ปฏิบัติการเสาค้ำเมฆา
From Wikipedia, the free encyclopedia
ปฏิบัติการเสาค้ำเมฆา (ฮีบรู: עַמּוּד עָנָן) เป็นปฏิบัติการของกองกำลังป้องกันอิสราเอลในฉนวนกาซาระหว่างวันที่ 14 ถึง 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เริ่มด้วยการสังหารอาเหม็ด จาบารี หัวหน้าฝ่ายทหารของฮามาสในกาซา[22][23][24] ความมุ่งหมายที่แถลงไว้ของปฏิบัติการ คือ เพื่อหยุดการโจมตีด้วยจรวดแบบไม่เลือกซึ่งยิงมาจากกาซา[25][26] และเพื่อรบกวนขีดความสามารถขององค์กรที่พร้อมต่อสู้[27]
ปฏิบัติการเสาค้ำเมฆา | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ ความขัดแย้งระหว่างกาซา–อิสราเอล | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
![]() |
ทหารในฉนวนกาซา | ||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
เบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำแห่งสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติประเทศอิสราเอล (ชินเบต) |
อิสมาอิล ฮานีเยฮ์ (โฆษกของกลุ่มกองพลอาบู อาลี มุสตาฟา) | ||||||
กำลัง | |||||||
ทหารกองหนุนจากภาคใต้ของอิสราเอลกว่า 75,000 นาย[13] |
ทหารจากIzz ad-Din al-Qassam Brigades 10,000 นาย ทหารจากญิฮาดอิสลามปาเลสไตน์ 8,000 นาย ไม่ทราบจำนวนทหารในกลุ่มอื่น กองกำลังรักษาความปลอดภัย 10,000 นาย[14] | ||||||
ความสูญเสีย | |||||||
ทหารถูกฆ่า 2 นาย บาดเจ็บ 20 นาย |
ชาวปาเสสไตน์: ทหารถูกฆ่า 120 นาย[16] ทหารถูกฆ่า 101 นาย (รายงานจากITIC)[17] ทหารถูกฆ่า 62 นาย (รายงานจากB'Tselem)[18] | ||||||
ชาวปาเสสไตน์ที่สูญหาย: ถูกฆ่า 4 คน, บาดเจ็บ 219 คน[21] |
รัฐบาลอิสราเอลแถลงว่า ปฏิบัติการดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นเพื่อสนองต่อการยิงจรวดจากกาซา และการโจมตีต่อทหารอิสราเอลตรงชายแดนอิสราเอล-กาซา[28][29][30][31][32] ทางการฮามาส ซึ่งปกครองฉนวนกาซา ปฏิเสธข้อว่าฮามาสเป็นผู้รุกราน และแถลงว่า พวกเขาไม่ต้องการเห็นความรุนแรงบานปลาย[33] รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของฮามาส กาซี ฮาเหม็ด แถลงว่า "เรายังพูดว่า เราเป็นเหยื่อของการยึดครองและเราตกเป็นเป้า" แต่ยังแย้งว่า ฮามาสมีสิทธิคุ้มครองประชาชนของตน ฉะนั้นจึงจะสนองต่อการโจมตีของอิสราเอล โดยแถลงเพิ่มเติมว่า "หากกาซาไม่ปลอดภัย เมืองของคุณก็จะไม่ปลอดภัยเช่นกัน"[33]
