Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มายลิตเติ้ลโพนี่ มิตรภาพอันแสนวิเศษ (อังกฤษ: My Little Pony Friendship is Magic) เป็นชุดการ์ตูนโทรทัศน์สำหรับเด็กที่พัฒนามาจากแฟรนไชส์ของเล่นมายลิตเติ้ลโพนี่ของฮาสโบร โดยผู้คนส่วนใหญ่มักเรียกว่าเป็นรุ่นที่สี่ (G4) ของแฟรนไชส์ ซีรีส์ดำเนินเนื้อเรื่องจากยูนิคอร์นขยันเรียน (ภายหลังเป็นอาลิคอร์น) ทไวไลท์ สปาร์คเคิล และเพื่อนของเธอแอปเปิลแจ็ค แรริตี้ ฟลัทเตอร์ชาย เรนโบว์แดช พิงกี้พาย และผู้ช่วยมังกรของเธออย่างสไปค์ โดยพวกเธอออกเดินทางผจญภัยและช่วยเหลือปัญหาทั่วทั้งเอเควสเทียร์ และสุดท้ายทุกปัญหาก็คลี่คลายลงด้วยมิตรภาพของพวกเธอ
บทความนี้อาจต้องเขียนใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพของวิกิพีเดีย หรือกำลังดำเนินการอยู่ คุณช่วยเราได้ หน้าอภิปรายอาจมีข้อเสนอแนะ |
บทความนี้ต้องการการจัดหน้า จัดหมวดหมู่ ใส่ลิงก์ภายใน หรือเก็บกวาดเนื้อหา ให้มีคุณภาพดีขึ้น คุณสามารถปรับปรุงแก้ไขบทความนี้ได้ และนำป้ายออก พิจารณาใช้ป้ายข้อความอื่นเพื่อชี้ชัดข้อบกพร่อง |
มายลิตเติ้ลโพนี่ มิตรภาพอันแสนวิเศษ | |
---|---|
โลโก้ที่ใช้หลังจากฤดูกาลที่เจ็ดของงานนี้ | |
ประเภท | การ์ตูนทีวีแอนิเมชัน, จินตนิมิต, ตลก, ครอบครัว, ผจญภัย |
พัฒนาโดย | Lauren Faust |
เสียงของ | ทารา สตรอง Ashleigh Ball Andrea Libman Tabitha St. Germain Cathy Weseluck Nicole Oliver Michelle Creber Madeleine Peters Claire Corlett John de Lancie Andrew Francis Britt McKillip |
ผู้ประพันธ์ดนตรีแก่นเรื่อง | Daniel Ingram |
ดนตรีแก่นเรื่องเปิด | "Friendship Is Magic" |
ดนตรีแก่นเรื่องปิด | "Friendship Is Magic" (บรรเลง) |
ประเทศแหล่งกำเนิด | แคนาดา สหรัฐ |
ภาษาต้นฉบับ | อังกฤษ |
จำนวนฤดูกาล | 9 |
จำนวนตอน | 222 ตอน |
การผลิต | |
ผู้อำนวยการผลิต | Lauren Faust Chris Bartleman Blair Peters Kirsten Newlands Beth Stevenson Stephen Davis Meghan McCarthy Jayson Thiessen |
ผู้อำนวยการสร้าง | Sarah Wall Devon Cody (season 3) |
ความยาวตอน | 22 นาที |
ออกอากาศ | |
เครือข่าย | Hub Network (อดีต) Discovery Family (ปัจจุบัน) บูมเมอแรง ,เอ็มคอตแฟมิลี, ALTV |
ออกอากาศ | 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553 – ปัจจุบัน |
ชุดแอนิเมชันในแฟลชออกอากาศทางดิสคอเวอรี แฟมิลี (ต่อมาคือเดอะฮับ) ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 2010 ถึงวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 2019 ฮาสโบรเลือกนักวาดภาพแอนิเมชันลอเรน ฟอสต์ มาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์และบริหารรายการ ฟอสต์ได้สร้างสรรค์ตัวละครให้มีความลึกซึ้งยิ่งขึ้นและฉากผจญภัยที่ราวกับกำลังเล่นของเล่นอยู่จริง ๆ อีกทั้งยังผสมผสานองค์ประกอบความแฟนตาซีเข้าไปในการ์ตูนด้วย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากระยะเวลาที่เร่งรีบและขาดการควบคุมความสร้างสรรค์ ฟอสต์จึงออกจากซีรีส์ในช่วงฤดูกาลที่สอง
