Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
การตอบสนองโดยสู้หรือหนี หรือ การตอบสนองแบบสู้หรือหนี (อังกฤษ: fight-or-flight response, hyperarousal, acute stress response) เป็นปฏิกิริยาทางสรีรภาพที่เกิดตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่รู้สึกว่าเป็นอันตราย เสี่ยงต่อถูกทำร้าย หรือเสี่ยงต่อชีวิต[1] โดยมี ศ. นพ. วอลเตอร์ แบรดฟอร์ด แคนนอนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกล่าวถึงไอเดียนี้เป็นคนแรกในปี พ.ศ. 2472[2] ทฤษฎีของเขาแสดงว่า สัตว์ (และมนุษย์) มีปฏิกิริยาต่อภัยด้วยการทำงานในระบบประสาทซิมพาเทติก ซึ่งช่วยเตรียมสัตว์ให้สู้หรือหนี[3]
โดยเฉพาะก็คือ สมองส่วน adrenal medulla ซึ่งเป็นส่วนของต่อมหมวกไตจะสร้างปฏิกิริยาลูกโซ่ทางฮอร์โมนมีผลเป็นการหลั่งสารประกอบอินทรีย์แบบโมโนอะมีนคือ catecholamines โดยเฉพาะนอร์เอพิเนฟรินและอีพิเนฟริน (คือ อะดรีนาลีน)[4] นอกจากนั้นแล้ว ฮอร์โมนเพศหญิงหลักคือเอสโตรเจน ฮอร์โมนเพศชายหลักคือเทสโทสเตอโรน และฮอร์โมนที่หลั่งเมื่อเครียดคือคอร์ติซอล กับทั้งสารสื่อประสาทโดพามีนและเซโรโทนิน ก็ยังมีอิทธิพลต่อการตอบสนองต่อความเครียดของสัตว์อีกด้วย[5]
การตอบสนองเช่นนี้รู้แล้วว่าเป็นระยะแรกของกลุ่มอาการปรับตัวทั่วไป (General Adaptation Syndrome) ที่ควบคุมการตอบสนองต่อความเครียดของสัตว์มีกระดูกสันหลังและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ[6]
ระบบประสาทอิสระเป็นระบบควบคุมที่ทำงานใต้จิตสำนึกและควบคุมอัตราหัวใจเต้น การย่อยอาหาร อัตราการหายใจ การตอบสนองของรูม่านตา การถ่ายปัสสาวะ และอารมณ์เพศ เป็นระบบหลักที่ควบคุมการตอบสนองแบบสู้หรือหนี ที่อำนวยโดยส่วนประกอบสองอย่าง[7] ดังที่จะกล่าวต่อไป
ระบบประสาทซิมพาเทติกเริ่มที่ไขสันหลังและทำหน้าที่หลักคือก่อความเปลี่ยนแปลงทางสรีรภาพที่เกิดขึ้นในช่วงการตอบสนองโดยสู้หรือหนี ส่วนประกอบของระบบประสาทนี้ ใช้สารสื่อประสาทและส่งสัญญาณให้ปล่อยสารสื่อประสาทนอร์เอพิเนฟรินในปฏิกิริยานี้[8]
ระบบประสาทพาราซิมพาเทติกเริ่มจากไขสันหลังและ medulla oblongata โดยทำงานร่วมกับระบบประสาทซิมพาเทติก และทำหน้าที่หลักคือก่อการตอบสนองแบบ "พักและย่อยอาหาร" แล้วคืนสภาพร่างกายไปสู่ภาวะธำรงดุลหลังจากตอบสนองแบบสู้หรือหนี ระบบนี้ใช้สารสื่อประสาทและส่งสัญญาณให้ปล่อยสารสื่อประสาท acetylcholine[8]
ในสมอง ปฏิกิริยาเริ่มที่อะมิกดะลา ซึ่งจุดชนวนการตอบสนองในไฮโปทาลามัส ปฏิกิริยาเบื้องต้นจะตามด้วยการทำงานของต่อมใต้สมอง (pituitary gland) และการปล่อยฮอร์โมน Adrenocorticotropic hormone (ACTH)[9] โดยมีต่อมหมวกไตที่เริ่มทำงานเกือบพร้อมกันและปล่อยฮอร์โมนอีพิเนฟริน (อะดรีนาลีน) การปล่อยสารเคมีต่าง ๆ เหล่านี้มีผลเป็นการผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเพิ่มความดันโลหิต น้ำตาลในเลือด