Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระเจ้าคริสเตียนที่ 4 แห่งเดนมาร์ก (อังกฤษ: Christian IV of Denmark) (12 เมษายน ค.ศ. 1577 - 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1648) เป็นพระมหากษัตริย์แห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์แห่งราชวงศ์อ็อลเดินบวร์ค ครองราชย์ระหว่างวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1588 จนเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1648 พระองค์ครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สแกนดิเนเวีย โดยครองราชย์เป็นเวลา 59 ปี กับอีก 330 วัน[1]
พระเจ้าคริสเตียนที่ 4 แห่งเดนมาร์ก | |
---|---|
พระมหากษัตริย์แห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์ | |
ครองราชย์ | 4 เมษายน ค.ศ. 1588 - 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1648 |
ราชาภิเษก | 29 สิงหาคม ค.ศ. 1596 โบสถ์พระแม่ของเราทั้งหลาย กรุงโคเปนเฮเกน |
ก่อนหน้า | พระเจ้าเฟรเดอริกที่ 2 |
ถัดไป | พระเจ้าเฟรเดอริกที่ 3 |
ผู้อารักขาแห่งฮัมบวร์ค | |
ครองราชย์ | ค.ศ. 1621–1625 |
เทศมนตรี | เซบาสเตียนแห่งบาร์เกิน |
พระราชสมภพ | 12 เมษายน ค.ศ. 1577 |
สวรรคต | 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1648 |
คู่อภิเษก | อันนา คาธารีนาแห่งบรันเดินบวร์ก สมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์ เคียสเตน มุงค์ |
พระราชบุตร | พระเจ้าเฟรเดอริกที่ 3 แห่งเดนมาร์ก |
ราชวงศ์ | อ็อลเดินบวร์ค |
พระราชบิดา | พระเจ้าเฟรเดอริกที่ 2 แห่งเดนมาร์ก |
พระราชมารดา | โซฟีแห่งเมคเลินบวร์ค-กึสโทร |
คติพจน์ประจำรัชกาลของพระองค์คือ
“ | ศรัทธาแก่กล้าเพื่อเสริมสร้างอาณาจักร (Fromhed styrker rigerne) | ” |
พระเจ้าคริสเตียนที่ 4 ทรงเริ่มปกครองเดนมาร์กและนอร์เวย์ด้วยพระองค์เองตั้งแต่ปี ค.ศ. 1596 ขณะพระชนมายุได้ 19 พรรษา พระองค์ทรงเป็นที่จดจำว่าเป็นหนึ่งในกษัตริย์เดนมาร์ก-นอร์เวย์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ทะเยอทะยาน และมีความริเริ่มมากที่สุด โดยทรงริเริ่มการปฏิรูปและเริ่มโครงการต่าง ๆ มากมาย พระเจ้าคริสเตียนที่ 4 ทรงสร้างความมั่นคงและความร่ำรวยให้แก่ราชอาณาจักรของพระองค์ในระดับที่แทบไม่มีใครเทียบได้ในยุโรป[2] พระองค์นำอาณาจักรเข้าสู่สงครามหลายครั้ง โดยเฉพาะสงครามสามสิบปี (ค.ศ. 1618-1648) ซึ่งเป็นสงครามที่สร้างความเสียหายอย่างหนักแก่เยอรมนี ทำให้เศรษฐกิจของเดนมาร์ก-นอร์เวย์อ่อนแอลง และสูญเสียดินแดนที่เคยยึดครองไป[3] พระองค์ทรงมีพระราชดำริให้บูรณะและเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงจากชื่อเดิมเป็น คริสเตียเนีย เพื่อเป็นเกียรติแก่พระองค์เอง ชื่อนี้ใช้มาจนถึงปี ค.ศ. 1925 ก่อนจะกลับมาใช้ชื่อเดิมคือออสโล[4]
พระเจ้าคริสเตียนที่ 4 พระราชสมภพเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1577 ณ ปราสาทเฟรเดอริกส์บอร์ก เป็นพระราชโอรสลำดับที่สามและพระราชโอรสองค์โตในพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 2 แห่งเดนมาร์ก-นอร์เวย์ และโซฟีแห่งเมคเลินบวร์ค-กึสโทร พระองค์สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าฮันส์แห่งเดนมาร์กทางฝ่ายพระมารดา ทำให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์องค์แรกในราชสกุลของพระเจ้าฮันส์ที่ขึ้นครองราชย์นับตั้งแต่การปลดพระเจ้าคริสเตียนที่ 2 แห่งเดนมาร์ก ออกจากราชบัลลังก์