ซีรีส์มิตรภาพอันแสนวิเศษกลายเป็นหนึ่งในผลงานที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประวัติศาสตร์ของเดอะฮับ แม้จะมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กผู้หญิง แต่ซีรีส์ดึงดูดผู้ชมที่มีอายุมากกว่า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่เพศชาย ซีรีส์ได้สร้างโอกาสมากมายในการขายสินค้าใหม่ ๆ ของแฟรนไชส์ฮาสโบร์อีกด้วย เช่น "มายลิตเติ้ลโพนี่ เอเควสเทียร์เกิร์ล" ที่เปิดตัวใน ค.ศ. 2013 และดำเนินควบคู่ไปกับซีรีส์นี้เป็นเวลาหกปี นอกจากนี้ยังมีการดัดแปลงซีรีส์เป็นภาพยนตร์ขนาดยาวในชื่อ "มายลิตเติ้ลโพนี่ เดอะมูฟวี่" โดยออกฉายในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2017 ในสหรัฐ และ "มายลิตเติ้ลโพนี่ โพนี่ไลฟ์" ซึ่งเป็นซีรีส์คอเมดี้ภาคแยก ออกอากาศทางช่องดิสคอเวอรี แฟมิลี ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2020
อดีตมายลิตเติ้ลโพนี่ ไม่ใช่การ์ตูนดังในปัจจุบัน แต่เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของเล่น ของบริษัท Harbro inc. ออกจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงนั้น ต่อมาได้สร้างเป็นการ์ตูนแอนิเมชั่นออกอากาศเป็นตอนพิเศษเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) โดยมีรุ่นของการ์ตูนแบ่งเป็น 4 รุ่น
ในรุ่นแรก Hasbro เริ่มออกอากาศ การ์ตูนแอนิเมชั่นเป็นครั้งแรก เป็นตอนพิเศษออกอากาศทางโทรทัศน์ซึ่งได้รับความนิยม และ Hasbro ก็ได้สร้างภาพยนตร์แอนิเมชั่นในชื่อเรื่อง My little pony: The Movie เพื่อตอบสนองความนิยม แต่ภาพยนตร์ก็มิได้ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร (ว่ากันว่าใช้ทุนสร้าง 10 ล้านเหรียญ แต่รายได้ไม่ถึง 6 ล้านเหรียญ) และถูกวิจารณ์อย่างย่อยยับ โดยมีข้อวิจารณ์ว่า เป็นหนังที่สร้างขึ้นเพื่อโฆษณาสินค้าเท่านั้น ในปีต่อมา มายลิตเติ้ลโพนี่ ได้เริ่มออกอากาศในรูปแบบซีรีส์ ในชื่อ My little pony 'n Friend เป็นการ์ตูนในประเภทแอ็คชั่น-แฟนตาซี ซึ่งจะเน้นกลุ่มเด็กเล็กเป็นหลัก และประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ซึ่งมีเด็กผู้ชายที่ชื่นชอบการ์ตูนเรื่องนี้ด้วย
ในอีก 5 ปีต่อมา ในปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) มายลิตเติ้ลโพนี่กลับมาออกอากาศอีกครั้งในรูปแบบใหม่ ทั้งตัวละคร และเนื้อเรื่องในชื่อเรื่อง My little pony Tales ซึ่งได้นำสิ่งที่ได้รับความนิยมในช่วงนั้นมาใส่เป็นองค์ประกอบในเนื้อเรื่อง เช่น "การใส่ปลอกขา" "การทำผม" รวมทั้งตัวละครในเรื่องมีรูปแบบการใช้ชีวิตแบบยุค 90 เป็นการ์ตูนในประเภทชีวิตประจำวัน ซึ่งจะเน้นกลุ่มเด็กหญิงและเด็กโตเป็นหลัก แต่ซีรีส์นี้ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร และยุติออกอากาศในปีเดียวกัน[1]
ในรุ่นนี้ Harbro ได้ยุติการทำแอนิเมชั่น และหันไปจำหน่ายของเล่นแทน ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอยู่พอสมควร และของเล่นมีการพัฒนาไปเรื่อยๆตามลำดับ[2]
