กะอ์บะฮ์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กะอ์บะฮ์ (อาหรับ: ٱلْكَعْبَة, อักษรโรมัน: al-Kaʿba, แปลตรงตัว 'ลูกบาศก์') บางครั้งเรียกเป็น อัลกะอ์บะตุลมุชัรเราะฟะฮ์ (อาหรับ: ٱلْكَعْبَة ٱلْمُشَرَّفَة, อักษรโรมัน: al-Kaʿba l-Mušarrafa, แปลตรงตัว 'กะอ์บะฮ์อันทรงเกียรติ') เป็นอาคารหินที่ใจกลางมัสยิดอัลฮะรอม มัสยิดที่สำคัญที่สุดและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาอิสลาม ที่มักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย[2][3][4] มุสลิมถือว่าเป็น บัยตุลลอฮ์ (อาหรับ: بَيْت ٱللَّٰه, แปลตรงตัว 'บ้านของอัลลอฮ์') และเป็นกิบลัต (อาหรับ: قِبْلَة, ทิศทางละหมาด) สำหรับมุสลิมทั่วโลก โครงสร้างปัจจุบันสร้างขึ้นหลังอาคารเดิมถูกเพลิงไหม้ทำลายในช่วงการล้อมมักกะฮ์โดยฝ่ายอุมัยยะฮ์ใน ค.ศ. 683[1]
กะอ์บะฮ์ | |
---|---|
ٱلْكَعْبَة (al-Kaʿba) | |
กะอ์บะฮ์ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2020 | |
ศาสนา | |
ศาสนา | อิสลาม |
ภูมิภาค | แคว้นมักกะฮ์ |
จารีต | เฏาะวาฟ |
หน่วยงานกำกับดูแล | ประธานใหญ่ฝ่ายกิจการของมัสยิดอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง: อับดุรเราะห์มาน อัสซุดัยส์ |
ที่ตั้ง | |
ที่ตั้ง | มัสยิดใหญ่แห่งมักกะฮ์ มักกะฮ์ ฮิญาซ ประเทศซาอุดีอาระเบีย |
ผู้บริหาร | The Agency of the General Presidency for the Affairs of the Two Holy Mosques |
พิกัดภูมิศาสตร์ | 21°25′21.0″N 39°49′34.2″E |
สถาปัตยกรรม | |
ประเภท | วิหาร (Temple)[1] |
เริ่มก่อตั้ง | ก่อนอิสลาม |
ลักษณะจำเพาะ | |
ความยาว | 12.86 m (42 ft 2 in) |
ความกว้าง | 11.03 m (36 ft 2 in) |
ความสูงสูงสุด | 13.1 m (43 ft 0 in) |
วัสดุ | หิน, หินอ่อน, หินปูน |
ในสมัยอิสลามยุคต้น มุสลิมหันหน้าละหมาดไปที่เยรูซาเลม ก่อนที่จะเปลี่ยนกิบลัตไปที่กะอ์บะฮ์ ซึ่งมุสลิมเชื่อว่าเป็นผลจากการเปิดเผยโองการอัลกุรอานที่ประทานแก่ศาสดามุฮัมมัด[5]
ศาสนาอิสลามรายงานว่า กะอ์บะฮ์ถูกสร้างใหม่หลายครั้งตลอดทั้งประวัติศาสตร์ โดยครั้งที่มีชื่อเสียงที่สุดคือสมัยอิบรอฮีม (อับราฮัม) กับอิสมาอีล (อิชมาเอล) ลูกชายท่าน เมื่ออิบรอฮีมเดินทางกลับมายังหุบเขามักกะฮ์เพียงไม่กี่ปีหลังทิ้งฮาญัร (ฮาการ์) ผู้เป็นภรรยา กับอิสมาอีลตามพระบัญชาของอัลลอฮ์ การเดินวนรอบ กะอ์บะฮ์ 7 ครั้งทวนเข็มนาฬิกา มีอีกชื่อว่า เฏาะวาฟ (طواف) ถือเป็น ฟัรฎ์ (ข้อบังคับ) ในการทำพิธีฮัจญ์และอุมเราะฮ์ให้สมบูรณ์[4] พื้นที่รอบกะอ์บะฮ์ที่ผู้แสวงบุญเดินวนรอบ ๆ นั้นเรียกว่า มะฏอฟ (المطاف)
