สนับสนุนของยูเวนตุสกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ มิได้กระจุกตัวอยู่เพียงแต่ในเมืองที่ตั้งเท่านั้น ส่งผลให้สโมสรเป็นสัญลักษณ์ตรงข้ามของ กัมปานีลิสโม (campanilismo)[5] ซึ่งหมายถึง ลัทธิจังหวัดนิยม และยังมีการเปรียบเปรยว่ายูเวนตุสเป็นสโมสรที่สะท้อนความเป็นอิตาลี (Italianness) มากที่สุด ผู้เล่นยูเวนตุสจำนวนแปดรายได้รับบาลงดอร์ โดยเป็นการชนะรางวัลสี่ครั้งติดต่อกันตั้งแต่ ค.ศ. 1982–85 โดยปาโอโล รอสซี และ ตำนานอย่างมีแชล ปลาตีนี นอกจากนี้ โอมาร์ ซิโบริ ยังถือเป็นผู้เล่นสัญชาติอิตาลีและผู้เล่นจากเซเรียอาคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ใน ค.ศ. 1961 และสองนักเตะตำนานอย่างโรแบร์โต บัจโจ และ ซีเนดีน ซีดาน ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปี ยูเวนตุสยังเป็นสโมสรที่มีผู้เล่นทีมชาติอิตาลีมากกว่าสโมสรอื่น นักเตะหลายรายเป็นกำลังหลักในการแข่งขันระดับเมเจอร์ อาทิ การชนะเลิศฟุตบอลโลก 1934, ฟุตบอลโลก 1982 และ ฟุตบอลโลก 2006 รวมทั้งฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป
ยูเวนตุสก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1897 ในชื่อ สปอร์ต คลับ ยูเวนตุส โดยกลุ่มนักเรียนจากโรงเรียน มัสซิโม เด อาเซกีโล ในเมืองตูริน หนึ่งในนั้นได้แก่ ยูเจนีโอ กันฟารี และ เอนริโก กันฟารี[6] ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็นเป็น สโมสรฟุตบอลยูเวนตุส ในเวลาอีกสองปีถัดมา[7] สโมสรได้เข้าร่วมการแข่งขัน อิตาเลียนฟุตบอลแชมเปียนส์ชิพ (ปัจจุบันคือเซเรียอา) ครั้งแรกใน ค.ศ. 1900 การแข่งขันนัดแรกของสโมสรเกิดขึ้นในวันที่ 11 มีนาคม และจบลงด้วยความปราชัยต่อสโมสรโตริเนเซด้วยผลประตู 0–1[8] ต่อมาใน ค.ศ. 1904 มาร์โก อัจโมเน มาร์ซัน นักธุรกิจได้เข้ามาฟื้นฟูฐานะทางการเงินของสโมสร ส่งผลให้ยูเวนตุสย้ายสนามฝึกซ้อมจาก ปิอัสซา ดี อาร์มี ไปยังสนามเวโลโดรโมอัมเบรโต I ในช่วงเวลสนั้น ยูเวนตุสใช้สีชมพูและสีดำเป็นสีหลักของชุดแข่ง พวกเขาชนะการแข่งขันอิตาเลียนฟุตบอลแชมเปียนส์ชิพเป็นครั้งแรกใน ค.ศ 1905 และเปลี่ยนสีประจำทีมเป็นสีขาวและสีดำลายทาง และกางเกงสีดำ ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากสโมสรฟุตบอลในประเทศอังกฤษอย่าง สโมสรฟุตบอลนอตส์เคาน์ตี[9]
ใน ค.ศ. 1906 สโมสรได้มีการแยกทางกับพนักงาน และนักเตะบางส่วนออกไปเนื่องจากต้องการออกไปจากเมืองตูริน[7] ประธานสโมสรชาวสวิสในขณะนั้นอย่าง อัลเฟรท ดิก จึงไม่พอใจและตัดสินใจแยกตัวออกไปพร้อมนักเตะแกนหลักบางราย เพื่อไปก่อตั้งสโมสรฟุตบอลโตรีโนซึ่งได้กลายมาเป็นคู่แข่งของยูเวนตุสในเวลาต่อมา และเป็นที่มาของแดร์บีเดลลาโมเล[10] ยูเวนตุสต้องใช้เวลาในการสร้างทีมขึ้นมาใหม่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง[11]
หลังจากนั้นเจ้าขององค์กรธุรกิจรถยนต์ (เฟียต)ในเมืองตูรินอย่าง เอโดอาร์โด อเกลลี ได้เข้ามาควบคุมกิจการของสโมสรในช่วง ค.ศ. 1923 และได้มีการสร้างสนามเหย้าใหม่ขึ้น (เนื่องจากสนามเดิมได้มีการพังทลายจากเหตุสงครามโลก)[7] พวกเขาได้ช่วยให้สโมสรคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้งใน ค.ศ. 1926 ด้วยการชนะ อัลบา โรมา ไปถึง 12–1 ด้วยการทำประตูของ อันโตนีโอ โวจาค ซึ่งเป็นนักเตะยอดเยี่ยมของฤดูกาล 1925–26[9] หลังจากนั้นสโมสรได้เป็นกำลังสำคัญในวงการฟุตบอลอิตาลีตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930 เป็นต้นมาและได้กลายเป็นสโมสรมืออาชีพครั้งแรกของประเทศและเป็นสโมสรแรกที่มีแฟนคลับกระจายอยู่หลายประเทศ[12][13] ในขณะนั้นสโมสรอยู่ภายใต้การคุมทีมของ การ์โล การ์ซาโน อดีตผู้จัดการทีมชาตอิตาลี ซึ่งเขาสามารถนำยูเวนตุสได้แชมป์ลีกในระดับประเทศได้ถึง 4 สมัยติดต่อกันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 ถึง ค.ศ. 1934 และในช่วงนั้นมีนักเตะระดับสตาร์ชื่อดังมากมายของสโมสรอาทิเช่น ไรมุนโด ออร์ซิ, ลูอิกี เบอร์โทลินี, จิโอวานนี เฟอร์รารี, ลุยส์ มอนตี และอื่น ๆ อีกมากมาย