ในปี พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) Hasbro ได้กลับมาทำแอนิเมชั่นการ์ตูนมายลิตเติ้ลโพนี่อีกครั้ง โดยได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบต่างๆทั้งหมด โดยออกแนวแฟนตาซีเป็นหลัก เนื้อเรื่องเป็นแนวจินตนิมิต เน้นไปยังกลุ่มเด็กเล็กเป็นหลัก และเน้นทำลงสื่อวิดิทัศน์ และน้อยตอนนักที่จะเอาออกอากาศ ซึ่งเนื้อเรื่องขาดความน่าสนใจ แอนิเมชั่นไร้แรงดึงดูด และความนิยมตกต่ำถึงขีดสุด นับได้ว่ารุ่นนี้เป็นรุ่นตกต่ำที่สุดของมายลิตเติ้ลโพนี่เลยก็ว่าได้ และทุกคนเห็นว่าสร้างขึ้นมาเพื่อโปรโมตของเล่นไปเท่านั้น[3]
จากความล้มเหลวของ G3 และภาพยนตร์ทรานส์ฟอร์มเมอร์ส ของ ไมเคิล เบย์ สามารถช่วยให้ยอดขายของเล่นทรานส์ฟอร์มเมอร์สมียอดขายพุ่งทะยาน ฮาสโบรต้องการที่จะนำแฟรนไชส์มายลิตเติ้ลโพนี่กลับมาผลิตและปรับปรุงใหม่อีกครั้ง โดยมีความต้องการที่จะปรับเนื้อเรื่องและรสนิยมให้เข้ากับเด็กผู้หญิง[4] ตามคำแนะนำของมาร์กาเร็ต โลช ผู้จัดการของฮับ เน็คเวิร์ค ได้ทบทวนถึงคุณสมบัติสำคัญของการจัดสร้างคือขอบเขตและอิทธิพลของผู้ชม [5] รองประธานอาวุโส ลินดา สไตเนอร์ หนึ่งในคนที่ชื่นชอบแฟรนไชส์นี้ ยังได้แนะนำเช่นกันว่า "ควรให้ความใส่ใจกับกลุ่มผู้คนส่วนใหญ่" ด้วยแนวคิดเด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี ซึ่งเป็นธีมสำคัญของฮับ เน็คเวิร์ค[6] โดยธีมหลักที่ฮาสโบรคิดไว้คือเรื่องราวของมิตรภาพและการอยู่ร่วมสังคม และอีกปัจจัยพวกเขากำหนดคือการเขล่นของเล่นในกลุ่มเด็กๆ[7]
อะนิเมเตอร์และผู้เขียน ลอเรน ฟอสต์ ติดต่อกับฮาสโบร โดยเธอกำลังพยายามที่จะขอให้ผลิตภัณฑ์ของเล่นของเธอ Galaxy Girls เป็นซีรีส์การ์ตูน ฟอสต์เคยทำงานเป็นเบื้องหลังการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จเรื่อง พาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์ และ ฟอสเตอร์ โฮม..บ้านของผองเพื่อนในจินตนาการ ถึงแม้ว่าการ์ตูนเหล่านี้จะประสบความสำเร็จอย่างกว้างขวางแต่ความคิดของเธอที่ปฏิเสธจากหลายสตูดิโอและเครื่องข่ายด้วยความคิดที่ว่า การ์ตูนสำหรับเด็กผู้หญิงมักจะไม่ประสบผลสำเร็จ เมื่อเธอได้ติดต่อ ลิซ่า ลิคช์ จากฮาสโบร สตูดิโอ, ลิคช์ได้นำผลงานที่เพิ่งเสร็จของมายลิตเติ้ลโพนี่ "Princess Promenade" ให้ฟอสต์ดู ลิคช์คิดว่าสไตล์ของฟอสต์สามารถเข้ากันได้ดีกับเรื่องนี้และได้ร้องขอให้เธอคิด "ไอเดียที่จะนำมาจัดสร้างในแฟรนไชส์ใหม่"[4]
ฟอร์สได้รับการว่าจ้างจากฮาสโบรให้สร้างโครงเรื่องหลัก และให้เธอช่วยเหลือเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวคิดของเรื่อง[4] ฟอร์สกล่าวว่าเธอรู้สึก "ไม่เชื่อมั่นเป็นอย่างมาก" ในช่วงรับงานช่วงแรกเพราะเธอพบว่าโชว์สำหรับของเล่นเรื่องนี้มีความน่าเบื่อและไม่เป็นที่จดจำ มายลิตเติ้ลโพนี่คือหนึ่งในของเล่นโปรดของเธอในวัยเด็ก แต่เธอรู้สึกผิดหวังที่จินตนาการของเธอในเวลานั้นไม่เหมือนกับโชว์จริงๆ ฟอร์สได้กล่าวถึงโชว์เก่าๆว่า "มีแต่ปาร์ตี้น้ำชาไม่จบสิ้น ขำอย่างไร้เหตุผล และปราบตัวร้ายสำเร็จเพียงแค่แบ่งปันให้เขาหรือร้องไห้" ด้วยโอกาสที่จะได้ร่วมทำงานในมายลิตเติ้ลโพนี่ เธอหวังที่จะพัฒนาให้เป็น "การ์ตูนเด็กผู้หญิงที่ไม่มีแต่ความน่ารักหวานแหวว, ตัวละครไร้ความสมดุลและติ๊งต๊อง" เธอจึงออกแบบตัวละครและโชว์ให้มีองค์ประกอบที่ขัดแย้งต่อแบบแผนของความเป็นหญิง เช่นเป็นกลุ่มตัวละครที่มีความแตกต่างกันและมักทะเลาะกันแต่สุดท้ายก็เป็นเพื่อนกันได้ และแนวคิดที่ผู้หญิงไม่สมควรถูกจำกัดในสิ่งที่คนส่วนใหญ่บอกให้ทำและไม่ทำ องค์ประกอบและนิสัยของตัวละครได้รับแนวคิดมาจากจินตนาการของเธอในวัยเด็ก และบางส่วนก็ได้แรงบันดาลใจจากการ์ตูนที่พี่ชายของเธอดูและเติบโตมาเช่น ทรานส์ฟอร์มเมอร์ส และ จีไอโจ เธอคิดที่จะสร้าง "เฟรนชิบ อิส เมจิค" สำหรับเด็กอายุ 8 ขวบ ฟอร์สยังเล็งให้ตัวละครนั้น "เป็นที่จดจำ" และมีแบบแผนของความเป็นหญิง (เช่นการเป็นหนอนหนังสือ) เพื่อเพิ่ทความน่าสนใจให้กับคนดูโดยเฉพาะหญิงสาว
ฟอร์สระบุด้วยว่าขณะที่เธอกำลังเสนอไอเดียต่างๆให้ฮาสโบร เธอก็ได้รับแรงบันดาลใจเพิ่มขึ้นอีกจากการตอบรับเชิงบวกในการที่จะฉีกแนวเดิมๆของพวกเขา ฟอร์สได้เขียนโครงเรื่องให้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการผจญภัยและเพิ่มเติมในเรื่องความสัมพันธ์ แต่การจะให้กลุ่มคนดูหญิงสาวจดจำมีความยากมากที่จะทำให้เนื้อหาเป็นเรื่องราวผจญภัย เธอจึงตัดแนวคิดนี้ออกไปบางส่วนและเพิ่มเติมเนื้อหาเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนความคิดของตัวละคร โชว์ยังมีการเพิ่มสัตว์ในจินตนาการที่จะทำให้เด็กหวาดกลัวเช่น มังกร, ไฮดรา แต่ก็ยังเน้นเรื่องราวมิตรภาพของตัวละครโดยให้มีความตลกขบขัน เมื่อถึงเวลาการอนุมัติโชว์นี้ ฟอร์สได้ส่งสคริปต์สำหรับโชว์นี้เป็นจำนวน 3 ตอน[4]
ฟอร์สเริ่มวาดภาพสเก็ตช์ตัวละครซึ่งปรากฏอยู่ในหน้าเดเวียนอาร์ทของเธอ โดยนำตัวละครจากซีรีส์เก่ามาดัดแปลง (เช่น ทไวไลท์, แอปเปิ้ลแจ๊ค, ไฟร์ฟาย, เซอร์ไพรส์, โพซี่และสปาร์เคอร์) ซึ่งต่อมาก็ได้พัฒนาเป็นตัวละครหลักของโชว์[8][9] ฮาสโบรอนุมัติโชว์นี้และให้ฟอร์สเป็นผู้อำนวยการโปรดิวเซอร์[10] และให้เธอทำเนื้อเรื่องให้เสร็จสมบูรณ์ ฟอร์สจึงให้ มาร์ติน แอนโซลาบีเฮียร์ และ พอล รูดิช คนที่เคยทำงานให้แอนิเมชันเรื่องอื่นๆกับเธอ, รูดิชเป็นต้นคิดของเธอที่จะให้เพกาซัสเป็นโพนี่สำหรับควบคุมสภาพอากาศในอเควสเทรียรวมถึงตัวละคร "ไนท์แมร์มูน" ด้วย ในระหว่างนี้ฟอร์สได้ขอคำปรึกษาจาก เคร็ก แมคแครกเกน สามีของเธอและผู้สร้าง พาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์ และ ฟอสเตอร์ โฮม..บ้านของผองเพื่อนในจินตนาการ, หลังจากดูเวอร์ชันเริ่มต้นของเนื้อเรื่อง ฮาสโบรได้ขอให้ทีมของฟอร์สสร้างตัวละครเพิ่มเติม ต่อมาฟอร์สได้นำ เดฟ แดนเน็ต และ ลินน์ เนย์เลอร์ เพื่อปรับแต่งสไตล์พื้นหลังและตัวละคร[4]
เมื่อเสร็จสิ้นการเขียนเนื้อเรื่อง ฮาสโบรและฟอร์สได้ตามหาสตูดิโอสำหรับสร้างแอนิเมชัน, Studio B โปรดักชั่น (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น DHX Media ในวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 2010 จากการร่วมเป็นหุ้นส่วนของบริษัท DHX)[11] ได้สร้างแอนิเมชันโดยใช้โปรแกรมอะโดบี แฟลช ให้กับแอนิเมชันที่มีสัตว์เป็นจำนวนมาก ทำให้ฟอร์สรู้สึกว่าพวกเขาคือทางเลือกที่ดี Studio B ได้ขอให้ เจย์สัน ธีสเซน เป็นไดเรกเตอร์ ซึ่งฟอร์สก็เห็นด้วย เธอ, ธีสเซน, และเจมส์ วุตตอน สร้างช็อทสั้นๆสองนาทีเพื่อนำเสนอให้กับฮาสโบร ทำให้บริษัทได้อนุมัติการจัดสร้างโชว์อย่างเต็มรูปแบบ โดยฟอร์สได้คาดการณ์ว่าการพัฒนาโชว์ให้ได้รับการอนุมัตินี้ใช้เวลายาวนานมากถึงหนึ่งปี[4]