ในยุคนั้น เดนมาร์กยังคงเป็นระบอบราชาธิปไตยโดยเลือกตั้ง ดังนั้น แม้เจ้าชายคริสเตียนจะเป็นพระโอรสองค์โต แต่พระองค์ก็ไม่ได้เป็นรัชทายาทโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม นอร์เวย์เป็นระบอบราชาธิปไตยแบบสืบสันตติวงศ์ การเลือกให้ผู้อื่นขึ้นครองราชย์อาจจะนำไปสู่การสิ้นสุดการรวมกันระหว่างเดนมาร์ก-นอร์เวย์
พระเจ้าเฟรเดอริกที่ 2 พระราชบิดาสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1588 ในขณะนั้นพระเจ้าคริสเตียนที่ 4 มีพระชนมายุเพียง 10 พรรษาแต่เนื่องจากพระองค์ยังทรงพระเยาว์ จึงได้มีการตั้งสภาผู้สำเร็จราชการขึ้นจนกว่าพระองค์จะบรรลุนิติภาวะนำโดยอัครเสนาบดี นีลส์ คาส (1535–1594) และประกอบด้วยสมาชิกสภา Rigsraadet Peder Munk (1534–1623), Jørgen Ottesen Rosenkrantz (1523–1596) และ Christoffer Valkendorff (1525–1601) สภาผู้สำเร็จราชการปฏิเสธไม่ให้พระราชมารดาของพระองค์คือพระราชินีโซฟี พระชนมายุ 30 พรรษา เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารประเทศตามที่พระองค์ปรารถนา[5] เมื่อนีลส์ คาส เสียชีวิตในปี 1594 Jørgen Rosenkrantz ขึ้นมาเป็นผู้นำของสภาผู้สำเร็จราชการ
พระเจ้าคริสเตียนที่ 4 เข้าศึกษาที่ Sorø Academy ซึ่งพระองค์มีชื่อเสียงในฐานะนักเรียนที่หัวแข็งและมีความสามารถ[6]
ในปี ค.ศ. 1595 สภาราชอาณาจักรได้มีมติให้พระเจ้าคริสเตียนที่ 4 ขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ เนื่องจากมีพระชนมายุมากพอที่จะบริหารราชการแผ่นดินได้แล้ว เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1596 พระเจ้าคริสเตียนที่ 4 บรรลุนิติภาวะเมื่อพระชนมายุ 19 พรรษา และได้ลงนามใน "ฮานด์เฟสทนิง" ซึ่งเป็นข้อตกลงที่จำกัดพระราชอำนาจของพระองค์ คล้ายกับหลักการในแมกนาคาร์ตาของอังกฤษ ข้อตกลงนี้เหมือนกันกับข้อตกลงที่พระราชบิดาของพระองค์ลงนามไว้เมื่อปี ค.ศ. 1559
เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1596 พระเจ้าคริสเตียนที่ 4 ได้เข้าสู่พิธีราชาภิเษก ณ โบสถ์เซนต์แมรี ในเมืองโคเปนเฮเกน โดยบิชอปปีเตอร์ เจนเซน วินสตรัพ แห่งซีแลนด์ (ค.ศ. 1549-1614) เป็นผู้ประกอบพิธีสวมมงกุฎให้ พระองค์สวมมงกุฎพร้อมกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์แบบเดนมาร์กชุดใหม่ ซึ่งออกแบบโดยดิริช ไฟริง (ค.ศ. 1580–1603)[7] โดยได้รับความช่วยเหลือจากคอร์วิเนียส เซาร์ ช่างทองแห่งนูเรมเบิร์ก[8][9]
พระเจ้าคริสเตียนที่ 4 อภิเษกสมรสกับแอนน์แคทเธอรีนแห่งบรันเดนบวร์ค เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1597 แอนน์แคทเธอรีนเป็นธิดาของโจอาคิม ฟรีดริช มาร์เกรฟแห่งบรันเดนบวร์คและดยุกแห่งปรัสเซีย[10]
พระเจ้าคริสเตียนที่ 4 ให้ความสำคัญกับหลายด้าน ทั้งการปฏิรูปภายในประเทศและการเสริมสร้างกองทัพเดนมาร์กให้แข็งแกร่ง ป้อมปราการใหม่ ๆ ถูกสร้างขึ้นภายใต้การควบคุมของวิศวกรชาวดัตช์ พระเจ้าคริสเตียนที่ 4 ออกแบบเรือรบเองหลายลำ ทำให้กองทัพเรือเดนมาร์ก-นอร์เวย์ขยายตัวจาก 22 ลำในปี 1596 เป็น 60 ลำในปี 1610 การก่อตั้งกองทัพแห่งชาติต้องพบกับอุปสรรคมากมาย พระเจ้าคริสเตียนที่ 4 ต้องพึ่งพาทหารรับจ้างเป็นหลัก ซึ่งเป็นเรื่องปกติในยุคนั้น ก่อนที่จะมีการตั้งกองทัพประจำการ ทหารรับจ้างเหล่านี้ได้รับการเสริมกำลังด้วยการเกณฑ์ชาวนาจากที่ดินของราชวงศ์เข้ามาเป็นทหาร