ผู้แสวงบุญอยู่ล้อมรอบกะอ์บะฮ์และมะฏอฟทุกวัน ยกเว้นวันที่ 9 ษุลฮิจญ์ญะฮ์ (วันอะเราะฟะฮ์) ที่มีการนำผ้าคลุมโครงสร้าง รู้จักกันในชื่อ กิสวะฮ์ (อาหรับ: كسوة, อักษรโรมัน: Kiswah, แปลตรงตัว 'ผ้า') มาเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม ช่วงที่มีผู้เข้ามายังพื้นที่นี้มากที่สุดคือช่วงเราะมะฎอนและฮัจญ์ที่มีผู้แสวงบุญเข้ามาเฏาะวาฟหลายล้านคน[6] ทางกระทรวงฮัจญ์และอุมเราะฮ์ของซาอุดีอาระเบียรายงานว่า ใน ฮ.ศ. 1439 มีผู้แสวงบุญเข้ามาทำอุมเราะฮ์ถึง 6,791,100 คน[7]
ความหมายตรงตัวของคำว่า กะอ์บะฮ์ (كعبة) คือ ลูกบาศก์[8] ในอัลกุรอานจากสมัยของมุฮัมมัด กะอ์บะฮ์ได้รับการเรียกขานด้วยชื่อเหล่านี้:
Eduard Glaser นักประวัติศาสตร์ รายงานว่า ชื่อ "กะอ์บะฮ์" อาจมีความเกี่ยวข้องกับศัพท์อาระเบียใต้หรือเอธิโอเปียว่า "mikrab" ซึ่งบ่งชี้ถึงวิหาร[12] Patricia Crone นักเขียน โต้แย้งนิรุกติศาสตร์นี้[13]
Patricia Crone นักประวัติศาสตร์ ตั้งข้อสงสัยถึงข้ออ้างที่ว่ามักกะฮ์เคยเป็นด่านการค้าที่สำคัญทางประวัติศาสตร์[15][16] นักวิชาการกลุ่มอื่นอย่าง Glen Bowersock ปฏิเสธข้อสงสัยนี้และยืนยันว่ามักกะฮืเคยมีสถานะนั้นจริง[17][18] ภายหลัง Crone ปฏิเสธทฤษฎีของเธอบางส่วน[19] เธอโต้แย้งว่าการค้าขายของชาวมักกะฮ์อาศัยแผ่นหนัง หนังสัตว์ เครื่องหนังที่ผลิต เนยใส ขนสัตว์ฮิญาซ และอูฐ เธอแนะนำว่าสินค้าเหล่านี้ส่วนใหญ่มีไว้สำหรับกองทัพโรมัน ซึ่งทราบกันว่าต้องใช้แผ่นหนังและหนังสัตว์จำนวนมหาศาลสำหรับอุปกรณ์ต่าง ๆ
จักรวาลวิทยาอิสลามรายงานว่า พิธีแสวงบุญ Zurah มีมาก่อนหน้ากะอ์บะฮ์[20] ก่อนหน้าศาสนาอิสลาม กะอ์บะฮ์เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับชนเผ่าเบดูอินหลายกลุ่มทั่วคาบสมุทรอาหรับ ชาวเบดูอินจะทำการแสวงบุญที่มักกะฮ์ครั้งหนึ่งทุกปีจันทรคติ พวกเขาจะบูชาเทพเจ้าของตนในกะอ์บะฮ์ และค้าขายกันในเมืองนี้ โดยไม่สนในเรื่องความบาดหมางของชนเผ่า[21] ภายในกะอ์บะฮ์มีประติมากรรมและภาพวาดต่าง