กาลครั้งหนึ่งในดินแดนแห่งเวทมนตร์ "เอเควสเทรีย" (Equestria) มีเจ้าหญิง 2 คน (ตัว) ร่วมกันปกครองและสร้างมิตรภาพ เพื่อการนั้นผู้พี่ได้ใช้พลังแห่งยูนิคอร์น (Unicorn) นำพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ผู้น้องนำพระจันทร์ขึ้นยามราตรี ทั้งสองสร้างความสมดุลให้กับโลก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้น้องเกิดความแคลงใจที่เหล่าโพนี่ (Pony) เล่นและเริงร่าในยามกลางวันของผู้พี่แต่หลับไหลในยามราตรีของผู้น้อง แม้ผู้พี่พยายามอธิบายให้ผู้น้องได้เข้าใจ แต่ด้วยความแคลงใจที่มีอยู่ในใจของผู้น้อง ได้เปลี่ยนให้ผู้น้องกลายเป็นเงาแห่งความชั่วร้าย "ไนท์แมร์มูน" (Nightmaremoon) เธอกล่าวว่าเธอจะทำให้ดินแดนตกอยู่ในราตรีอันเป็นนิรันด์ แต่ผู้พี่ได้ใช้พลังสูงสุดที่เหล่าโพนี่รู้จัก "ศิลาแห่งความสามัคคี" (The Element of Harmony) เธอได้ใช้พลังของศิลาแห่งความสามัคคีกำจัดผู้น้องและเนรเทศผู้น้องไปยังดวงจันทร์ นับตั้งแต่นั้นมาผู้พี่ก็ได้รับหน้าที่ในการนำทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ขึ้น และเอเควสเทรียก็กลับมาสงบสุขตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา... แต่มีคำทำนายกล่าวไว้ว่า เมื่อเวลาผ่านไป 1,000 ปี เหล่าดวงดาวจะช่วยให้ "ไนท์แมร์มูน" กลับมาและทำให้ดินแดนตกอยู่ในความมือของราตรีอีกครั้ง "ทไวไลท์ สปาร์คเคิล" (Twilight Sparkle) ยูนิคอร์นผู้รอบรู้ ฉลาด และหมกตัวอยู่กับการเรียนและหนังสือได้รู้ถึงคำทำนายนี้จึงได้ส่งคำเตือนไปยังผู้เป็นอาจารย์ของตนและเป็นผู้ปกครองเอเควสเทรีย "เจ้าหญิงเซเลสเทีย" (Princess Celestia) แต่เจ้าหญิงเซเลสเทียตอบกลับว่าเป็นเพียงเรื่องไร้สาระและบอกให้ทไวไลท์หยุดอ่านนิทานปรัมปราได้แล้ว และทำการส่งเธอไปยัง "โพนี่วิลล์" (Ponyville) เพื่อให้เธอไปจัดการกับงาน "เทศกาลซัมเมอร์ซัน" (Summersun Celebretion) พร้อมกับการกาเพื่อนใหม่ เมื่อทไวไลท์ไปถึงเธอได้พบกับ "พิงค์กี้พาย" (Pinkie Pie) แต่เธอก็ตกใจที่พบทไวไลท์และวิ่งหนีหายไป จากนั้นทไวไลท์ได้เดินทางไปต่อยัง "สวีทแอปเปิ้ล เอเคอร์" (Sweet Apple Acer) และได้พบกับ "แอปเปิ้ลแจ็ค" (Applejack) เพื่อตรวจสอบอาหารและได้พบกับครอบครัวแอปเปิ้ล (Apple Family) จากนั้นทไวไลท์ก็ได้ไปตรวจสอบการจัดการสภาพอากาศและได้พบกับ "เรนโบว์แดช" (Rainbow Dash) หลังจากที่ได้คุยกันเล็กน้อยและทำความรู้จักกันนิดหน่อยและเรนโบว์แดชก็ได้แสดงให้เห็นถึงความสามรถในการบินของเธอ จากนั้นเธอได้ไปที่ศาลากลางและตรวจความเรียบร้อยของการตกแต่งและได้พบกับ "แรร์ริตี้" (Rarity) และเธอได้พาทไวไลท์ไปแต่งหน้าทำผมใหม่ (เพราะฝีมือ (เท้า) ของเรนโบว์แดช) จากนั้นเธอได้ไปพบ "ฟลัตเทอร์ชาย" (Fluttershy) ที่กำลังฝึกซ้อมนกให้ร้องเพลงอยู่ และได้คุยกันเล็กน้อยและพอฟลัตเทอร์ชายได้พบ "สไปค์" (Spike) มังกรน้อยเพื่อนของทไวไลท์ที่ตามทไวไลท์ตั้งแต่แรก จนฟลัตเทอร์ชายได้คุยกับทไวไลท์จนกระทั่งทั้งสามมาถึง "ห้องสมุดโกลเด้นโอ๊ก" (Golden Oak Library) และได้พบพิงค์กี้พายที่ได้พบตอนมาถึงโพนี่วิลล์ จัดปาร์ตี้เอาไว้ให้พร้อมกับเหล่าผองเพื่อนโพนี่อีกมากมาย แต่เธอก็ได้ปฏิเสธที่จะสร้างความสัมพันธ์กับโพนี่ตัวอื่นๆ จนกระทั่งเช้ามืดของวันงานเทศกาลซัมเมอร์ซัน โพนี่ทุกตัวได้ไปรวมตัวกัน ณ ศาลากลางเมืองเพื่อตั้งตารอการนำดวงอาทิตย์ขึ้นของเจ้าหญิงเซเลสเทีย แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลา เจ้าหญิงกลับหายตัวไปและได้ปรากฏตัว ไนท์แมร์มูนขึ้นมาแทน ต่อมาทไวไลท์และผองเพื่อนทั้ง 5 ที่พบกับในเมืองได้ร่วมเดินทางตามหา "ศิลาแห่งความสามัคคีทั้ง 5" ณ ปราสาทแห่งสองพี่น้อง (The Castle of the Two Sister) หรือก็คือป่าเอเวอร์ฟรี (Everfree Forest) ระหว่างเดินทางไปนั้นได้เกิดเรื่องต่างๆขึ้นแต่ก็ได้ผ่านไปด้วยดี (สามารถติดตามดูรายละเอียดต่างๆได้ใน My Little Pony : Friendship is Magic Season 1 Episode 2) จนถึงปราสาทแห่งสองพี่น้อง และได้เจอศิลาแห่งความสามัคคีทั้งห้าพร้อมกับไนท์แมร์มูน แต่ไนท์แมร์มูนก็ได้ทำให้ศิลาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ สุดท้ายทไวไลท์และเพื่อนๆของเธอได้แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณแห่งศิลาแห่งความสามัคคี และได้ปรากฏสิลาแห่งความสามัคคีชิ้นที่ 6 ขึ้นและได้เกิดเป็นพลังสายรุ้งขึ้นมาทำลายไนท์แมร์มูน เรื่องราวทุกอย่างได้จบลงและทันใดนั้น เจ้าหญิงเซเลสเทีย ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับการนำดวงอาทิตย์ขึ้นและได้บอกกล่าวเรื่องราวและเหตุผลต่างๆ และทั้งหมดก็ได้พบกับ "เจ้าหญิงลูน่า" (Princess Luna) ผู้เป็นน้องสาวของเจ้าหญิงเซเลสเทียที่ได้เคยกลายเป็นไนท์แมร์มูน และทุกอย่างก็จบลงและทไวไลท์จะได้กลับไปยัง "แคนเทอร์ล็อต" (Canterlot) แต่ทไวไลท์ก็ได้บอกกลับไปว่าตนอยากอยู่ที่โพนี่วิลล์กับ "เพื่อนๆ" ของเธอ และจากนั้นทุกอย่างก็กลับสู่ปกติและโพนี่ทุกตัวก็ใช้ชีวิตตามเดิมอย่างมีความสุข (เนื้อเรื่องข้างต้นเป็นเนื้อเรื่องของ My Little Pony : Friendship is Magic Season 1 Episode 1 และ 2 และเป็นจุดเริ่มต้นของซีรีส์ในเจเนอเรชั่นนี้ทั้งหมด) (เนื้อเรื่องถูกเขียนบนคอมพิวเตอร์ ขออภัยผู้ใช้โทรศัพท์มีการเว้นวรรคหรือเว้นบรรทัดที่ผิดพลาด และขออภัยหากมีจุดที่สะกดผิดหรือข้อมูลที่ผิด)
เป็นตัวเอกของเรื่อง เธอเป็นยูนิคอร์นและได้รับตำแน่งอลิคอร์นต่อมาและเธอได้เป็นเจ้าหญิง เธอมีดวงตาสีม่วงเข้ม ลำตัวสีม่วงอ่อน แผงคอและหางสามสี คือ สีน้ำเงินเข้ม, สีม่วง และสีชมพู มีคิวตี้มาร์คเป็นดาว 6 แฉกสีขาว และมีดาว 6 แฉกสีชมพูทับอยู่ และมีดาว 6 แฉกสีขาว 5 ดวงล้อมรอบ เธอเรียนเกี่ยวกับเวทมนตร์ เก่งเรื่องการคิดและจัดการ มีพี่ชายชื่อไชนิ่งอาร์เมอร์ มีคู่หูเป็นลูกมังกรชื่อ สไปค์ และมีนกฮูกชื่ออาวอลิเชียส เธอเป็นตัวละครหลักที่ได้รับภารกิจจากเจ้าหญิงเซเลสเทีย ให้เดินทางมาที่ โพนี่วิลล์ เพื่อมาเรียนรู้สิ่งที่เรียกว่ามิตรภาพ ซึ่งที่นี่เอง ทำให้เธอได้พบกับเพื่อน ๆ และการผจญภัยมากมาย ต่อมาได้กลายเป็นอัลลิคอร์นและเจ้าหญิงเซเลสเทียแต่งตั้งให้เธอเป็นเจ้าหญิง ทไวไลท์เป็นสัญลักษณ์แห่งเวทมนตร์
