การปฏิวัติทางวัฒนธรรม
From Wikipedia, the free encyclopedia
การปฏิวัติทางวัฒนธรรมใหญ่ของกรรมาชีพ (อังกฤษ: Great Proletarian Cultural Revolution) หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า การปฏิวัติวัฒนธรรม (อังกฤษ: Cultural Revolution) เป็นขบวนการทางสังคม-การเมืองซึ่งเกิดขึ้นในสาธารณรัฐประชาชนจีนในช่วง ค.ศ. 1966 ถึง 1976 ดำเนินการโดยเหมา เจ๋อตงซึ่งขณะนั้นเป็นประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนและเป็นผู้จัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน มีเป้าหมายเพื่อปกป้องอุดมการณ์พรรคคอมมิวนิสต์จีนโดยการขจัดองค์ประกอบที่เป็นทุนนิยม ประเพณีและวัฒนธรรมจีน ออกจากวัฒนธรรมคอมมิวนิสต์และเพื่อกำหนดแนวทางแบบเหมาภายในพรรค การปฏิวัติดังกล่าวส่งผลให้เหมาเจ๋อตงกลับมามีอำนาจหลังการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าที่ล้มเหลว ขบวนการดังกล่าวทำให้การเมืองจีนหยุดชะงักและส่งผลกระทบต่อประเทศทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างสำคัญ
ในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ยุวชนแดงได้ใช้โฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองบนกำแพงมหาวิทยาลัยฟู่ต้านที่ว่า "ปกป้องคณะกรรมการกลางของพรรคด้วยเลือดและชีวิต!" "ปกป้องท่านประธานเหมา ด้วยเลือดและชีวิต!" | |
ระยะเวลา | 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1966 – 6 ตุลาคม ค.ศ. 1976 (1966-05-16 – 1976-10-06) (10 ปี 143 วัน) |
---|---|
ที่ตั้ง | สาธารณรัฐประชาชนจีน |
เหตุจูงใจ | รักษาแนวคิดคอมมิวนิสต์จีนด้วยการกวาดล้างซากเดนของทุนนิยมและค่านิยมดั้งเดิมออกจากสังคมจีนแผ่นดินใหญ่ |
ผล | กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก สื่อทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมถูกทำลาย |
เสียชีวิต | พลเรือน ยุวชนแดงและทหารจำนวนหลายแสนจนถึงหลายล้านคน (จำนวนตัวเลขไม่แน่นอน) |
ทรัพย์สินเสียหาย | สุสานขงจื๊อ, หอสักการะฟ้า, สุสานหลวงราชวงศ์หมิง |
จับ | เจียง ชิง, จาง ชุนเฉียว, เหยา เหวินหยวนและหวัง หงเหวินถูกจับกุมหลังจากนั้น |
การปฏิวัติทางวัฒนธรรมใหญ่ของกรรมาชีพ | |||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวย่อ | 无产阶级文化大革命 | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อักษรจีนตัวเต็ม | 無產階級文化大革命 | ||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||
Commonly abbreviated as | |||||||||||||||||||
ภาษาจีน | 1. 文化大革命 2. 文革 | ||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||
การปฏิวัติวัฒนธรรมเริ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1966 ด้วยการดำเนินการของกลุ่มปฏิวัติทางวัฒนธรรม เหมาเรียกร้องให้คนหนุ่มสาวออกมา "ถล่มกองบัญชาการ" และประกาศว่า "การกบฏเป็นเรื่องสมเหตุสมผล" เพื่อกำจัดคู่แข่งทางการเมืองของเขาในพรรคคอมมิวนิสต์จีน และในโรงเรียน โรงงานและองค์กรรัฐบาล เหมาอ้างว่ากระฎุมพีกำลังแทรกซึมรัฐบาลและสังคมอย่างไม่มีขอบเขต โดยมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูทุนนิยม เขายืนกรานให้ขจัด "ลัทธิแก้" (revisionist) เหล่านี้ผ่านการต่อสู้ของชนชั้นอย่างรุนแรง เยาวชนจีนสนองตอบการเรียกร้องของเหมาโดยตั้งกลุ่มยุวชนแดงขึ้นทั่วประเทศ ขบวนการดังกล่าวแพร่ไปสู่ทหาร กรรมกรในเมือง และผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์เอง พวกเขาดำเนินการต่อสู้ในสมัยประจันหน้าและพยายามยึดอำนาจรัฐบาลท้องถิ่นรวมถึงพรรคคอมมิวนิสต์จีนตามสาขา และในที่สุดมีการจัดตั้งคณะกรรมการปฏิวัติขึ้นใน ค.ศ. 1967 ในกลุ่มต่าง ๆ มักแบ่งออกเป็นคู่ขัดแย้งกันเองแต่ก็เข้าไปมีส่วนพัวพันใน "การประจันหน้าที่รุนแรง" (จีนตัวย่อ: 武斗; จีนตัวเต็ม: 武鬥; พินอิน: wǔdòu) ทำให้มีการส่งกองทัพปลดปล่อยประชาชนเข้าไปรักษาความสงบ