ๆ โดยเทวรูปฮุบัล (เทวรูปหลักของมักกะฮ์) และรูปปั้นเทพนอกศาสนาอื่น ๆ ตั้งขึ้นทั้งในหรือรอบกะอ์บะฮ์[22] นอกจากภาพวาดเทวรูปบนกำแพงที่ถูกทำลายตามคำสั่งของมุฮัมมัดหลังการพิชิตมักกะฮ์[22] ยังมีภาพวาดของเทวทูต อิบรอฮีมถือลูกศรทำนาย และอีซา (พระเยซู) กับมัรยัม (พระแม่มารีย์) ที่มุฮัมมัดไม่ได้สั่งทำลาย[23] และยังมีบันทึกถึงเครื่องประดับที่ไม่ได้ระบุไว้ เงินทอง และเขาแกะคู่หนึ่งอยู่ภายในกะอ์บะฮ์[22] กล่าวกันว่าเขาแกะตัวผู้อันนั้เป็นของแกะที่อิบรอฮีมวางไว้เชือดแทนที่อิสมาอีลตามธรรมเนียมอิสลาม[22]
ตลอดทั้งประวัติศาสตร์ หินดำที่กะอ์บะฮ์ถูกกระแทกและทุบเป็นรอยด้วยหินที่ยิงจากแคทะพัลต์[24] โดยเคยถูกทาด้วยอุจจาระ[25] ถูกขโมยและเป็นของไว้ไถ่โดยพวกเกาะรอมิเฏาะฮ์[26] และถูกตีจนแหลกเป็นชิ้น ๆ[26][22]
แคเรน อาร์มสตรองระบุไว้ในหนังสือ Islam: A Short History ของเธอ โดยระบุว่ากะอ์บะฮ์เคยอุทิศแด่ฮุบัล เทพแนบาเทีย อย่างเป็นทางการ และมีรูปปั้น 360 รูปที่น่าจะสื่อถึงช่วงวันของปี[27] อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าในสมัยของมุฮัมมัด กะอ์บะฮ์ได้รับการยกย่องในฐานะวิหารของอัลลอฮ์ พระเจ้าผู้สูงส่ง ชนเผ่าต่าง ๆ จากทั่วคาบสมุทรอาหรับจะมารวมตัวกันที่นครมักกะฮ์เพื่อประกอบพิธีฮัจญ์ในทุก ๆ ปี ซึ่งเป็นเครื่องหมายของความเชื่อมั่นที่แพร่หลายว่าอัลลอฮ์เป็นเทพองค์เดียวกับที่ผู้นับถือพระเจ้าองค์เดียวเคารพสักการะ ในช่วงนี้ มุสลิมทำการละหมาดหันหน้าไปยังเยรูซาเลม ตามที่มุฮัมมัดทำ และหันหลังให้กับกะอ์บะฮ์ที่มีความเกี่ยวโยงกับสิ่งนอกศาสนา[27] ผู้ชายมักเดินวนรอบแบบเปลี้องผ้า ส่วนผู้หญิงเดินวนรอบแบบเกือบเปลี้องทั้งหมด[28]
อัลกุรอานมีบางโองการที่กล่าวถึงต้นกำเนิดของกะอ์บะฮ์ โดยระบุว่าเป็นบ้านแห่งการนมัสการแห่งแรกของมนุษยชาติและสร้างขึ้นโดยอิบรอฮีมและอิสมาอีลตามคำสั่งของอัลลอฮ์[29][30][31]
แท้จริงบ้านหลังแรกที่ถูกตั้งขึ้นสำหรับมนุษย์ (เพื่อการอิบาดะฮฺ) นั้นคือบ้านที่มักกะฮฺ โดยเป็นที่ที่ถูกให้มีความจำเริญ และเป็นที่แนะนำแก่ประชาชาติทั้งหลาย
และจงรำลึกเมื่อเราได้ชี้แนะสถานอัลบัยต์แก่อิบรอฮีมว่า เจ้าอย่าตั้งภาคีต่อข้าแต่อย่างใดและจงทำบ้านของข้าให้สะอาด สำหรับผู้มาเวียนรอบ ผู้ยืนละหมาด ผู้รุกัวะ และผู้สุญูด