สโมสรได้ย้ายไปใช้สนามเหย้าใหม่คือ สตาดีโอโอลิมปิกโกดิโทริโน เป็นสนามเหย้าในช่วง ค.ศ. 1933.แต่หลังจากนั้นในช่วงทศวรรษที่ 1940 เป็นต้นมา สโมสรไม่สามารถคว้าแชมป์รายการใหญ่มาได้เลย หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง กีอันนี อักเนลลี ได้เขามารับตำแหน่งประธานสโมสร[7]ต่อมา สโมสรก็สามารถคว้าแชมป์ลีกมาได้อีก 2 สมัยในช่วงฤดูกาล 1949–50 และ 1951–52 โดยในช่วงนั้นสโมสรได้อยู่ภายใต้การคุมทีมของ เจสเซ คาร์เวอร์ ผู้จัดการทีมชาวอังกฤษ ในฤดูกาล 1957–58 สโมสรได้เซ็นสัญญากับสองกองหน้าชื่อดังอย่าง โอมาร์ ซีโบรี นักเตะลูกครึ่งอิตาลี-อาร์เจนตินา และ จอห์น คาร์เลส นักเตะชาวเวลส์ โดยพวกเขาได้เล่นรวมกับ กีอัมปีเอโร โบนีเปอร์ตี นักเตะชื่อดังของสโมสรในเวลานั้น โดยทั้งสามคนเป็นกำลังสำคัญของยูเวนตุสมาโดยตลอด ต่อมา นักเตะใหม่อย่างซีโบรีก็เป็นนักเตะคนแรกของสโมสรที่ได้รับรางวัล นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป ใน ค.ศ. 1961 ในปีเดียวกันนั้นพวกเขาชนะฟีออเรนตีนา คว้าแชมป์เซเรียอามาครองได้เป็นสมัยที่ 11 และคว้าแชมป์โกปปาอีตาเลียได้ในฤดูกาลเดียวกัน ประวัติศาสตร์คว้าแชมป์สองรายการหลักพร้อมกันเป็นครั้งแรกของสโมสร และโบนีเปอร์ตี ผู้ทำประตูสูงสุดของสโมสร ณ เวลานั้น ตัดสินใจเกษียณตนเองจากการเป็นนักฟุตบอล เขาจากไปพร้อมสร้างสถิติทำประตูสูงสุดทั้งหมด 182 ประตู[14]
ทศวรรษต่อมา สโมสรคว้าแชมป์ลีกได้เพียงครั้งเดียวในฤดูกาล 1966–67[9] ต่อมา ในทศวรรษ 1970 ยูเวนตุสกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง พวกเขาได้เพิ่มความแข็งแกร็งในแต่ละตำแหน่งให้มากขึ้น รวมถึงการเซ็นสัญญากับ เซสเมียรฺ์ เวียฟซาปาเลก ผู้จัดการทีมชาวเช็ก ซึ่งนำยูเวนตุสคว้าแชมป์เซเรียอาได้อีกในฤดูกาล 1971–72 และ 1972–73[9] โดยมีนักเตะชื่อดัง อาทิ โรแบร์โต เบตเตกา, ฟรานโก กาอูซีโอ และ โชเซ อัลตาฟีนี ในช่วงที่เหลือของทศวรรษที่ 70 สโมสรได้แชมป์ลีกเพิ่มอีกถึว 5 สมัย โดยมีกองหลังตัวหลักอย่าง เกเอตาโน ซีซ์เรีย ผู้จัดการทีม ณ ขณะนั้นคือ จีโอวานนี ตราปัตโตนี เป็นคนที่ช่วยนำสโมสรใหก้าวสู่ความยิ่งใหญ่อย่างต่อเนื่องจนถึงทศวรรษที่ 80[15] ยูเวนตุสยังชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรกในยูฟ่าคัพฤดูกาล 1976–77 โดยเอาชนะอัตเลติกเดบิลบาโอด้วยกฎการยิงประตูทีมเยือน หลังจากเสมอกันสองนัดด้วยผลประตู 2–2
ในยุคของตราปาตโตนีเป็นยุคที่สโมสรประสบความสำเร็จมากที่สุด ซึ่งอยู่ในช่วงยุค ค.ศ. 1980 สโมสรเริ่มต้นได้ดีในช่วงทศวรรษใหม่ด้วยการคว้าแชมป์ลีก 3 สมัย โดยใน ค.ศ. 1984[9] สโมสรสามารถคว้าแชมป์ลีกได้เป็นสมัยที่ 20 และได้รับอนุญาตจากสมาพันธ์ฟุตบอลอิตาลีให้เพิ่มสัญลักษณ์รูปดาวสีทองดวงที่สองบนเสื้อแข่งของสโมสร[15] ต่อมา นักเตะอย่าง เปาโล รอสซี ได้รับเกียรติประวัติครั้งสำคัญอย่าง นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป เนื่องจากเขาเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญในการนำทีมชาติอิตาลีคว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก 1982 ซึ่งเขาทำผลงานโดดเด่นจนได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์[16]