คติพจน์ของเหมาได้ถูกรวบรวมไว้ใน สมุดเล่มแดง ซึ่งกลายเป็นคำสอนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาตัวบุคคลของเหมา เจ๋อตง หลิน เปียว ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ถูกเขียนชื่อไว้ในรัฐธรรมนูญสาธารณรัฐประชาชนจีนในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากเหมา เหมาประกาศให้การปฏิวัติสิ้นสุดใน ค.ศ. 1969 แต่การปฏิวัติยังคงดำเนินต่อไปจนถึง ค.ศ. 1971 เมื่อหลิน เปียวถูกกล่าวหาว่าพยายามก่อการรัฐประหารต่อเหมา เขาได้หลบหนีและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก ใน ค.ศ. 1972 แก๊งออฟโฟร์ได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจและการปฏิวัติทางวัฒนธรรมยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งการอสัญกรรมและรัฐพิธีฝังศพเหมา เจ๋อตง และมีการจับกุมแก๊งออฟโฟร์ใน ค.ศ. 1976
การปฏิวัติทางวัฒนธรรมสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อเศรษฐกิจจีนและวัฒนธรรมดั้งเดิม โดยมีผู้เสียชีวิตตั้งแต่หลายแสนไปจนถึง 20 ล้านคน[1][2][3][4][5][6] เริ่มตั้งแต่สิงหาคมแดงในปักกิ่ง การสังหารหมู่แพร่ขยายทั่วจีนแผ่นดินใหญ่ รวมทั้งการสังหารหมู่กว่างซี ที่มีการกินเนื้อมนุษย์กันขนานใหญ่[7][8], อุบัติการณ์มองโกเลียใน, การสังหารหมู่ปฏิวัติทางวัฒนธรรมในกวางตุ้ง, การสังหารหมู่ปฏิวัติทางวัฒนธรรมในยูนนานและการสังหารหมู่ปฏิวัติทางวัฒนธรรมในหูหนาน ยุวชนแดงได้ทำลายโบราณวัตถุและสิ่งประดิษฐ์ทางประวัติศาสตร์ เช่น การฉกชิงทรัพย์ในสถานที่ทางวัฒนธรรมและศาสนา ความล้มเหลวของเขื่อนป่านเฉียว ค.ศ. 1975 เป็นหนึ่งในหายนะทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่ของโลก ได้เกิดขึ้นในช่วงปฏิวัติทางวัฒนธรรมเช่นเดียวกัน ในขณะเดียวกันผู้คนหลายสิบล้านต่างถูกประหัตประหาร คนสำคัญอย่างเช่น หลิว เช่าฉี ประธานาธิบดีจีน, เติ้ง เสี่ยวผิง, เผิง เต๋อหวยและเฮ่อ หลง ต่างถูกกวาดล้างหรือเนรเทศ ประชาชนหลายล้านถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกกลุ่มบัญชีดำทั้งห้าซึ่งถูกทำความอัปยศในที่สาธารณะ จำคุก ทรมาน ใช้แรงงานหนัก ถูกยึดทรัพย์สิน และบางคนถูกประหาร และกดดันให้ฆ่าตัวตาย ปัญญาชนถูกมองว่าเป็นพวก "ค่านิยมเก่าทั้งเก้าที่เน่าเฟะ" และถูกกวาดล้างอย่างกว้างขวาง ได้แก่ นักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์อย่างเช่น เหลา เฉ่อ, ฟู่ เหล, เหยา ถงปินและจ้าว จิ่วจางถูกสังหารหรือฆ่าตัวตาย โรงเรียนและมหาวิทยาลัยถูกสั่งปิด การสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งชาติถูกยกเลิก เยาวชนปัญญาชนในเขตเมืองกว่า 10 ล้านคนถูกส่งไปยังชนบทตามนโยบายการเคลื่อนไหวลงสู่ชนบท
ใน ค.ศ. 1978 เติ้ง เสี่ยวผิงกลายเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศจีนคนใหม่ และเขาเริ่มนโยบาย "โปล่วน ฝ่านเจิ้ง" ที่ค่อย ๆ รื้อถอนนโยบายของลัทธิเหมาที่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติทางวัฒนธรรม และนำประเทศกลับเข้าสู่ความสงบ เติ้งเริ่มวาระใหม่ของจีนด้วยการการปฏิรูปเศรษฐกิจจีน ใน ค.ศ. 1981 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ประกาศว่า การปฏิวัติทางวัฒนธรรมเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด และเป็นสิ่งที่ "รับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ที่รุนแรงที่สุดและผู้ที่ได้รับความสูญเสียอย่างหนักหน่วงที่สุดคือ ประชาชน ประเทศ และพรรค นับตั้งแต่การจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนขึ้นมา"[9][10][11]