ม้าตัวสีส้ม แผงคอและหางสีเหลือง ตาสีเขียว มีคิวตี้มาร์คเป็นแอปเปิ้ลสีแดง 3 ผล เธอทำงานที่ไร่สวีทแอปเปิ้ลเอเคอร์กับยายของเธอ มีพี่ชายชื่อบิ๊กแม็กอินทอช และน้องสาวชื่อแอปเปิ้ลบลูม มีสุนัขชื่อวิโนน่า แอปเปิ้ลแจ็คเป็นหนึ่งในตัวละครที่มีความแข็งแรงทางร่างกายค่อนข้างสูงเนื่องจากต้องทำงานในไร่ตลอดเวลา เธอมีนิสัยชอบช่วยเหลือคนอื่นและเป็นที่พึ่งพาได้ เธอไม่เคยปฏิเสธที่จะช่วยเหลือคนอื่น และเป็นตัวละครที่มีนิสัยขยันหมั่นเพียรมากๆ และไม่เคยบ่นเรื่องความสกปรกหรือเหงื่อเลย เธอจะสวมหมวกสีน้ำตาลอ่อนอยู่ตลอดเวลา แม้จะดูเหมือนไม่ค่อยมีความเรียบร้อยเท่าไหร่ และเธอทำขนมได้เก่งมาก แอปเปิ้ลแจ็คเป็นสัญลักษณ์แห่งความซื่อสัตย์
ม้าเพกาซัสตัวสีฟ้า แผงคอและหางสีรุ้ง ตาสีชมพู มีคิวตี้มาร์คเป็นเมฆและสายฟ้า 3 สี คือ สีแดง, สีเหลือง และสีน้ำเงิน มีเต่าชื่อแทงค์ และแอบชอบแอปเปิ้ลแจ็ค เรนโบว์แดชเป็นสาวเลือดร้อน นิสัยเหมือนผู้ชาย เป็นเพกาซัสที่บินเก่งมาก ชอบการแข่งขันและรักการผจญภัยมาก ไม่ชอบความสวย มีความกล้าหาญเป็นที่สุดจนบางครั้งก็นำพาความเดือดร้อนมาสู่กลุ่มเพื่อน แต่ถึงอย่างไรก็ตามเป็นคนที่ไม่เคยคิดทิ้งหรือหักหลังเพื่อนแต่อย่างใด ชื่นชอบการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของกีฬาและความสนุก ความใฝ่ฝันสูงสุดของเรนโบว์แดชคือการเข้าร่วมกับหน่วย วันเดอร์โบลท์และเธอทำมันได้สำเร็จ เรนโบว์แดชเป็นสัญลักษณ์แห่งความจงรักภักดี
ม้ายูนิคอร์นตัวสีขาว แผงคอและหางม้วนเกลียวสีครามไล่ระดับไปถึงสีม่วง ตาสีน้ำเงินและทาเปลือกตาด้วยสีฟ้าอ่อน มีคิวตี้มาร์คเป็นเพชรสีฟ้า 3 เม็ด มีแมวชื่อโอปอล์เซนส์ เป็นตัวละครที่ชืนชอบในแฟชั่นและการออกแบบ รักความสวยงามและความสะอาด เธอมักจะเป็นยูนิคอร์นที่พูดจาอ่อนหวานและชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอถึงแม้จะดูขัดกับบุคลิกที่แสนเอาแต่ใจในบางที เธอมีชื่อเสียงในวงการแฟชั่นของโลกโพนี่และมีร้านตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นของตนเอง แรริตี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความเอื้ออารี
ม้าตัวสีชมพูอ่อน แผงคอและหางฟูฟ่องสีชมพูเข้ม ตาสีฟ้า มีคิวตี้มาร์คเป็นลูกโป่ง 3 ใบ โดยจะเป็นลูกโป่งสีฟ้า 2 ใบ และลูกโป่งสีเหลือง 1 ใบ เธอเป็นโพนี่ที่มีชีวิตชีวา กระตือรือร้น, มีความสุข, พูดเก่ง, สนุกสนาน, รักที่จะหัวเราะ ชื่นชอบงานปาร์ตี้และการทำเซอร์ไพร์สเป็นอย่างมาก แต่สำคัญคือ ในบรรดาตัวละครทั้งหมด เธอมีนิสัยรั่วมากที่สุดอีกด้วย เธอยังมีสัตว์เลี้ยงเป็นจระเข้ที่ไม่มีฟันชื่อ กัมมี่ เธอทำงานที่ร้านขายเค้ก ชูการ์คิวบ์ คอร์นเนอร์ พิ้งค์กี้พายเป็นสัญลักษณ์แห่งเสียงหัวเราะ