และระงับระบบภูมิคุ้มกัน[10] การตอบสนองเบื้องต้นนี้และปฏิกิริยาต่อ ๆ มา เกิดขึ้นเพื่อเพิ่มพลังงานที่มี ซึ่งเกิดขึ้นเมื่ออีพิเนฟรินเข้ายึดกับเซลล์ตับซึ่งผลิตกลูโคสต่อมา[11] นอกจากนั้นแล้ว การไหลเวียนของคอร์ติซอลยังเปลี่ยนกรดไขมันเป็นพลังงาน ซึ่งตระเตรียมกล้ามเนื้อทั่วร่างกายเพื่อการตอบสนอง[12] ส่วนฮอร์โมนกลุ่ม Catecholamine เช่น อีพิเนฟริน หรือนอร์เอพิเนฟริน (นอร์อะดรีนาลีน) อำนวยปฏิกิริยาทางกายแบบฉับพลันต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กับการเตรียมตัวใช้กล้ามเนื้ออย่างรวดเร็วรุนแรง ปฏิกิริยารวมทั้ง[13]
การเปลี่ยนแปลงทางสรีรภาพเมื่อตอบสนองแบบสู้หรือหนีเกิดขึ้นเพื่อให้กำลังและความเร็วกับร่างกายโดยคาดว่าจะมีการสู้หรือวิ่งหนี การเปลี่ยนแปลงทางสรีรภาพมีหน้าที่โดยเฉพาะ ๆ รวมทั้ง[14][15]
ในสภาพแวดล้อมของการตอบสนองแบบสู้หรือหนี จะมีการควบคุมอารมณ์ล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงความเครียด และควบคุมระดับความตื่นตัวทางอารมณ์[16][17]
ในช่วงปฏิกิริยา ความรุนแรงทางอารมณ์ที่เกิดจากสิ่งเร้าจะเป็นตัวกำหนดธรรมชาติและความรุนแรงของการตอบสนองทางพฤติกรรมด้วย[18] บุคคลที่ไวปฏิกิริยาทางอารมณ์สูงอาจมีแนวโน้มต่อความวิตกกังวลและความก้าวร้าว ซึ่งแสดงผลที่ตามมาของการมีปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่สมควรในช่วงการตอบสนองแบบสู้หรือหนี[19][20]
ปัจจัยทางการรู้คิดในช่วงการตอบสนองดูเหมือนจะเป็นในเชิงลบโดยมาก รวมทั้ง การใส่ใจในสิ่งเร้าเชิงลบ ความรู้สึกถึงสถานการณ์ที่ไม่ชัดเจนว่าเป็นแบบลบ และการระลึกถึงคำพูดเชิงลบได้อย่างซ้ำ ๆ.[21] และอาจจะมีความคิดเชิงลบที่เฉพาะเจาะจงโดยสัมพันธ์กับอารมณ์ที่มักมีในปฏิกิริยาแบบเดียวกัน[22]
ความรู้สึกว่าควบคุมเหตุการณ์ได้ (Perceived control)[23] ต่างจากการควบคุมเหตุการณ์ได้จริง ๆ เพราะว่าความเชื่อของบุคคลเกี่ยวกับสมรรถภาพของตนอาจจะไม่สะท้อนความจริง ดังนั้น การประเมินว่าควบคุมเหตุการณ์ได้เกินหรือน้อยไปอาจทำให้วิตกกังวลและก้าวร้าว[24]
แบบจำลองการประมวลข้อมูลทางสังคม (social information processing) เสนอปัจจัยหลายอย่างที่กำหนดพฤติกรรม ภายในสภาพแวดล้อมคือสถานการณ์ทางสังคมและความคิดที่มีอยู่ก่อน[25] การตีความว่ามีการมุ่งร้าย โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่ชัดเจน ดูเหมือนจะเป็นปัจจัยทางการรู้คิดสำคัญที่สุดที่สัมพันธ์กับการตอบสนอง[26]
จิตวิทยาเชิงวิวัฒนาการ (evolutionary psychology) อธิบายว่า สัตว์บรรพบุรุษต้องมีปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้าที่เป็นภัยอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีเวลาเตรียมตัวเองทั้งทางกายและทางใจ ดังนั้น การตอบสนองแบบสู้หรือหนีจึงเป็นกลไกให้สัตว์สามารถตอบสนองต่อภัยชีวิตอย่างรวดเร็ว[27][28]
