Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
การพ่นเคลือบด้วยความร้อน (Thermal spraying techniques) คือกระบวนการพ่นเพื่อเคลือบพื้นผิวของวัสดุใดๆ ด้วยวัสดุร้อน หรือวัสดุหลอมเหลว หรือวัสดุกึ่งหลอมเหลว วัสดุที่เป็นวัตถุดิบของผิวเคลือบได้รับความร้อนจากกระแสไฟฟ้า (ในรูปของ plasma หรือ arc) หรือการเผาไหม้ทางเคมี (combustion flame) เมื่อวัสดุดังกล่าวถูกพ่นตกกระทบลงบนพื้นผิวจะเกิดการแข็งตัวอย่างรวดเร็วเกิดเป็นผิวเคลือบ มีลักษณะเป็นแผ่นๆ ซ้อนทับกันเรียกว่า Lamellar Structure[1]
บทความนี้ต้องการการจัดหน้า จัดหมวดหมู่ ใส่ลิงก์ภายใน หรือเก็บกวาดเนื้อหา ให้มีคุณภาพดีขึ้น คุณสามารถปรับปรุงแก้ไขบทความนี้ได้ และนำป้ายออก พิจารณาใช้ป้ายข้อความอื่นเพื่อชี้ชัดข้อบกพร่อง |
การพ่นเคลือบด้วยความร้อนสามารถให้ความหนาของผิวเคลือบได้ตั้งแต่ประมาณ 20 ไมโครเมตร จนถึง หลายมิลลิเมตร ซึ่งขึ้นอยู่กับกระบวนการพ่นและคุณสมบัติของวัสดุที่นำมาใช้เป็นผิวเคลือบ การพ่นเคลือบด้วยความร้อนนี้สามารถเคลือบผิวที่มีขนาดใหญ่ได้ด้วยอัตราการเคลือบที่เร็วเมื่อเทียบกับวิธีการเคลือบผิวอื่นๆ เช่น electroplating, physical and chemical vapor deposition เป็นต้น
สิ่งที่สามารถนำมาใช้เป็นผิวเคลือบมีทั้ง โลหะ, โลหะผสม (alloy), เซรามิก, พลาสติก, และวัสดุผสม (composites) ซึ่งวัสดุเหล่านี้ผลิตมาในรูปของผงหรือเส้นลวด ในการพ่นเคลือบวัสดุเหล่านี้จะได้รับความร้อนจากการเผาไหม้ทางเคมี หรือการกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้า ทำให้วัดสุอยู่ในสภาพหลอมเหลว หรือกึ่งหลอมเหลว แล้วถูกพ่นออกไปเป็นละอองอนุภาคระดับไมโครเมตร
การวัดคุณภาพของผิวเคลือบทำโดยการตรวจวัดความพรุนหรือปริมาณของรูพรุนของผิวเคลือบ, ตรวจวัดปริมาณออกไซด์, ตรวจวัดความแข็งมหภาค และความแข็งจุลภาค (macro and micro-hardness), ตรวจวัดความแข็งแรงของการยึดเกาะ (bond strength), ตรวจวัดความหยาบของพื้นผิว เป็นต้น
ในบางครั้งกระบวนการพ่นเคลือบต้องอาศัยแขนกลเข้ามาช่วยในการยึดจับหัวปืนพ่น เนื่องจากกระบวนการสร้างเสียงดัง และความร้อนสูง ทำไห้ใช้คนถือหัวพ่นได้ไม่สะดวก อีกทั้งการใช้แขนกลยังช่วยให้การกระจายของผิวเคลือบเป็นไปอย่างสม่ำเสมอกว่า
ชนิดของกระบวนการพ่นเคลือบด้วยความร้อน
ผิวเคลือบที่ได้จากกระบวนการพ่นเคลือบด้วยความร้อนสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในเรื่องการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับตัวชิ้นงาน จากสภาพแวดล้อมหรือ สภาพการใช้งาน โดยทั่วไปผิวเคลือบจะเป็นส่วนที่เสียหายแทนเนื้อวัสดุของชิ้นงานที่ผิวเคลือบนั้นเคลือบไว้ ซึ่งจะทำให้ชิ้นงานมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น
นอกจากนี้กระบวนการพ่นเคลือบด้วยความร้อนยังสามารถใช้ในการซ่อมบำรุงชิ้นงานต่างๆ ได้ด้วย เช่นชิ้นงานที่สึกหรอจากการเสียดสีขณะใช้งานเมื่อถึงกำหนดซ่อมบำรุง ก็สามารถใช้กระบวนการพ่นเคลือบด้วยความร้อนพ่นเนื้อวัสดุลงไปเติมเต็มส่วนที่สึกหรอได้
โดยทั่วไประบบของการพ่นเคลือบด้วยความร้อนประกอบด้วยอุปกรณ์ดังต่อไปนี้