และจงรำลึกถึงขณะที่อิบรอฮีมและอิสมาอีล ได้ก่อฐานของบ้านหลังนั้น ให้สูงขึ้น (ทั้งสองได้กล่าววิงวอนว่า): "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของพวกข้าพระองค์โปรดรับ (งาน) จากพวกข้าพระองค์ด้วยเถิด แท้จริงพระองค์นั้นทรงได้ยินและทรงรอบรู้"
อิบน์ กะษีรกล่าวถึงการตีความในหมู่ชาวมุสลิมเกี่ยวกับต้นกำเนิดของกะอ์บะฮ์อยู่สองแบบในอรรถกถา (ตัฟซีร) ที่มีชื่อเสียงของเขาในอัลกุรอานว่า แบบหนึ่งคือวิหารนี้เคยเป็นสถานที่สักการะของ มะลาอิกะฮ์ (ทูตสวรรค์) ก่อนที่จะมีการสร้างมนุษย์ ภายหลังมีการสร้างบ้านหลังนั้นบนสถานที่หนึ่งและสูญหายจากน้ำท่วมในสมัยนบีนูห์ (โนอาห์) และท้ายที่สุดจึงสร้างขึ้นใหม่โดยอิบรอฮีมและอิสมาอีลตามที่ปรากฏในอัลกุรอาน อิบน์ กะษีรถือว่าสายรายงานนี้เป็นสายที่อ่อน และถือการบรรยายของอะลีมากกว่า ซึ่งระบุว่า แม้ว่าจะมีวิหารอื่นที่มีมาก่อนกะอ์บะฮ์ กะอ์บะฮ์แห่งนี้ถือเป็น บัยตุลลอฮ์ ("บ้านของอัลลอฮ์") แห่งแรกที่อุทิศแด่พระองค์ สร้างขึ้นตามคำสั่งของพระองค์ และได้รับการชำระให้บริสุทธิ์กับได้รับพรจากพระองค์ ตามที่ปรากฏในอัลกุรอาน 22:26–29[41] ฮะดีษในเศาะฮีฮ์ อัลบุคอรีระบุว่า กะอ์บะฮ์เป็นมัสยิดแห่งแรกของโลก ส่วนแห่งที่สองคือมัสยิดอัลอักศอในเยรูซาเลม[42]
ตามธรรมเนียมอิสลามระบุว่า หลังอิสมาอีลเสียชีวิตหลายสหัสวรรษ ลูกหลานของท่านกับชนเผ่าท้องถิ่นที่ตั้งถิ่นฐานรอบบ่อซัมซัมหันมานับถือเทพเจ้าแบบพหุเทวนิยมและบูชารูปปั้น มีการตั้งรูปปั้นหลายรูปในกะอ์บะฮ์ที่เป็นตัวแทนของเทพแห่งธรรมชาติและชนเผ่าต่าง ๆ มีการนำพิธีกรรมต่าง ๆ มาใช้ในการแสวงบุญ ซึ่งรวมถึงการเดินวนรอบแบบเปลือยเปล่า[28] กษัตริย์นาม Tubba' ถือเป็นบุคคลแรกที่สร้างประตูให้กะอ์บะฮ์ตามบันทึกคำพูดใน Akhbar Makka ของ อัลอัซเราะกี[43] การตีความว่าชาวอาหรับก่อนอิสลามเคยนับถือศาสนาอับราฮัมได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานทางวรรณกรรมบางส่วนในวัฒนธรรมอาหรับก่อนอิสลาม[44][45][46]