ตัวอย่างของการตอบสนองต่อความเครียดที่พบในสัตว์ ก็คือม้าลายที่กำลังกินหญ้าอยู่ ถ้ามันเห็นสิงโตกำลังวิ่งเข้ามาเพื่อฆ่า การตอบสนองต่อความเครียดก็จะเริ่มทำงาน การหนีจำเป็นต้องใช้กล้ามเนื้อมาก โดยได้รับการสนับสนุนจากระบบอื่น ๆ ของกาย การทำงานของระบบประสาทซิมพาเทติกทำให้เกิดการตอบสนองเช่นนั้นโดยเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้ง
ตัวอย่างที่คล้าย ๆ กันรวมการสู้ของแมวที่สุนัขกำลังโจมตี แมวจะมีหัวใจเต้นเร็ว มีขนตั้ง (ซึ่งปกติจะทำเพื่อรักษาความร้อน) รูม่านตาขยาย ซึ่งแสดงการทำงานของระบบประสาทซิมพาเทติก[13] แต่ว่าให้สังเกตว่า ทั้งม้าลายและแมวยังสามารถดำรงภาวะธำรงดุลได้ในสภาวะต่าง ๆ เหล่านี้
สัตว์ตอบสนองต่อภัยด้วยวิธีที่ซับซ้อนหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น หนูจะพยายามหนีเมื่อเกิดภัย แต่จะสู้ถ้าจนตรอก สัตว์บางชนิดจะยืนอยู่นิ่ง ๆ เพื่อที่สัตว์ล่าเหยื่อจะไม่เห็นมัน สัตว์หลายประเภทจะแข็งตัวและแกล้งตายเมื่อถูกตัวโดยหวังว่าสัตว์ล่าเหยื่อจะเลิกสนใจ และสัตว์อื่น ๆ ก็มีวิธีป้องกันตัวอย่างอื่น ๆ สัตว์เลือดเย็นบางประเภทเปลี่ยนสีได้อย่างรวดเร็วเพื่ออำพรางตัวเอง[29]
การตอบสนองเหล่านี้เริ่มจากการทำงานของระบบประสาทซิมพาเทติก แต่เพื่อให้เข้ากับแบบจำลองสู้หรือหนี แนวคิดเรื่องการหนีต้องขยายรวมทั้งการหนีจากการถูกจับ ไม่ว่าจะโดยทางกายหรือโดยแฝงตัว ดังนั้น อาจจะหนีไปสู่อีกสถานที่หนึ่งหรือว่าเพียงแค่หายตัวอยู่ตรงนั้น และบ่อยครั้ง ทั้งการสู้การหนีจะเกิดรวมกันในสถานการณ์หนึ่ง ๆ การสู้หรือหนียังปรากฏว่ามีสองข้าง คือ สัตว์อาจจะสู้หรือหนีต่อต้านอะไรบางอย่างที่เป็นภัย เช่นสิงโตหิว หรือสู้หรือหนีไปยังอะไรที่ต้องการ เช่นไปสู่ฝั่งเพื่อความปลอดภัยจากแม่น้ำที่กำลังหลากมา
ภัยจากสัตว์อีกตัวหนึ่งไม่ได้มีผลเป็นปฏิกิริยาสู้หรือหนีทันทีทุกครั้ง อาจจะมีช่วงเวลาที่รู้สึกตัวเพิ่มขึ้น เป็นช่วงที่สัตว์ตีความพฤติกรรมของสัตว์อื่น พฤติกรรมเช่น การถอดสี ขนตั้ง การแข็งตัว เสียง และท่าทางอื่น ๆ จะแสดงถึงสถานะและความตั้งใจของสัตว์แต่ละตัว อาจจะมีเหมือนกับระยะการต่อรอง ซึ่งตามด้วยการสู้หรือหนี แต่ก็อาจจะกลายเป็นการเล่นกัน การผสมพันธุ์ หรือไม่เกิดอะไรขึ้นเลย ยกตัวอย่างเช่น การเล่นของลูกแมว แม้ว่าลูกแมวแต่ละตัวจะแสดงการตื่นตัวของระบบประสาทซิมพาเทติก แต่ก็ไม่ได้ทำอันตรายแก่กันจริง ๆ
ตัวเมียและตัวผู้มักจะรับมือกับสถานการณ์ก่อความเครียดอย่างแตกต่างกัน ตัวผู้มีโอกาสตอบสนองสถานการณ์ฉุกเฉินด้วยความก้าวร้าว คือการสู้ สูงกว่า ในขณะที่ตัวเมียมีโอกาสสูงกว่าที่จะหนี หันหน้าไปหาสัตว์อื่นเพื่อให้ช่วย หรือพยายามปลดชนวนสถานการณ์ ที่เรียกว่าการดูแลและผูกมิตร (tend and befriend) คือเมื่อเครียด แม่มีโอกาสสูงเป็นพิเศษที่จะตอบสนองแบบป้องกันลูก และผูกมิตรกับผู้อื่นเพื่อร่วมมือกันตอบสนองต่อภัยที่ปรากฏ[30]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.