นักเตะชาวฝรั่งเศสของสโมสรอีกคนอย่าง มีแชล ปลาตีนี ก็ถูกเสนอชื่อเป็นนักเตะยอดเยี่ยมอีกคน ซึ่งเขาก็สามารถคว้ารายการนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรปได้ถึง 3 สมัยติดต่อกันในปี 1983, 1984 และ 1985[17] โดยยูเวนตุสเป็นสโมสรเดียวที่มีนักเตะจากสโมสรคว้ารางวัลดังกล่าว 4 ปีติดต่อกัน[17] การแข่งขันนัดสำคัญของปลาตีนีคือรอบชิงชนะเลิศ ยูโรเปียนส์คัพ ฤดูกาล 1985 ซึ่งเขาช่วยให้สโมสรเอาชนะลิเวอร์พูลสโมสรฟุตบอลชื่อดังจากอังกฤษไปด้วยผลประตู 1–0 ทำให้ยูเวนตุสสามารถคว้าแชมป์ ยูโรเปียนส์คัพ มาเป็นสมัยแรกของสโมสรได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ยังมีโศกนาฏกรรมที่แฟนบอลทุกคน ณ ขณะนั้นยังจำกันไม่ได้ลืม[18] จาก้หตุการณ์ภัยพิบัติเฮย์เซล โดยแฟนฟุตบอลทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันส่งผลให้อัฒจันทร์พังลงมาส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 39 คน
ในปีนี้เป็นปีที่ยูเวนตุสกลายเป็นสโมสรแรกในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลยุโรปที่ได้รับรางวัลทั้งสามที่สำคัญการแข่งขันของยูฟ่า[19][20] และหลังจากที่ประสบความสำเร็จในการแข่งขันอินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ ค.ศ. 1985 ส่งผลให้ยูเวนตุสเป็นสโมสรเดียวในประวัติศาสตร์ที่ชนะเลิศถ้วยรางวัลสำคัญทั้งห้ารายการที่จัดโดยสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป[3][21] ต่อมา สโมสรยังชนะการแข่งขันที่จัดโดยยูฟ่าเป็นรายการที่หก หลังจากคว้าแชมป์ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ
สโมสรคว้าแชมป์เซเรียอา เพิ่มได้ในฤดูกาล 1985–86 ซึ่งเป็นแชมป์สมัยที่ 22 ของสโมสรและเป็นแชมป์สุดท้ายในการคุมทีมของตราปาตโตนี โดยในช่วงที่เหลือของทศวรรษ 1980 ยูเวนตุสไม่ประสบความเร็จเท่าไรนัก เนื่องจากถูกท้าชิงโดยคู่อริอย่างนาโปลีซึ่งมีนักเตะตำนานอย่างดิเอโก มาราโดนา รวมทั้งสองสโมสรใหญ่จากเมืองมิลานทั้งเอซีมิลานและอินเตอร์ แต่ยูเวนตุสยังคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยได้สองรายการด้วยแชมป์โกปปาอิาตาเลียฤดูกาล 1989–90 ต่อด้วยแชมป์ยูฟ่าคัพ 1990 ซึ่งเป็นการเอาชนะสโมสรร่วมลีกอย่างฟีออเรนตีนา ด้วยผลประตู 3–1 โดยผู้จัดการในขณะนั้นคือดีโน ซอฟฟ์ หนึ่งในตำนานของยูเวนตุสและทีมชาติอิตาลี[22] ใน ค.ศ. 1990 ยูเวนตุสได้ย้ายสนามเหย้าแห่งใหม่ไปที่สตาดีโอเดลเลอัลปี ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการแข่งขันฟุตบอลโลก 1990[23] แม้สโมสรจะเซ็นสัญญากับนักเตะชื่อดังอย่าง โรแบร์โต บัจโจ ซึ่งเป็นค่าตัวสถิติโลกในขณะนั้น แต่ยูเวนตุสภายใต้การคุมทีมของลุยจิ ไมเฟรดี กลับไม่ประสบความสำเร็จในช่วงต้นทศวรรษ 1990 โดยคว้าแชมป์ได้เพียงรายการเดียวจากการเอาชนะโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ด้วยผลประตูรวมสอง 6–1 ในรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าคัพ 1993 ซึ่งบัจโจทำไปถึงสี่ประตูจากการลงเล่นทั้งสองนัด
มาร์เชลโล ลิปปีได้เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมให้กับสโมสรในฤดูกาล 1994–95[7] ฤดูกาลแรกก็สามารถนำทีมคว้าแชมป์เซเรียอาได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 1980[9]โดยมีผู้เล่นชื่อดัง อาทิ ซีโร เฟอร์รารา, บัจโจ, จีอันลูกา วีอัลลี และนักเตะเยาวชนชื่อดังอย่าง อาเลสซันโดร เดล ปีเอโร และยังเอาชนะปาร์มาในรอบชิงชนะเลิศโกปปาอิตาเลีย 1995 ตามด้วยแชมป์ซูแปร์โกปปาอีตาเลียนา และยังนำยูเวนตุสไปถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกพบเอเอฟซีอาแจ็กซ์ ผลออกมาเสมอกันด้วยผลประตู 1–1 โดยยูเวนตุสได้จาก ฟาบรีซีโอ ราเวเนลลี ก่อนที่จะชนะด้วยการดวลลูกโทษ 4–2 คว้าแชมป์เป็นสมัยที่ 2[24]
มาร์เชลโล ลิปปี หลังจากคว้าแชมป์ยุโรปได้ไม่นาน[25] สโมสรได้เสริมทัพด้วยการซื้อผู้เล่นชื่อดังที่มีประสิทธิภาพหลายคน อาทิ ฟีลิปโป อินซากี, ซีเนดีน ซีดาน, เอ็ดการ์ ดาวิดส์ ซึ่งผลจากการซื้อผู้เล่นใหม่มาทำให้สโมสรคว้าแชมป์เซเรียอาได้ใน 1996–97 และ 1997–98 และในช่วงเดียวกันนั้นสโมสรก็สามารถคว้าแชมป์อีกสองรายการฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปและยูฟ่าซูเปอร์คัพใน ค.ศ. 1996 ต่อมาใน ค.ศ. 1997 และ ค.ศ. 1998 สโมสรสามารถเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ถึง 2 ครั้ง แต่ก็ได้แค่รองแชมป์ทั้งสองรอบด้วยการปราชัยให้แก่ โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ และ เรอัลมาดริด ตามลำดับ[26][27]
หลังจากผ่านไปนาน ลิปปีก็ได้กลับมาคุมทีมอีกครั้งใน ค.ศ. 2001 และซื้อผู้เล่นใหม่มามากมาย อาทิ จันลุยจี บุฟฟอน, ดาวิด เทรเซกูเอต, ปาเวล เนดเวด และ ลีเลียน ทูร์ราม มาช่วยให้สโมสรสามารถคว้าแชมป์เซเรียอาได้ในฤดูกาล 2001–02 และ 2002–03[9] ใน ค.ศ. 2003 ยูเวนตุสในฐานะแชมลีกได้เข้าไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบชิงชนะเลิศโดยพบกับเอซี มิลาน ผลออกมาเสมอกันในเวลาปกติด้วยผลประตู 0–0 และยูเวนตุสเป็นฝ่ายแพ้ในการดวลจุดโทษ จากการแข่งขันนี้ทำให้ลิปปีได้ลาออกจากผู้จัดการทีมเพื่อไปคุมทีมชาติอิตาลี ทำให้ต้องหยุดสถิติการนำยูเวนตุสคว้าแชมป์รายการทั้งหมดไว้แค่ 13 รายการ แต่เขาก็ยังเป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร[15]
ฟาบีโอ กาเปลโล ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมให้สโมสรใน ค.ศ. 2004 และพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้อีกสองสมัย ในช่วงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2006 ยูเวนตุสกลายเป็นหนึ่งในห้าสโมสรที่เชื่อมโยงกับเรื่องอื้อฉาวในการล้มบอลผลจากการลงโทษทำให้ยูเวนตุสได้ถูกลดชั้นลงไปเล่นเซเรียบีครั้งแรกเป็นประวัติศาสตร์ของสโมสร นอกจากนั้นสโมสรก็ได้ปลดกาเปลโลที่สามารถนำทีมได้แชมป์ลีกใน ค.ศ. 2005 และ ค.ศ. 2006 (โดนริบแชมป์) ออกจากเป็นผู้จัดการทีม[28] โดยแชมป์ดังกล่าวได้มอบให้แก่ทีมอันดับสามอย่างอินเตอร์แทน เหตุการณ์ดังกล่าวยังคงเป็นที่วิจารณ์กันถึงปัจจุบัน รวมถึงกรณีที่อินเตอร์ไม่ได้รับการตรวจสอบกรณีดังกล่าวในการแข่งขันในปี 2004
ผู้เล่นคนสำคัญหลายคนออกจากสโมสร อาทิ ซลาตัน อีบราฮีมอวิช, ฟาบีโอ กันนาวาโร, ปาทริก วีเยรา และ จันลูกา ซัมบรอตตา[29] แต่ผู้เล่นคนอื่นคนอื่นก็ยังตัดสินใจอยู่ร่วมช่วยสโมสรเพื่อให้กับไปเล่นในเซเรียอาต่อเช่น อาเลสซันโดร เดล ปีเอโร, เนดเวด ขณะที่ผู้เล่นเยาวชนจากพรีมาเวรา เช่น เซบัสเตียน โจวินโก และ เคลาดีโอ มาร์คีซีโอ ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้เล่นตัวจริงของสโมสรมาช่วยในทีมชุดใหญ่ หลังจากนั้นพวกเขาก็สามารถเลื่อนชั้นขึ้นมาสู่เซเรียอาได้สำเร็จ โดยเป็นสโมสรแรกที่ตกชั้นจากเซเรียเอไปสู่เซเรียบีแล้วใช้เวลาแค่ 1 ฤดูกาลสามารถเลื่อนชั้นขึ้นมาได้ กัปตันทีมของสโมสรอย่างอาเลสซันโดร เดล ปีเอโร ก็ยังเป็นดาวซัลโวสูงสุดของเซเรียบีในฤดูกาล 2006–07 ด้วยการทำไป 21 ประตูอีกด้วย