ในกระบวนการพ่นเคลือบพลาสม่านั้น วัตถุดิบผิวเคลือบโดยทั่วไปอยู่ในรูปแบบผง แต่ก็มีบางประเภทอยู่ในรูปของเหลว หรือขดลวด ซึ่งวัตถุดิบของผิวเคลือบเหล่านี้จะถูกป้อนเข้าสู่ลำพลาสม่า ที่ออกมาจากหัวพ่นหลาสม่า เปลวพลาสม่านี้มีอุณหภูมิสูงได้ถึง 10,000 K ทำให้วัตถุดิบผิวเคลือบหลอมละลายแล้วถูกพ่นไปยังชิ้นงานที่ต้องการให้ถูกพ่นเคลือบ หยดของผิวเคลือบเหลวที่ตกกระทบลงบนผิววัสดุจะเกิดการยึดเกาะและแข็งตัวอย่างรวดเร็วกลายเป็นผิวเคลือบ คุณสมบัติของผิวเคลือบที่ได้เป็นผลมาจากปัจจัยต่างๆ หลายปัจจัยที่เกิดขึ้นในกระบวนการ เช่น ชนิดของวัตถุดิบผิวเคลือบ อัตราการไหลของแก๊สพลาสม่า ปริมาณพลังงานที่ป้อนเข้าสู่ระบบ ระยะห่างระหว่างหัวพ่นและชิ้นงาน และอัตราการเย็นตัวของผิวเคลือบ เป็นต้น
สำหรับแก๊สที่ใช้เพื่อสร้างพลาสม่านั้นมีหลายชนิด เช่นอาร์กอน ไนโตรเจน ไฮโดรเจน หรือฮีเลี่ยม เป็่นต้น ซึ่งแก๊สแต่ละชนิดจะให้พลาสม่าที่มีความสามารถในการสร้างความร้อนแตกต่างกัน และราคาก็แตกต่างกันอีกด้วย
กระบวนการพ่นเคลือบลวดอาร์กเป็นรูปแบบหนึ่งของกระบวนการพ่นเคลือบด้วยความร้อน โดยใช้ลวดโลหะสองเส้นเป็นวัตถุดิบผิวเคลือบ ป้อนเข้าสู่หัวพ่น จ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่ลวดเพื่อให้เกิดการอาร์กขึ้นที่ปลายลวดทั้งสองที่ตำแหน่งปลายกระบอกปืนพ่น ความร้อนจากอาร์กที่เกิดขึ้นทำให้ปลายลวดทั้งสองเส้นหลอมละลาย และลวดวัสดุผิวเคลือบที่หลอมละลายนี้ถูกอากาศความดันสูงที่ต่อเข้ามาที่หัวพ่นพัดพาออกไปตกที่ผิวชิ้นงานที่ต้องการให้ถูกเคลือบ เกิดเป็นผิวเคลือบต่อไป
กระบวนการนี้ใช้เปลวไฟจากการเผาไหม้อะเซติลีนหรือส่วนผสมระหว่างออกซิเจนและไฮโดรเจน วัตถุดิบผิวเคลือบจะถูกป้อนเข้าสู่หัวพ่น และหลอมเหลวโดยเปลวไฟ จากนั้นอนุภาคผิวเคลือบจะถูกขับดัน พาไปตกบนผิวชิ้นงานที่ต้องการได้รับการเคลือบด้วยอากาศที่มีความดันสูง วัตถุดิบผิวเคลือบมีทั้งแบบผงและขดลวด
กระบวนการพ่นเคลือบโดยทั่วไปมีข้อจำกัดเรื่องเส้นทางการเดินทางของอนุภาคผิวเคลือบที่พ่นออกมาจากปลายกระบอกปืนที่เดินทางเป็นเส้นตรง ดังนั้นหากพื้นผิวที่ต้องการได้รับการเคลือบถูกบังด้วยวัตถุอื่น จะทำให้ไม่สามารถพ่นเคลือบได้
การทดสอบมีทั้งทดสอบความแข็งมหภาค (Macro Hardness) ที่เป็นการทดสอบด้วยการกดหัวทดสอบตั้งฉากกับผิวชิ้นงานที่มีผิวเคลือบอยู่ชั้นบน โดยมากใช้ Rockwell Scale และการทดสอบความแข็งจุลภาค (Micro Hardness) ที่เป็นการทดสอบโดยกดหัวทดสอบลงบนภาคตัดขวาง (Cross Section) ของชิ้นงานที่มีผิวเคลือบเคลือบอยู่ โดยมากใช้ การทดสอบ Vickers Hardness ข้อควรระวังสำหรับการทดสอบความแข็งแบบมหภาคคือ ผิวเคลือบมีความหยาบสูงเมื่อเทียบกับผิวดลหะทั่วไป เช่นโลหะหล่อ หรือผิวจากการ machine ดังนั้นจึงควรทำให้ผิวมีความเรียบก่อนทดสอบความแข็ง และข้อควรระวังอีกข้อหนึ่งคือ หากผิวเคลือบมีความหนาน้อยเกินไป ความแข็งที่วัดได้อาจจเป็นค่าที่รวมเอาผลกระทบจากความแข็งของชิ้นงาน (substrate) ด้านล่างอยู่ด้วย
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.