ในสมัยมุฮัมมัด (ค.ศ. 570–632) กะอ์บะฮ์ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวอาหรับท้องถิ่น มุฮัมมัดมีส่วนในการฟื้นฟูกะอ์บะฮ์หลังโครงสร้างพังเสียหายจากน้ำท่วมช่วงประมาณ ค.ศ. 600 ซีเราะฮ์เราะซูลุลลอฮ์ หนึ่งในชีวประวัติของมุฮัมมัดที่เขียนโดยอิบน์ อิสฮาก ระบุว่ามุฮัมมัดยุติการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างกลุ่มชนมักกะฮ์ว่าตระกูลใดสมควรรวางหินดำ โดยชีวประวัติของอิบน์ อิสฮากระบุต่อว่า แนวทางของมุฮัมมัดคือ ให้ผู้นำตระกูลทุกกลุ่มยกมุมหินบนเสื้อคลุม หลังจากนั้นมุฮัมมัดก็วางหินนั้นไว้ด้วยตนเอง[48][49] อิบน์ อิสฮากกล่าวว่า ท่อนไม้ในการฟื้นฟูกะอ์บะฮ์มาจากเรือกรีกที่อัปปางลงบริเวณริมทะเลแดงที่ Shu'aybah และงานฟื้นฟูดำเนินการโดยช่างไม้ชาวคอปต์ชื่อ Baqum[50] กล่าวกันว่าเหตุการณ์อิสรออ์ของมุฮัมมัดเริ่มขึ้นจากกะอ์บะฮ์ไปยังมัสยิดอัลอักศอ แล้วขึ้นชั้นฟ้าในภายหลัง[51]
ในตอนแรกมุสลิมถือว่าเยรูซาเลมเป็นกิบลัต อย่างไรก็ตาม การแสวงบุญที่กะอ์บะฮ์ถือเป็นหน้าที่ทางศาสนา แม้ว่าพิธีกรรมจะยังไม่เสร็จสิ้นก็ตาม ในช่วงครึ่งแรกของการเป็นศาสดาที่มักกะฮ ตัวท่านกับผู้ติดตามถูกกดขี่อย่างหนัก ซึ่งนำไปสู่การอพยพไปยังมะดีนะฮ์ใน ค.ศ. 622 มุสลิมเชื่อว่ามีการเปลี่ยนกิบลัตจากมัสยิดอัลอักศอไปยังมัสยิดอัลฮะรอมใน ค.ศ. 624 ด้วยการเปิดเผยโองการซูเราะฮ์ที่ 2 อายะฮ์ที่ 144[อัลกุรอาน 2:144][52] จากนั้นใน ค.ศ. 628 มุฮัมมัดนำกลุ่มมุสลิมไปทำอุมเราะฮ์ที่มักกะฮ์ แต่ถูกฝ่ายกุร็อยช์ขวางเสียก่อน ท่านจึงทำสนธิสัญญาฮุดัยบียะฮ์ สนธิสัญญาสันติภาพที่อนุญาตให้มุสลิมทำพิธีแสวงบุญอย่างเสรีในปีถัดไป[53]
เมื่อถึงช่วงสูงสุดในภารกิจของท่าน[54]ใน ค.ศ. 630 หลังบะนูบักร์ พันธมิตรของกุร็อยช์ ละเมิดสนธิสัญญาฮุดัยบียะฮ์ มุฮัมมัดจึงทำการพิชิตมักกะฮ์ สิ่งแรกที่ทำคือทำลายรูปปั้นและรูปภาพจาก กะอ์บะฮ์[23] ตามรายงานที่รวบรวมโดยอิบน์ อิสฮากและอัลอัซเราะกี มุฮัมมัดเก็บรักษาภาพวาดของพระแม่มารีย์กับพระเยซู และภาพเฟรซโกของอิบรอฮีม[55][23][56]
หลังการพิชิต มุฮัมมัดได้ย้ำถึงความศักดิ์สิทธิ์ของมักกะฮ์ในศาสนาอิสลาม ซึ่งรวมถึงมัสยิดอัลฮะรอมด้วย[57] ท่านทำฮัจญ์ใน ค.ศ. 632 ที่มีชื่อว่าฮัจญ์อำลา เนื่องจากมุฮัมมัดได้รับการพยากรณ์ถึงความตายของท่านที่จะเกิดขึ้นในเหตุการณ์นี้[58]