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2015 ศาลฎีกาได้เผยแพร่เอกสารความยาว 150 หน้าที่อธิบายคำตัดสินขั้นสุดท้ายของคดีอื้อฉาวดังกล่าว โดยอิงตามคำตัดสินด้านกีฬาอันเป็นที่ถกเถียงในปี ค.ศ. 2006 ซึ่งไม่ได้วินิจฉัยกรณีดังกล่าวกับสโมสรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมาเนื่องจากหมดอายุความ และจำเป็นต้องขอและเพิกถอนคำพิพากษาตามมาตรา 39 แห่งประมวลกฎหมายความยุติธรรมกีฬา อย่างไรก็ตาม ศาลยืนยันว่าผู้บริหารของยูเวนตุสในขณะนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแข็งขันในการฉ้อโกงเพื่อล็อคผลการแข่งขันให้กับยูเวนตุส จากรายงานของหนังสือพิมพ์ ลา กัสเซตา เดลโล สปอร์ต ผู้บริการอย่าง ลูชาโน มอจจี และ อันโตนีโอ จิเราโด ถูกตัดสินให้มีความผิดฐาน "สบคบกับผู้อื่นกระทำอาชญากรรม" มีบทลงโทษจำคุก 2 ปี แต่เนื่องจากคดีหมดอายุความจึงไม่ต้องรับโทษ และเนื่องจากกตัดสินว่ามีความผิด ยูเวนตุสจึงหมดสิทธิ์ในการยื่นฟ้องร้องสหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี ซึ่งแม้ภายหลังจะมีการตรวจสอบพบหลักฐานที่อินเตอร์มีส่วนพัวพันกับคดีนี้ เพราะมีการตรวจพบหลักฐานว่า อินเตอร์มิลานมีการติดต่อขอกำหนดตัวผู้ตัดสินในนัดที่ทีมลงแข่ง อีกทั้งประธานสโมสรอย่างมัสซิโม โมรัตติ ผู้เป็นเจ้าของทีมยังมีหุ้นส่วนใหญ่ใน บริษัทสื่อสาร TIM แต่เนื่องจากคดีหมดอายุความ ทำให้อินเตอร์ไม่ได้ถูกสอบสวนหรือริบแชมป์ย้อนหลังแต่อย่างใด
ตั้งแต่กลับสู่เซเรียอาในฤดูกาล 2007–08 ด้วยการนำทีมของอดีตผู้จัดการทีมเชลซีอย่าง เคลาดีโอ รานีเอรี ซึ่งมาคุมทีมสองฤดูกาล[30] สโมสรสามารถจบอันดับที่ 3 ได้หลังจากเลื่อนชั้นขึ้นมาในฤดูกาลแรก และในรอบคัดเลือก ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2008–09 โดยในรอบเพลย์ออฟถล่มทีมจากสโลวาเกียได้ถึง 5–1 แล้วในรอบแบ่งกลุ่มพวกเขาสามารถเอาชนะเรอัลมาดริดได้ในบ้าน และเป็นแชมป์กลุ่ม ก่อนจะปราชัยให้กับเชลซีไปด้วยผลประตู 2–3 ก่อนจบฤดูกาลสองนัดสุดท้าย รานีเอรีโดนไล่ออกหลังจากไม่ประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ และสโมสรได้แต่งตั้ง ซิโร เฟอร์รารา เป็นผู้จัดการทีมชั่วคราวในการคุมทีมสองนัดสุดท้ายของฤดูกาล[31] ก่อนจะถูกแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในฤดูกาล 2009–10.[32]
อย่างไรก็ตาม เฟอร์ราราก็ไม่ประสบความสำเร็จกับสโมสร โดยนำยูเวนตุสตกรอบยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่มซึ่งได้แค่อันดับที่ 3 แล้วในโกปปาอีตาเลียก็แพ้ให้กับอินเตอร์มิลานในรอบ 8 ทีมสุดท้าย แล้วยังนำยูเวนตุสจบแค่อันดับที่ 6 ในลีก ต่อมา ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2010 สโมสรได้ปลดเฟอร์ราราออก และแต่งตั้งอัลแบร์โต ซัคเคโรนี เป็นผู้จัดการทีมชั่วคราว แต่ซัคเคโรนีก็ไม่ได้ช่วยให้ยูเวนตุสมีผลงานที่ดีขึ้นได้ ซึ่งสโมสรจบอันดับ 7 ของเซเรียอา ในฤดูกาล 2010–11 อันเดรอา อักเนลลี ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานสโมสรแทน จีน-คลูเด บลันซ์ โดยอักเนลลีได้แต่งตั้งให้อเลสซีโอ เซกโก กับอดีตผู้จัดการทีมของอูนีโอเนกัลโชซัมป์โดเรียอย่าง ลูอีกี เดลเนรี เป็นผู้อำนวยการกีฬาของสโมสรแทนซาดเชโรนี และแต่งตั้งให้ กีอูเซปเป มารอตตา เป็นผู้จัดการทีมของสโมสร แต่การคุมทีมของเดลเนรีก็ล้มเหลวเนื่องจากทำผลงานไม่ได้ดีอย่างที่คิดทางสโมสรจึงแต่งตั้งงให้อดีตผู้เล่นของสโมสรและเป็นผู้เล่นที่แฟนบอลทุกคนชื่นชอบและรู้จักกันดีอย่าง อันโตนีโอ กอนเต ซึ่งคอนเตทำผลงานได้ดีในการเป็นผู้จัดการทีมด้วยการนำทีม สโมสรฟุตบอลเซียนา เลื่อนชั้นจากเซเรียบีขึ้นมาสู่เซเรียอาได้สำเร็จ และยูเวนตุสได้ย้ายสนามเหย้าไปสู่สนามแห่งใหม่อีกครั้งซึ่งก็คือสนามกีฬายูเวนตุส ใน ค.ศ. 2011 ซึ่งในเวลาต่อมา สนามแห่งนี้กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ สนามกีฬาอลิอันซ์