ในห้วงของปฏิบัติการ กองกำลังป้องกันอิสราเอลโจมตีกว่า 1,500 จุดในฉนวนกาซา[34] รวมทั้งจุดปล่อยจรวดและจุดเก็บซ่อน ที่บังคับการของฮามาส อาคารกระทรวงมหาดไทยและอาคารราชการอื่น ๆ ที่ฮามาสดำเนินงาน เช่นเดียวกับบ้านและกลุ่มอาคารอพาร์ตเมนต์หลายสิบหลัง[35] มีผู้เสียชีวิตชาวปาเลสไตน์ระหว่าง 158 ถึง 177 คนในปฏิบัติการดังกล่าว ระหว่าง 55 ถึง 120 คนในจำนวนนี้เป็นผู้ร่วมรบ มีชาวปาเลสไตน์ได้รับบาดเจ็บอีก 1,200-1,300 คน และมีครอบครัวชาวปาเลสไตน์ระหว่าง 350 ถึง 700 ครอบครัว พลัดถิ่น[36][37][38][39][16] ไม่ใช่ว่าความสูญเสียชาวปาเลสไตน์ทั้งหมดจำเป็นต้องเกิดจากน้ำมือของอิสราเอล บางคนอาจเสียชีวิตเพราะจรวดปาเลสไตน์ยิงพลาดในฉนวนกาซา[40] ยิ่งไปกว่านั้น ชาวปาเลสไตน์ 8 คนถูกประหารชีวิตอย่างรวบรัดโดยสมาชิกของฝ่ายทหารของฮามาส เพราะถูกกล่าวหาว่าให้ความร่วมมือกับอิสราเอล[41][42]
กองพลน้อยอัล-กอสซัม (al-Qassam Brigades) และญิฮาดอิสลามปาเลสไตน์ยกระดับการยิงจรวดถล่มนครและเมืองต่าง ๆ ของอิสราเอลหลังการสังหารอาเหม็ด จาบารี กลุ่มพร้อมรบปาเลสไตน์ยิงจรวดกว่า 1,456 ลูกใส่อิสราเอล โดยมีอีก 142 ลูกตกในฉนวนกาซาเอง[43] ในครั้งนี้ เทลอาวีฟถูกถล่มเป็นครั้งแรกนับแต่สงครามอ่าวเปอร์เซียเมื่อ พ.ศ. 2534 และมุ่งเป้าไปยังกรุงเยรูซาเล็ม[44] จรวดดังกล่าวคร่าชีวิตพลเรือนชาวอิสราเอล 4 คน ทหาร 2 นาย และพลเรือนชาวปาเลสไตน์จำนวนหนึ่ง[22][42][45] จนถึงวันที่ 19 พฤศจิกายน ชาวอิสราเอลกว่า 252 คนได้รับบาดเจ็บทางกายในการโจมตีด้วยจรวด[46][47] ระบบป้องกันขีปนาวุธไอเอิร์นโดม (Iron Dome) ของอิสราเอลสกัดกั้นจรวด 421 ลูก อีก 142 ลูกตกในฉนวนกาซาเอง 875 ลูกตกในพื้นที่เปิด และ 58 ลูกโดนพื้นที่เมืองในอิสราเอล[43][48][49] เหตุระเบิดโจมตีต่อรถโดยสารประจำทางเทลอาวีฟซึ่งเป็นเหตุให้มีพลเรือนได้รับบาดเจ็บกว่า 20 คน ได้รับ "คำอวยพร" จากฮามาส[50]
สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา เยอรมนีและประเทศตะวันตกอื่น ๆ แสดงการสนับสนุนสิทธิของอิสราเอลในการป้องกันตนเอง และ/หรือ ประณามการโจมตีด้วยจรวดถล่มอิสราเอลของปาเลสไตน์[51][52][53][54][55][56][57][58][59][60][61] อิหร่าน อียิปต์ ตุรกี ประเทศอาหรับและมุสลิมอีกหลายประเทศประณามปฏิบัติการของอิสราเอล[62][63][64][65] คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจัดสมัยประชุมฉุกเฉินต่อสถานการณ์ แต่ไม่บรรลุคำวินิจฉัย[66] มีการประกาศการหยุดยิงในวันที่ 21 พฤศจิกายน หลังการเจรจาหลายวันระหว่างฮามาสกับอิสราเอล โดยมีอียิปต์เป็นคนกลาง[67][68][69] ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างชัยชนะ อิสราเอลแถลงว่า ตนบรรลุความมุ่งหมายในการตัดความสามารถในการปล่อยจรวดของฮามาส[70] ขณะที่ฮามาสแถลงว่า "ทางเลือกในการบุกครองกาซาหลังชัยชนะนี้หมดไป และจะไม่กลับมาอีก" และขอบคุณอิหร่านกับอียิปต์สำหรับความช่วยเหลือ[71][72]