Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
บริติชซีลอน (อังกฤษ: British Ceylon) หรือ ลังกาของบริเตน (สิงหล: බ්රිතාන්ය ලංකාව; ทมิฬ: பிரித்தானிய இலங்கை) หรือชื่อทางการระหว่างปี 1802 ถึง 1833 คือ นิคมและดินแดนของบริเตนในเกาะซีลอนตลอดจนบรรดาเมืองขึ้น (British Settlements and Territories in the Island of Ceylon with its Dependencies)[1] เป็นอาณานิคมในพระองค์ของสหราชอาณาจักรระหว่าง ค.ศ. 1802 ถึง 1948 ซึ่งคือประเทศศรีลังกาในปัจจุบัน
ซีลอน | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ค.ศ. 1815–1948 | |||||||||||||
สถานะ | อาณานิคมในพระองค์ | ||||||||||||
เมืองหลวง | โคลัมโบ | ||||||||||||
ภาษาทั่วไป | อังกฤษ (ภาษาราชการ), สิงหลและทมิฬ | ||||||||||||
การปกครอง | ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ | ||||||||||||
พระเจ้าแผ่นดิน | |||||||||||||
• 1815–1820 | พระเจ้าจอร์จที่ 4 | ||||||||||||
• 1820–1830 | พระเจ้าจอร์จที่ 4 | ||||||||||||
• 1830–1837 | พระเจ้าวิลเลียมที่ 4 | ||||||||||||
• 1837–1901 | พระนางเจ้าวิกตอเรีย | ||||||||||||
• 1901–1910 | พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 | ||||||||||||
• 1910–1936 | พระเจ้าจอร์จที่ 5 | ||||||||||||
• 1936 | พระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 | ||||||||||||
• 1936–1948 | พระเจ้าจอร์จที่ 6 | ||||||||||||
สภานิติบัญญัติ | สภานิติบัญญัติแห่งซีลอน (1833–1931) รัฐสภาแห่งซีลอน (1931–1947) | ||||||||||||
ยุคประวัติศาสตร์ | ยุคจักรวรรดินิยมใหม่ | ||||||||||||
• การประชุมกัณฏิ | 5 มีนาคม ค.ศ. 1815 | ||||||||||||
• เอกราช | 4 กุมภาพันธ์ 1948 | ||||||||||||
ประชากร | |||||||||||||
• 1881 | 2759700 | ||||||||||||
• 1946 | 6657300 | ||||||||||||
|
ซีลอนมาจากคำสันสกฤตว่า "สิงหลทวีป" (सिंहलद्वीप) ซึ่งชาวโรมันกร่อนเสียงเหลือเพียง "ซีเลน" และถูกแผลงเสียงเรื่อยมาจนกลายเป็นคำว่าซีลอนในภาษาอังกฤษ
ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เกาะลังกาตกอยู่ภายใต้สภาวะสงครามระหว่างโปรตุเกสกับอาณาจักรกัณฏิเพื่อครอบครองพื้นที่ทั้งหมดบนเกาะ ต่อมาเมื่อเนเธอร์แลนด์สถาปนาเป็นสาธารณรัฐดัตช์ พระเจ้าวิมาลาธรรมสุริยะแห่งกัณฏิทรงเจรจาให้เนเธอร์แลนด์เข้ามาช่วยรบต่อต้านโปรตุเกส หลังจากเนเธอร์แลนด์เข้ามากำจัดอิทธิพลของโปรตุเกส บางส่วนของเกาะลังกาก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเนเธอร์แลนด์ แม้ว่าเนเธอร์แลนด์จะไม่มีอำนาจมากพอถึงขนาดจะสั่งกษัตริย์แห่งกัณฏิ แต่เนเธอร์แลนด์ก็ผูกขาดการค้าระหว่างประเทศของเกาะลังกาผ่านบริษัทอินเดียตะวันออก
ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 เนเธอร์แลนด์อ่อนแอลงจากการทำสงครามกับบริเตนใหญ่ แผ่นดินแม่ของเนเธอร์แลนด์ถูกยึดครองโดยจักรวรรดิฝรั่งเศส ผู้นำของเนเธอร์แลนด์ลี้ภัยไปยังลอนดอนและตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นที่นั่น รัฐบาลพลัดถิ่นมิอาจบริหารอาณานิคมได้อย่างมีประสิทธิผล จึงโอนการปกครองในเกาะลังกาแก่บริเตนใหญ่ในปี ค.ศ. 1796 แม้ว่าจะได้รับเสียงคัดค้านจากชาวดัตช์บางส่วนก็ตาม เมื่อบริเตนใหญ่เข้าครอบครองบางส่วนของเกาะลังกาซึ่งเคยเป็นของเนเธอร์แลนด์ บริเตนใหญ่ก็ต้องการขยายเขตอิทธิพล จึงเจรจาให้อาณาจักรกัณฏิเป็นรัฐในอารักขาแต่ถูกปฏิเสธ สงครามจึงเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามเนื่องจากบริเตนยังติดพันกับสงครามนโปเลียนจึงไม่ได้ใส่ใจสงครามในเกาะลังกามากนัก
ในปี 1815 บรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของกัณฏิก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากพระเจ้าศรีวิกรมราชสิงหะ (พระองค์ไม่ใช่ชาวสิงหลนับถือพุทธ แต่เป็นชาวอินเดียใต้นับถือฮินดู) และนำพระองค์ไปจองจำไว้ บรรดาขุนนางร่วมกันลงนามสนธิสัญญากับบริเตนในวันที่ 2 มีนาคมของปีเดียวกัน ยอมรับอำนาจอธิปไตยของบริเตนเหนือเกาะลังกา อังกฤษจะให้ความคุ้มครองศาสนาพุทธและจะไม่บังคับคนท้องถิ่นนับถือคริสต์ อีกด้านหนึ่งก็มีความพยายามซ่อนตัวอดีตพระเจ้าศรีวิกรมราชสิงหะจากพวกอังกฤษ แต่ภายหลังพระองค์ถูกอังกฤษจับกุมได้และถูกส่งตัวไปกักบริเวณที่รัฐทมิฬนาฑูในอินเดียใต้[2]
หลังเข้ามาปกครองเกาะลังกา ชาวอังกฤษพบว่าเกาะแห่งเหมาะสมต่อการปลูกต้นกาแฟ ต้นชา และต้นยางอย่างมาก กลางศตวรรษที่ 18 บริติชซีลอนก็กลายเป็นแหล่งผลิตชากาแฟที่สำคัญที่สุดของสหราชอาณาจักร สร้างรายได้แก่เกษตรกรท้องถิ่นเป็นอย่างดี การปลูกชากาแฟในบริติชซีลอนเฟื่องฟูมากจนอังกฤษต้องนำแรงงานชาวทมิฬจำนวนมากเข้ามาจากอินเดีย คิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 10 ของประชากรในบริติชซีลอน อย่างไรก็ตาม แรงงานชาวทมิฬนี้มีสภาพการทำงานย่ำแย่เยี่ยงทาส ต่างชาวสิงหลที่ได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีจากอังกฤษ ชาวทมิฬจึงมีความรู้สึกแตกแยกกับชาวสิงหล ซึ่งจะพัฒนากลายเป็นกบฏพยัคฆ์ทมิฬในปี 1976
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.