กอนเตพาทีมชนะเลิศเซเรียอาโดยไม่แพ้ทีมใดตลอดทั้งฤดูกาล 2011–12 โดยในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง สโมสรผลัดกันขึ้นเป็นทีมนำในตารางกับคู่แข่งอย่างเอซีมิลาน ยูเวนตุสคว้าแชมป์เซเรียเอาในการแข่งขันนัดที่ 37 จากการเอาชนะคัลยารีกัลโชด้วยผลประตู 2–0 และเอซีมิลานแพ้คู่ปรับสำคัญอย่างอินเตอร์ด้วยผลประตู 2–4 และในนัดสุดท้ายของฤดูกาล ยูเวนตุสเอาชนะอาตาลันตาแบร์กามัสกากัลโช ด้วยผลประตู 3–1 ส่งผลให้พวกเขาเป็นสโมสรแรกที่ชนะเลิศฟุตบอลลีกในประเทศโดยไม่แพ้ใครตลอด 38 นัด ต่อมาใน เซเรียอา ฤดูกาล 2013–14 ยูเวนตุสคว้าแชมป์เซเรียอาเป็นสมัยที่สามติดต่อกัน โดยทำสถิติด้วยคะแนน 102 คะแนน และชนะได้ถึง 33 จาก 38 นัด[33] และเป็นการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นสมัยที่สามสิบ ในฤดูกาลนี้สโมสรยังเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2013–14 แต่ตกรอบด้วยการแพ้สปอร์ลิชบัวอีไบฟีกาในนัดที่สอง แม้คู่แข่งจะเหลือผู้เล่นสิบคน ทำให้ยูเวนตุสพลาดการลงแข่งรอบชิงชนะเลิศซึ่งจัดการแข่งขันที่สนามกีฬายูเวนตุส[34]
ในการแข่งขันเซเรียอา ฤดูกาล 2014–15 สโมสรแต่งตั้งมัสซีมีเลียโน อัลเลกรี เข้ามาคุมทีมซึ่งพาสโมสรคว้าแชมป์เซเรียอาสมัยที่ 31 และเป็นแชมป์สี่สมัยติดต่อกัน และยังคว้าแชมป์โกปปาอิตาเลียเป็นสมัยที่สิบ โดยเอาชนะลัตซีโยด้วยผลประตู 2–1[35] ยูเวนตุสยังเอาชนะเรอัลมาดริดในรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล ก่อนจะเข้าไปแพ้บาร์เซโลนาด้วยผลประตู 1–3 ต่อมา ยูเวนตุสชนะเลิศโกปปาอิตาเลีย 2016 ด้วยการเอาชนะเอซีมิลาน 1–0 ทำสถิติเป็นสโมสแรกของอิตาลีที่คว้าแชมป์การแข่งขันสองรายการหลักในประเทศสองฤดูกาลติดต่อกัน (เซเรียอาและโกปาอิตาเลีย)[36] พวกเขาชนะเลิศโกปปาอิตาเลียอีกครั้งใน ค.ศ. 2017 เอาชนะลัตซีโยไปอีกครั้งด้วยผลประตู 2–0 ทำสถิติเป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์รายการนี้สามสมัยติดต่อกัน[37] ต่อมา ในวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2017 ยูเวนตุสสร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์เซเรียอาหกสมัยติดต่อกัน นอกจากนี้ พวกเขายังเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นครั้งที่สองในรอบสามฤดูกาลหลังสุด แต่ก็แพ้ทีมใหญ่จากสเปนไปอีกครั้ง โดยแพ้เรอัลมาดริดด้วยผลประตู 1–4
ยูเวนตุสชนะเลิศโกปปาอิตาเลียสมัยที่สี่ติดต่อกัน ด้วยการเอาชนะเอซีมิลานด้วยผลประตู 4–0 ในรอบชิงชนะเลิศ ค.ศ. 2018 รวมทั้งชนะเลิศเซเรียอาเจ็ดสมัยติดต่อกัน ยูเวนตุสยังเอาชนะเอซีมิลานในซูแปร์โกปปาอีตาเลียนา 2018 ทำสถิติคว้าแชมป์รายการนี้มากที่สุดที่แปดสมัย ต่อมา ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2019 สโมสรชนะเลิศเซเรียอาสมัยที่แปดติดต่อกัน และเมารีซีโอ ซาร์รี เข้ามาคุมทีมต่อจากอัลเลกรีซึ่งเขาพาทีมชนะเลิศเซเรียอาเก้าสมัยติดต่อกัน
ซาร์รีถูกปลดจากตำแหน่งในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2020 หนึ่งวันภายหลังจากยูเวนตุสตกรอบยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2019–20 โดยแพ้ออแล็งปิกลียอแน[38] อันเดรอา ปีร์โล เข้ามาคุมทีมต่อด้วยสัญญาสองปี[39] ซึ่งพาทีมชนะคู่ปรับอย่างนาโปลีได้ในซูแปร์โกปปาอีตาเลียนา ฤดูกาล 2020 ด้วยผลประตู 2–0 คว้าแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่เก้า แต่สโมสรเสียแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบเก้าปีหลังสุดให้แก่อินเตอร์ โดยทำได้เพียงคว้าอันดับสี่[40] ยูเวนตุสเอาชนะอาตาลันตาในโกปปาอีตาเลีย 2021 นัดชิงชนะเลิศ ถือเป็นถ้วยรางวัลใบที่สองของปีร์โล[41] และเป็นแชมป์สมัยที่ 14 แต่เขาถูกปลดจากตำแหน่งในเดือนพฤษภาคม[42] และอัลเลกรีกลับมาคุมทีมอีกครั้งด้วยสัญญาสี่ปี[43] แต่สโมสรก็ทำได้เพียงจบด้วยอันดับสี่ในลีกอีกครั้ง[44] และยังแพ้อินเตอร์ในโกปปาอีตาเลีย 2022 นัดชิงชนะเลิศ ในช่วงต่อเวลา โดยถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่ฤดูกาล 2010–11 ที่สโมสรจบฤดูกาลด้วยการไม่ชนะถ้วยรางวัลใด