จนถึงต้นทศวรรษ 1620 เศรษฐกิจของเดนมาร์ก-นอร์เวย์เติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของยุโรปกำลังเฟื่องฟู พระเจ้าคริสเตียนที่ 4 เป็นผู้ริเริ่มในการขยายการค้าทางทะเลของเดนมาร์ก-นอร์เวย์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการค้าแบบลัทธิพาณิชยนิยม (Mercantilism) ซึ่งเป็นแนวคิดทางเศรษฐกิจที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในยุโรปในช่วงเวลานั้น แนวคิดดังกล่าวเน้นการส่งเสริมการส่งออกและสะสมทรัพยากรภายในประเทศ เพื่อเพิ่มพูนอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองของชาติ พระองค์มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศริเริ่มก่อตั้งเมืองท่าสำคัญหลายแห่ง เพื่อส่งเสริมการค้าและการขนส่ง และสนับสนุนการสร้างโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ พระองค์ยังโปรดให้สร้างอาคารในรูปแบบสถาปัตยกรรมเรเนซองส์แบบดัตช์เป็นจำนวนมาก
พระเชษฐภคินี (พี่สาว) ของพระองค์คือเจ้าหญิงอันนา อภิเษกสมรสกับพระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์ ซึ่งต่อมาได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษในปี ค.ศ. 1603 พระเจ้าคริสเตียนได้เสด็จเยือนอังกฤษอย่างเป็นทางการ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีและกระชับไมตรีระหว่างราชอาณาจักรทั้งสองในปี ค.ศ. 1606 การเยือนอังกฤษครั้งนี้โดยทั่วไปแล้วถือเป็นความสำเร็จ แต่ก็มีเหตุการณ์ที่สร้างความไม่พอใจเกิดขึ้นบ้าง เนื่องจากทั้งชาวอังกฤษและชาวเดนมาร์กต่างดื่มหนักกันอย่างมาก ทั้งพระเจ้าคริสเตียนและพระเจ้าเจมส์ต่างมีความสามารถในการเสวยน้ำจัณฑ์ (สุรา) ในปริมาณมากโดยไม่สูญเสียสติสัมปชัญญะ ซึ่งแตกต่างจากบรรดาทหารและขุนนางคนอื่น ๆ ที่ร่วมเดินทางมาด้วย เซอร์จอห์น แฮริงตัน ได้บรรยายถึงงานบันเทิงที่ธีโอบัลด์ส ซึ่งเป็นการแสดงละครสวมหน้ากากเรื่องโซโลมอนและราชินีแห่งเชบาว่าเป็นความล้มเหลวอันเนื่องมาจากนักแสดงส่วนใหญ่ล้มลงไปเพราะดื่มไวน์มากเกินไป[11] พระเจ้าเจมส์ที่ 1 และพระเจ้าคริสเตียนที่ 4 ได้เสด็จไปร่วมงานเลี้ยงที่ปราสาทอัพนอร์ ซึ่งเป็นป้อมปราการสำคัญทางประวัติศาสตร์ และร่วมเสวยพระกระยาหารบนเรือเอลิซาเบธโจนาส เรือรบอันทรงเกียรติของกองทัพเรืออังกฤษ ขณะที่ประทับอยู่บนเรือแอดมิรัล พระเจ้าคริสเตียนที่ 4 ได้จัดแสดงดอกไม้ไฟบนเรือลำเล็ก ซึ่งทำให้พระเจ้าเจมส์ทรงซาบซึ้งจนถึงกับน้ำตาไหล แม้ว่าความสวยงามของดอกไม้ไฟจะลดลงไปบ้างเพราะจัดแสดงในเวลากลางวัน[12]
พระเจ้าคริสเตียนที่ 4 จะทุ่มเทแรงกายแรงใจในการสำรวจและตั้งอาณานิคม แต่โครงการทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ที่พระองค์ริเริ่มกลับไม่สามารถสร้างผลกำไรได้ พระเจ้าคริสเตียนที่ 4 ส่งคณะสำรวจไปยังกรีนแลนด์ในช่วงปี 1605–1607 เพื่อค้นหาชุมชนนอร์สโบราณที่สูญหายไป และเพื่อยืนยันอธิปไตยของเดนมาร์กเหนือดินแดนแห่งนี้ แต่การสำรวจครั้งนี้ก็ประสบความล้มเหลว เนื่องจากผู้นำขาดประสบการณ์ในการเผชิญกับสภาพอากาศและน้ำแข็งในแถบอาร์กติกที่รุนแรง
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.