กะอ์บะฮ์ได้รับการซ่อมแซมและสร้างใหม่หลายครั้ง โครงสร้างเสียหายอย่างหนักจากไฟไหม้ในวันที่ 3 เราะบีอุลเอาวัล ฮ.ศ. 64 (วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 683) ในช่วงการล้อมมักกะฮ์ครั้งแรกใน ค.ศ. 683 ในสงครามระหว่างอุมัยยะฮ์กับอับดุลลอฮ์ อิบน์ อัซซุบัยร์[59] มุสลิมที่ปกครองมักกะฮ์เป็นเวลาหลายปีระหว่างการเสียชีวิตของอะลีถึงการรวมอำนาจของอุมัยยะฮ์ อับดุลลอฮ์สร้างกะอ์บะฮ์ใหม่โดยรวม hatīm ที่ทำเช่นนี้ ตามธรรมเนียม (พบในชุดสะสมฮะดีษบางส่วน) ว่า hatīm เป็นส่วนที่หลงเหลือของฐานกะอ์บะฮ์สมัยอิบรอฮีม และมุฮัมมัดเองหวัังที่จะสร้างใหม่เพื่อรวมบริเวณนี้[60]
กะอ์บะฮ์ถูกระดมยิงด้วยหินในการล้อมมักกะฮ์ครั้งที่สองใน ค.ศ. 692 ซึ่งกองทัพอุมัยยะฮ์นำโดยอัลฮัจญาจญ์ อิบน์ ยูซุฟ การที่ตัวเมืองล่มสลายและอับดุลลอฮ์ อิบน์ อัซซุบัยร์เสียชีวิตทำให้ฝ่ายอุมัยยะฮ์ในรัชสมัยอับดุลมะลิก อิบน์ มัรวานรวมดินแดนอิสลามเป็นหนึ่งอีกครั้ง และทำให้สงครามกลางเมืองที่ยาวนานสิ้นสุดลง โดยใน ค.ศ. 693 อับดุลมะลิกสั่งให้รื้อถอนกะอ์บะฮ์ของอัซซุบัยร์และสร้างใหม่บนฐานของชาวกุร็อยช์ กะอ์บะฮ์จึงกลับไปเป็นทรงลูกบาศก์ในสมัยมุฮัมมัด[60]
ในช่วงพิธีฮัจญ์ใน ค.ศ. 930 เกาะรอมิเฏาะฮ์ของชีอะฮ์ภายใต้การนำของอะบูฏอฮิร อัลญันนาบี โจมตีมักกะฮ์ ทำบ่อซัมซัมให้มีมลทินด้วยศพผู้แสวงบุญ และขโมยหินดำไปยังโอเอซิสอาระเบียตะวันออกที่รู้จักกันในชื่ออัลอะห์ซาอ์ โดยหินดำยังอยู่ที่นั่นจนกระทั่งฝ่ายอับบาซียะฮ์ไถ่คืนใน ค.ศ. 952 นับแต่นั้นมา รูปร่างและโครงสร้างพื้นฐานของกะอ์บะฮ์ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอีกเลย[61]
หลังฝนตกหนักและน้ำท่วมใน ค.ศ. 1626 กำแพงกะอ์บะฮ์พังทลายและตัวมัสยิดเกิดความเสียหาย ต่อมาในปีเดียวกัน ในรัชสมัยจักรพรรดิมูรัดที่ 4 แห่งออตโตมัน มีการสร้างกะอ์บะฮ์ใหม่ด้วยหินแกรนิตจากมักกะฮ์ และตัวมัสยิดได้รับการบูรณะ[62]
ใน ค.ศ. 1916 หลังฮุซัยน์ บิน อะลีเริ่มต้นกบฏมหาอาหรับ ในช่วงยุทธการที่มักกะฮ์ระหว่างกองทัพชาวอาหรับและออตโตมัน กองทัพออตโตมันทิ้งระเบิดในเมืองและโจมตีกะอ์บะฮ์ ด้วยการจุดไฟเผาม่านป้องกัน[63][64] อุบัติภัยครั้งนี้ภายหลังถูกนำไปทำเป็นโฆษณาชวนเชื่อในกบฏมหาอาหรับ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความไม่เคารพของชาวออตโตมานและความชอบธรรมของการก่อกบฎในฐานะสงครามศักดิ์สิทธิ์[63][64]
มีการใส่ภาพกะอ์บะฮ์ลงในธนบัตรด้านหลัง 500 ริยาลซาอุดีและ 2,000 รียอลอิหร่าน[65]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.