เข้าสู่ฤดูกาล 2022–23 ยูเวนตุสมีผลงานย่ำแย่ในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยชนะได้เพียงนัดเดียวและแพ้ไปถึงห้านัดในรอบแบ่งกลุ่ม ทำสถิติเลวร้ายด้วยการเก็บคะแนนและชัยชนะในรอบแบ่งกลุ่มรายการนี้ได้น้อยที่สุดนับตั้งแต่ร่วมแข่งขัน[45] แต่ยังจบด้วยอันสามของกลุ่มด้วยผลต่างประตูที่ดีกว่ามัคคาบีไฮฟา ได้ลงไปแข่งรายการยูโรปาลีกซึ่งพวกเขาเข้าถึงรอบรองชนะเลิศแต่แพ้เซบิยาในช่วงต่อเวลาด้วยผลประตู 1–2 ณ สนามกีฬารามอน ซันเชซ ปิซฆวน[46] ต่อมา ในวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022 สโมสรมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อผู้บริหารหลักของสโมสรลาออกจากตำแหน่ง นำโดย อันเดรอา อักเนลลี ประธานสโมสร, ปาเวล เนดเวต รองประธาน และ เมาริซิโอ อาร์ริวาเบเน ประธานกรรมการบริหาร[47][48]อันเดรอา อักเนลลี เป็นประธานสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีม ด้วยการชนะเลิศถ้วยรางวัล 19 รายการในช่วงที่บริหารทีม[49] จานลูกา เฟร์เรโร เข้ามารับตำแหน่งประธานสโมสรคนใหม่ในวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 2023[50]
สองวันต่อมา ยูเวนตุสถูกศาลกีฬาสหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี (เอฟไอซีจี) ลงโทษตัด 15 คะแนนหลังถูกตรวจพบมีการตกแต่งบัญชีเพื่อบิดเบือนข้อมูลทางการเงินซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวกับการซื้อขายผู้เล่นเกินจริงในระหว่างปี 2018–2020 หรือช่วงสถานการณ์โควิด-19[51] นำไปสู่การประท้วงของกลุ่มผู้สนับสนุนสโมสร[52] สโมสรยื่นเรื่องอุทธรณ์ โดยได้รับการตัดสินใหม่ให้ตัดสิบคะแนนในวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 2023 และสโมสรยินยอมเสียค่าปรับเป็นเงิน 718,240 ยูโร โดยไม่มีการลงโทษใด ๆ เพิ่มเติม[53] ยูเวนตุสจบเพียงอันดับเจ็ดในเซเรียอา ฤดูกาล 2022–23 ทำให้ได้ไปเล่นเพียงรายการยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก อย่างไรก็ตาม สโมสรถูกลงโทษจากยูฟ่าในฐานละเมิดกฎการเงิน ไฟแนนเชียล แฟร์ เพลย์ และจะไม่ได้แข่งขันรายการยุโรปในฤดูกาลหน้า ถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่ฤดูกาล 2011–12 ที่สโมสรจะไม่ได้ลงแข่งขันในรายการของยูฟ่า สโมสรคว้าแชมป์โกปปาอีตาเลีย ฤดูกาล 2023–24 โดยเอาชนะอาตาลันตาในรอบชิงชนะเลิศ 1–0 คว้าแชมป์สมัยที่ 15 แต่สโมสรได้แยกทางกับอัลเลกรีเนื่องจากความล้มเหลวในเซเรียอาฤดูกาล 2023–24 โดยยูเวนตุสจบในอันดับสาม[54] ตีอาโก มอตตา เข้ามาคุมทีมต่อ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2024 ด้วยสัญญาสามปี มอตตาพายูเวนตุสสร้างสถิติใหม่ด้วยการไม่เสียประตูในเซเรียอา 6 นัดติดต่อกัน (540 นาที) ก่อนจะยุติลงในนัดที่พวกเขาเปิดบ้านเสมอคัลยารีกัลโช 1–1 วันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 2024
ปีที่ใช้ | แบรนด์เสื้อ | ผู้สนับสนุน |
---|---|---|
1979–1989 | Kappa | Ariston |
1989–1992 | Upim | |
1992–1995 | Danone | |
1995–1998 | Sony | |
1998–1999 | D+Libertà digitale / Tele+ | |
1999–2000 | CanalSatellite / D+Libertà digitale / Sony | |
2000–2001 | Lotto | Sportal.com / Tele+ |
2001–2002 | Fastweb / Tu Mobile | |
2002–2003 | Fastweb / Tamoil | |