ม้าเพกาซัสตัวสีเหลือง แผงคอและหางสีชมพูอ่อน ตาสีน้ำเงินอมเขียว มีคิวตี้มาร์คเป็นผีเสื้อสีชมพู 3 ตัว เธอมีนิสัยมีขี้อายแต่เธอชอบที่จะร้องเพลงและดูแลสัตว์ต่างๆ เธอมีสัตว์เลี้ยงหลักที่เป็นทั้งคู่หูและผู้ช่วยของเธอเป็นกระต่ายน้อยชื่อ แองเจิ้ล ด้วยนิสัยความมีเมตตากรุณาต่อสัตว์และสิ่งมีชิวิตทุกชีวิต เธอมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วยคลี่คลายสถานการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ที่มีสัตว์มาเกี่ยวข้อง แม้จะเห็นว่าเธอมีความอ่อนโยน แต่ฟลัทเตอร์ชายจะมีนิสัยขี้อายและขี้กลัว มีเสียงอันไพเราะ หากอยู่ในภาวะคับขันเธอจะกลายเป็นคนที่กล้าหาญอย่างไม่น่าเชื่อ ฟลัทเตอร์ชายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเมตตา
เป็นหนึ่งในตัวละครหลักที่ไม่ใช่ม้าโพนี่ มังกรที่มีเกล็ดสีม่วงอ่อนและแผงคอสีเขียว เป็นผู้ช่วยของทไวไลท์ในการคอยดูแลงานบ้านต่างๆ ในห้องสมุด รวมไปถึงช่วยเหลือเธอยามที่เธอต้องการอีกด้วย สไปค์อยู่ร่วมกับทไวไลท์มาตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้ทั้งคู่มีความสัมพันธ์เหมือนพี่สาวกับน้องชายมาก เขาจะมีลักษณะนิสัยคล้ายพ่อบ้านเสียมากกว่า สไปค์มักจะรับหน้าที่ในการเขียนจดหมายต่างๆ ถึงองค์หญิงเซเลสเทีย โดยเขาจะสามารถใช้พลังไฟของตนเองในการส่งจดหมายไปหาองค์หญิงได้ในเวลารวดเร็ว เขาชอบช่วยเหลือม้าโพนี่ต่างๆและคอยเป็นห่วงเพื่อนๆอยู่เสมอ
(มีตัวละครใหม่และบางตัวกำลังอยู่ระหว่างการเพิ่มเติมข้อมูล)
ปี | จำนวนตอน | วันที่ออกอากาศ | ||||
---|---|---|---|---|---|---|
วันแรก | วันสุดท้าย | เครือข่าย | ||||
1 | 26 | 10 ตุลาคม ค.ศ. 2010 | 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 | The Hub/Hub Network | ||
2 | 26 | 17 กันยายน ค.ศ. 2011 | 21 เมษายน ค.ศ. 2012 | |||
3 | 13 | 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 | 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 | |||
4 | 26 | 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 | 10 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 | |||
5 | 26 | 4 เมษายน ค.ศ. 2015 | 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 | Discovery Family | ||
6 | 26 | 26 มีนาคม ค.ศ. 2016 | 22 ตุลาคม ค.ศ. 2016 | |||
7 | 26 | 15 เมษายน ค.ศ. 2017 | 28 ตุลาคม ค.ศ. 2017 | |||
ภาพยนตร์ | 6 ตุลาคม ค.ศ. 2017 | — | ||||
8 | 26 | 24 มีนาคม ค.ศ. 2018 | 13 ตุลาคม ค.ศ. 2018 | Discovery Family | ||
ภาควันหยุดพิเศษ | 27 ตุลาคม ค.ศ. 2018 | |||||
9 | 26 | 6 เมษายน ค.ศ. 2019 | 12 ตุลาคม ค.ศ. 2019 | |||
ภาคพิเศษ | 29 มิถุนายน ค.ศ. 2019 |
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ในประเทศไทย ได้เคยฉายใน ช่อง Cartoon Network ในทรูวิชั่นส์ ปัจจุบัน ออกอากาศทางช่อง บูมเมอแรง (ไทย) และ ALTV รวมทั้งบริษัท ทีไอจีเอ จำกัด เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในประเทศไทย [12]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.