2003–2004 | Nike | |
2004–2005 | Sky Sport / Tamoil | |
2005–2007 | Tamoil | |
2007–2010 | FIAT Group (New Holland) | |
2010–2012 | BetClic / Balocco | |
2012–2015 | FIAT S.p.A (จี๊ป) | |
2015- | Adidas | FIAT S.p.A (จี๊ป) |
นับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร ยูเวนตุสได้ใช้สนามเหย้ามาแล้วทั้งหมด 5 สนาม เรียงตามลำดับดังนี้
ยูเวนตุสมีสโมสรคู่ปรับสำคัญในอิตาลีสองทีมหลักได้แก่ โตริโน การพบกันของทีมสองทีมมีชื่อเรียกว่า แดร์บีเดลลาโมเล ซึ่งมีประวัติสืบไปถึง ค.ศ. 1906 โดยสโมสรโตริโนก่อตั้งขึ้นจากกลุ่มนักเตะรวมถึงประธานสโมสรยูเวนตุสซึ่งแยกตัวออกไปจากสโมสร
อีกหนึ่งสโมสรที่มีความเป็นอริกับยูเวนตุสอย่างเข้มข้นคืออินเตอร์ สโมสรที่ตั้งอยู่ในเมืองมิลาน แคว้นลอมบาร์เดีย การแข่งขันมีชื่อเรียกว่า แดร์บีดีตาเลีย โดยทั้งสองทีมเป็นคู่แข่งแย่งความสำเร็จในประเทศมายาวนานหลายทศวรรษ และยังเป็นสโมสรที่มีผู้ติดตามมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งและอันดับสามในอิตาลี การเป็นอริของทั้งคู่พัฒนาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990 รวมถึงกรณีเหตุการณ์อื้อฉาวในกลางทศวรรษ 2000 ซึ่งยูเวนตุสถูกปรับให้ตกชั้น
การแข่งขันกับเอซีมิลาน ถือว่าได้รับการจับตามองจากแฟนฟุตบอลทั่วโลกเช่นกัน ทั้งสองทีมมักแย่งการเป็นแชมป์เซเรียอาตลอดหลายฤดูกาล[55] โดยเอซีมิลานเป็นทีมที่มีผู้ติดตามมากที่สุดเป็นอันดับสองในประเทศรองจากยูเวนตุส ทั้งสองทีมยังเป็นสโมสรที่มีมูลค่าการซื้อขายและมูลค่าตลาดหุ้นมากที่สุดในประเทศ สโมสรอื่น ๆ ที่เป็นอริกับยูเวนตุสได้แก่ โรมา, ฟีออเรนตีนา และนาโปลี
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
|
|
ตำแหน่ง | เจ้าหน้าที่ |
---|---|
ผู้จัดการทีม | |
ผู้ช่วยผู้จัดการทีม | จิโอวานนี่ มาตูส์เชียลโล่ |
ผู้ฝึกสอนผู้รักษาประตู | คลาดิโอ ฟิลลิปปี |
หัวหน้าผู้ฝึกสอน | มาร์โก้ เอียนนี่ |
หัวหน้าผู้ฝึกสอนฟิตเนส | เดเนียล ตอญาคซินี่ |
ผู้ฝึกสอนฟิตเนส | อันเดรีย เปอตูซิโอ้ |
ผู้ฝึกสอนฟิตเนส | ดาวิด โลซี่ |
หัวหน้าผู้ฝึกสอนเทรนนิงเชค | โรแบร์โต ซาสซี |
อ้างอิง: Juventus.com
ยูเวนตุสเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของอิตาลีตามประวัติศาสตร์ โดยคว้าแชมป์มาครองได้ถึง 70 รายการมากกว่าสโมสรอื่นในอิตาลี และยังเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีชื่อเสียง และเกียรติประวัติมากที่สุดในโลก เพราะสามารถคว้าแชมป์ในประเทศได้ 59 รายการ และในระดับนานาชาติได้ถึง 11 รายการ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จในระดับนี้เป็นอันดับ 3 ในยุโรป และอันดับ 6 ของโลก
ทีมหญิงชราทีมนี้ยังได้มีดาวสีทองสำหรับความยอดเยี่ยมบนเสื้อของทีม 2 ดวง เพื่อแสดงถึงการคว้าแชมป์ลีกนับครั้งไม่ถ้วน โดยการคว้าแชมป์ 10 ครั้ง จะได้สิทธิ์ในการติดดาว 1 ดวง แชมป์ 10 ครั้งแรกนั้นอยู่ในช่วงฤดูกาล 1957-58 และครบ 20 ครั้งในฤดูกาล 1981-82 นอกจากความยิ่งใหญ่ในประเทศ ยูเวนตุสยังเป็นสโมสรเดียวที่ได้แชมป์รายการระดับนานาชาติครบทุกรายการ เบียงโคเนรีถูกจัดอันดับให้อยู่อันดับ 7 และอันดับสูงสุดของทีมจากอิตาลี ในการจัดอันดับสโมสรของฟีฟ่าในศตวรรษที่ 20 ซึ่งมีขึ้นในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) พวกเขาได้รับการจัดอันดับโดยสหพันธ์ประวัติศาสตร์และสถิติฟุตบอลนานาชาติ ให้เป็นสโมสรฟุตบอลที่ดีที่สุดเป็นอันดับสองในยุโรป ซึ่งถือเป็นอันดับที่สุดของสโมสรอิตาลีในการจัดอันดับทั้งสองประเภท
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.